ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 6
ส้มป่อยวิ่งมาหน้าห้อง อินทรออกมาพร้อมแป๋วและจุ๊
“นายทรขา ขอหนูเข้าไปสวัสดีคุณรุ้งหน่อยซีคะ”
“อย่าไปรบกวน ป้าแป๋ว ยายจุ๊ ดูยายส้มไว้ อย่าไปเพ่นพ่านรบกวนแขก” อินทรสั่งทันที
“ค่ะ”
อินทรแยกไป
“อดเจอเลย โธ่...อุตส่าห์ซ้อมเต้น”
ส้มเต้นท่ารุ้งระวีให้แป๋วกับจุ๊ดู ทั้งสองคนพากันส่ายหน้าอย่างระอา
รุ้งระวีช่วยจี่หอย กับมะปราง จัดเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า เธอหยิบรูปแม่ออกมาวางที่หัวเตียง แล้วเดินออกมาที่ระเบียง
“พี่หอย มะปราง รุ้งลงไปเดินเล่นก่อนนะ อากาศกำลังดีเลย”
“ค่ะ เดี๋ยวพวกเราจะตามไป”
พี่หอยหันมาบอก รุ้งระวีเดินลงบันไดจากส่วนระเบียง ไปยังสวนสวยเบื้องหน้า แล้วเดินเข้าไปในสวน เดินเลียบไปเรื่อย จนถึงส่วนที่เป็นท้องทุ่ง เห็นทุ่งนาเขียวขจี ได้ยินเสียงร้องเพลงแว่ว ๆมา รุ้งระวีหาที่มาของเสียง เดินเรื่อยไปที่ทุ่ง กระทั่งถึงเพิงเล็กๆใต้ต้นแสงจันทร์ ที่อยู่ริมทุ่งนา เห็นควายอยู่กลางทุ่ง กำลังเคี้ยวเอื้อง
เสียงร้องเพลงชัดขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่เห็นตัวคนร้อง ใกล้กันนั้นมีตุ่มหลายใบ ตั้งเรียงกันอยู่ รุ้งระวีเดินมาที่เพิง พบกีตาร์ ขลุ่ย และกระดาษจดเนื้อและโน้ตเพลงบึกใหญ่
“เสียงคุณทูนนี่ งั้น ต้องมาจากนี่แน่ๆ”
รุ้งระวีหันไปที่ตุ่ม เดินเข้าไปใกล้ เห็นตุ่มใบใหญ่กว่าเพื่อน เปิดฝาอยู่ เสียงมาจากตุ่มใบนั้น รุ้งระวีชะโงกเข้าไป เห็นทูนอินทร์กำลังร้องเพลงอยู่ เขาร้องเต็มเสียงดังลั่นตุ่ม จนเธอต้องอุดหู
ทูนอินทร์ร้องไป เงยหน้าขึ้นมาเห็นรุ้งระวี เขาร้องจ๊ากลั่น รุ้งระวีเลยกรี๊ดตาม ผงะออกมาด้วยความตกใจ
ทูนอินทร์โผล่ออกมาจากตุ่ม แล้วรีบกระโดดออกมา
“คุณรุ้ง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนว่าจะมาบ่าย”
“ฉันมาเช้า...ตุ่มนั่น เป็นที่ซ้อมร้องเพลงของคุณเหรอ”
“ก็...แฮ่ะ แฮ่ะ เสียงดีที่สุดละครับใบนี้”
“ถ้าใช้ตุ่มเป็นห้องซ้อมร้อง เพิงนั่นก็เป็นห้องทำงานของคุณ”
“แหม...ถูกต้องที่สุดเลยครับ เชิญนั่งที่โต๊ะทำงานก่อนครับ”
รุ้งระวีหัวเราะขำ ลงนั่งตามทูนอินทร์ เขาส่งขันมีกลีบดอกไม้โรยไว้ให้
“ดื่มน้ำฝนจากตุ่มครับ เย็นชื่นใจ”
รุ้งระวีรับขันมา
“เดี๋ยว แล้วแก้วน้ำล่ะ”
“ไม่ต้องครับ ดื่มจากขันได้เลย”
รุ้งระวีรับมาดื่ม แล้วยิ้มออกมา
“เย็นอย่างกะใส่น้ำแข็งแน่ะ”
“น้ำฝนจากตุ่มก็เย็นชื่นใจอย่างนี้ละครับ อ้อ ยังไม่ได้กล่าวต้อนรับเลย ไร่อินสรวงขอต้อนรับคุณรุ้งครับ”
“ขอบคุณค่ะ ขอบอกว่าไร่คุณสวยมาก”
“ขอบคุณครับ” ทูนอินท์ฉีกยิ้มกว้าง
ส้มป่อยมองผ่านรูกุญแจเข้าไปที่ห้องรุ้งระวี เธอเห็นมะปรางกำลังจัดเก็บเสื้อผ้า เห็นด้านหลังของจี่หอย ที่เอาเสื้อคลุมมาพันตัว แล้วเต้นท่าจิ้มแจ่วไปด้วย แล้วหันมาซุบซิบหนาน กับคูนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“เห็นแล้วน้า กำลังเต้นจิ้มแจ่วแอลเอเลย”
“เหรอวะ ใส่ชุดอะไรอยู่ล่ะ”
“ใส่เสื้อคลุมน่ะ แต่แปลกนะ ตัวตันๆสงสัยจะอ้วน”
“เอางี้ เอ็งเข้าไปขอลายเซ็นเลย ข้าจะได้ขอบ้าง” คูนบอก
“จัดให้น้า”
ส้มป่อยเปิดประตูทันที แล้ววิ่งถลาเข้าไป หนานและคูนตกใจ จะห้ามแต่ไม่ทันแล้ว
ส้มป่อยวิ่งถลาเข้าไปกอดขาจี่หอยที่ไม่ทันตั้งตัว ทำให้จี่หอยตกใจยืนตัวแข็ง มะปรางหันมามองตกใจไม่แพ้กัน
“พี่รุ้งเจ้าขา ส้มป่อยเป็นแฟนพี่รุ้ง รักพี่รุ้งเหลือเกินเจ้าค่ะ”
จี่หอยมองลงมา ส้มป่อยเงยหน้ามองพอดี
“กรี๊ดดด ผีเด็ก”
“กรี๊ดดด ผีแก่”
จี่หอยสะบัดเท้าทันที ร่างของส้มป่อยลื่นไปตามพื้นไม้ กระเด็นออกมาจากห้อง
“ตัวอะไร มาจับขาฉัน ผีบ้านผีเรือนรึเปล่า”
หนาน และคูนหิ้วปีกส้มป่อยลุกขึ้น
“เปล่าครับ มันชื่อนังส้มป่อย”
“มันเป็นแฟนตัวยงของคุณรุ้งน่ะครับ” หนานช่วยอธิบาย
“แล้วมาเกาะขาฉัน เหมือนตุ๊กแกทำไม”
“ก็นึกว่าเป็นพี่รุ้งน่ะซีคะ อูย นี่ขาเหรอคะ นึกว่าท่อนซุง ขนยุ่บเลย”
มะปราง คูน หนานพากันหัวเราะขำ จี่หอยค้อนควักใส่ส้มป่อย
ที่เพิงใต้ต้นแสงจันทร์...รุ้งระวีหยิบเพลงที่ทูนอินทร์แต่งขึ้นมาดู
“คุณแต่งเพลงตรงนี้เหรอคะ”
“ครับ ได้บรรยากาศดี”
“แล้วเพลงที่ร้องเมื่อกี้ ตั้งชื่อให้รึยังคะ”
“อ๋อ ตั้งแล้วครับ เอ ทำไมรู้ว่ายังไม่ได้ตั้งชื่อ” ทูนอินทร์มองแปลกใจ
“คุณเคยบอกฉันไง ที่บ้านพี่เมธที่คุณเล่นเปียโนวันนั้น คุณร้องเพลงนี้”
“อ้อ ทีแรกจะตั้งชื่อว่า สะพานแสงจันทร์ น่ะครับ เพราะตอนแต่งผมได้แรงใจมาจากต้นแสงจันทร์ต้นนี้ แต่ตอนที่แต่งใกล้เสร็จ มันเกิดแรงใจใหม่ขึ้นมา เลยเปลี่ยนเป็น เออ...”
