xs
xsm
sm
md
lg

ลิขิตฟ้าชะตาดิน ตอนที่ 6

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 ลิขิตฟ้าชะตาดิน  ตอนที่ 6 

ช่วงเช้าของวันถัดมา ดวงยิหวาอยู่ที่มุมหนึ่งในออฟฟิศที่บ้าน ซึ่งรกเรื้อไปด้วยเอกสาร และข้าวของบริจาคเป็นตั้งๆ

และเวลานั้นดวงยิหวานั่งอยู่หน้าคอมพ์ฯ กำลังโต้ตอบกับอาจารย์ผ่านทาง msn อยู่ ดวงยิหวาพิมพ์อย่างคล่องแคล่ว
“ต้องขอโทษจริงๆค่ะ อาจารย์ ดวงคงไม่มีโอกาสจะไปช่วยทำงานที่คณะฯแล้ว เพราะตอนนี้ดวงงานเข้าจริงๆ”
อาจารย์พิมพ์ตัวหนังสือตอบกลับมาตรงช่องภาพ
“ไม่เป็นไรจ้ะดวง ดวงช่วยคุณพ่อทำงานของที่บ้าน เป็นหน้าที่ของลูกกตัญญูจ้า”
ดวงยิหวาอ่านออกเสียง “ไม่เป็นไรจ้ะดวง ดวงช่วยคุณพ่อทำงานของที่บ้าน เป็นหน้าที่ของลูกกตัญญูจ้า” แล้วรีบพิมพ์ตอบ
“เจ้านายของพ่อดวงป่วยหนักอ่ะค่า พ่อต้องไปทำหลายอย่างแทนเค้า ดวงเลยต้องมาทำงานของพ่ออีกทีค่ะ อาจารย์”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงตื่อดือดึ๊ง! ดังมา พร้อมรูปฟ้ากระจ่างโชว์ขึ้นในบ๊อกซ์ msn
ดวงยิหวาดีใจ “เย้ย..พี่จ้าง!!” ลุกขึ้น แทบกระโดด “โหย...พี่จ้างออนเอ็ม!!” ดวงยิหวารีบลงนั่ง เพ่งดูรูปจ้าง
สักครู่หนึ่งตัวหนังสือทักทายของฟ้ากระจ่างก็ปรากฏขึ้น “ดีครับ”
ดวงยิหวาอ่าน “ดีครับ..” หัวเราะออกมา แล้วรีบพิมพ์ตอบ พลางพูดออกเสียงไปด้วย “ดีค่ะ..สบายดีไหมคะ”
เวลาเดียวกันนั้นฟ้ากระจ่างนั่งยิ้มอยู่หน้าจอคอมพ์ฯ
พิมพ์ตอบและพูดออกเสียงไปพร้อมกัน “สบายดีครับ ดวงล่ะ เรื่องที่บ้านเรียบร้อยดีหรือยังครับ”
ดวงยิหวาถอนหายใจยาว แล้วพิมพ์ไป พูดไป
ดวง“มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเจ้าของบริษัทค่ะ เราทุกคนต้องระดมกำลัง เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา”
ฟ้ากระจ่างพิมพ์ตอบ พูดออกเสียงไปด้วย
“ร้ายแรงมากเลยหรือครับ ..ไม่เป็นไรนะ ทุกเรื่อง ไม่มีอะไรที่แก้ไขไม่ได้ หวังว่าดวงคงไม่ต้องยุ่งยากลำบากจนเกินไปนะครับ สู้ๆนะ”
ในขณะที่ฟ้ากระจ่างกำลังพิมพ์ตอบดวงยิหวา ปักเป้าก็วิ่งเสียงดังตึงตังเข้ามา
“อาจ้างๆๆๆ”
“อะไร” ฟ้ากระจ่างถาม ตายังอยู่หน้าจอ
“มัวแต่ทำอะไรอยู่ มีเรื่องแล้ว...มีคนมาหาอาตงเซียนเซิง เรื่องลื้อ...คอขาดบาดตายด้วย” ปักเป้าน้ำเสียงตื่นเต้น
“คอขาดบาดตาย? เรื่องไรวะ” รีบกดปิดการติดต่อ ปิดหน้าจอโดยยังไม่ทันกดส่งข้อความที่พิมพ์ไป ทำเอาดวงยิหวา สะดุ้ง มองอย่างงงๆ ที่ จู่ๆ หน้าจอขึ้นสถานะของฟ้ากระจ่างออฟไลน์ไปแล้ว
“อะไรกันเนี่ย มาถามเราแล้วก็หนีไปเฉยเลย ปล่อยให้ชั้นคุยคนเดียวอยู่ได้ตั้งนาน ไม่มีมารยาทเลยอะ”
ดวงยิหวาออกอาการงอนๆ

ฟ้ากระจ่างกับปักเป้า ดึงๆ ย่องกันมาถึง ที่มุมนั้น มีสมหมาย กับหมีใหญ่ ซุ่มอยู่ก่อน หน้าตาซีเรียส เอามืออุดปาก ซีดๆ กัน พอหันมาเห็นจ้าง ทั้งสองยิ่งซีดหนัก ทำหน้าช็อกๆ ปนเศร้าๆ มองจ้าง
สมหมายจับมือจ้างบีบ น้ำตาคลอๆ “จ้าง..แก..แก..โธ่..จ้าง”
“ถึงยังไง เราก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป..ใช่ไหม จ้าง” หมีใหญ่เข้ามากอด ตบไหล่หนักๆ
ฟ้ากระจ่างมึนตึ้บ มองหน้าเพื่อนๆ “พวกนายเป็นบ้าอะไรวะ มีไร เรื่องไรคอขาดบาดตาย?”
ทันใดนั้น เสียงกู๋เหลียงดังขึ้นมา
“คุณจะเอาอาจ้างกลับไปอยู่ด้วย คุณเพิ่งนึกได้ว่าอาจ้างเป็นลูกคุณ หลังจากที่คุณเอามันมาทิ้งที่นี่..มาเป็นเวลา 20 กว่าปี แล้วเนี่ยนะ”
ฟ้ากระจ่างได้ยินถึงกับสะดุ้ง หน้าตาตื่น แล้วเบียดฝ่าจนเพื่อนทุกคนกระเด็น เพื่อมองดูคู่สนทนาของกู๋เหลียงคนนั้นให้ถนัด ฟ้ากระจ่างมองเห็นดารากานต์นั่งอยู่ในมุมที่โดนบัง ไม่เห็นหน้า เห็นแค่เป็นผู้หญิงที่แต่งตัวหรูหรา เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้า แม็ทกันด้วยสไตล์เก๋ๆ
ดารากานต์ร้องไห้ “ก็ตอนนั้นชั้นยังเป็นเด็ก ชั้นนึกอะไรไม่ออก ชั้นทำอะไรไม่ถูก...ชั้นท้อง...แต่ผู้ชายเขาต้องไปแต่งงานกับคนอื่น จะให้ชั้นไปทำลายชีวิตของเค้าเหรอ หรือจะให้ชั้นทำแท้ง”
“อะไรนะ” ฟ้ากระจ่างพยายามแทรกหามุม จนเห็นหน้าดารากานต์เต็มตา “เอ๊ะ...”
เหลียงดุ “ถ้าเราจะบอกคุณนายว่า คุณนายเข้าใจผิด อาจ้างไม่ใช่เด็กคนนั้น คุณนายจะมีอะไรมาต่อสู้ อาจ้างเค้ามีใบเกิด มีพ่อมีแม่ของเขาเอง…คุณนายเพ้อฝันไป อยากมีลูก ก็แต่งเรื่องว่าตัวเองมีลูก แล้วก็มาอ้าง...จะขี้ตู่ลูกของชาวบ้านเป็นลูกตัวเอง”
“แต่ฟ้ากระจ่างเป็นลูกชั้นจริงๆ ชั้นสาบานได้ คุณว่าคุณมีใบเกิดฟ้ากระจ่าง ชั้นก็มีใบเกิดเหมือนกัน โรงพยาบาล เค้าอาจจะยังเก็บไว้ ไปค้นดูกันก็ได้ เค้ามีประทับตาลายมือ ลายเท้าเด็กไว้หมดเลย”
คราวนี้ฟ้ากระจ่างซีดหนัก พวกเพื่อนๆ มองหน้ากัน
ดารากานต์นึกได้ ทำหน้าเหมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แล้วลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น “หรือว่าจะไปตรวจดีเอนเอ ใช่ๆๆ ไปตรวจกันให้หมด ชั้น ฟ้ากระจ่าง กับพ่อแม่ที่เลี้ยงเค้ามา ชั้นกล้าท้า..พวกนั้นกล้าไปไหมล่ะ”
สีหน้าฟ้ากระจ่างซีดลงๆ
“ไม่ไปโว้ย เรื่องดีเอนเอ ใครจะบังคับใครให้ไปตรวจไม่ได้ ถ้าตัวเค้าไม่ยอม เก่งจริงก็ไปฟ้องศาล ให้ศาลมาสั่งดิ” กู๋เหลียงโวยลั่นศาลเจ้า
สีหน้าฟ้ากระจ่างค่อยดีขึ้น รู้สึกค่อยยังชั่ว หันไปพูดกับเพื่อนๆ “อั๊วไม่ไปเด็ดขาด”
“อาเหลียง คุณนายครับ อย่ามีโทสะกันดีกว่า ตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใบเกิด เอกสารใดๆ หรือแม้แต่..การตรวจดีเอนเอ..ก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกแล้ว” นักบวชตงแทรกขึ้นมา
“ทำไมถึงไม่สำคัญ” กู๋เหลียงแย้ง
“เพราะตอนนี้ อาจ้างมันไม่ใช่เด็กๆ แล้วน่ะสิ มันอายุ 20 กว่า บรรลุนิติภาวะ เป็นผู้ใหญ่ มีเมียมีลูกได้แล้ว ใครจะบังคับให้มันไปอยู่ไหน เพราะอะไรไม่ได้หรอก เป็นสิทธิ์ของมัน ที่จะเลือกเอง ว่ามันจะเอายังไง” นักบวชตงว่า
ฟ้ากระจ่างรู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที รีบผลุนผลัน ก้าวเข้าไปในวงสนทนา
“ผมจะไม่ไปอยู่ไหนกะใครทั้งนั้น ผมจะอยู่นี่ตลอดไป”
ทุกคนหันมามองด้วยความตกใจ สายตาทุกคู่มองฟ้ากระจ่างอย่างงงงัน
ดารากานต์ได้ยินถึงกับน้ำตาคลอ “ฟ้ากระจ่าง”
“คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ คุณนาย ผมไม่ใช่ลูกคุณแน่ๆ ลูกที่คุณเอามาทิ้งไว้..คงมีใครเก็บไปเลี้ยงแล้วล่ะครับ ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก”
ดารากานต์จ้องหน้าฟ้ากระจ่าง รู้สึกเสียใจมาก ฟ้ากระจ่างมองตอบ ด้วยสีหน้าเย็นชา
ดารากานต์ก้าวเข้าไปหา เอื้อมมือเหมือนจะจับ “จ้าง...”
ฟ้ากระจ่างถดตัวถอยหนี ดารากานต์มองด้วยสายตาอ้อนวอน ขอโทษและขออภัยลูกชายที่เธอทิ้งไว้นานกว่า 20 ปี ฟ้ากระจ่างมองหน้าดารากานต์สักครู่หนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไปอย่างเร็ว

ฟ้ากระจ่างเดินจ้ำอ้าวหนีออกมาที่บริเวณหน้าศาลเจ้าท่ามกลางเปลวแดดร้อนระอุ ใบหน้าฟ้ากระจ่างเวลานั้นแดงก่ำด้วยความโกรธ น้อยใจ เสียใจ ประดังกันเข้ามา ไม่สนใจ เพื่อนๆ ที่วิ่งตามมาข้างหลัง
“อาจ้างๆ เฮ้ย!” ปักเป้าเรียกไว้
หมีใหญ่รีบดึงแขนปักเป้าไว้ “อย่า ปล่อยมันไป”
“ใช่..ให้มันคิด ตัดสินใจของมันเอง” สมหมายเห็นด้วย
ฟ้ากระจ่างเดินลิ่วๆ เตลิดเปิดเปิงไปเหมือนคนไร้สติ ดวงตาคู่ที่ยิ้มหัวให้กับทุกคนในชีวิต เวลานี้กลับมีน้ำตาเอ่อล้น พร้อมกับนึกถึงภาพชีวิตในศาลเจ้าตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของตัวเอง


ตอนอายุ 4 ขวบ ฟ้ากระจ่างกำลังตื่นเต้น ตาโต เมื่อเห็นข้างหน้าของเขาคือรถ 3 ล้อถีบของเล่นสำหรับเด็กคันใหม่เอี่ยม เด็กชายฟ้ากระจ่างเดินเข้าไปจับ ดูรอบๆ ทันใดนั้น ก็มีมือของผู้หญิงที่ทำเล็บอย่างสวยงาม นิ้วเรียวงามสวมแหวน เข้ามาแตะแขน ฟ้ากระจ่างเงยหน้าขึ้นมอง
เป็นดารากานต์นั่นเอง ที่จับแขนจ้างอย่างถนอม ประหม่า หน้าตาตื่นเต้น
“ชอบไหมจ๊ะ อาจ้าง..
ฟ้ากระจ่างมองหน้าดารากานต์ ตาโต พยักหน้ารับ ดารากานต์หัวเราะ อย่างพอใจ
“งั้นขึ้นมานั่งสิจ๊ะ มา รถนี่ของเธอนะ ของเธอ มาๆๆ มาเล่นกันเร้ว”
ดารากานต์ช่วยจับและดันตัวฟ้ากระจ่างขึ้นรถถีบ แล้วช่วยจับประคับประคอง จนเด็กชายเริ่มขี่คล่อง ขี่วนไปวนมา