ทูนอินทร์ลังเลว่าจะพูดดีไหม
“คะ”
“สะพานรุ้งน่ะครับ”
รุ้งระวีนึกถึงชื่อตัวเองทันที
“แล้วทำไมต้องเป็นรุ้ง”
“ตอนที่แต่งใกล้เสร็จ ผมเพิ่งตกใหม่ๆ มองไปบนฟ้า เห็นรุ้งกินน้ำตัวใหญ่เชียวครับ ข้ามเขาไปฟากขะโน้น เหมือนเป็นสัญญาณว่ามันจะพาผม ไปที่ปลายรุ้งนั่นให้ได้ในสักวัน”
รุ้งระวียิ้ม
“สอนฉันร้องได้ไหม เคยสัญญากับฉันแล้วนี่ว่าจะสอนฉันร้อง”
“งั้น....ลองไปที่เงียบๆกันดีกว่า”
“ตรงนี้ไม่เงียบหรอกเหรอ ไม่เห็นมีใคร”
“โน่นครับ นังสมศรี มองมาตลอดเลย”
รุ้งระวีมองตามไป ไม่เห็นใคร นอกจากควายตัวหนึ่งกำลังมองมา
“ไหนคะ ไม่เห็นใคร”
“นังสมศรีเป็นควายครับ ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวมันยิ่งแอบมอง”
ทูนอินทร์พารุ้งระวีพร้อมกับเนื้อและโน้ตเพลง และขลุ่ยไปด้วย เมื่อขึ้นไปบนเขาซึ่งมองเห็นฟ้าครึ้มๆ ทูนอินทร์ร้องเพลงสะพานรุ้งให้ฟัง รุ้งระวีฟังอย่างชอบมากๆ
ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน...อินทร หนาน คูน และส้มป่อยช่วยกันเตรียมเครื่อง ดนตรีแนวอีสาน ทั้งแคน ทั้งกลองอยู่กลางลานสนาม มีผ้าสีสันต่างๆ รวมทั้งผ้าแขกประดับประดาเต็มพื้นที่
“นายทรขา คุณน้าข้ามเพศนั่น แรงช้างแรงม้าจริงๆ ถีบหนูยังกะเบคแค่มเตะลูกเข้าประตู ยอกไปหมดเลยค่ะ” ส้มป่อยบ่น
“แล้วเราไปแอบดูเขาทำไมล่ะ”
“ก็อยากเห็นคุณรุ้งของหนูนี่คะ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้เจอเลย”
ขณะเดียวกันจี่หอยและมะปรางแต่งตัวสวยลงมา
“นังส้ม เขาลงมาแล้ว” หนานบอก
ส้มป่อนไปหลบหลังหนานและคูน
“คุณทร กำลังทำอะไรกันคะ” จี่หอยถาม
“เราเตรียมอุปกรณ์ ไว้ในมิวสิคคุณรุ้งไงครับ”
“อย่างนี้น่าร้องเพลงนะพี่หอย” มะปรางนึกสนุก
“อยากร้องมาก แล้ววิ่งไปทั้งทุ่งเลย เอาแบบระบำแขกเลยนะ” จี่หอยเห็นด้วย
“อยากร้อง ร้องเลยครับ เครื่องดนตรีเรามีอยู่แล้ว” หนานรีบบอกอย่างนึกสนุก
“ฉันร้องไม่เป็นหรอก แต่เป็นแค่หางเครื่อง เต้นลืมตายเลย”
“อุ๊ย....หนูก็หางเครื่องค่ะ” ส้มป่อยรีบบอก
จี่หอยมองอย่างเขม่นเต็มที่
“ปราง นังเด็กผีนี่อีกแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น คนร้องก็ต้องเป็นคุณทรแล้วละค่ะ”
ทุกคนช่วยกันสนับสนุน
“งั้นพี่หนาน พี่คูน ขึ้นเพลงประจำของเราเลย”
“จัดให้”คูนพูด
หนาน คูนขี้นเพลงรักท่วมทุ่ง อินทรร้องพร้อมกับจับมือมะปราง เดินไปที่ทุ่งด้วยกัน
หนาน และคูนเล่นดนตรีตามไป จี่หอยคว้าผ้าแขก และผ้าสีต่างๆตามไปอีกคน ส้มป่อย
รีบคว้าผ้าที่เหลือตามไปบ้างอย่างนึกสนุก
อินทรร้องเพลงเกี้ยวมะปราง ด้วยลีลาเหมือนระบำแขก จี่หอยเอาผ้าแขกมาให้มะปรางคลุมหน้า มะปรางวิ่งหนีอินทร จี่หอยคลุมหน้าตัวเองบ้าง แล้วทำท่ายั่วหนาน กับคูน สองหนุ่มรีบวิ่งหนี
มะปรางไปหลบอยู่หลังต้นไม้ อินทรโผล่หน้ามาจ๊ะเอ๋ มะปรางหลบไปอีกทาง อินทร โผล่มาจ๊ะเอ๋อีกหน แต่คราวนี้กลายเป็นจี่หอย อินทรเป็นฝ่ายหนีเสียเอง
หนานและคูนเอา กระถางมาครอบหัวจี่หอย จี่หอยวิ่งไปชนต้นไม้ล้มกลิ้ง
อินทรวิ่งไล่มะปรางมาที่หมู่ไม้ดอก อินทรเด็ดดอกไม้ติดผมให้มะปราง แล้วต่างฝ่ายต่างขวยอาย อินทรหันไปเด็ดอีกดอกหนึ่ง หันมาแต่คราวนี้ส้มป่อยโผล่หน้ามาแทน อินทรส่ายหน้า
อินทรวิ่งมาดักมะปรางไว้ได้ ล้วดึงมากอดไว้ จี่หอยแอบดูพร้อมหนาน และคูน ทันใดจี่หอยสะดุ้งเพราะส้มป่อยมากอดขาไว้
จี่หอยสะบัดอีกที ส้มป่อยถลาพุ่งเข้าไปกอดอกไม้ โผล่หน้ามา หัวหูเต็มไปด้วยดอกไม้ทั้งตัว เพลงจบลงพอดี ทุกคนชี้ไปที่ส้มป่อยแล้วหัวเราะกัน ขณะเดียวกันฝนโปรยสายลงมา
“ว้าย ฝน” จี่หอยร้อง
“หลบฝนก่อน” หนานบอกทุกคน
“เก็บผ้าด้วยเร้ว” คูนสั่ง
อินทรกางผ้ากันฝนให้มะปราง แล้ววิ่งลงเนินไปพร้อมกัน ส้มป่อยวิ่งตามไปคนสุดท้าย
เมื่อฝนโปรยปรายลงมา ทูนอินทร์ชวนรุ้งระวีกลับไปที่เพิงก่อน เพราะกลับบ้านไม่ทันแล้ว แต่แค่มาถึงเพิง ทั้งคู่ก็เปียกปอน
ทูนอินทร์รีบหยิบผ้าขนหนูสะอาดที่วางอยู่ มาเช็ดตัวให้รุ้งระวี
“หนาวไหมครับ”
“พอทนค่ะ”
ทูนอินทร์เช็ดผมให้รุ้งระวี แล้วนิ่งไป ทั้งสองมองหน้ากัน
“ฉันเช็ดเองได้ค่ะ”
รุ้งระวีเกิดอาการเขินอาย รับผ้ามาเช็ดผมเอง
“เราคงต้องติดอยู่ที่นี่สักพักแล้วละครับ กว่าฝนจะหยุดคงอีกนาน”
“ไม่เป็นไร...”
ทูนอินทร์หยิบผ้าอีกผืนส่งให้
“นี่ครับ ผ้าอุ่นๆ”
“คุณเช็ดตัวคุณเถอะค่ะ”
“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ ชินเสียแล้ว”
ทูนอินทร์ห่มผ้าให้รุ้งระวี
“ขอบคุณ..เพลงสะพานรุ้งนะคะ ฉันถือว่าคุณสัญญากับฉันแล้วนะ”
“สัญญาว่า...”
“คุณจะให้ฉันร้องไง”
“อ้อ...ยินดีครับ”
“เป็นเพลงที่เพราะมาก และเนื้อหาที่เกี่ยวกับคนที่เรารักและหวังดี ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งคิดถึงคนๆหนึ่ง”
“ใครครับ”
“คนที่เราอยากให้เขารักตอบไงคะ”
ทูนอินทร์ยิ้ม มั่นใจว่าเป็นตัวเองแน่ๆ
“คนคนนั้นเป็นใครกันนะ ให้ผมเดาไหม”
“อย่าเดาเลยค่ะ เพราะฉันกำลังคิดถึงแม่ฉัน”
ทูนอินทร์แป่วไปทันที
“อ้าว เหรอครับ “
“ฉันจะร้องเพลงนี้ให้แม่ค่ะ “
“งั้น...เล่าเรื่องแม่ให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
“อยากรู้ไปทำไมคะ”
“ผมจะได้รู้จักคุณมากขึ้นไง”
รุ้งระวียิ้มเศร้าให้ทูนอินทร์ มองไปยังสายฝนเบื้องหน้า แล้วนึกถึงเรื่องราวในอดีต...
ที่บาร์...แสงหล้าในชุดสาวบาร์ ร้องเพลงฝรั่งสำนวนผิดๆถูกๆ ทั้งร้องทั้งเต้น ขณะที่ทหารจีไอนั่งกันอยู่เต็มร้าน ปรบมือเป่าปาก แสงหล้าจบเพลงด้วยท่าเซ็กซี่ หนุ่มจีไอเข้ามาให้ทิป พร้อมกับหอมแก้มด้วยรุ้งระวี ที่หลบมุมอยู่ซอกร้าน มองแม่แล้วหาวหวอด
“เท่าที่จำได้ ฉันเกิดมาก็ไม่เคยเห็นพ่อแล้ว แม่กับน้าๆเล่าว่าพ่อชื่อเจมส์ หล่อมาก เจอกับแม่ที่พัทยา แล้วก็กลับไปไม่เคยมาหาแม่อีก”
หลังจากเลิกงานที่บาร์...แสงหล้าอุ้มรุ้งระวีที่หลับ กลับเข้ามาในห้องเช่าโทรมๆวางเธอลงนอนที่ตั่งเล็ก ปูฟูกเป็นที่นอน แล้วจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ แต่รุ้งระวีลืมตาตื่นขึ้นมาก่อน
“แม่”
“อ้าว หลับแล้วนี่เรา ตื่นมาทำไมอีก”
“พ่ออยู่ไหนนะแม่”
แสงหล้าชะงักไป
“ถามอะไรอย่างนั้นลูก”
“หนูอยากเจอพ่อ”
“นอนเถอะ นี่...อาทิตย์นี้เขาจะมีประกวดลูกทุ่งเยาวชนอีกแล้วนะ แม่จะพาเราไปแข่งอีก เอาไหม”
“เอาค่ะ”
“งั้นนอนซะนะ”
“แม่ร้องเพลงให้หนูฟังหน่อย”
แสงหล้ากลับมานั่งที่ฟูก แล้วกอดรุ้งระวีไว้แนบอก ร้องเพลงให้ฟัง...
“โอม....เอย อีนางลูกแม่นี่เอย คนดีของแม่นี่เอย เอเอ้เอ...มือไกวเปล แม่นี้จิเห่เพลงกล่อม
ว่าขวัญเอย ขวัญมา อย่าร้องไห้ งอแง ผีบ้านผีเรือนปกปักดูแล ลูกแม่หลับให้สบาย แม่จิเอาเดือนตากได้ เอาร่มไม้ตามชายคา แม่ธรณี พระแม่คงคา โหบกอดวิญญาเจ้ามาจนใหญ่...W
รุ้งระวีค่อยๆปรือตาหลับในอกแม่ แสงหล้ายังคงร้อง เสียงเริ่มเครือ น้ำตาไหลออกมาอย่างเศร้ากับชีวิต...
รุ้งระวีเล่าต่อไปว่า...
“จำได้ว่าตอนนั้น แม้จะไม่มีพ่อ แต่ฉันก็มีความสุขกับแม่ แม่พาฉันไปร้องเพลงประกวดหลายที่ แล้วฉันก็ชนะเกือบทุกที่ แม่เก็บถ้วยรางวัลไว้ทั้งหมด”
ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้น...แสงหล้ากับรุ้งระวี ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยกัน ในห้องนั้นมีถ้วยรางวัลเต็มห้อง รูปรุ้งระวีใส่วิกผมบลอนด์ถ่ายตอนร้องประกวด ถ่ายกับแม่ ถ่ายกับเด็กอื่นๆที่ร้องร่วมถูกติดไว้เต็ม สองแม่ลูกร้องจบเพลง แล้วหัวเราะกัน
“ลูกแม่เก่งจริงจริ๊ง....โตขึ้นลูกจะได้เป็นนักร้องดังที่สุดของประเทศไทยเลยนะลูก”
“หนูจะดังเหรอคะแม่”
“ดังซีลูก ลูกแม่ทั้งสวย ทั้งเสียงดีขนาดนี้ ต้องดังแน่ๆลูก”
แสงหล้ากอดรุ้งระวีไว้อย่างมีความสุข
รอยยิ้มของรุ้งระวีจากลง เมื่อนึกถึงวันที่คำรณ สามีใหม่ของแสงหล้าก้าวเข้ามาในชีวิต...
“แต่แล้ว วันคืนแห่งความสุขมันก็จบสิ้นลง...”
ในอดีตนั้น...
รุ้งระวีในชุดนักเรียนวิ่งเข้ามาในบ้าน ได้ยินเสียงแม่กำลังหัวเราะร่วนอยู่กับคำรณ ทั้งสองกำลัง
นั่งดื่มอยู่ด้วยกัน กับแกล้มเต็มโต๊ะ รุ้งระวีชะงักไป
“แม่”
“กลับมาเหรอลูก สวัสดีลุงเขาซี”
คำรณมองลูกเลี้ยงตาเป็นประกาย
“สวยจัง...ลุงชื่อคำรณ”
“สวัสดีค่ะ”
รุ้งระวีไหว้แล้วรีบหลบไปที่ห้องด้านใน
“คงเขินน่ะ”
ทั้งสองคนหัวเราะ
“ต่อไปนี้แสงไม่ต้องห่วงนะ พี่จะดูแลแสงเอง ไอ้พวกที่มันมารีดไถแสง พี่จะจัดการมันให้หมดเลย”
“จริงนะคะ พี่คำ พี่ต้องรักฉันคนเดียวนะ”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่”
รุ้งระวีที่แอบฟังใจหาย เมื่อได้ยินอย่างนั้น...เธอเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นให้ทูนอินทร์ฟังด้วยน้ำเสียงที่เศร้าลง...
“แม่ได้สามีใหม่ ทั้งๆที่รู้ว่านายคำรณเป็นอดีตคนคุก ทำงานเป็นนักเลงคุมทั้งบ่อนทั้งซ่อง”
หลังจากที่คำรณเข้ามาอยู่ในบ้าน ชีวิตของรุ้งระวีกับแสงหล้าก็แย่ลง ค่ำคืนหนึ่ง...รุ้งระวีสะดุ้งตื่นจากที่นอนเพราะเสียงกรีดร้องของแสงหล้า
คำรณจิกผมแสงหล้าที่ยังอยู่ในชุดร้องเพลง แล้วเหวี่ยงเธอเข้าไปในห้อง คำรณกำลังเมาได้ที่
“ปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บ”
“มึงเป็นเมียกู แล้วมึงไปให้ท่าไอ้แจ็คมันทำไม”
“ฉันแค่คุยกับมัน”
“คุยเหรอ กูเห็นมึงเกือบจะจูบกับมันอยู่แล้ว จะเล่นชู้เหรอ”
คำรณตบหน้าแสงหล้ากระเด็นล้มลงไปบนฟูก แสงหล้ากรีดร้อง คำรณเข้าตบตีจนเธอนิ่งไป รุ้งระวีได้แต่ร้องไห้ ขดตัวอยู่กับที่นอน
“โถ นึกว่ามึงสวยนักนะ กูจะตบให้เสียโฉมเลย มึงจะได้ไม่ไปให้ท่าไอ้ฝรั่งอีก”
คำรณเซออกจากห้องไป รุ้งระวีวิ่งมาหาแม่พบว่า หน้าแสงหล้าเปรอะไปด้วยเลือด
“แม่...”
“แม่ไม่เป็นไรลูก”
แสงหล้ากอดรุ้งระวีไว้ พยายามปลอบไม่ให้รุ้งระวีร้องไห้
รุ้งระวีเล่าไปสะอื้นไป...
“แล้ววันที่เลวร้ายที่สุดก็มาถึง...”