ภาพชีวิตตอนที่อาหึ่งกำลังสอนฟ้ากระจ่างในวัย 8 ขวบทำการบ้าน โดยมีสารภีมาคอยวนเวียนชวนคุย โน่นนี่ และถูกอาหึ่งคอยไล่ เอาของเขวี้ยง สารภีหลบ
ขณะที่ฟ้ากระจ่างตั้งใจคัดลายมืออยู่นั้น สักพัก ก็มีเงาคนใครคนหนึ่งมาบังแสง ฟ้าจ่างเงยหน้าขึ้นมอง เห็นดารากานต์ยืนยิ้มอยู่ แล้วก็เข้ามานั่งข้างๆ
อาหึ่งไหว้ ดารากานต์วางถุงขนม ถุงเสื้อผ้านักเรียน กระเป๋า รองเท้าวางให้ เต็มไปหมด
อาหึ่งไหว้ปลกๆ แล้วบอกให้ฟ้ากระจ่างไหว้ด้วย
ฟ้ากระจ่างลุกขึ้นมา ไหว้ขอบคุณดารากานต์อย่างอ่อนน้อม ดารากานต์ลูบหัวอย่างปรานี
ฟ้ากระจ่างมองหน้าดารากานต์ ตาแป๋ว แปลกใจๆ

ตอนอายุ14 ขวบ ขณะที่ฟ้ากระจ่างกำลังหัดมวยไทเก๊กอยู่กับกู๋เหลียงและนักบวชตง ดารากานต์ที่ถือข้าวของเต็มมือ มายืนดู ฟ้ากระจ่างหันไปดู ดารากานต์โบกมือให้
ฟ้ากระจ่างมัวแต่มองดารากานต์ โดนนักบวชตงที่กำลังบุกโจมตี ฟาดมาโดน 1 ฝ่ามือ ล้มลงไป
ดารากานต์กรี๊ดลั่น ทิ้งถุงข้าวของในมือกระจายอย่างไม่สนใจ แล้ววิ่งตรงเข้ามาประคองฟ้ากระจ่าง ทุกคนมองภาพนั้นอย่างงงๆ ปนตกใจ
ดารากานต์รู้ตัว ยิ้มจ๋อยๆ ปล่อยตัวฟ้ากระจ่าง แล้วถอยไป เก็บของที่กระจายอยู่
นักบวชตง กู๋เหลียง อาจ้างมองหน้ากัน แล้วรีบเข้าไปช่วยดารากานต์เก็บของ
ฟ้ากระจ่างเดินมาหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา ส่งให้ดารากานต์
ขณะเอื้อมมือมารับดารากานต์จ้องมองหน้าฟ้ากระจ่างอย่างไม่วางตา ยิ้มให้ แล้วจับหน้าจับหัวลูบท่าทีอ่อนโยน ฟ้ากระจ่างมองตอบด้วยอาการงงๆ แล้วผละถอยอย่างหวงตัวเพราะเริ่มเป็นหนุ่มน้อย

ฟ้ากระจ่างหลบมาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำ ริมทาง บริเวณข้างศาลเจ้า น้ำตาไหลนองเต็มใบหน้า ฟ้ากระจ่างรีบเช็ดออก
ฟ้ากระจ่างยืนสงบอารมณ์อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านสาขาคลุมท้องน้ำบริเวณนั้น
ทันใดนั้น เสียงดารากานต์ก็ดังมาทางข้างหลัง
“ตอนที่แม่รู้ตัวว่าตั้งท้อง...พ่อของจ้าง..ก็แต่งงานไปแล้ว กับผู้หญิงที่ทางครอบครัวหมั้นหมายไว้ให้ อยู่ที่เมืองไกลมากๆ”
ฟ้ากระจ่างชะงัก หันกลับมามอง
“แม่โกรธพ่อของลูก ที่มาทำให้แม่รัก โดยที่ตัวเองก็กำลังจะแต่งงานในเวลาอีกไม่นาน แล้วก็ยังอุบเงียบ ไม่บอกแม่ซักคำ แม่รู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกอย่างโหดร้ายที่สุด ก็เลยอยากจะแก้แค้นเค้า ลงโทษเค้า โดยไม่ยอมบอกให้เค้ารู้บ้าง...ว่าแม่...มีสิ่งที่มีค่าที่สุดของเค้า...อยู่ในตัว” ดารากานต์เล่าต่อ
“สิ่งที่มีค่าที่สุด...” น้ำเสียงฟ้ากระจ่างฟังดูเยาะๆ
“ใช่..แม่ต้องเก็บสิ่งนี้ไว้ ทั้งๆที่ตอนนั้นแม่เป็นแค่เด็กผู้หญิงอายุไม่ถึง 18 แต่แม่ก็ตั้งใจว่า...แม่จะทำให้ดีที่สุด...สำหรับทุกๆ คน พ่อแม่ของแม่ จะต้องไม่เสียใจ ไม่ขายหน้าชาวบ้าน ตัวของแม่ ต้องเดินหน้าต่อไปอย่างดี และต้องมีเกียรติ มีหน้ามีตา ไม่ใช่คนที่ถูกทำลายอนาคต หรืออยู่อย่างคนที่ถูกชาวบ้านประณามหยามเหยียด”
“คุณก็เลย...เอาเด็กมาทิ้งที่นี่” ฟ้ากระจ่างพูดประชด
“แม่ไม่ได้ทิ้ง...จ้างก็รู้ ว่าแม่ไม่เคยทิ้งลูก...แม่คิดหนักมาก...ว่าควรจะเอาลูกไปฝากใคร..ป้าบัว พี่เลี้ยงแม่ เค้าเป็นคนที่นี่ แม่ถึงแอบมาอุ้มท้องและคลอดที่นี่ ก่อนจะคลอด แม่ก็พยายาม เสาะหาสถานที่ที่ลูกจะโตขึ้นมาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม่ถึงพามาที่ศาลเจ้า แม่รู้ว่าที่นี่ มีแต่คนดีๆ ลูกน่าจะอยู่ได้อย่างสบายๆ”
“ใช่ ผมโตขึ้นมาที่นี่ โตขึ้นมาอย่างดี ผมสบายดี มีความสุขทุกอย่าง แล้วตอนนี้ คุณมาทำไม คุณต้องการอะไร”
ดารากานต์มองหน้าฟ้ากระจ่าง ที่มองตอบมาอย่างเย็นชา ด้วยความสะท้อนใจ

เหตุการณ์ที่บ้านบัญชา เวลาเดียวกันนั้น บัญชายังนอนบนเตียงคนไข้ มีบุรี เด่น ทรายทอง และเกียรติบดินทร์ที่ลุกพรวดขึ้นมาทันทีหลังฟังบัญชาพูดจบ
“ผมไม่ไปอเมริกา ผมไม่มีวันทิ้งนายหัวให้อยู่ในสภาพนี้ ทั้งๆ ที่ศัตรูของพวกเรามันยังลอยนวลอยู่”
“ชั้นขอสั่งให้แกไป แกมีหน้าที่เรียน แกก็ไปเรียน เรื่องอื่นๆ ชั้นมีคนทำให้หมดแล้ว มันไม่ใช่ธุระของแก” บัญชาออกคำสั่ง
“ไม่ใช่ธุระของผมเหรอ นายหัว นายหัวพูดออกมาได้ไง ผมนี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุให้นายหัวต้องโดนปองร้าย ผมไม่ยอม ผมจะอยู่ ผมจะฆ่าพวกมันให้หมด ทั้งไอ้ชิงชัย นังมาดามพิณ รวมทั้งไอ้ปีเตอร์ด้วย” เกียรติบดินทร์สบถออกมาด้วยความแค้น
“น้องดิน..พอเถอะ อย่าพูดมากกว่านี้ มันจะไม่เป็นผลดีกับทุกคน” บุรีปราม
“ทำไมจะพูดไม่ได้ ในเมื่อมันคือความจริง อาบุรีกลัวก็ถอนตัวออกไปได้เลย ผมจะออกหน้าเรื่องนี้เอง ที่นี่เป็นถิ่นของเรา ใครบังอาจมาแย่งชิง มันต้องแหลกกันไปข้าง” เกียรติบดินทร์ยังไม่ยอมสงบลง
“พี่ดินคะ พี่ดินก็ยังเป็นแค่เด็กคนนึงนะคะ พี่ดินทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาแก้ปัญหากันดีกว่า” ทรายทองเตือนอย่างหวังดี
“แส่! เธอนั่นแหละ เงียบไปเลย ไสหัวไปให้ไกลๆ ด้วย เรื่องของพวกผู้ชายเค้าจะพูดเรื่องสำคัญกัน”
เด่นพูดแทรกขึ้นมา
“เอ่อ คุณดินครับ..เรื่องพวกนี้..ทั้งคุณดินและคุณทรายไม่น่าจะมายุ่งเกี่ยวด้วยทั้งคู่นั่นแหละครับ พวกเราทุกคนจะช่วยกันทำให้ทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปจนได้แหละ ผมว่า..คุณๆน่าจะไปเรียนเมืองนอกกันทั้งคู่ แล้วก็ตั้งใจเรียนอย่างเดียวให้สำเร็จ”
“คุณเด่นครับ คุณเด่นยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ ว่าคนรุ่นนายหัว อาบุรี กับนายเด่นเอง แก่เฒ่ากันแค่ไหนแล้ว แล้วนายหัวต้องมาเป็นแบบนี้อีก นายหัวกลายเป็นคนไร้สมรรถภาพไปแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ มันคือหน้าที่ของคนรุ่นพวกผม ผมคือทายาทที่จะรับช่วงทุกอย่างแทนนายหัว เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ทุกคนต้องเงียบ แล้วฟังผม!!” เกียรติบดินทร์พูดอย่างเลือดร้อนตามนิสัย
“แกนั่นแหละ เงียบไปเลย นายดิน ชั้นอาจจะไร้สมรรถภาพ ไปทำงานไม่ได้แบบแต่ก่อน แต่ชั้นก็มีวิธีแก้ปัญหาของชั้น ประการสำคัญ..ชั้นยังไม่ได้แต่งตั้งแกเป็นทายาท แกไม่ต้องมาแต่งตั้งตัวเอง”
“แล้วนายหัวจะให้ใครเป็นทายาทอย่าบอกนะ ว่า...อาบุรี” เกียรติบดินทร์ถาม
บุรีหู่ผึ่งทันทีลุ้นๆ อย่างเก็บอาการ
“ไม่ใช่” บัญชาบอกเสียงขรึมเคร่ง
บุรีผงะ ชะงักไปด้วย หน้าซีดๆ
“ไม่ใช่..แล้วใคร ยายทรายทองเนี่ยเหรอ” เกียรติบดินทร์เดาส่งเดช
บุรีมีหวัง แอบจับมือทรายทอง ในอาการลุ้นจัด
“ทายาทของชั้น..คือพี่ชายของแก..นายดิน” บัญชาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่จริงจัง
“พี่ชาย..ผมไปมีพี่ชายตั้งแต่เมื่อไหร่” เกียรติบดินทร์งงสุดชีวิต
ทุกคนในห้องนั้นต่างก็งงและตกใจพอๆ กัน

ด้านฟ้ากระจ่าง กับดารากานต์ยังคงนั่งคุยกันด้วยท่าทีซีเรียส และจริงจังราวกับเป็นการคุยธุรกิจ
ฟ้ากระจ่างงงๆ พอได้ฟังเหตุผลของดารากานต์ที่มาประกาศตัวเป็นแม่เขาในวันนี้
“สามีของคุณ..ต้องการจะให้ผมไปเป็นทายาทของเค้า?”
“ลูกคือลูกชายคนโตของแม่นะ..จ้าง” ดารากานต์เอ่ยขึ้น
ฟ้ากระจ่างมองหน้าดารากานต์ อย่างมึนๆ “คุณ..มีลูกกี่คนครับ”
ดารากานต์ฟังแล้วอึ้งไป ก่อนจะอธิบาย
“จ้าง..แม่..จำเป็นต้องแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณี พ่อแม่ของแม่ ตายายลูก..เป็นคนมีหน้ามีตา เป็นที่เคารพนับถือของคนในจังหวัด เมื่อสมควรแก่เวลา ท่านก็จัดการให้แม่แต่งงานกับคนที่เหมาะสม จ้างคงจะเข้าใจ..ว่า..ลูกสาวคนจีน มีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง ใช่ไหม”
“คุณต้องแต่งงาน แล้วก็มีลูกหลานสืบตระกูล...” ฟ้ากระจ่างมองอย่างเข้าใจ คิดเป็นหลักการอย่างผู้ใหญ่ “แล้วลูกๆ คนอื่นๆ ละครับ”
“แม่มี..ลูก..อีกคนเดียวเองจ้ะ..น้องชายของลูก..ชื่อเกียรติบดินทร์”
ฟ้ากระจ่างรู้สึกตื่นเต้น เนื้อตัวร้อนวูบวาบ “น้อง..น้องชาย”
“ใช่” ดารากานต์มองหน้า แล้วพยายามคาดเดาเพื่อจับอารมณ์ลูกชาย
ฟ้ากระจ่างมีอาการวุ่นวายใจ ลุกเดินไปเดินมา ก่อนจะหันมา “เค้า..ยังเด็กอยู่..หรือครับ”
“น้องดินถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ..ใช่..เค้าเด็กมาก..คิดแบบเด็กๆ ทำอะไรแบบเด็กๆ อย่างเรื่องเรียน ก็ไม่ยอมเรียน..ดื้อก็ดื้อ”
“อ้าว...” ฟ้ากระจ่างอึ้ง
“สามีของแม่..เค้า..ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงมาก” ดารากานต์ไม่พยายามลงลึกในเหตุการณ์ เพราะรู้สึกสยองเกินกว่าจะพูดถึง “แล้ว..ธุรกิจของเรามันก็ใหญ่โต..เกินกว่าที่น้องดินจะรับผิดชอบไหว เค้าเลย..ขอให้แม่..มาขอจ้าง..ให้ไปช่วยเค้าด้วย”
“อะไรนะครับ ทำไมล่ะฮะ” ฟ้ากระจ่างซัก
“จ้าง..แม่อยากให้จ้างไปอยู่กับแม่..ไปช่วยครอบครัวแม่ด้วย..จ้างพอจะช่วยแม่..กับพวกเราได้ไหมลูก” น้ำเสียงดารากานต์เว้าวอนสุดๆ
ฟ้ากระจ่าง อึ้ง ถึงกับเอ๋อพูดไม่ออกไปเลย