เหตุการณ์ในวันนั้น...ค่ำคืนหนึ่งขณะที่ฝนเทกระหน่ำ รุ้งระวีนอนอยู่ในที่นอน สายฟ้าวาบมาเป็นระยะ พร้อมเสียงฟ้าฝน รุ้งระวีสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงมือหยาบกร้านมาลูบคลำใบหน้า เธอลุกพรวด เหม็นกลิ่นเหล้าจากคำรณมาก
“ไม่ต้องกลัว หนูรุ้งระวี ลุงไม่ทำอะไรหรอก สวยนะเราน่ะ...อีกไม่กี่ปีก็เป็นสาวแล้ว สวยกว่าแม่เยอะ อยากช่วยแม่ให้สบายไหม มีเงินกินใช้ไปจนตายเลย”
“ช่วยยังไง”
“ลุงจะพาไปรู้จักลุงฝรั่งใจดีที่พัทยา เขาชอบเด็กลูกครึ่งแบบนี้ เขาจะเลี้ยงดูหนูอย่างดีเลย ได้แต่งตัวสวยๆ ได้อยู่บ้านใหญ่ๆ ชอบไหม บางทีเขาจะพาหนู ไปอยู่เมืองนอกก็ได้นะ”
รุ้งระวีส่ายหน้า
“หนูจะอยู่กับแม่”
“อยู่กับแม่ก็อดตาย”
“หนูจะอยู่กับแม่ อดตายก็ไม่กลัว อย่ามายุ่งกับหนู”
รุ้งระวีปัดมือคำรณออก คำรณบีบคางเออย่างแรง
“อีนี่ อย่าให้มีน้ำโหนะ เดี๋ยวจะโดนเหมือนแม่มึง เตรียมตัวไว้ ข้าจะพาเอ็งไปพัทยา แล้วอย่าบอกให้แม่เอ็งรู้นะ”
“ปล่อย ปล่อยหนู”
“อย่าร้องซี มึงจะร้องทำไม”
คำรณพยายามปิดปาก รุ้งระวีกัดมือ คำรณร้องลั่น รุ้งระวีดิ้นและกรีดร้อง วิ่งออกมาจากห้องนอน ในความมืดของห้องกลาง คำรณวิ่งตามมาทันกระชากร่างของรุ้งระวีเข้ามาจะตบ
รุ้งระวีกรี๊ดคำร้องลั่น ทันใด...ร่างของคำรณสะท้านเฮือกทั้งตัว คำรณปล่อยรุ้งระวีไป แล้วหันไปข้างหลัง ฟ้าผ่าเปรี้ยง แสงวาบเข้าหน้าแสงที่เปียกปอนไปทั้งตัว ถือมีดเปื้อนเลือดอยู่ กลางหลังคำรณ เลือดซึมออกมาเต็ม
“มึงแทงกู อีแสง”
“เออ กูจะฆ่ามึงก็ได้ ถ้ามึงทำร้ายลูกกู”
คำรณเข้าแย่งมีด แสงหล่าเซล้มไปที่พื้น ปล้ำกันไปมา แสงหล้าคว้าขวดเหล้าแล้วฟาดเข้าที่หัวของคำรณเลือดอาบ คำรณร้องลั่นครวญคราง
“รุ้ง หนีเร็วลูก”
แสงหล้าพารุ้งระวีหนีออกจากห้อง คำรณยังร้องครวญคราง แต่พยายามลุกขึ้นตาม แล้วไปล้มลงตรงกองขยะ
“อีแสง มึงกลับมาเดี๋ยวนี้นะ อีแสง”
แสงหล้าพารุ้งระวีวิ่งหนีฝ่าฝนมา แล้วล้มลงไปกลางถนนทั้งคู่ เสียงคำรณยังแว่วมา แสงหล้ากลัวมาก รีบพารุ้งระวีหลบเข้าตรอกเล็กๆหลบอยู่ ครู่หนึ่งคำรณวิ่งผ่านไป
“เป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“หนูไม่เป็นไร แม่...เราจะไปไหน “
“แม่ยังไม่รู้ แต่เราต้องหนีแล้วลูก เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
รุ้งระวีร้องไห้สะอึกสะอื้น แสงหล้ากอดลูกสาวไว้แนบอก ฝนตกหนักไม่มีทีท่าจะหยุด และสายฟ้าแล่บแปลบปลาบเป็นระยะ สองแม่ลูกกอดกันอยู่ในตรอกแคบๆ แห่งนั้น
อ่านต่อหน้า 2
ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 6 (ต่อ)
ฝนยังคงโปรยปรายลงมา ขณะที่รุ้งระวีรุ้งเล่าเรื่อง ทูนอินทร์ฟังด้วยความสงสาร
“แม่พาฉันเข้ากรุงเทพ มาอยู่กับเพื่อนที่เป็นแม่บ้านอยู่กับครอบครัวอเมริกัน เขากำลังจะย้ายกลับอเมริกาพอดี ก็เลยรับอุปการะฉันไปด้วย ยังจำได้วันสุดท้ายที่ได้เห็นหน้าแม่”
ในอดีต...ที่บ้านแครอล ซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กกะทะรัด เต็มไปด้วยต้นไม้ ร่มรื่น รุ้งระวีแต่งตัวสวยพร้อมเดินทาง เธอร้องไห้อยู่กับแสงหล้าที่มาส่ง ขณะที่รถจอดอยู่หน้าบ้าน คนรถกำลังขนกระเป๋าขึ้นรถ
“ทำไมแม่ไม่ไปอเมริกากับหนู แม่ไม่ไปหนูก็ไม่ไป”
“แม่จะตามไปนะรุ้ง รุ้งไปอยู่กับพ่อแม่ฝรั่งก่อน” แสงหล้าพยายามปลอบ
“ไม่...รุ้งไม่อยากไป ฮือ...รุ้งอยากอยู่กับแม่”
“โธ่...ลูก อย่าดื้อนะลูก ลูกต้องไปแล้ว”
แครอลออกมา พร้อมบัวอร ทั้งสองแต่งตัวพร้อมเดินทาง
“โธ่...รุ้ง ร้องไห้ใหญ่เลย ไปอยู่กับฉัน แล้วแม่เขาจะตามเราไปนะ”แครอลปลอบ
“ไม่ไป รุ้งไม่ไป”
บัวอรเข้ามาเรียกไว้
“รุ้ง ไม่ร้องแล้วนะ จะเดินทางแล้ว ขึ้นรถ”
“ไม่”
แครอล และบัวอรน้ำตารื้นไปด้วย
“แหม่มขา ดูแลลูกหนูด้วย” แสงหล้าห้นไปขอร้อง
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะดูแลรุ้งอย่างดี”
“ขอบคุณค่ะ บัวอรฝากรุ้งด้วยนะ
บัวอรพารุ้งระวีขึ้นรถ เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม แสงหล้าแทบขาดใจ
“แม่ไม่รักรุ้งแล้วใช่ไหม แม่ทิ้งรุ้งแล้ว”
แสงหล้าส่ายหน้า
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
รุ้งระวีหันมามอง แสงหล้าเดินตามรถที่กำลังเคลื่อนออกไป
“แม่”
รถแล่นไปห่างจากแสงหล้าทุกที กระทั่งรถลับสายตาไปแล้ว รุ้งระวีร้องสะอื้น บัวอรดึงเธอมากอดไว้อย่างปลอบโยน
เมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่ต้องพลัดพรากจากแม่ รุ้งระวีน้ำตาไหลพราก
“ฉันไม่เข้าใจเลย ทำไมแม่ต้องส่งฉันไปอเมริกา ทั้งๆที่ก็หนีจากพ่อเลี้ยงมาได้แล้ว หรือแม่ไม่รักฉันแล้วก็ไม่รู้”
“ไม่หรอกครับ เท่าที่ฟังดูแม่รักคุณมาก ท่านคงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง”
“ฉันถึงอยากตามหาแม่ให้เจอ”
รุ้งหันมายิ้มเศร้าๆ
“สัญญากับฉันแล้วนะ อย่าลืม”
“อะไรครับ”
“จะช่วยฉันตามหาแม่ไงคะ”
“ไม่ลืมครับ จะช่วยสุดความสามารถ ผมจะเริ่มตั้งแต่วันแรกที่เราไปแสดงคอนเสิร์ทที่โคราชเลย”
“ไม่เสียแรงที่ฉันไว้ใจคุณ”
ทูนอินทร์ยิ้มกว้าง รุ้งระวีรู้สึกโลกทั้งโลกสว่างไสวขึ้นมาทันที
ภาพจากทีวีในร้านข้าวแกงในตรอกโทรมๆ เป็นภาพรุ้งระวีกำลังให้สัมภาษณ์ในคอนเสิร์ทครั้งแรก สลับกับการโชว์คอนเสิร์ต แสงหล้ายืนมองทีวีอย่างมีความสุข
“เฮ้ย...ป้า ไปยืนที่อื่น มาเกะกะทางเดิน ไป...ไป...” เด็กเก็บจานไล่
แสงหล้าเดินเลี่ยงไป ขณะเดียวกัน คำรณที่ทรุดโทรมจากสิบห้าปีที่แล้วมาก ยืนมองอยู่แล้วเดินตามแสงหล้าไปทันที
แสงหล้าเดินเข้ามาในย่านห้องแถวรกร้าง ไม่มีผู้คน มองหาขวดและกระป๋องในกองขยะจะเอาไปขาย คำรณเข้ามายืนค้ำร่าง แสงหล้าเงยหน้าขึ้นมอง พอเห็นว่าเป็นใครก็จะหนี คำรณกระชากร่างไว้
“เอ็งจะหนีข้าไปไหนอีแสง”
แสงหล้าจะกรี๊ด คำรณปิดปากแสงลากเข้าไปในตึกร้าง กระแทกร่างเธอเข้ากับกำแพงอิฐ
“อย่าร้องนะ ไม่งั้นตาย”
คำรณปล่อยมือจากแสงหล้า
“มีคำถามให้เอ็งตอบ นังนักร้องหน้าฝรั่งที่เอ็งดูในทีวีเมื่อกี้ คือนังรุ้งลูกเอ็งใช่ไหม”
“เอ็งจะทำไม”
“ตอบอย่างเดียวไม่ต้องถาม”
“ไม่ใช่ลูกข้า”
คำรณบีบปาก
“อย่ามาโกหกนะ นังรุ้งลูกเอ็งแน่ๆ มันให้สัมภาษณ์ว่ามาตามหาแม่มัน คือเอ็งนั่นแหละ”
“ไม่ใช่ลูกข้า อย่ามายุ่งนะ”
“ที่ผ่านมาเรื่องนังรุ้ง เอ็งทำข้าแสบมาก ข้าทั้งติดคุก ทั้งโดนไอ้เสี่ยพัทยามันเล่นงานแทบตาย จำได้ไหม ตั้งแต่ที่เอ็งหนีไปอยู่กับนังแหม่มน่ะ”
แสงหล้าอึ้งๆ คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต...ช่วงเวลานั้น แสงหล้า บัวอร ยืนคุยอยู่กับแครอลที่หน้าประตูบ้าน แสงหล้าถือตะกร้าพร้อมจะไปตลาด ขณะที่รุ้งระวีเล่นอยู่กับหมาตัวเล็กที่สนาม
“รุ้งน่ารักเหลือเกิน ฉันอยากรับรุ้งเป็นลูกฉัน แล้วพาไปอยู่อเมริกาด้วยกัน เธอจะยอมยกลูกให้ฉันไหม”แครอลถาม
“ฉันคงจากลูกไม่ได้หรอกค่ะ แต่ยังไงก็ขอบคุณค่ะแหม่ม ที่รักและเมตตารุ้ง” แสงหล้าไหว้
“ไม่เป็นไร”
แครอลยิ้มให้ แล้วเดินเข้าไปในบ้าน แสงหล้าหันมาถามบัวอร
“แล้วบัวอร จะตามแหม่มไปอเมริกาด้วยเหรอ”
“ใช่พี่ กะว่าจะไปตั้งรกรากที่นั่นเลย แล้วพี่ล่ะ”
“ก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปตลาดก่อนนะ”
“จ๊ะ”
แสงหล้าออกจากรั้วบ้าน ส่วนบัวอรเดินกลับเข้าบ้านไป คำรณที่มาแอบดูอยู่ได้เดินตามไป เมื่อถึงที่เปลี่ยว คำรณกระชากร่างแสงหล้าเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง เอามีดจี้
“นังแสง”
“พี่คำ อย่าทำอะไรฉันนะ”
“เอาลูกมึงมาหลบอยู่ที่นี่ นึกว่าจะหนีพ้นเหรอวะ พานังรุ้งออกมาเดี๋ยวนี้”
“พี่จะทำอะไรรุ้ง”
“ข้าจะพามันไปพัทยาน่ะซีวะ นายหน้ามันให้เงินล่วงหน้ามาแล้ว ข้าไม่พามันไป มันเล่นข้าถึงตายเลยนะ”
“อ้อ จะพาลูกกูไปขายฝรั่งใช่ไหม”
“ไม่ต้องถาม ไปเอานังรุ้งมา”
“ไอ้ชั่ว ไม่นึกเลยมึงจะชั่วขนาดนี้ มึงจะขายลูกกู ข้ามศพกูไปก่อนเถอะ”
แสงหล้าฟาดขวดแก้วโครมลงบนหัว คำรณทรุดลงทันที เลือดซึม
“อ๊ากกกกกก”
แสงหล้าวิ่งหนีกระเจิง คำรณตามมากระชากร่าง
“ช่วยด้วย กรี๊ด”
คำรณตบหน้าแสงหล้าจนล้มไป ชาวบ้านวิ่งเข้ามาช่วย ชกคำรณคว่ำไป แล้วช่วยรุมกระทืบ แสงหล้าร้องไห้ลั่น ชาวบ้านช่วยกันจับคำรณ
แสงร้องนั่งร้องไห้กับแครอล ขณะที่บัวอรกับรุ้งระวีอยู่ในครัวกินข้าวกันอยู่
“ไม่ต้องกลัวนะ นายคำรณถูกจับไปแล้ว คงไม่มารบกวนแสงแล้ว” แครอลปลอบ
“ไม่ค่ะ มันต้องตามแสงอีกแน่ๆ แหม่มขา ฉันเปลี่ยนใจแล้วจะให้รุ้งไปกับอยู่อเมริกากับแหม่ม รุ้งจะได้ปลอดภัย”
แครอลย้อนถามอย่างดีใจ
“พูดจริงๆ นะแสงหล้า”
“ค่ะ แหม่มอุปการะมันด้วย”
“ไม่ต้องห่วง ฉันรักรุ้งเหมือนลูกของฉันเอง”
แสงหล้ามองไปที่รุ้งระวี ที่ยังทานข้าวกับบัวอร หัวเราะสนุกสนานโดยไม่รู้ชะตากรรม
แสงหล้านึกถึงเหตุการณ์ในดีตแล้ว พยายามตั้งสติ ขณะที่ย้อนถามคำรณ...
“ถ้านักร้องนั่นคือลูกข้า เอ็งจะทำไม”
“จะพาเอ็งไปหามันไง มันบอกว่าใครพาแม่มาหามันได้ มันจะให้รางวัลอย่างงาม”
“เอ็งต้องการเงินใช่ไหม”
“เออซีวะ แล้วข้าก็จะไม่มายุ่งกับเอ็งกับลูกเอ็งอีก ไป เข้ากรุงเทพกะข้าเดี๋ยวนี้เลย”
“ก็ได้”
คำรณปล่อยแสงหล้า จังหวะนั้น แสงหล้าหยิบก้อนอิฐแตกๆจากข้างกำแพง แล้วฟาดลงบนหัวคำรณ
“โอ๊ย”
แสงถีบคำรณล้มลงไปบนกองขยะ แล้ววิ่งหนีกระเจิงไป คำรณวิ่งตามมาจนถึงลานขยะเปลี่ยวๆ เห็นคนเก็บขยะสองสามคน แต่ไม่เห็นแสงหล้าแล้ว
คำรณประกาศ
“อีแสง...กูไม่ได้ตัวมึง ไม่เป็นไรโว้ย แต่ลูกสาวมึงไม่รอดมือกูแน่”
คำรณเซซังจากไป มุมตึกอีกด้าน แสงหล้าซ่อนตัวอยู่ตัวสั่นเทา ได้ยินคำขู่ของคำรณชัดเจน ยิ่งห่วงลูกมากขึ้น
“อย่านะ อย่าทำอะไรลูกข้า อย่าทำอะไรรุ้ง”
แสงหล้าพึมพำ พลางสะอื้น
ที่บ้านอินสรวง...ทูนอินทร์เชิญทุกคนมาทานอาหารด้วยกันในห้องอาหาร ทุกคนทานอิ่มแล้วนั่งคุยกัน มีแต่จี่หอยที่ยังทานไม่เลิก
“อาหารอร่อยมากค่ะ” รุ้งระวีชม
“แม่ครัวเป็นคนเหนือน่ะครับ” ทูนอินทร์เล่า
“พี่หอย ยังไม่อิ่มเหรอ” มะปรางหันไปถาม
จี่หอยยิ้ม
“พี่ก็เป็นคนเหนือ ได้ทานอาหารเหนือถิ่นเก่า มันเลยหยุดไม่ลง”
“เดี๋ยวอ้วนไม่สวยนะครับ” อินทรแซว
“งั้นเลิกเลย กินอะไรไม่ลงแล้วเนี่ย ต่อมอิ่มทำงานทันที“
รุ้งระวีมองไปที่ผนัง เห็นมีรูปติดอยู่มากมาย
“รูปถ่ายเยอะจังค่ะ”
“ผมชอบถ่ายรูปครับ สะสมไว้เยอะ”
“พี่ทูน พาไปดูรูปที่ห้องนั่งเล่นซี รูปสวยๆทั้งนั้น” อินทรแนะ
ทั้งหมดเข้าไปในห้องนั่งเล่น ที่ตกแต่งแบบพื้นบ้านงดงาม เปิดโล่งมองไปเห็นวิวด้านนอก ทูนอินทร์พารุ้งมาที่โต๊ะวางรูป มีรูปถ่ายใหญ่น้อยวางอยู่เต็ม มะปราง อินทร จี่หอยไปดูรูปอีกมุม
“รูปถ่ายสวยๆทั้งนั้นเลย” จี่หอยชม
“ฝีมือคุณทั้งหมดเหรอคะ” รุ้งระวีถาม
“ครับ”
“เก่งรอบด้านเลย ถ่ายรูป ถ่ายมิวสิค ร้องเพลง เล่นดนตรี”
ทูนอินทร์มองไปที่รูปฟ้าใสแล้วขรึมไป
“ไม่เก่งอยู่อย่างเดียว เรื่องความรัก”
รุ้งระวีหัวเราะ แต่ทูนอินทร์นิ่งไป เธอมองตามสายตาของเขา เห็นว่ารูปนั้นคือ ฟ้าใส ใจสะออน นักร้องดังที่แต่งตัวสวยกำลังร้องอยู่บนเวที งดงามราวกับนางฟ้า
“นี่คือ ฟ้าใส ใจสะออนใช่ไหม”
“รู้จักเหรอครับ”
“คนโปรดฉันเลยค่ะ เพลงของรักของหวง ดังสุดๆที่แอลเอ คุณถ่ายรูปเธอเหรอ”
“ครับ”
รุ้งระวีสังเกตเห็นเขาดูเศร้าไป เธอมองไปที่รูปของเขาในวัยเด็ก ในชุดที่ร้องประกวดหลาย ๆรูป บางรูปถือถ้วยรางวัลชนะเลิศ ถ่ายกับเด็กที่ประกวดอื่นๆ
“อุ๊ย...น่ารักจัง คุณเหรอคะ”
“ครับ สมัยเด็กๆพ่อแม่จับร้องแข่งประกวดทั่วประเทศ ได้มาหลายรางวัลเหมือนกัน”
“เหมือนฉันเลย สมัยเด็กฉันก็นักล่ารางวัลเหมือนกันนะ เอ...สมัยเด็กคุณร้องเพลงต่อหน้าคนดูได้ แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมร้องไม่ได้อีกเลย”
“เรื่องมันยาวครับ มันเกิดขึ้นจากยายเด็กแหม่มตัวแสบ ที่ร้องแข่งกับผมสมัยผมสิบขวบ ยายนี่แหละที่ทำให้ผมประสาทกลางเวที เดี๋ยวจะให้ดูรูป เอ...หายไปไหนแล้ว...ทร”
“ครับพี่”
“หารูปเด็กแหม่มตัวแสบมาให้ที”
“ได้ครับ”
อินทรหารูป จี่หอยและมะปรางแยกมามุมหนึ่ง ทั้งสองเขม้นมองไปที่รูปรุ้งระวีวัยเด็ก ใส่วิกผมทอง ถือรางวัลยิ้มแฉ่ง
“พี่หอย ดูซี พี่รุ้งเอารูปตัวเองมาวางตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“นั่นซี ไหนรุ้งบอกว่ามีอยู่รูปเดียวไง รุ้ง มาดูนี่ ทำไมมีรูปรุ้งอยู่ตรงนี้ล่ะ”
รุ้งระวีเดินมาสมทบ เห็นรูปตัวเอง อ้าปากค้าง
“รูปรุ้งตอนเด็ก มีตั้งสองสามรูปแน่ะ มาอยู่ที่บ้านนี้ได้ยังไง”
ทูนอินทร์เข้ามาพอดี
“อ๊ะ เจอแล้ว นี่ละครับ รูปยายแหม่มจ๋า เด็กนรกที่แกล้งผม”
รุ้งระวี จี่หอย มะปรางตกใจ
“แหม่มจ๋า!”