ส่วนเกียรติบดินทร์ยังคงนั่ง งง มึน กับสิ่งที่ได้ยินจากปากพ่อ ในขณะที่ คนอื่นๆ ฟังกันเงียบกริบ
บัญชาที่นั่งพิงพนักเตียงที่หมุนสูงขึ้น เล่าด้วยทีท่าสงบและเยือกเย็น
“มันไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังกันอีกต่อไป และ..อันที่จริง..เราก็ควรจะต้องยอมรับความจริง และให้ความยุติธรรมกับทุกคน” บัญชาทำหน้าราวกับพ่อพระผู้แสนดี
“ผม..ไม่เข้าใจ นายหัว..หมายความว่า..นายหญิง..มีลูกมาก่อน..งั้นหรือครับ”
บัญชามองหน้าน้องชายด้วยแววตาจริงจัง จนบุรีต้องหลบ
“ใช่ ทำไม มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ คนเราผิดพลาดกันได้ และตอนนั้นดารากานต์ก็ยังเป็นแค่เด็กคนนึง...ที่ยังอ่อนต่อโลก”
ระหว่างนั้นทรายทองมองจ้องหน้าบัญชา และบัญชารู้ทันจึงหันมาจ้องมองสะกด สีหน้าฉายแววบีบบังคับไม่ให้พูดมาก ทรายทองสบตาตอบเป็นเชิงยอมรับ ว่าจะไม่พูด แล้วค่อยๆ ก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่บีบไปมาอยู่บนตัก
เด่นรู้สึกอึดอัด เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัว ทำท่าจะลุกออกไป “เอ่อ ผมขอตัวดีกว่า”
“นายเด่น อยู่ก่อน เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับรู้” บัญชาบอก
เด่นอึ้ง นั่งลงตามเดิม
บุรีถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยากเชื่อ
“นายหัวทราบเรื่องนี้มาตลอดหรือครับ”
“ชั้น..กับดารากานต์..ไม่เคยมีความลับต่อกัน” บัญชาว่า
เกียรติบดินทร์เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าและแววตาแค้นเคือง “ไม่จริง!”
ทุกคนหันมามอง เกียรติบดินทร์ลุกพรวดขึ้น
“นายหัวโกหก แม่จะไปมีลูกมาก่อนได้ยังไง แม่ไม่ใช่คนแบบนั้น นายหัวมีแผนอะไรใช่ไหม นายหัวจะเล่นเกมอะไรก็ช่วยนัดแนะกันก่อนดีกว่า อย่ามาคิดกลลวงอะไรเพื่อกำจัดผมไปให้พ้นๆทางแบบเหลือเชื่องี่เง่าอย่างนี้เลยครับ นายหญิงมีลูกมาก่อน เลยจะให้เค้ามาเป็นทายาทแทนผม มันบ้าเกินไป บ้าไปแล้ว!!” เกียรติบดินทร์ทำท่าจะเดินหนีออกไปให้พ้นๆ จากบริเวณนั้น
“เกียรติบดินทร์!! หยุดก่อน ลูกจะไปไหนไม่ได้ ลูกจะต้องรับทราบ และรับปฏิบัติด้วย”
น้ำเสียงบัญชาเด็ดขาด เกียรติบดินทร์ชะงักนิ่ง
“เรา..หมายถึงตัวผม..กับดารากานต์ ได้ส่งเสียเลี้ยงดูเด็กคนนี้มาโดยตลอด แบบลับๆ เพราะเราไม่เคยคิดว่า...จะเกิดชะตากรรมอะไรขึ้นกับครอบครัวเรา ถ้าทุกอย่าง...ดำเนินไปตามปกติ เราก็คิดจะให้เด็กคนนี้เขามีชีวิตของเขาไป ในอีกมุมหนึ่งของประเทศนี้ แล้วเรื่องราวที่ดารากานต์คิดมาตลอด ว่าเป็นบาดแผลในชีวิตของเค้า ก็จะถูกปิดเงียบเป็นความลับตลอดไป แต่...ในเมื่อเรื่องราวมันกลับเป็นแบบนี้ ผมต้องมากลายเป็นอย่างนี้ไป...มันก็เลยกลายเป็นความจำเป็น...ที่ผมต้องขอร้อง..ให้ฟ้ากระจ่างมาช่วย”
เกียรติบดินทร์หันกลับมา “ฟ้า..ฟ้าอะไรนะ…”
ทุกคนรอฟังบัญชากันตาเขม็ง
“ฟ้ากระจ่าง...เขาเป็นเด็กดี มีความสามารถหลายด้าน ที่สำคัญ เป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เป็นผู้ใหญ่ เรียนจบแล้ว แล้วก็เป็นคนดี เป็นคนหนุ่มที่..ผมเล็งเห็นแล้ว ว่าจะมีอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองทีเดียว”

คราวนี้ทุกคนอึ้ง เงียบ และเหวอกันไปหมด

อ่านต่อหน้า 2





 ลิขิตฟ้าชะตาดิน  ตอนที่ 6 (ต่อ) 


สองแม่ลูกคุยกันอยู่ที่ท่าน้ำ ใกล้ๆ ศาลเจ้า ดารากานต์เปิดอกคุยอย่างจริงใจ ฟ้ากระจ่างเผลอตัวตั้งใจฟัง มีความรู้สึกร่วมกับเรื่องราวที่ดารากานต์เล่าให้ฟัง

“เค้าเป็นอัมพาตครึ่งตัว..หมอบอกว่า..คงจะเดินไม่ได้อีกแล้ว..แล้วงานของเค้า..มันก็เป็นงานใหญ่ๆทั้งนั้น แล้วเราก็มีคู่แข่งธุรกิจที่น่ากลัว ตอนนี้ เราก็มีแต่พวกลูกน้องมาช่วยกัน”
“แม่เอง..ก็ไม่เคยรู้เรื่องราวการทำงานอะไรของเค้าเลย..ที่สำคัญ..แม่รู้สึกผิดมาก..แม่ผิดต่อเค้ามาตลอด”
“เพราะเรื่อง..ผมน่ะเหรอ” ฟ้ากระจ่างถามขึ้นมา
“ลูกไม่ใช่ต้นเหตุนะจ้าง คนเลวคือแม่...แม่ผิด แม่ไม่ดีพอสำหรับเค้า ไม่ใช่ผู้หญิงบริสุทธิ์ดีงามอะไร..แม่หลอกเค้ามาตลอด..แม่ไม่ใช่เมียที่ดี ไม่ใช่แม่ที่ดีของลูกคนไหนเลย..ที่น้องดินเป็นเด็กแบบนี้ แม่ก็คือคนผิด เพราะ..แม่..” ดารากานต์หันมามองฟ้ากระจ่าง “แม่..แม่เอาแต่สงสารจ้าง ห่วงจ้าง..สนใจแต่จ้าง..แล้วก็เลยปล่อยให้คนอื่นดูแลน้องดิน..น้องดินเลยนึกว่าแม่ไม่รักเค้า” ดารากานต์ร้องไห้ออกมา
“แล้ว..สามีคุณ เค้ารู้เรื่องผมตอนไหน แล้วเค้าไม่รังเกียจผมเหรอ” ฟ้ากระจ่างถามอย่างสงสัย
“เค้ารู้มานานแล้ว..เค้ารู้ของเค้าเอง..แล้วเค้าก็..แอบมาดูตัวลูกแล้วด้วย”
“หา..เมื่อไหร่ ยังไงครับ” ฟ้ากระจ่างตกตะลึง
“เค้าชื่อบัญชา เพิ่งมาที่นี่เมื่อเร็วๆ นี้เอง..แม่ไม่รู้ ว่าลูกจะจำได้หรือเปล่า”
ฟ้ากระจ่างได้ยินชื่อถึงกับผงะ “คุณบัญชา..คุณบัญชา..เค้าเป็นอัมพาตเหรอครับ”
ดารากานต์ลุกขึ้นมาจับแขนลูกชาย พูดโน้มน้าวต่อ
“คุณบัญชาเค้าดีกับแม่มาก..ยกย่อง ให้เกียรติ ไว้วางใจแม่มาตลอด ..พอรู้เรื่องจ้าง เค้าก็ไม่โกรธ กลับเอ็นดู สงสารจ้าง แล้วเวลานี้..คุณบัญชาเค้าหวังในตัวลูกมาก..เค้าเชื่อมั่นในตัวลูกมากจริงๆ นะจ้าง”
ฟ้ากระจ่าง อึ้งไป
ทันใดนั้น ก็มีเสียงโหวกเหวกดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงสารภีนั่นเอง
“อีบ้า อย่ามายุ่งกะลูกชั้นๆๆ อีบ้าๆๆๆ”
ทั้งสองหันไปมอง เห็นสารภีกับอาหึ่งวิ่งเข้ามา
สารภีเข้ามาผลักสุดแรงจนร่างดารากานต์กระเด็น “ไปให้พ้น อย่ามาแตะต้องลูกชายชั้น อีกนังแพศยาดอกทอง”
จังหวะนั้นอาหึ่งเข้ามาดึงฟ้ากระจ่าง ลาก ล็อกตัวออกไป
“อาจ้าง อย่าไปฟัง อย่าไปเชื่ออะไรทั้งนั้น ลื้อเป็นลูกอั๊ว ลูกของอั๊วคนเดียว”
สารภีเข้ามาช่วยลาก ดึงจ้างมาจากท่าน้ำ “ลูกอั๊วด้วยๆ”
ฟ้ากระจ่างหันไป รู้สึกห่วงใยดารากานต์ “คุณนาย..คุณนายเป็นอะไรหรือเปล่า”
“มันไม่เป็นอะไรหรอก มานี่ๆๆ อาจ้าง กลับบ้านๆๆๆ” สารภีว่า
สองคนลากฟ้ากระจ่างออกไป ดารากานต์มองตามด้วยความหนักใจ
ฟ้ากระจ่างหันไปมองดารากานต์อย่างห่วงใย แต่ก็เกรงใจและกลัวอาหึ่งกับสารภีจะอาละวาดมากไปกว่านี้
“พ่อ แม่..ใจเย็นๆสิครับ..ไปๆๆ กลับบ้านๆๆ ไม่มีอะไรครับ..อย่าโมโหสิครับ”

ช่วงเวลาค่ำๆ ดวงยิหวาอยู่ที่เพิงพักกินกาแฟ บริเวณไซด์งานริมเขื่อน และกำลังนั่งกินขนมปังทาเนยน้ำตาลกับกาแฟแก้วโปรด ขณะพูดคุยหัวเราะกับพวกคนงานอยู่ ดวงยิหวาถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปเห็นเกียรติบดินทร์เดินอาดๆ เข้ามา
ทุกคนในที่นั้นเห็นเกียรติบดินทร์ก็ตกใจ งงงันเงียบกันไปหมด
เกียรติบดินทร์พุ่งมาหาดวงยิหวา แล้วคว้าข้อมือหมับดึงมา “ดวงยิหวา..ไปด้วยกันหน่อย”
“คุณดิน..อะไรของคุณ” ดวงยิหวางง
เกียรติบดินทร์สบสายตาดวงยิหวาอย่างเว้าวอน ดวงตาปวดร้าว เหมือนเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“ขอร้อง..ดวงยิหวา..ผม..ผมไม่มีใครอีกแล้ว นอกจากคุณ”
ดวงยิหวาจำใจ ต้องลุกขึ้น เกียรติบดินทร์จูงดวงยิหวาออกไปจากเพิง

ครู่ต่อมารถสปอร์ตคันงามพุ่งมาจอดลงปลายเขื่อน เกียรติบดินทร์ดับเครื่อง แล้วนั่งเกาะพวงมาลัย มองตรงไปเบื้องหน้า ในอาการมึนซึม ดวงยิหวานั่งข้าง งงๆ เกียรติบดินทร์เงียบไปสักพักหนึ่ง ค่อยๆ หันมา
“ชั้นไม่ยอม..ไม่ยอมเด็ดขาด”
“เรื่องที่นายหัวจะส่งคุณดินไปอเมริกาน่ะหรือคะ” ดวงยิหวามองอย่างระอา
“นายหัวอุปโลกน์ใครที่ไหนไม่รู้ มาเป็นพี่ชายคนโตของชั้น แล้วแต่งเรื่องห่วยแตก ไร้รสนิยมที่สุด ว่ามันคือลูกชายอีกคนของนายหญิง จะตั้งให้มันเป็นทายาทรับช่วงดูแลกิจการของเรา” เกียรติบดินทร์ระเบิดออกมา
ดวงยิหวา งง อึ้ง ได้แต่มองตาปริบๆ “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ”
“บ้าชัดๆ” เกียรติบดินทร์สบถ
“ลูกชายอีกคนของนายหญิง..มันแปลว่าอะไรคะ”
“นายหัวบอกว่า..นายหญิงเคยมีลูก..ประมาณว่าลูกนอกสมรสอ่ะนะ..กับใครก็ไม่รู้ มาก่อนที่จะมาแต่งงานกะนายหัว แล้วไอ้ลูกไม่มีพ่อคนนี้ มันเก่งยังงั้น ดียังงี้ สมควรจะมารับช่วงกิจการของเรา!! ทุเรศว่ะ จะหามือปืนรับจ้างอะไรมาทำงานบริหารบริษัท เพราะเห็นว่าชั้นมันไม่มีความสามารถ หรืออะไรก็ตามเถอะ แต่ทำไมต้องเอานายหญิงมาเกี่ยวข้องด้วยในลักษณะนี้” เกียรติบดินทร์เล่า จบด้วยการโวยวาย
“นายหัวเหรอคะ จะแต่งเรื่องไม่สมเหตุสมผลแบบนี้” ดวงยิหวาออกความเห็น
“นั่นสิ แบบนี้แม่ชั้นเสียนะ ไม่ใช่ไม่เสีย” เกียรติบดินทร์ว่า
“คุณดินเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า..นายหัวจะทำแบบนี้ทำไม เพื่ออะไรคะ”
“ชั้นไม่เข้าใจ ชั้นรับไม่ได้ แต่..ชั้นจะทำยังไงดี ดวงยิหวา”
ดวงยิหวานิ่งไป หนักใจแทน
“คุณดิน..ชั้นว่า..คุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะ รอดูไปก่อน ว่า..นายหัวตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
เกียรติบดินทร์ไม่พอใจ หันมา ตาขวางใส่
“เธอก็อีกคนที่คิดว่าชั้นโง่ หาว่าชั้นมั่ว ซี้ซั้ว เธอไม่เชื่อชั้นใช่ไหม ดวงยิหวา”
“ดวงไม่ได้พูดอย่างนั้น”
เกียรติบดินทร์ตะโกนใส่หน้า “แต่เธอคิด!!”
เกียรติบดินทร์อยากทำอะไรรุนแรงมากกว่านั้น แต่พยายามควบคุมอารมณ์ แล้วหันกลับ เปิดประตูออกไปสงบอารมณ์ ยืนฮึดฮัดอยู่คนเดียวนอกรถ
ดวงยิหวามองตาม อยู่ในอาการมึนๆ

เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่าย ทำเอาทุกคนในศาลเจ้าเครียดมาจนถึงตอนกลางคืน นักบวชตงถอนหายใจยาวออกมาด้วยความหนักใจ
“เค้ามาดูตัวลื้อนั่นแหละ อาจ้าง คุณบัญชาคนนั้น ที่จริง..ตอนนั้นเค้ามาสืบเรื่องลื้อชัดๆ”
“เค้ากลายเป็นอัมพาตครึ่งตัวไปแล้วครับ” ฟ้ากระจ่างเสียงเศร้า
“อีถูกยิง..ธุรกิจที่พวกอีทำน่ะ คือกิจการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ท่าทางจะมีศัตรูไม่น้อยหรอก” กู๋เหลียงว่า
ฟ้ากระจ่างคิดตาม
“แสดงว่า..ครอบครัวนี้..กำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤติ..ใช่ไหมครับ”
นักบวชตงมองอย่างรู้ทัน พลางชี้หน้า
“อาจ้าง..ลื้อไม่ต้องคิดแบบนั้นเลย..ลื้อกำลังสงสาร เห็นใจอาคุณนายดารากานต์ล่ะสิ”
“มันไม่ใช่แม่ลื้อนะ อาจ้าง อย่าไปเชื่อมันเด็ดขาด...ฮือ” สารภีแทรกขึ้นมา พร้อมกับร้องไห้ น้ำตาไหลพรากๆๆ
“แม่ครับ..” ฟ้ากระจ่างเข้ามาโอ๋ “แม่อย่าร้องไห้สิครับ”
“ในที่สุด..ลื้อก็ได้เกิดเป็นลูกคนรวยจริงๆ..คุณนายคนนั้น..เค้าต้องรวยกว่าร้านสมาร์ทเทเล่อร์แน่ๆ ถ้าลื้อเลือกไปอยู่กะอี อย่าว่าแต่กางเกงยีนส์กะรองเท้าผ้าใบสวยๆเลย ลื้อต้องมีแต่ชุดแพรชุดไหม นาฬิกาเรือนทอง รองเท้าหนังลูกแกะตายในท้อง มีเพชรมีทองใส่เต็มตัว” อาหึ่งพูดเสียงเศร้า
“น้อยไปสิ เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์น่ะ มันยังเรื่องน้ำจิ้มๆ แต่ยัยคุณนายเค้าจะให้ลื้อเป็นทายาทบริหารกิจการ ลื้อจะได้เป็นเจ้าคนนายคน เป็นเจ้าของทรัพย์สินสิบล้านร้อยล้าน ไม่ต้องมาเป็นเด็กศาลเจ้า ลูกศิษย์เจ้าพ่อเจ้าแม่ รับใช้พวกอั๊วะงกๆๆ ลื้อจะได้เป็นคุณชาย เป็นเสี่ยใหญ่ อยู่คนละชั้นกะพวกเรา..ถ้าลื้อไม่เอา ลื้อก็โง่ตายแล้ว” กู๋เหลียงพูดประชด อย่างเจ็บปวดภายในใจ
ความรู้สึกของฟ้ากระจ่างเริ่มสับสน

ในวันต่อมาเกียรติบดินทร์นอนหลับอย่างหมดสภาพบนเตียง แสงสว่างส่องผ่านรอยแยกของผ้าม่านเข้ามาในห้อง พาดบนเตียง แต่ไม่ทำให้เกียรติบดินทร์ตื่นได้
รถตู้คันใหม่ ที่นำมาใช้แทนคันที่โดนยิงถล่ม แล่นมาจอดหน้าตึก บัญชานั่งอยู่ในวีลแชร์ ที่นายน้อมเป็นคนเข็นอยู่ข้างสนาม หันมามอง ในอาการลุ้นๆ
เวลาเดียวกันนั้นประตูห้องหนึ่งเปิดออก ทรายทองแต่งตัวสวยเริด วิ่งออกมา
พอทรายทองหันไปเห็นประตูห้องเกียรติบดินทร์ยังปิดอยู่ รีบย้อนกลับไปเคาะ ร้องตะโกนบอก
“พี่ดินๆๆ นายหญิงกลับมาแล้ว..ตื่นเต้นจัง” ทรายทองวิ่งตึงๆๆๆลงไป
เกียรติบดินทร์ลืมตาตื่นขึ้น จากนาทีแรกที่งงๆ ก็นึกสะดุดคำพูดของทรายทอง
“นายหญิงกลับมา?” เกียรติบดินทร์นึกได้รีบลุกพรวด วิ่งไปเปิดประตูเดินลิ่วออกที่ระเบียงห้อง มองลงไปเบื้องล่าง
ที่บริเวณหน้าตึกใหญ่ คนขับรถตู้รีบวิ่งลงมา เปิดประตูด้านข้างรถออก น้อมรีบเข็นรถบัญชาเข้าไปหาสีหน้าบัญชามองลุ้นอยู่ตลอดเวลา
บัวเดินลงมาก่อน แล้วตามด้วยดารากานต์ เกียรติบดินทร์แอบมองลงมาจากระเบียง เอาตัวบังเสาดูเหตุการณ์ ทรายทองวิ่งออกมาจากตึก
“นายหญิงคะ สวัสดีค่ะ..มีอะไรให้ทรายช่วยไหมคะ”
“น้องทราย..ไม่เป็นไรหรอกลูก..ไม่มีอะไร”
บัญชามอง งงงัน เห็นดารากานต์ลงมากับบัว
“มีแต่กระเป๋าเสื้อผ้า กับของกินนิดหน่อย เดี๋ยวให้คนรถขนได้ค่ะ คุณทราย” บัวว่า
“แล้ว..ไม่มีใคร..มาด้วยหรือคะ” ทรายทองอ้อมแอ้มถาม
“จะให้ใครมาด้วยหรือคะ คุณทราย” บัวว่า
ดารากานต์รีบเข้าไปหาบัญชา นั่งลงแล้วจับมือบัญชาอย่างอ่อนโยน “นายหัวสบายดีนะคะ”
“ก็..สบาย..อย่างคนไม่สบายนั่นแหละ แล้ว…” บัญชาตอบ ตั้งใจถามต่อ
ดารากานต์รีบตอบอย่างรูทัน
“ฟ้ากระจ่าง..ขอเวลาตัดสินใจสักพักค่ะ”
น้อมลืมตัวพูดแทรกออกมา “อะไรกัน ยังต้องคิดอะไรอีก” พอนึกได้ รีบเอามือปิดปาก “เอ้อ ขอโทษครับ”
“ถูกของนายวัง..ยังมีอะไรจะต้องคิดตัดสินใจอีก..ระหว่างอยู่ที่ศาลเจ้ากระจอกๆ กับมาเป็นคุณชาย..ในบ้านของเรา” บัญชาประหลาดใจในตัวฟ้ากระจ่างไม่น้อย
ดารากานต์ทำหน้าสูญเสียความมั่นใจ มองหน้ากับบัว ในขณะที่บัวถอนใจ
ด้านเกียรติบดินทร์แอบดูอยู่ที่ระเบียง ชะโงกหา แต่ไม่เห็นมีใครอีก คนรถปิดประตูข้าง เดินไปเปิดประตูท้ายรถและเริ่มขนของลง
เกียรติบดินทร์ฉงน

ไม่นานหลังจากนั้นดารากานต์เดินเข้ามาในห้องนอน แล้วทรุดตัวลงที่เตียง ร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง บัวโผล่เข้ามาเห็น ก็รู้สึกตกใจ
“คุณหนู…”
“พวกนั้นไม่รู้จักจ้าง เค้าไม่เข้าใจหรอก ว่าจ้างไม่อยากไปอยู่ที่ไหนทั้งนั้น จ้างรักคนพวกนั้นมากกว่าชั้นหลายเท่า บางที ที่จ้างพูดว่า ขอคิดดูก่อน อาจจะเป็นวิธีปฏิเสธอย่างนุ่มนวลก็ได้” ดารากานต์บ่นออกมาอย่างน้อยใจ
“รอดูไปก่อนเถอะค่ะ เค้าอาจจะขอเวลาคิดจริงๆก็ได้ หรือถ้าไม่จริง เราก็ไปอีก ไปตื๊อเค้าบ่อยๆ สักวัน อาจ้าง เอ๊ย คุณฟ้ากระจ่าง ก็คงใจอ่อนเข้าจนได้ หรือถ้าไม่ยอมมาจริงๆ สิ พวกเราจะได้รู้ ว่าเค้าเป็นเด็กใจดำ เห็นแก่ตัว” บัวปลอบใจดารากานต์
“ชั้นต่างหาก ที่ใจดำ เห็นแก่ตัว ถ้าลูกจะไม่มีเยื่อใย ก็สมควรแล้ว” ดารากานต์เอาแต่โทษตัวเอง แล้วร้องไห้อย่างหนัก
บัวดึงนายผู้หญิงเข้าไปกอด ลูบหลังลูบไหล่อย่างสงสารและเห็นใจ
ทั้งคู่ไม่รู้ว่าที่หน้าห้อง ซึ่งประตูแง้มๆ อยู่นั้น เกียรติบดินทร์ยืนแอบฟังอยู่
“ไอ้เจ้าเล่ห์ แกคิดจะแกล้งปั่นหัวแม่ เพื่อจะปั่นหุ้น อัพราคาค่าตัวให้สูงๆ ล่ะสิ มาเลย รีบมาเร็วๆเลย รับรองว่าเดี๋ยวสวยแน่ ไอ้เลวเอ๊ย!!”
เกียรติบดินทร์แสยะยิ้มอย่างแค้นเคืองใจ

เช้าวันต่อมาฟ้ากระจ่างยืนอยู่ท่ามกลางการประชุมของชาวศาลเจ้า
“แล้วแต่ใจลื้อแหละ อาจ้าง ลื้อถามใจตัวเองสิ ว่าอยากไปหรือเปล่า ถ้าอยาก ก็ไปซะ จบ!” อาม่าสาลี่เอ่ยขึ้น
“อั๊วะไม่ให้ไปๆ” สารภีร้องไห้เสียงดัง ดิ้นเร่าๆๆ “แม่ไม่สบายนะ แม่ไม่สบาย ลื้อจะกล้าทิ้งแม่ไปเหรอ”
“พอเถอะ สารภี ลื้อจะหวงอาจ้างไว้ให้คอยมานวดลื้อหรือไง ถ้าลื้อรักลูกจริง ลื้อต้องให้มันไปสิ พ่อแม่ต้องส่งเสริมให้ลูกไปได้ดิบได้ดี ไม่ใช่จะคอยถ่วงความเจริญของลูก” สาลี่ว่า
“อาม่าสาลี่..อย่าว่าแม่เลยครับ แม่ทุกคนก็อยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆ เวลาไม่สบายทั้งนั้น”
“พ่อก็อยากให้ลูกอยู่ใกล้ ถึงเป็นเวลาสบายดีก็เถอะ” อาหึ่งบอก
“พูดแบบนี้ อาจ้างก็ตัดสินใจไม่ถูกกันพอดี ขืนมันบอกว่าจะไป มันก็กลายเป็นลูกอกตัญญูไปเลยล่ะสิ” นักบวชตงติง
“ถ้ามันไม่ไป ทางโน้นเค้าก็อาจจะว่าได้เหมือนกัน นั่นเค้าก็แม่แท้ๆ ของมันนะ” กู๋เหลียงบอก
ทุกคนเงียบ มองมาที่ฟ้ากระจ่างเป็นตาเดียว
“เอ้อ คือ..ผมคิดแล้ว ว่าผมจะไป” ฟ้ากระจ่างพูดอย่างมั่นใจ
ทุกคนตะลึงไปตามๆ กัน
“คนอื่นเดือดร้อน ผมยังไปช่วยเลย แล้วนี่..คุณนายดารากานต์เขาก็..ให้กำเนิดผมมา ผมต้องไปตอบแทนบุญคุณ แต่..พอผมช่วยเขาเสร็จแล้ว ผมก็จะรีบกลับให้เร็วที่สุด เพราะที่จริงแล้ว พ่อแม่ ญาติพี่น้องของผมอยู่ที่นี่!”
ทุกคนอึ้งอีก