“ยายเด็กคนนี้คือคนที่แกล้งคุณ” รุ้งระวีถามย้ำ
“ใช่ครับ”
“มีอะไรเหรอครับ รู้จักเด็กคนนี้เหรอ”
ทั้งสามสาวรีบบอกพร้อมกัน
“ไม่รู้จักค่ะ / ไม่รู้อะไรเลย / เพิ่งเคยเห็นค่ะ”
“แต่เมื่อกี้ พี่หอยบอกมีรูปคุณรุ้งอยู่ตรงนี้” อินทรถาม
“อ๋อ เข้าใจผิดน่ะค่ะ มองไปเห็นรูปนักร้องคนนี้” จี่หอยชี้ไปมั่วๆ “นึกว่าเป็นรุ้ง”
“ครับ ยายเด็กบ้านี่แหละ ทำร้ายผม”
“ยังไงคะ”
“เออ ต้องเล่าสองต่อสองน่ะครับ ตรงนี้ประเจิดประเจ้อ”
รุ้งระวีสบตาจี่หอยและมะปราง อินทรชักสงสัยท่าทีสาวๆ
รุ้งระวีและทูนอินทร์นั่งคุยกันสองต่อสองที่เฉลียง มีรูปแหม่มจ๋าวางอยู่ตรงหน้าหลายรูป
“เออ...ใส่ตุ๊กแก ลงไปในกางเกงคุณเลยเหรอคะ” รุ้งระวีรู้อยู่แล้วอะไรเป็นอะไร แต่แกล้งถาม
“ครับ ร้ายมาก แล้วผลักผมออกไปร้องหน้าเวที ผมกลัวตุ๊กแกอยู่แล้วก็เลยร้องไม่ออก แถมยังเออ....โทษนะครับ ฉี่ราดรดกางเกงอีก คนดูหัวเราะเยาะผมกันทั้งห้างเลย ยายแหม่มจ๋า ได้รางวัลที่หนึ่งไป ส่วนผมกลายเป็นโรคจิต ร้องเพลงต่อหน้าคนทีไร เป็นเห็นตุ๊กแกวิ่งเข้ากางเกงทุกที แล้วก็....”
ทูนอินทร์นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดนิ่งไป
“อะไรคะ”
“เออ ไม่เล่าดีกว่าครับ น่าเกลียด”
“เล่ามาเถอะค่ะ ฉันอยากรู้ว่าฉัน...เอ๊ย...เด็กแหม่มนั่นทำอะไรกับคุณ”
“ก็ผมคิดว่าตุ๊กแกมันกัดของผมขาดน่ะซีครับ ที่กลัวจนขนหัวลุก”
“เด็กนั่น...ทำให้คุณเป็นถึงขนาดนี้เชียว”
“ครับ ถ้าเจอกันอีกทีนะ ผมจะขอล้างแค้นให้สาสม”
“จะทำอะไรคะ เพราะตอนนี้เขาคงเป็นสาวสะพรั่งแล้ว”
“ผมจะเรียกค่าเสียหายไง ผมว่าไม่สะพรั่งหรอก ป่านนี้คงเป็นพะโล้ชามใหญ่แล้วละ”
รุ้งระวีเชิ่ดทันที
“แล้วถ้าเขาสวยล่ะ ยังอยากล้างแค้นไหม”
“ถ้าสวยก็ดูก่อน แต่ถ้าสวยแบบคุณรุ้ง ให้อภัยหมดเลย”
รุ้งระวีหัวเราะคิก ทูนอินทร์หัวเราะตาม
จี่หอยและมะปราง แอบมาคุยกัน
“ทำไมมันบังเอิญอย่างนี้นะ อย่างกะนิยายโกหก” จี่หอยบ่น
“แล้วเอาไงดีคะพี่ บอกความจริงคุณทูนดีไหม”
“ไม่ได้เชียวนะ คุณทูนรู้เข้า ไล่เราออกจากบ้านแน่เลย”
อินทรเดินเข้ามา
“เรื่องอะไรปิดบังผมกับพี่ทูนเหรอครับ”
จี่หอย มะปรางตาปริบๆ ไม่รู้จะพูดยังไงดี
ทูนอินทร์และรุ้งระวียังคุยและหัวเราะกัน ครู่หนึ่งทูนอินทร์มองรุ้งระวีแล้วคลายยิ้มลง ยกรูปแหม่มจ๋าขึ้นเทียบ ภาพเด็กยิ้มกับรุ้งระวีที่ยิ้มเหมือนกัน
รุ้งระวีหยุดยิ้มทันที ทูนอินทร์หน้าเครียด ลุกพรวดขึ้น
“คุณรุ้ง ผมรู้แล้ว ผมรู้ความจริงแล้ว”
“รู้ว่าฉันคือ...”
“ยิ้มอีกซีครับ”
รุ้งระวีฉีกยิ้ม ทูนอินทร์เทียบรูปกับรุ้งระวี
“เหมือน เหมือนกันมาก งั้นซี พอคุณบอกให้ผมร้องเพลงให้คุณฟัง ผมมองหน้าคุณทีไร ผมเกิดอาการประสาทร้องเพลงดีๆ กลายเป็นเพลงลามกทุกที”
“อย่าบอกนะว่า คุณคิดว่าฉันคือเด็กแหม่มจ๋า”
“เปล่า แต่คุณเหมือนยายเด็กนี่มาก ผมมองคุณทีไรก็นึกถึงยายเด็กนี่ทุกที นั่นแหละที่ทำให้ผมร้องเพลงไม่ออก”
รุ้งระวีโล่งอก
“อ๋อ.....”
“ตลกนะครับ”
“ค่ะ ตลกมาก”
ทั้งสองหัวเราะกัน รุ้งระวียกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“เออ...เมื่อไหร่จะให้ผมเห็นรูปคุณกับแม่ละครับ”
รุ้งระวีสำลักทันที ทูนอินทร์มองอย่างสงสัย
“จะดูตอนนี้เลยเหรอคะ”
“ครับ เห็นว่ารูปอยู่ในห้องนอนใช่ไหมครับ”
รุ้งระวียิ่งเจื่อนกว่าเดิม
รุ้งระวีเดินเข้ามาในห้องนอนด้วยความไม่มั่นใจ ทูนอินทร์ตามมา รุ้งระวีกลั้นหายใจ มองไปที่เตียงเห็นรูปเธอกับแม่คว่ำหน้าอยู่บนหัวเตียง รุ้งระวีหยิบรูปมาโดยไม่ได้มองรูป แล้วหันมาเผชิญหน้าทูนอินทร์
“ดูแล้ว ก็อย่าว่าอะไรฉันเลยนะคะ”
“ว่าคุณเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ดูเอาเองเถอะค่ะ “
รุ้งระวีส่งรูปให้ ทูนอินทร์รับมาดู
“ฉันขอโทษนะ”
“ขอโทษผมเรื่องอะไร”
“อ้าว.....”