เช้าวันใหม่ มาดามพิณ ชิงชัย นำปีเตอร์และเทเรซ่า อยู่ท่ามกลางความสวยงามอลังการของโรงแรมหรูบนหน้าผาสูงเหนือทะเล
ทุกคนทอดสายตาลงไปมองสวนสวยที่สูงต่ำลดหลั่นกันไป มีบันไดหินทอดลงมาจากหน้าผาสู่ทะเลสวยของโรงแรม
มาดามพิณ ชิงชัย นำปีเตอร์กับเทเรซ่าเข้ามา
ชิงชัยชี้ลงไปที่วิวสวยริมหาดเวิ้งอ่าวด้านถัดไป ที่มองเห็น “นั่นคือบริเวณทั้งหมด ที่ทางองค์การบริหารส่วนตำบลเขามีแผนจะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เวลานี้เขาแอบๆ สำรวจเส้นทางกันแล้ว เพื่อนผมบอกว่า อีกไม่เกิน 3 เดือน จะมีการประกาศให้ไปประกวดราคาทำถนน พวกเราจะต้องประมูลงานนี้ให้ได้”
“ทะเลสวยจังเลยนะคะ แด๊ดดี้ ถ้าไม่ต้องมีใครมาท่องเที่ยวคงดี ให้ทุกอย่างอยู่อย่างนี้ตลอดไป” เทเรซ่ายิ้มแย้ม
“เทเรซ่ายังไม่ยอมเป็นผู้ใหญ่ซักทีนะครับ คิดอะไรอย่างเด็กๆ ตลอด” ชิงชัยเย้า
“หาดร้างๆ หน้าผารกๆ มันจะสวยยังไงจ๊ะหนู มันต้องมีการพัฒนา ให้เปลี่ยนแปลงเป็นสถานที่สวยๆ งามๆ มีถนนหนทางร้านรวง ผู้คนก็จะได้มีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ครอบครัวป้าน่ะนะ ได้พัฒนาที่ดินที่เป็นป่า มีแต่ลิงเอย สวนมะพร้าว ไม่มีราคาค่างวดเอย หน้าผาโขดหินที่ไม่มีประโยชน์เอย ให้กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรรชั้นดีแบบแคลิฟอร์เนียมั่ง แบบเมดิเตอเรเนี่ยนมั่ง มาเยอะแยะแล้ว” มาดามพิณโอ่
“ทำไมเมืองไทยต้องทำบ้านแบบแคลิฟอเนีย หรือเมดิเตอเรเนี่ยนล่ะคะ” เทเรซ่าสงสัยอีก
“ก็เหมือนแถวบ้านเรา..มีเมืองเวนิสให้คนไปเที่ยวไงลูก คนจีนไม่ต้องไปถึงอิตาลี ก็ได้เที่ยวเวนิสได้ใกล้ๆ” ปีเตอร์อธิบาย
“หนูชอบเมืองไทย แบบที่ไม่ต้องพัฒนามาก แบบเกาะ..ที่หนูเห็นในสารคดีท่องเที่ยวในทีวี พ่อบอกว่า แต่ก่อน พ่อเคยล่องเรือไปเที่ยวสนุกมาก นี่เราก็อยู่เมืองไทยมาตั้งนาน เมื่อไหร่พ่อจะว่าง พาหนูไปบ้าง” เทเรซ่าว่า
“เน็กซ์วีคไหมลูก..ซักวันจันทร์หน้า เราควรไปในวันธรรมดา ไม่ใช่วีคเอ็นด์ จะได้ไม่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยวกะนักท่องเที่ยวเยอะๆ” ปีเตอร์บอก
“ผมจัดการเองครับ ผมมีเรือของเพื่อน แล้วจะจัดโปรแกรมให้ พร้อมการดูแลบริการทุกอย่าง รับรองว่า เทเรซ่าจะได้เที่ยวชมธรรมชาติเมืองไทยแบบของแท้แน่นอนครับ ตกลงนะครับ คุณปีเตอร์”
ชิงชัยจัดให้ พ่อลูกมองหน้ากัน เทเรซ่าอึ้งๆ

เย็นวันเดียวกันนั้นเทเรซ่านั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมสระน้ำ ที่บริเวณระเบียงหลังของห้องพักสุดหรูแบบสวีท สายตาของเทเรซ่ามองไปที่เทละริมหน้าผา ด้วยท่าทางเหนื่อยๆ ปีเตอร์เดินเอาน้ำมาให้ลูกสาว
“เพลียมากหรือลูก”
“ร้อนค่ะ แด๊ดดี้”
“ร้อนแค่นี้ก็บ่นแล้ว แล้วจะไปเที่ยวเรือไหวหรือ”
“พ่อคะ..ทำไมพ่อถึงตั้งใจจะมาทำธุรกิจที่เมืองไทยให้ได้คะ พ่อชอบคนไทยหรือคะ เท่าที่เราเจอมา..ลูกรู้สึกว่า..คนที่นี่ ไม่เห็นจะน่ารักซักคน” เทเรซ่าพูดอย่างที่คิด
“คนที่น่ารัก..มีมากกว่าคนที่ไม่น่ารักนะลูก..แต่ตอนนี้ เรายังไม่เจอเค้า เท่านั้นเอง” ปีเตอร์พูดแฝงความในใจบางอย่าง
“ลูกเห็นแต่คนใจร้าย ยิงกัน ฆ่ากัน แล้วก็คนที่อยากได้เงิน เงินของเรา เงินของประเทศชาติตัวเอง ทะเลสวยๆ อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่พวกเค้ากลับมองไม่เห็น เห็นแต่โครงการพัฒนาๆๆๆ ผลประโยชน์ๆๆๆ คนน่ารักแบบที่แด๊ดดี้ว่าพวกนั้น..เค้าไปอยู่เสียที่ไหนกันล่ะคะ มีตัวตนจริงๆ หรือว่าแด๊ดดี้ฝันไปคะ”
ปีเตอร์ฟังลูกสาวแล้วอึ้งไป

รถไฟขบวนนั้นแล่นเลียบเส้นทางใกล้ชายหาด บอกให้รู้ว่าได้เริ่มเข้าสู่ดินแดนใต้สุดของไทยแล้ว
ในรถขบวนนั้น ฟ้ากระจ่างแต่งตัวแปลกตาออกไป แบบนักเดินทาง นั่งหลับสบายมาในรถที่ค่อนข้างว่าง
คนขายของเดินถือกระบะขายของ ร้องมาตามทางเดินระหว่างที่นั่ง
“หมากฝรั่ง ลูกอม ขนม แซนด์วิช กาแฟ น้ำอัดลมครับ”
ฟ้ากระจ่างค่อยๆ งัวเงีย ตื่นมา โงหัวขึ้นมามอง คนขายรีบยื่นสินค้ามานำเสนอ
“หมากฝรั่ง ลูกอม ขนม แซนด์วิช กาแฟ น้ำอัดลม..มั้ยครับ”
ฟ้ากระจ่างรีบยิ้ม พลางส่ายหน้า “ไม่ครับ ขอบคุณ”
คนขายมอง อย่างเซ็งๆ แล้วเดินขายต่อไป
ฟ้ากระจ่างมองรอบๆ ตัว สีหน้าแววตาดูตื่นเต้นไปหมด ขยับตัวลุกขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วหันไปหยิบกระเป๋าบนที่วางชั้นบนมา นั่งลงสบายๆ เปิดกระเป๋าหยิบของออกมา มันคือกระติกน้ำ กล้วยหอม และถุงใส่ขนมบ๊ะจ่างมากมาย
ฟ้ากระจ่างยกน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วหยิบขนมบ๊ะจ่างมาจ้องดู นึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานมานี้

ตอนเช้ามืดวันนี้เอง อาหึ่งเปิดซึ้งขึ้นมา ควันกระจายหอมฟุ้ง เห็นขนมบ๊ะจ่างลูกโตๆ เต็มถาม
ฟ้ากระจ่างเพิ่งตื่นนอน อยู่ในสภาพเพิ่งลุกจากที่นอนมา ผมยุ่งชี้ตั้ง ชะโงกหน้าดูข้างหลัง
“ป๊า..นี่มันยังไม่ถึงเทศกาลขนมจ้าง ขนมบ๊ะจ่างอะไรซะหน่อย นี่ป๊าไม่ได้นอนทั้งคืนอยู่ทำขนมบ๊ะจ่างเหรอครับ หรือมีใครมาจองไว้อ่ะ” ฟ้ากระจ่างถามอาหึ่งอย่างแปลกใจ
อาหึ่งหันมา สีหน้าเรียบๆ “ก็ลื้อจะเดินทางไปบ้านแม่คนนั้นเค้า..วันนี้ไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
“ก็นั่นไง อั๊วถึงต้องทำขนมให้ลื้อเอาไป เอาไปกินเองด้วย เอาไปฝากคนที่บ้านนั้นเค้าด้วย คนเรา ไปไหน ไปหาใคร ไปบ้านใคร ก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปฝาก เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มีน้ำใจ คุณนายดารากานต์คนนั้นน่ะ เค้าชอบขนมจ้าง แล้วก็บะจ่างฝีมืออั๊วมาก จำได้ ว่าเค้ามาทุกปี เค้าจะเอาของมาให้ลื้อเยอะแยะ แล้วพออั๊วจัดขนมพวกนี้ให้ตอบแทน เค้าก็เอากลับไปด้วยความดีใจทุกครั้ง”
ฟ้ากระจ่างอึ้งไป
“ป๊า..แล้วป๊าแอบทำดึกๆ เนี่ยนะ ทำคนเดียวไม่บอก ผมจะได้ช่วย”
“บอกลื้อ ลื้อก็ไม่ซะไพ้น่าสิ แบบนี้เค้าเรียกซะไพ้ ลื้อจะได้ประทับใจ..แล้วก็จะได้จำสัญญาที่บอกว่าจะรีบกลับมาที่นี่เร็วๆได้ ไม่ลืมไปง่ายๆ ไง” อาหึ่งหมายถึงเซอร์ไพร้ส์
ฟ้ากระจ่างอึ้งไปอีก ด้วยความตื้นตันใจ

นึกมาถึงตอนนี้ดวงตาของฟ้ากระจ่าง วาวไปด้วยน้ำตา จังหวะนั้นฟ้ากระจ่างยิ้มออกมา ขำปนซึ้ง แล้วในที่สุด แกะห่อของนั้นออก ข้างในเป็นบ๊ะจ่างที่อวบอิ่ม น่ากิน เครื่องล้นหลาม
ฟ้ากระจ่างค่อยๆ กัดกิน ลิ้มรสอย่างสงบ สีหน้าสดใสเต็มไปด้วยความสำนึกในบุญคุณ ความรัก ความเมตตาที่พ่อผู้ที่คนอื่นมองว่าไม่เต็มเต็งมอบให้กับเขาตลอดมา