“คุณแม่คุณสวยมากครับ เอ แต่ทำไมเหมือนรูปมันหายไปส่วนนึง”
“ไหนดูซีคะ”
ทูนอินทร์ส่งกลับ รุ้งระวีมองรูปแล้วอึ้ง เพราะที่รูป ส่วนที่เป็นรูปแหม่มจ๋าถูกเฉือนออกไปแล้ว เหลือแต่รูปนางแสงหล้าคนเดียว
“ผมจะขอก็อปปี้รูปไว้นะครับ เห็นหน้าชัดอย่างนี้ผมว่าตามหาไม่ยาก”
รุ้งระวียิ้มเจื่อน ยังสงสัยว่าใครเป็นคนเฉือนรูปทิ้ง
ที่มุมห้องนั่งเล่น...อินทรอยู่ตรงหน้ารุ้งระวี จี่หอย มะปราง มีรูปรุ้งระวีที่ถูกตัดออกในมือรุ้งระวี
“คุณทรน่ะซีไหวตัวทัน ขอดูรูปรุ้งในห้องนอน แล้วเลยให้เราเฉือนหน้ารุ้งออกก่อนที่คุณทูนจะเข้ามาเห็น” จี่หอยเล่า
“ขอบคุณค่ะคุณทร” รุ้งระวียิ้มให้อินทร
“ไม่นึกจริงๆนะ ว่าแหม่มจ๋า คือคุณรุ้ง...งั้นซี”
“ทำไมคะ”
“พี่ทูนมองหน้าคุณทีไร เห็นหน้าเด็กแหม่มจ๋าแว่บเข้ามาทุกที แล้วก็...”
“คะ”
“ติดใจคุณรุ้ง จนต้องตามไปหาอยู่เนืองๆ”
หอยและมะปรางหัวเราะคิก รุ้งระวีค้อนหน้าแดง
“พี่หอย ปราง พอแล้ว แล้วคุณจะบอกพี่ชายคุณรึเปล่าคะ”
“อยากให้ผมบอกรึเปล่าละครับ”
“ฉันคงต้องบอกเขาสักวัน แต่คงไม่ใช่วันนี้”
“ทำไมละครับ”
“ฉันกับคุณทูนเพิ่งรู้จักกันนะคะ ฉันไม่อยากทำลายความรู้สึกดีๆที่เรามีต่อกัน แต่รับรองค่ะ ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อขอโทษเขา และให้เขาให้อภัยฉันให้ได้”
“เข้าใจครับ งั้นผมจะรูดซิบปากเงียบเลย”
“ว่าแต่รูปนี้ ฉันถูกพรากจากแม่อีกแล้ว”
“เดี๋ยวเราจะติดให้ใหม่ค่ะพี่รุ้ง แล้วเก็บภาพจริงไว้ ส่วนรูปในกรอบนั่นจะถ่ายใหม่ เหลือรูปแม่พี่รุ้งคนเดียว”
“ใช่....เพื่อความเซฟของรุ้งด้วย” จี่หอยบอก
ทูนอินทร์เดินเข้ามา ทุกคนรีบทำปกติ รุ้งระวีรีบยื่นรูปแหม่มจ๋าส่งให้มะปรางเก็บไว้
“คุยอะไรกันอยู่ครับ” ทูนอินทร์ถาม
“อ๋อ....คุยเรื่องรูปที่...เอ๊ย...คุยว่าช่วงบ่ายนี้เราจะทำอะไรกันดีน่ะฮ่ะ”
“ไปทานกลางวันที่ร้านในเมืองไงครับ มีตลาดนัดพื้นเมืองให้ช็อปปิ้งด้วย”
“อุ๊ย...งั้นไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” มะปรางรีบ
ทั้งหมดแยกย้ายกันไปเตรียมตัว
ที่ตลาดในเมือง...ทูนอินทร์และรุ้งระวีทานอาหารอยู่ในร้านเก่า ตกแต่งน่ารัก คนเต็มร้าน ขณะที่ไผ่ พงศธรกำลังร้องเพลงช้าขับกล่อมคนฟังอยู่
“บรรยากาศดีจังเลยค่ะ”
“ไว้ไปที่ร้านต้มแซ่บของผม บรรยากาศดีกว่านี้อีกครับ”
ไผ่ร้องเพลงจบ ทุกคนปรบมือ
“ขอบคุณครับ วันนี้เรามีนักร้องดังมาทานอาหารในร้านเราด้วย”
คนในร้านมองหานักร้องที่ว่า รุ้งระวีรีบใส่แว่นดำ ก้มหน้าหลบทันที
“อุ๊ย...อย่าประกาศชื่อฉันนะ”
“ขอเชิญพี่ฟ้าใส ใจสะออนให้เกียรติขึ้นบนเวทีหน่อยครับ”
ทูนอินทร์อึ้งไปทันที ขณะที่รุ้งระวีเก้อไป คนในร้านปรบมือกราว ร่างของฟ้าใสในชุดเซ็กซี่อยู่มุมไกลสุดของร้านลุกขึ้น ผู้ชายเป่าปากวี๊ดวิ่ว
“ฟ้าใสเหรอคะ อุ๊ย...อยากเจอมานานแล้ว”
ฟ้าใสเดินผ่านคนในร้าน ที่จับมือไปตลอดเกือบทุกโต๊ะ ฟ้าใสทั้งจับมือ ทั้งไหว้อ่อนช้อย เดินผ่านมาที่โต๊ะของทูนอินทร์ สบตากับทูนอินทร์อย่างแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นทูนอินทร์นั่งกับรุ้งระวี
“สวัสดีค่ะพี่ฟ้า สวยจังเลย” รุ้งระวีรีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ ไงคะพี่ทูน ไม่ได้เจอกันนานเลย”
“สบายดีเหรอฟ้า” ทูนอินทร์ทักทายอย่างขอไปที
“ก็ดีค่ะ เสี่ยเขาเลี้ยงดี”
ทูนอินทร์อึ้งไป
“พี่ฟ้าคะ ขอลายเซ็นหน่อยะนะคะ”
รุ้งระวีหยิบกระดาษและปากกา ฟ้ามองรุ้งระวีแล้วจำได้ สายตานั้นหยันๆ
“รอให้ร้องเพลงก่อนนะคะน้องรุ้ง”
“อุ๊ย...รู้จักรุ้งด้วย”
ฟ้าใสยิ้มให้ทูนอินทร์
“รู้ซี รุ้งระวีกำลังดังนี่ เก่งนะพี่ทูน ควงนักร้องหน้าใหม่มาเชียว เฮียอิทธิเขาไม่ว่าหรอกหรือ”
ฟ้าใสแยกไปที่เวที รุ้งระวีเจื่อนไป ทูนอินทร์หน้าเครียด
“พี่เขาหมายความว่ายังไงคะ”
ทูนอินทร์ขรึมไป
“ไม่ทราบเหมือนกัน รุ้งอิ่มรึยัง ถ้าอิ่มแล้วเราย้ายร้านเถอะ”
“เดี๋ยวนะคะ ขอฟังพี่ฟ้าร้องเพลงก่อน”
บนเวที ฟ้าใสทำเป็นยิ้มร่าเริง
“น้องไผ่นี่น่าตีจัง ฟ้าแอบมาทานข้าวก็ยังเรียกให้ขึ้นมาร้องจนได้ แต่ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้เกิดอยากร้องขึ้นมาจริงๆ เพราะมีอดีตคนรู้ใจของฟ้ามาฟังด้วย เพลงอะไรดีเอ่ย”
“ของรัก ของหวง”
“ได้ค่ะ ใครที่ชอบแย่งคนรักของคนอื่น ฟังให้ดีๆนะ จะได้ไม่แย่งของของชาวบ้านเขา”
รุ้งระวีอึ้งไป สบตากับทูนอินทร์ ไม่แน่ใจว่าโดนด่ากระทบรึเปล่า
เพลงขึ้นทันที ฟ้าใสทั้งร้อง ทั้งเต้นอย่างมืออาชีพ เนื้อเพลงกล่าวถึงคนรักของใครใครก็หวง อย่าเที่ยวแย่งสามีชาวบ้านเขา มีจังหวะดนตรีโซโล ฟ้าใสเต้นท่าส่ายสะโพก ซึ่งเป็นท่าประจำตัวของเธอ คนยิ่งเฮลั่น
รุ้งระวีพยายามไม่คิดมาก ทำใจให้สนุกไปกับเพลง แต่ทูนอินทร์ไม่สนุกด้วย ฟ้าใสลงจากเวที เดินมานั่งลงบนตักทูนอินทร์ คนดูเฮ ฟ้าใสร้องโดยคลอเคลียไปกับทูนอินทร์ด้วย
รุ้งระวีอึ้ง ทูนอินทร์อึดอัด แต่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ฟ้ายั่วจนสะใจแล้ว จึงกลับไปจบท่อนบนเวทีด้วยการโพสเซ็กซี่ คนดูชอบใจปรบมือลั่น รุ้งระวีปรบมือสุดตัว แต่ทูนอินทร์นั่งนิ่งไม่แสดงอาการใด ๆ
ที่บริษัท...จุ๊บแจงโวยใส่อิทธิ ขณะที่จวงใจนั่งอยู่มุมห้อง คิดอะไรบางอย่าง
“ทำไม มันไปค้างไร่อินสรวงได้ ทำไมแจงจะไปบ้างไม่ได้”
“นายทูนเขาไม่ได้เชิญเรานะแจง จะหน้าด้านไปได้ยังไง” อิทธิย้อน
“ก็เลยให้สิทธิ์นังรุ้ง มันคนเดียว”
“ก็ใช่....เพราะรุ้งเขาอยากไปพักผ่อน อีกอย่างเขาไม่อยากอยู่ที่นี่ เจอนักร้องร่วมค่ายที่คอยแกล้งอยู่ตลอดแบบนี้ เขารำคาญ ไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” อิทธิไล่
“ไม่ไป แจง...”