รถไฟขบวนนั้นแล่นชะลอความเร็วลง ก่อนจะจอดแน่นิ่งที่สถานีรถไฟประจำจังหวัดแห่งนั้น ผู้คนทยอยพากันลงมา
ที่บันไดข้างหนึ่ง ฟ้ากระจ่างเดินตัวสูง รูปร่างล่ำสัน สะพายเป้ใบใหญ่ ถือกระเป๋าขนาดกลางอีกอันปะปนไปกับผู้โดยสารรายรอบตัว ที่ต่างมุ่งไปตามทิศทางของตน
จังหวะหนึ่งฟ้ากระจ่างเหลือบตาดูนาฬิกาในสถานี แล้วดูนาฬิกาข้อมือตน มองรอบๆ แล้วทันใด นั้น เสียงมือถือก็ดังขึ้น ฟ้ากระจ่างชะงัก รีบควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ดูแล้วกดรับ
“สมหมาย..ว่าไงวะ ชั้นถึงแล้วเว้ย แหม โทร.มาเป๊ะๆ เลยนะ เนี่ย เท้าเหยียบชานชาลาปั๊บ แกก็โทร.เข้ามาเลย”
สมหมาย พูดโทรศัพท์มือถืออยู่เช่นกัน
“แล้วเป็นไงวะ การเดินทางราบรื่นป่าว” สมหมายถาม
“ก็ดี แล้วทุกคนเป็นไงมั่ง วันนี้มีเหตุด่วนเหตุร้ายไรหรือป่าววะ” ฟ้ากระจ่างถาม
“คงไม่มีมั้ง”
“อ้าว ไมตอบแบบนี้” ฟ้ากระจ่างสงสัย
“ก็..หวังว่าจะไม่มีอะ ก็ขอภาวนาให้ทุกอย่างสงบราบเรียบ ทุกคนมีสติสัมปชัญญะ ไม่เมา ไม่ง่วง ไม่ซุ่มซ่าม ไม่โชคร้าย เพราะพวกเราไม่อยู่ ฝากพวกรุ่นใหญ่ให้เค้าทำแทน”
ฟ้ากระจ่างหัวเราะกับมุกของสมหมาย
“ซะงั้น..แล้วพวกแกไปไหนกันเหรอวะ ไรกัน พอชั้นไม่อยู่ ก็ทำตัวเละเทะเหลวแหลกกันทันทีเลยเหรอวะ”
“มันแน่อยู่แล้ว แกไปเที่ยว พวกเราก็เที่ยวได้เหมือนกันนี่หว่า ไอ้จ้าง”
“ทำตัวดีๆ หน่อยเว้ย..เด็กๆ... ป๋าไม่อยู่ หนูๆอย่าระเริงกันให้มากนัก” ฟ้ากระจ่างแซว
“ป๋าๆ ป๋าเดินมาอีก 3 ก้าวดิ๊” สมหมายสั่ง
“อะไรนะ เดิน 3 ก้าว...” ฟ้ากระจ่างงงๆ แต่ก็ยอมทำตาม
“เออ..แล้วกลับหลังหัน”
“กลับหลังหัน...” ฟ้ากระจ่างทำตาม
“แล้วมองตรงมาดิ ไอ้เซ่อเอ๊ย!!”
พอฟ้ากระจ่างเงยหน้าขึ้นมอง แล้วต้องอ้าปากค้าง
เมื่อเพื่อนทั้งแก๊ง กับนักกู้ภัยชาวใต้ ยืนกันอยู่เป็นแผง วางท่าเท่กันสุดๆ
“เย้ย..เฮ้ย ไอ้พวกชั่ว!” ฟ้ากระจ่างหัวเราะก๊าก กดปิดโทรศัพท์ แล้วก้าวเข้าไปหา
ทุกคนเฮฮากัน เข้ามาจับ กอด ตบหัว ตบหลังไหล่ฟ้ากระจ่างพัลวัน
“อะไรกันเนี่ย มายังไง มาทำไม มาทำอะไรกันวะ” ฟ้ากระจ่างถามเป็นชุด
“ก็มาเที่ยวกะแกไง สักสองสามวัน ดีปะล่ะ” หมีใหญ่ว่า
“พวกเราไม่ได้ไปทะเลกันมาตั้งนาน ตั้งแต่สมัยเหมารถบัสไปไหว้เจ้าที่บางแสนกันตอนนั้น ไหนๆตอนนี้ แกมาเมืองริมทะเลทั้งที พวกชั้นจะยอมให้แกสนุกลำพังได้ไงวะ” ปักเป้าบอก
“ก่อนที่แกจะไปมอบตัวให้บุพการี แกต้องมามอบกายใจให้เพื่อนๆ ก่อนเว้ย” สมหมายพูดยิ้มๆ
“ได้ๆๆ เต็มที่ๆๆ ฮ่าๆๆ” ฟ้ากระจ่างหันมามองพวกเพื่อนหน้าใหม่ๆ แล้วไหว้ๆๆ ทุกคน จำได้ว่าเคยเจอกันมาก่อน “พี่ๆ..ที่เจอกันตอนสัมมนามูลนิธิกู้ชีพกันปีที่แล้ว”
“นักกู้ภัยชาวภูเก็ต ยินดีต้อนรับ อาจ้าง” รุ่นพี่ว่า อีกคนกล่าวเสริมต่อทันที
“ถึงมาไกลบ้านไกลเมือง แต่ที่ไหนมีพวกเรา นายก็มีพี่น้องเสมอนะ ไม่ต้องกลัวเหงา”
“ขอบคุณครับๆๆ” ฟ้ากระจ่างยิ้มกว้างหัวเราะอย่างสุขใจ

เพื่อนๆ เข้ามาโอบไหล่ฟ้ากระจ่าง ทั้งกลุ่มพากันเดินไปด้วยกัน บรรยากาศแสนเฮฮา

 อ่านต่อหน้า 3 วันนี้  เวลา 18.00 น. 





 ลิขิตฟ้าชะตาดิน  ตอนที่ 6 (ต่อ) 

ดารากานต์อยู่ที่บ้านบัญชา กำลังพูดโทรศัพท์มือถือด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และสีหน้าดีใจฉายชัด

“เค้ามาแล้ว มาแล้วหรือคะ..โธ่..แล้วทำไมไม่บอกว่าจะมา..แล้วออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อะไรนะคะ น่าจะมาถึงแล้วหรือคะ..ค่ะๆๆ”
กู๋เหลียงนั่นเองที่โทร.มาแจ้งข่าวดีที่ดารากานต์รอคอยฟัง
“อะไรกัน ผมนึกว่าเค้าจะนัดหมายกับคุณนายเรียบร้อยแล้วเสียอีก” กู๋เหลียงพูดจริงจัง
“เปล่าค่ะ” ดารากานต์ปากคอสั่น “โธ่..เค้าคิดอะไรก็ไม่รู้..แล้ว..แล้ว..ดิฉันยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย..ดิฉันต้องต้อนรับเค้า ดูแลเค้าให้ดีที่สุด ทั้งห้องหับ ข้าวของ โธ่..ยังไม่มีอะไรซักอย่าง แย่จริง” ดารากานต์ลนลานไปหมดเพราะความดีใจ
ที่ศาลเจ้ามีนักบวชตง และอาหึ่งรอลุ้นอยู่รอบๆ ตัวกู๋เหลียง
“ผมต้องขอโทษคุณนายจริงๆ ครับ ที่อาจ้างมันทำอะไรไม่รู้กาลเทศะแบบนี้ เดี๋ยวผมติดต่อมันได้ ผมจะด่าให้เป็นหมันเลย ไอ้เด็กบ้า ไม่มีมารยาท” กู๋เหลียงบอก
“อุ๊ย..อย่าไปว่าจ้างเลยค่ะ เค้าคงมีเหตุผลอะไร..นี่ถ้าดิฉันไม่โทมาถามคุณเหลียงก็คงไม่ทราบ งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ ถ้าจ้างมาถึงวันนี้ ดิฉันต้องรีบทำอะไรหลายอย่างเลย แล้วถ้ามีความคืบหน้าอะไรดิฉันจะรีบติดต่อมานะคะ สวัสดีค่ะ” ดารากานต์วางสายไป
กู๋เหลียงหันมามองหน้าคนอื่นๆ อย่างแปลกใจ
“อะไรของไอ้จ้างมันวะ นี่..บ้านนั้นไม่รู้นะ ว่ามันไปแล้วน่ะ”
“เอ..เด็กคนนี้ พิลึกจริง มันไม่เคยทำอะไรนอกกฎระเบียบกติกามารยาทเลยนะ” นักบวชตงก็แปลกใจไม่แพ้กัน
“หรือมันคิดจะลองใจใคร..หรืออยากจะแอบไปสืบดูอะไรให้แน่ใจซะก่อน” อาหึ่งว่า
“เออ..จริงด้วย...” กู๋เหลียงเอามือปิดปาก “แย่ละ แบบนี้อั๊วก็ปากบอนล่ะสิ จะทำให้แผนของไอ้จ้างมันเจ๊งหรือป่าววะ”
สามคนมองหน้ากันอย่างวิตกกังวล

เกียรติบดินทร์เดินลงบันไดมาจากชั้นบน แล้วชะงัก เมื่อเห็นดารากานต์กำลังดีใจ ออกอาการตื่นเต้น และดูว้าวุ่นขณะพูดเสียงสูงอยู่ในห้องพักของนายหัวบัญชาผู้เป็นพ่อ
“แล้วเราจะให้เค้าอยู่ห้องไหนดีล่ะคะ ถ้าเค้ามาถึงวันนี้จริงๆ เราคงเตรียมห้องไม่ทันแน่ หรือว่า..เค้าจะอึดอัดไหมคะ..ถ้าต้องมาอยู่รวมกันคนแปลกหน้าเยอะแยะ ดิฉันว่า..เราไปเปิดห้องที่โรงแรมให้จ้างพักก่อนดีกว่า แล้วพอคุ้นๆ กันไปซักพัก ค่อยตัดสินใจดีไหมคะ ว่าจะให้เค้าอยู่ไหน หรือว่า จะหาบ้านส่วนตัวให้เค้าอยู่ใกล้ๆนี่ซักหลัง”
พอเกียรติบดินทร์รู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็แทบช็อก
ส่วนภายในห้อง บัญชามองหน้าดารากานต์ พยายามข่มอารมณ์และความรู้สึกโกรธเอาไว้
“ถ้าจ้างมาถึงวันนี้จริง ก็ให้เขาอยู่ที่นี่แหละ จ้างเขาอยู่ได้ เขาเป็นคนง่ายๆ”
เกียรติบดินทร์แอบฟัง ทำหน้างงๆ
“งั้น..ให้อยู่ห้องรับแขกนะคะ ป้าบัวๆๆ จ๋า”
บัวโผล่ออกมา “คะ..คุณ”
“ป้าบัวไปจัดห้องนอนรับแขกเร็ว คุณฟ้ากระจ่างจะมาถึงวันนี้แล้ว ดูแลของใช้ในห้องน้ำแขกให้ครบด้วยนะ นายน้อมๆๆ”
น้อมโผล่มารอรับคำสั่งอีกคน “ครับผม”
“นายน้อม โต๊ะอาหารเย็นนี้ จัดที่เพิ่มอีกที่นึง แล้วก็...หาอาหารอะไรพิเศษๆ หน่อย เพราะชั้นจะเลี้ยงต้อนรับลูก..ลูกชายคนโตของชั้น เอาเป็น...พวกอาหารทะเลนะ ปู กุ้ง ปลา รีบไปตลาดซิ ป่านนี้มีอะไรดีๆ เหลือหรือเปล่า” ดารากานต์ตื่นเต้นเหมือนเมื่อครู่
บัญชาพูดขึ้นพยามเอาใจดารากานต์
“นายน้อม ไม่ต้องไปตลาดหรอก ไปสั่งของกินร้านโกพงษ์มาเลยดีกว่า ให้เจ้าตัวเค้ามาถึงก่อนค่อยสั่งก็ได้”
ดารากานต์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“จริงด้วยค่ะ สั่งอาหารภัตตาคารดีกว่า ดูเป็นโอกาสพิเศษหน่อย”
เกียรติบดินทร์สะอึก มีอาการผะอืดผะอมจะอ้วกขึ้นมา เอามืออุดปาก รีบวิ่งกลับขึ้นชั้นบนไป

ประตูห้องน้ำในห้องนอนเกียรติบดินทร์ถูกผลักอย่างแรง พร้อมกับที่เกียรติบดินทร์พุ่งเข้ามา มือเกาะโถชักโครก แล้วก้มลงอ้วกอย่างกลั้นไม่อยู่ หน้าดำหน้าแดง

ไม่นานหลังจากนั้น ที่บาร์เครื่องดื่มริมถนนเลียบชายหาด บริกรยกเครื่องดื่มที่เป็นน้ำแร่ มีมะนาวเหลืองฝานลอยมา ฟองฟู่เย็นเฉียบ มาวางให้ตรงหน้าเคาน์เตอร์
ลูกค้าไม่ใช่ใคร แต่เป็นเกียรติบดินทร์ที่ตอนนี้หน้าซีดขาว ต้องสวมแว่นดำอันใหญ่บังหน้า นั่งจิบน้ำแร่นั้น หันหน้ามองไปที่ทะเล เห็นทิวมะพร้าวไหวตามแรงลม สีหน้าเกียรติบดินทร์ดูเหม่อๆ
“รับอะไรเพิ่มไหมครับ” บริกรถามเสียงสุภาพ
เกียรติบดินทร์ยังเหม่อลอยอยู่ จังไม่ได้ยิน
“คุณดินครับ” บริกรถามซ้ำ
เกียรติบดินทร์ชะงักนิดหนึ่ง หันกลับมามอง ด้วยสีหน้าเย็นชา “อะไร”
“รับอะไรเพิ่มไหมครับ ปกติคุณดินชอบไส้กรอก หรือเฟรนช์ฟรายไม่ใช่หรือครับ” บริกรพูดอย่างคุ้นเคยกัน
เกียรติบดินทร์พยายามควบคุมอารมณ์ “ผมไม่หิว ขอบใจ” แล้วหันหน้าไปมองทะเลต่อ
ทันทีที่หันไป เกียรติบดินทร์ต้องชะงัก
เมื่อเห็น มาดามพิณ ชิงชัย เดินคุยมากับผู้ชายท่าทางเป็นสปอร์ตแมน ดำล่ำ ทะมึน หัวร่องอหายกัน ผ่านไปตรงหน้าหาด
เกียรติบดินทร์เขม้นมองไปจนกระทั่งสองแม่ลูกแยกทางไป แล้วชายรูปร่างล่ำสัน ผิวดำ ที่ไปส่ง มาดามพิณ ก็เดินกลับไปทางเดิม
เกียรติบดินทร์รีบลุกตามไป เขารู้จักชายคนนั้นอย่างดี

ที่ร้านให้เช่าเรือแห่งนั้น มีรูปเรือยอชท์แบบต่างๆ และเรือนำเที่ยวแทบทุกชนิด ติดโชว์หน้าผนัง
กระจก คนให้เช่าเรือผิวดำล่ำเดินกลับมา กำลังจะเปิดประตูเข้าร้าน
เสียงเกียรติบดินทร์เรียกขึ้นอย่างสนิทสนม
“บังหนิดๆ ครับ ขอรบกวนหน่อยครับ บังหนิด”
คนให้เช่าเรือหันไป แล้วทำหน้าแปลกใจ พอเกียรติบดินทร์ถอดแว่นออก คนให้เช่าเรือจึงจำได้
“อ้าว อ้อ คุณดิน สวัสดีครับ นายหัวบัญชาเป็นยังไงบ้าง” บังหนิดถาม
“นายหัวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ บังหนิด..สองคนนั่น..มาเช่าเรือบังงั้นเหรอ เช่าไปไหน” เกียรติบดินทร์หมายถึงมาดามพิณ กับชิงชัย
“ก็..เช่าไปเที่ยวชมเกาะพรุ่งนี้..ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ พอดี มีแขกต่างประเทศมา”
“เป็นพวกลูกค้า..มากันเป็นคณะทัวร์เหรอ” เกียรติบดินทร์ซักอย่างใคร่รู้
“อ๋อ..มีสองคนครับ ชาวจีนสิงคโปร์รู้สึกจะเป็นพ่อลูก” บังหนิดว่า
“นึกว่าใคร...ปีเตอร์ กับลูกสาว..น่ะเอง..” เกียรติบดินทร์เอ่ยขึ้น แล้วหันมาพูดโกหกคนให้เช่าเรือ “เพื่อนสนิทนายหัวนะนั่น พอนายหัวป่วย พวกนี้แย่งกันชิงตำแหน่งเพื่อนใหม่กันใหญ่ แหม..ถ้าผมได้ไปเจอคุณปีเตอร์ก็ดีน่ะสิ จะได้ชวนเค้าไปเยี่ยมนายหัวที่บ้าน”
“ก็ไปพบที่โรงแรมเลยสิครับ” บังหนิดยิ้มกว้าง พูดพาซื่อ
เกียรติบดินทร์เลิกคิ้ว รอให้คนให้เช่าเรือบอกโรงแรมสถานที่พักของปีเตอร์ อย่างใจเย็น

พวกเพื่อนๆ ฟ้ากระจ่างเล่นน้ำทะเลกันอย่างสนุกสนาน ดำผุดดำว่าย ไล่ล่ากัน กอดปล้ำเอะอะเอ็ดตะโรโว้กว้ากโวยวาย
ฟ้ากระจ่างเดินตามถ่ายรูปมุมนั้นมุมนี้ด้วยกล้องดิจิตัลราคาถูก
ฟ้ากระจ่างเดินมาหยุดที่กองข้าวของที่วางกองอยู่ที่ข้างโขดหิน นั่งลง วางกล้อง แล้วเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่แล่บออกมาจากเป้
ฟ้ากระจ่างมองโทรศัพท์ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด แล้วยิ้มอยู่คนเดียว ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มากดค้นหาเบอร์ที่เมมฯไว้

เครื่องจักรกำลังทำงานแข่งกับเวลาเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณไซด์งาน ริมเขื่อน ช่วงเย็นวันนั้น ดวงยิหวาสะพายกระเป๋า โทรศัพท์แล่บออกมา และมีแสงวาบๆ ของสายโทร.เข้ามา แต่ดวงยิหวาไม่ได้ยิน ยืนเท้าสะเอว คุมการงานอยู่
เด่นยืนข้างๆ แล้วหันมาสะกิดให้ดวงยิหวาดูบางสิ่ง ในการทำงานนั้น ดวงยิหวามองตามด้วยความสนใจ ในขณะที่โทรศัพท์มือถือยังดังไปเรื่อยๆ

ฟ้ากระจ่างนั่งฟังเสียงโทรศัพท์อยู่สักพักหนึ่ง แล้วลุกมายื่นมือถือเดินไปมา รอฟังสัญาณต่อไป
โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง พวกเพื่อนๆ แอบย่องมาอย่างเงียบกริบ แล้วกระโดดรุมรวบตัวฟ้ากระจ่างเอาไว้
“เย้ย!..เฮ้ย อะไรวะเนี่ย” ฟ้ากระจ่างตกใจ
“ฮุย เล ฮุย เอ้า ฮุย เล ฮุย”
เพื่อนๆ ประสานเสียง จับยกตัวฟ้ากระจ่างขึ้น แล้วโยนตูมลงในน้ำ
ในมือฟ้ากระจ่างถือโทรศัพท์ ไม่ทันวาง โทรศัพท์หลุดมือ ตกลงน้ำไป
“ไอ้พวกบ้า โทรศัพท์กู!” ฟ้ากระจ่างโวยวาย
“เสียดายไรวะ โทรศัพท์สัปปะรังเคเครื่องละไม่กี่ตังค์ อีกหน่อยมึงก็จะมียิ่งกว่าไอโฟน 4 อีก” หมีใหญ่ล้อ
เพื่อนๆ เฮลั่น หัวเราะกันสนุก ไม่สนที่ฟ้ากระจ่างโวย เข้ามารุมเล่นน้ำกัน จนฟ้ากระจ่างชักนึกสนุกขึ้นมา หันมาสู้ตอบกลับสุดแรง

ที่ไซด์งานริมเขื่อน เด่นเดินนำเข้ามา ดวงยิหวาตามมา
“เดี๋ยว 6 โมงดวงไปหาบังหวังแทนพ่อที เอาเงินไปจ่ายเค้า” เด่นสั่งลูกสาว
“ได้ค่ะ” ดวงยิหวาปลดกระเป๋าวาง หยิบโทรศัพท์มาดู แล้วต้องชะงัก “อ้าว..ใครโทร.มา มิสคอล” พอกดดูชื่อแล้วทำตาโต “พี่จ้างเหรอ! นึกไงถึงโทมาได้ล่ะเนี่ย” ดวงยิหวารีบกดกลับไปอย่างดีใจ
เสียงที่ดังตอบมาคือเสียงบอกว่า ขณะนี้ไม่มีสัญญาณฯ สีหน้าดวงยิหวา งงๆ ปนเซ็ง

ภายในสวนสวยที่โรงแรมสุดหรูเหนือหน้าผาแห่งนั้น มีการจัดเลี้ยงบุฟเฟท์บริเวณเทอเรส ซึ่งทอดตัวต่ำลงมา เสียงเพลงเบาๆ จากนักเปียโนขับกล่อมมาสร้างบรรยากาศจากมุมหนึ่งในงานเลี้ยงนั้น
และเวลานั้นนักเปียโนเล่นเพลงไทยคลาสสิค ลาวดำเนินทราย
ปีเตอร์อยู่ในชุดลำลองลินินสีขาวสะอาดตา มีสเวตเต้อร์เส้นใยฝ้ายแบบซัมเม่อร์พาดไหล่ ยืนนิ่งอยู่ที่ริมระเบียงห้องพักด้านบน มองดูทะเล และฟังเสียงเปียโนที่กำลังเล่นอยู่นั้น
คลื่นที่ซัดชายหาดเบื้องล่าง เห็นเป็นฟองแตกกระจายอยู่ไกลๆ สีหน้าปีเตอร์ดูเหม่อลอย แกมเศร้า
เทเรซ่า อยู่ในชุดกระโปรงขาว ดูบอบบาง งามสง่า และบริสุทธิ์ดุจนางฟ้าในเทพนิยาย เทเรซ่าเดินออกมาโผล่ดูผู้เป็นพ่ออย่างห่วงใย
“แดดดี้คิดถึงความรักในอดีตอีกแล้ว” เทเรซ่าเย้าพ่อ
ปีเตอร์หันมายิ้มให้ลูกสาว “เทเรซ่า หิวแล้วสิลูก”
“หิวค่ะ แต่ไม่อยากลงไปดินเนอร์กับคนอื่นข้างล่างเลย ถ้าสั่งอาหารรูมเซอร์วิสมา..แล้วเราอยู่คุยกันในห้องสบายๆ ไม่ต้องแต่งตัวอะไรอย่างนี้ทุกวันๆ ไปรับแขกทุกวันๆ อย่างนี้ ลูกคงจะแฮปปี้มาก” เทเรซ่าบอกความรู้สึก
“ลูกไม่ชอบมาดามพิณกับลูกชายเขาน่ะสิ ถ้าเป็นคนที่ลูกถูกใจ ลูกก็คงไม่อยากกินกับพ่อสองคนแบบเงียบๆ เหงาๆ หรอก” ปีเตอร์รู้ทัน
“เราไม่มีเวลาไปไหนกันสองคนเลย ทุกวันๆ..สองแม่ลูกนี่ต้องมาอยู่กับเราตลอด แล้วแบบนี้ เมื่อไหร่..แดดดี้จะได้ไปตามหา..สุภาพสตรีคนที่พ่อรัก..ได้ซะทีล่ะคะ” เทเรซ่าแซว
ปีเตอร์หัวเราะเบาๆ “ลูกนี่หลงเคลิบเคลิ้มไปกับนิทานที่พ่อเล่ามากเกินไปซะแล้วล่ะ ไป..พ่อหิวเต็มทีแล้ว”แล้วถอยออกมาจากระเบียง ปิดประตูกระจก หันมางอแขนให้เทเรซ่าควง
เทเรซ่ามาควงแขนพ่อ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน

บริเวณบันไดหินที่ทอดตัวลงสู่สวนที่จัดเลี้ยงบุฟเฟ่ท์ ซึ่งเป็นเทอเรสที่ลดหลั่นลงมาจากห้องพักบนหน้าผาเหนือทะเล
มาดามพิณกำลังยืนคุยกับชิงชัย พลางจิบเครื่องดื่มค็อกเทลสีเขียวฟ้ากันอยู่ตรงนั้น
“แม่กลัวจัง ว่าคุณปีเตอร์จะท้อใจ แล้วเลยพาลไม่อยากทำธุรกิจในเมืองไทยอีก” มาดามพิณดูเป็นกังวล
“เฮ้อ...ตอนนี้ประเทศอะไรก็น่าไปลงทุนกว่าเมืองไทยทั้งนั้น” ชิงชัยบอก
“ลูกนั่นแหละ ต้องผูกใจน้องเทเรซ่าเอาไว้ให้ได้ ถ้าลูกจีบเทเรซ่าติด ปีเตอร์ก็คงไม่ไปไหนเสีย แล้วเราจะได้มีพาวเวอร์พอจะรบกะไอ้นายหัวบัญชาต่อไป” มาดามพิณกำชับลูกชาย
“ไอ้พวกเลว สมน้ำหน้ามัน ขอให้มันตายอย่างทรมาน พวกมันต้องชดใช้กรรมไปทั้งโคตร เราดีกะมันก่อนแท้ๆ แต่ทำไมมันมาทำร้ายพ่อก่อน”
มาดามพิณบีบแขนชิงชัยเป็นเชิงปราม “ใจเย็นๆ ลูก...” มาดามพิณเหลือบไปเห็นแล้วชะงัก สะกิดลูกชาย “จุ๊ๆๆ มาแล้วๆๆ”
ชิงชัยหันไป แล้วต้องตกตะลึง เพ่งมองไปในแสงไฟระยิบระยับตรงหน้า เห็นเทเรซ่าควงแขนปีเตอร์ พากันเดินลงบันไดหินที่ทอดลงมาระหว่างต้นไม้ เทเรซ่าดูสวยราวกับเทพธิดา
ชิงชัยตะลึง ตาค้าง มาดามพิณมองหน้าลูก พลอยตื่นเต้นไปด้วยกับอาการของลูกชาย
ชิงชัยรีบเดินไปรับ มาดามพิณตามติด
ชังชัยยื่นมือไปรับเทเรซ่า เทเรซ่าปล่อยแขนพ่อ ส่งมือให้ชิงชัยดูแลตามมารยาทแบบตะวันตก
ในขณะที่ปีเตอร์ยื่นมือมา เป็นเชิงขอมือมาดามพิณ ทั้งสี่เดินพากันเข้าไปในบริเวณจัดเลี้ยงบุฟเฟท์
ผู้คนที่พบเห็น พากันมองเทเรซ่าอย่างชื่นชม

ส่วนที่บริเวณชายหาดกองไฟถูกสุมขึ้นมา เพื่อนๆ ฟ้ากระจ่างต่างมะรุมมะตุ้ม ปิ้งย่างอาหารทะเลกินกันอย่างสนุกร่าเริง
สมหมายเล่นกีต้าร์ก๋องแก๋งๆ ตามเรื่อง
ฟ้ากระจ่างนั่งซ่อมโทรศัพท์ไป บ่นอุบอิบ
“ไอ้พวกเวร เจ๊งเลย เบอร์ใครต่อใครที่เม็มไว้ในนี้เต็มเลย..หายไปหมดแล้ว เซ็งจิงโว้ย”
“บอกแล้วให้ทิ้งไปได้แระ ทอสับแกอันเนี้ย ต่อให้ยังไม่เจ๊ง..ใครเก็บได้เค้ายังเฟี่ยงทิ้งลงถังขยะ” หมีใหญ่ว่า
“เว่อๆๆ ของมันยังใช้ได้ ใครทิ้งก็ทุเรศแล้ว โทรศัพท์อันนี้ ชั้นรับมรดกมาจากกู๋เหลียงนะเว้ย” ฟ้ากระจ่างว่า
“เออ แล้วนี่ แกโทร.ไปบอกกู๋รึยังล่ะ ว่าแกมาถึงแล้ว แล้วเมื่อไหร่จะไปหาแม่” สมหมายถาม
ฟ้ากระจ่างนิ่งไป “ยัง..เดี๋ยวให้อะไรมันเรียบร้อยก่อน ค่อยโทร.ทีเดียว ไม่อยากให้พ่อแม่เป็นห่วง
“จะมีอะไรไม่เรียบร้อยเหรอวะ” ปักเป้าสงสัย
“ไม่รู้ดิ ..เฮ่ย เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ” ฟ้ากระจ่างเก็บโทรศัพท์ ลุกมาหาพี่ๆ ที่ชิมอาหารอยู่ “เป็นไงฮะพี่ น้ำจิ้มซีฟู้ดฝีมือผม เด็ดไหม” ฟ้ากระจ่างยิ้ม
สมหมายวางกีต้าร์ ลุกมาถามอีก “จ้าง..แล้วแกจะไปหาแม่แกเมื่อไหร่”
“ดูก่อน...” ฟ้ากระจ่างอยู่ในอาการลังเล เหมือนไม่อยากพูดถึง
พวกเพื่อนๆ มองหน้ากันอย่างงงๆ
รุ่นพี่นักกู้ภัยคนหนึ่งได้ยิน จึงกระแอมๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“นี่ๆๆ พี่ว่า ถ้าจ้างเค้ายังอยากจะเที่ยวก่อน ก็ดีเหมือนกันนะ เที่ยวให้ทั่ว พักผ่อนให้สบายใจก่อน ค่อยลงมือทำธุระก็ดีเหมือนกันนี่นา”
“ใช่ครับ..พี่พูดถูก..ผมอยากเที่ยวก่อน เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เลย..ดีไหมครับ..เราจะไปเที่ยวไหนดี” ฟ้ากระจ่างบอก
“จ้างอยากเที่ยวยังไงล่ะ ทะเล ภูเขา เที่ยววัด เที่ยวในเมือง เที่ยวกลางคืน” รุ่นพี่เจ้าถิ่นแดนใต้ถาม
“เที่ยวกลางคืนก่อนเลยครับพี่” สมหมายตอบแทน
ทุกคนขำ เฮฮากันไป ระหว่างนั้นเสียงเปียโนดังสดใสร่าเริงดังมาจากสวนจัดเลี้ยงบนหน้าผาเหนือชายหาดขึ้นไป
ฟ้ากระจ่างเงยหน้าขึ้นไปดู มองจากไกลๆ แสงสีจากมุมจัดเลี้ยงบนสวนที่เทอเรซบนหน้าผานั้นดูสวยงาม มะลังมะเลือง
“แน่ะๆๆ อย่าบอกนะจ้าง ว่าอยากไปเที่ยวที่แบบโรงแรมบนนั้น นั่นมันสรวงสวรรค์สำหรับพวกเทวดาเค้า ไม่ใช่สำหรับมนุษย์เดินดินอย่างเรา” รุ่นพี่แซวขึ้น
“ทำไมล่ะครับ ต้องเหาะขึ้นไปรึไง ถึงจะไปถึงบนนั้นได้” ฟ้ากระจ่างยิ้มพาซื่อ
“ประมาณนั้นแหละ” รุ่นพี่กู้ภัยหัวเราะ
ฟ้ากระจ่างเท้าสะเอว ลุกขึ้นแหงนหน้าดูอีกครั้ง แสงจากตรงนั้น ดูละมุนตา สวยงาม เสียงเปียโน และเสียงร้องเพลงดังคลอมาอย่างไพเราะ

ที่เทอเรซจัดเลี้ยงบุฟท์เฟ่แห่งนั้น นักเปียโนทำหน้าที่นักร้องไปด้วย กำลังร้องเพลง
“และฉันคนนี้ ก็มีที่พลาดผิด ใช่ว่าชีวิตจะดีจะงามสักเท่าไร ไม่อยากให้ถาม มันไม่น่ารู้เท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องจำเป็นของเรา วันวานยังคืนย้อนมาไม่ได้ และวันพรุ่งนี้ยังไม่รู้ แต่ฉันพร้อมจะอยู่ ฉันพร้อมจะตาย เพื่อรักคำเดียว ไม่ว่าเธอจะเคยเป็นใคร จะผ่านอะไรมา”
เกียรติบดินทร์แต่งตัวโก้ หรู ด้วยชุดสีดำ ดูปราดเปรียว คล่องตัว วางท่าสง่า เดินลงบันไดหินระหว่างสุมทุมพุ่มไม้ลงมา แล้วยืนมองสำรวจรอบๆ หาเป้าหมาย
กัปตันที่คุมมุมนั้นอยู่ มองเห็น รีบปรี่เข้ามาหา
“สวัสดีครับ..ไม่ทราบ..จองไว้หรือเปล่าครับผม” กัปตันถามอย่างสุภาพ
เกียรติบดินทร์มองแบบยิ้มๆ ชิลล์ๆ “เปล่าครับ ไม่ได้จอง
“อ้อ ครับ ไม่ทราบว่า..กี่ที่ครับท่าน” กัปตันถามอีก
“ที่เดียว” เกียรติบดินทร์สบตาตอบไปตรงๆ
กัปตันหลบสายตา “เอ่อ..เชิญครับผม”
เกียรติบดินทร์ยิ้มบางๆ แล้วเดินมาดโก้ เข้าไปปะปนกับผู้คนในสวน ผ่านสุมทุมพุ่มไม้ และแสงไฟระยิบระยับ

นักร้องนักเปียโนยังร้องเพลงเดิมต่อไป เกียรติบดินทร์เดินผ่านโต๊ะอาหาร ผู้คน พร้อมกับสอดส่ายสายตามองหา แล้วจู่ๆ ก็ชะงัก
เมื่อเห็นมาดามพิณกำลังเดินเคียงปีเตอร์ ชี้ชวนกันดูบรรดาผลไม้และขนมสวยงามบนโต๊ะอาหารแบบบุฟท์เฟ่อยู่
เกียรติบดินทร์ทำหน้าแสยะอย่างเกลียดชัง จากนั้นจึงเสไปมองทางอื่นต่อ แล้วยิ้มออกมาอย่างสาสมใจ เมื่อเห็นภาพเทเรซ่า กำลังถือจานเลือกอาหาร โดยมีชิงชัย คอยช่วยตักอาหารนั่นนี่ให้
เกียรติบดินทร์มองภาพตรงหน้า ด้วยความรู้สึกเกลียดชังเข้าไส้ เทเรซ่าดูสวยหวาน ในขณะที่ชิงชัยออกอาการป้อเอาใจสุดๆ
จังหวะหนึ่งเกียรติบดินทร์สอดส่ายสายตาดูรอบๆ แล้วมองเห็น บอดี้การ์ดชายสองคน ยืนคุมเชิงอยู่มุมนั้น มุมนี้ อยู่รอบงาน
เกียรติบดินทร์ค่อยๆ ถดตัวถอยห่างออกมาจากบริเวณนั้น ใช้บรรดาผู้คนเป็นกำบัง แล้วแอบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้

ด้านฟ้ากระจ่างนั่งกินอาหารปิ้งย่างไปอยู่ใต้หน้าผาแห่งนั้น จังหวะหนึ่งฟ้ากระจ่างแหงนหน้าขึ้นสอดส่องสายตามองดูแสงสีของงานที่สวนบนเทอร์เรสไป พวกเพื่อนๆ ร้องเพลงล้อเสียงดังขึ้นมา
“สองมือของฉันจะสร้างฝัน หัวใจของฉันจะทุ่มเท เพื่อเธอคนเดียว โชคดีที่ฉันมีเธอ ที่พร้อมจะเคียงข้างกัน เดินดินด้วยกัน”
ฟ้ากระจ่างลุกขึ้นยืน เอามือเช็ดก้นกางเกง แผดเสียงร้องเพลงอย่างห่ามๆ พลางชี้ไปบนนั้น
“แค่รออยู่ตรงนั้น จะปีนขึ้นไปหา ไม่ต้องลอยลงมา อยู่บนฟ้านั่นแหละดีเป็นดาวประดับฟ้า รอคนรักจริงคนนี้ ต้องมีสักวัน จะไปให้ถึงที่ตรงนั้น ไปอยู่เคียงข้างเธอ”
ทุกคนหัวเราะขำ
“ปีนเลยๆๆๆ” สมหมายบิ้วท์
“เฮ่ย ปีนได้ไง สูงขนาดนั้น” รุ่นพี่พูดอย่างไม่เชื่อ
“น้อยไปสิพี่ ไอ้นี่น่ะ ตอนเด็กๆมันคือเด็กเชิดสิงโตตัวปีนขึ้นไปชิงแบงค์บนยอดสูงสุดเลยนะ” ปักเป้าบอก
“อ่าจิงดิ” รุ่นพี่อีกคนไม่เชื่อเช่นกัน
“จิ๊ง..ไม่เชื่อใช่ไหม พี่ไม่เชื่อใช่ปะ มา พนันกัน คนละกี่บาท” หมีใหญ่ท้า
“บ้าแล้วๆ ชั้นไม่ปีนนะเว้ย” ฟ้ากระจ่างไม่เอากับหมีใหญ่
“ไม่กล้าล่ะซี้” รุ่นพี่เย้า
“อ้าว ไหงพี่ว่างั้น” ฟ้ากระจ่างหัวเราะ
“แน่จริง..นายปีนขึ้นไปถึงระเบียงงานนั้นนะ แล้วเอาโคมกระดาษที่แขวนอยู่ตรงนั้นลงมาได้ พี่ให้พันนึง” รุ่นพี่ว่า
“โห..พันนึงเองเนี่ยนะ” ฟ้ากระจ่างชักสน
“2 พันเลยเอ้า ปีนได้จริงๆ ป่าวเหอะ”
“พี่จะเอาโคมกระดาษใช่ไหม มะ!”
ฟ้ากระจ่างกระโดดเกาะขอบหินได้ แล้วเหนี่ยวตัว เอาขาพาด ป่ายปีนขึ้นไป
“ชิปเป๋ง..นั่นมันลิงเหรอคนวะ?” รุ่นพี่อีกคนว่ายิ้มๆ
ฟ้ากระจ่างยังคงปีนต่อไป

โต๊ะอาหารตั้งวางอยู่ระหว่างสุมทุมพุ่มไม้ในสวน มีโคมสวยห้อยย้อยให้แสงนวลๆ ปีเตอร์ มาดามพิณ ชิงชัย และเทเรซ่า นั่งกินอาหารร่วมกัน มีเสียงเปียโนและการขับร้องเพลงดังคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศ ชิงชัยนั้นออกอาการป้อเทเรซ่าสุดๆ
“คุณเทเรซ่าอิ่มแล้วเหรอครับ ทำไมรับประทานน้อยจัง”
“ไม่น้อยนะคะ อาหารอร่อย เทเรซ่าชอบอาหารไทยอยู่แล้ว” เทเรซ่า
“ถ้าอย่างนั้น..รับผลไม้นี่เยอะๆ ครับ ผลไม้ไทยรสชาติอร่อยที่สุด แล้วทำให้สุขภาพดีด้วย” ชิงชัยยิ้มๆ
เทเรซ่าแอบทำหน้าเบื่อ “เทเรซ่าขออนุญาตไปห้องน้ำก่อนค่ะ ขอโทษนะคะ”
ชิงชัยลุกขึ้นทันที “ผมไปเป็นเพื่อน”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ เทเรซ่าไปเองดีกว่า คุณยังรับประทานค้างอยู่เลย” เทเรซ่าว่า
ปีเตอร์สบตาลูกสาว รู้ทันทีว่าเทเรซ่าเบื่อมาก
“เทเรซ่าดูแลตัวเองได้ครับ ผมไม่ได้เลี้ยงลูกมาให้ต้องมีคนตามติดทุกฝีก้าว”
“นั่นสิคะ คุณชิงชัยไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เทเรซ่าไปเองได้” เทเรซ่าขยับตัว
ชิงชัยรีบลุกขยับเก้าอี้ให้ เทเรซ่ายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณค่ะ” เทเรซ่าเดินออกไป
มาดามพิณรีบหันไปส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดทั้งสองคน ทั้งคู่รับทราบ รีบตามเทเรซ่าไป ปีเตอร์มองตามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงนิดๆ
“เราไม่ประมาทดีกว่าค่ะ ที่นี่ไม่เหมือนสิงคโปร์ เราต้องระวังเอาไว้” มาดามพิณว่า
“อ้อ ครับผม เข้าใจครับ”
ปีเตอร์กินต่อ

เทเรซ่าเดินมาในสวน แล้วชำเลืองดู เห็นบอดี้การ์ดทั้งสองคนตามมา อย่างไม่แอบซ่อนแต่อย่างใด เทเรซ่าเซ็ง ถอนหายใจ แกล้งเดินเลี้ยวลดไปมา และสองคนนั้นก็เดินเลี้ยวตามมาอย่างออกนอกหน้า
เทเรซ่าอารมณ์เสีย ในที่สุดก็หยุดเดิน หันกลับไป สองบอดี้การ์ดสะดุ้ง
เทเรซ่าเชิดหน้าอย่างดื้อรั้น ขณะเดินเข้าไปหา “ขอโทษนะคะ คุณทั้งสอง”
บอดี้การ์ดทั้งสองคนตกใจเงอะงะ “ครับผม”
“ชั้นไม่ใช่บุคคลสำคัญ นักการเมือง หรือดาราดัง เพราะฉะนั้น ชั้นไม่ต้องการให้มีบอดี้การ์ดมารักษาความปลอดภัย”
“แต่มาดามพิณสั่งว่า…” บอดี้การ์ดคนหนึ่งบอก แต่พูดไม่ทันจบประโยค
“ไปดูแลมาดามพิณของคุณเถอะ ชั้นไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ไม่มีใครมาทำอะไรชั้นหรอก” เทเรซ่าพูดสวนออกมา
“แต่คุณคือแขกพิเศษของมาดาม...” บอดี้การ์ดอีกคนบอกอย่างอ่อนน้อม
“ชั้นอยากไปเข้าห้องน้ำ พวกคุณจะตามชั้นไปถึงไหนล่ะ” น้ำเสียงเทเรซ่าแดกดัน เหมือนไม่พอใจอย่างมาก
“หน้าห้องน้ำครับผม” บอดี้การ์ดตอบ
เทเรซ่าเซ็งมากขึ้น สะบัดหน้ากลับ แล้วเดินเชิดๆ ลิ่วๆ นำไป บอดี้การ์ดสองคนรีบตาม

ที่หลังต้นไม้ไม่ไกลนัก เกียรติบดินทร์โผล่ออกมามองตามไป ด้วยสีหน้าสะใจ

อ่านต่อตอนที่ 7 พรุ่งนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น