จวงใจรีบตัดบท
“แจง พอแล้ว ไปได้แล้ว”
“พี่จวง”
จวงใจลุกขึ้น ดึงจุ๊บแจงออกจากห้องทันที
จวงใจดึงจุ๊บแจงออกมา แอบมองเข้าไปในห้อง ขณะที่อิทธิต่อมือถือ
“รุ้งเหรอ เป็นยังไง ไร่อินสรวง นายทูนต้อนรับดีไหม”
รุ้งระวีรีบแยกมาคุยนอกร้าน
“ดีมากค่ะ”
“เสียงอะไรน่ะ”
“มาทานกลางวันร้านพี่ไผ่ ในเมืองกับคุณทูนค่ะ มีดนตรี”
“ไปกับนายทูนสองต่อสองงั้นเหรอ”
“มากันหมดค่ะ พี่หอย มะปราง”
“พรุ่งนี้ผมจะไปนะ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับถ่ายมิวสิค”
“ค่ะ คุณอิทธิ”
“คิดถึงนะครับ”
อิทธิเลิกสาย ชักเป็นกังวลเรื่องทูนอินทร์ จวงใจปิดประตูเบาๆอย่างเครียดๆ
อ่านต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 6 (จบตอน) พรุ่งนี้
ต้มยำลำซิ่ง ตอนที่ 6 (ต่อ)
จวงใจนั่งคิดอะไรบางอย่าง ขณะที่จุ๊บแจงมองอย่างโมโห
“พี่จวง เอาไงกันแน่ ก็บอกให้หนูโวยคุณอิท เรื่องไร่อินสรวงไม่ใช่เหรอ”
“โวยพอแล้ว อีกอย่างพี่มาคิดดูแล้วนะ ก็ดีเหมือนกันที่นังรุ้งมันไปกับนายทูน”
“ดียังไง”
“ไม่สังเกตเหรอ นายทูนน่ะมันเอาอกเอาใจนังรุ้งจะตาย มันอาจจะจีบนังรุ้งอยู่ก็ได้”
“แล้วมันดียังไงล่ะพี่”
“อ้าว...นายทูนแย่งนังรุ้งไปจากคุณอิท ไม่ดีหรอกเหรอ”
จุ๊บแจงคิดตามแล้วส่ายหน้า
“ดีหรือไม่ดี...คิดไม่ออกพี่”
“เฮ้อ...คุณอิทเขาจะได้กลับมาหาเราไง ดีไหม คิดออกรึยัง”
จุ๊บแจงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“คิดออกแล้วพี่....ดี ดีแล้ว”
ขณะเดียวกันคม กับเดชเดินเข้ามา จวงใจหันไปถาม
“พี่คม คนรถที่จวงให้พี่หาให้น่ะ ได้รึยัง”
“พามาด้วยแล้ว คนของเฮียปอ”
“ได้แล้วเหรอ อยู่ไหน”
“มากับผมเลยพี่”
เดชพาจวงใจและแจงแยกไปที่หน้าบริษัท ส่วนคมเข้าไปหาอิทธิที่ห้องทำงาน
“มันเพิ่งลาออกจากบ่อนของเฮียปอ มันขับรถเก่งพี่ ไว้ใจได้” เดชเล่า
“เหรอ แต่มันต้องอยู่ประจำกับฉันเลยนะ”
“ไม่มีปัญหา”
ทั้งสองเดินมาถึงโถงหน้า พบคำรณที่นั่งรออยู่
“อ้าว นายคำ นี่เจ๊จวงกับน้องจุ๊บแจง แตงร่มใบ ที่จะจ้างนายขับรถ”
คำรณลุกขึ้นไหว้ จวงใจมองอย่างพึงใจ เมื่อเห็นเขาแต่งตัวเรียบร้อย สะอาดสะอ้าน
“ชื่ออะไรนะ”
“เรียกผม คำก็แล้วกันครับนายหญิง”
คำรณยิ้ม หน้าตายังดูหล่อเหลา กล้ามเป็นมัดๆ จวงใจมองอย่างปลื้มโดยเฉพาะคำว่า
“นายหญิง”
ฟ้าใสมานั่งร่วมโต๊ะ รุ้งระวีหันไปยิ้มให้
“เพราะจังค่ะ เพลงพี่ฟ้าฮิตมากที่แอลเอนะคะ”
“เหรอ พี่ว่าเพลงพี่ฮิตทุกที่แหละ ไม่ว่าจะไปเปิดที่ไหนในโลก พี่ทูน ไม่พูดอะไรบ้างเลยคะ ไม่ยินดีกับฟ้าบ้างเหรอคะ ที่เพลงของรักของหวงฮิตระเบิด”
“ก็...ยินดีด้วย ว่าแต่ของรักของหวงของฟ้าคือใครล่ะ เสี่ยดำรงเหรอ” ทูนอินทร์ย้อนถามกวนๆ
“พี่ทูนเนี่ยชอบแขวะฟ้าเรื่อยเลย ตัวเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าของรักของฟ้าคือใคร อ้อ...คงลืมหมดแล้วมั้ง มีของใหม่แล้วนี่”
ฟ้าใสปรายตามองมาที่รุ้งระวี
“เก่งจังนะ ไม่เท่าไหร่ควงน้องรุ้งออกงานกันเสียแล้ว เป็นแฟนกันรึเปล่าเนี่ย”
“เปล่านะคะ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ น้องรุ้งรีบออกตัวเชียว พี่เตือนนะ ตอนที่พี่เริ่มดังใหม่ๆ พี่ทูนเขาก็ควงพี่แบบนี้แหละ แต่ไม่นานเขาก็เบื่อ”
“รุ้ง กลับเถอะ”
“อ้าว...จะกลับไปไหน ยังไม่ได้คุยกันเลย”
“รุ้ง..ไป”
ทูนอินทร์ดึงมือรุ้งระวีออกจากร้านทันที ฟ้าใสมองตามยิ้มเยาะ
ทูนอินทร์พารุ้งระวีออกมาหน้าร้าน เจอเข้ากับอินทร จี่หอยและมะปรางที่หอบถุงช็อปปิ้งกลับมาพอดี
“รุ้ง น่าไปช็อบกับพวกเรานะ ของถูกแล้วสวยๆทั้งนั้น” จี่หอยบอก
อินทรเข้าไปหาทูนอินทร์
“จะกลับแล้วเหรอพี่”
“นายช่วยไปจ่ายเงินในร้านให้ที พี่จะกลับกับรุ้งก่อน”
“ครับได้ มีอะไรรึเปล่าครับ”
ขาดคำเสียงหัวเราะของฟ้าใสแว่วมา ฟ้าใสเดินออกมาพร้อมไผ่ อินทรเข้าใจทันทีว่าทำไมทูนอินทร์ดูอารมณ์ไม่ดี
“แล้วพี่มาทานร้านผมอีกนะ” ไผ่บอกฟ้าใส
“จะหลอกให้ฉัน ร้องเพลงในร้านเธออีกใช่ไหมล่ะ”
มะปรางเห็นฟ้าใสตาโตทันที...
“อุ๊ย พี่ฟ้าใส ตัวจริงสวยจัง ไปขอลายเซ็นดีกว่า”
มะปรางจะเข้าไปขอลายเซ็น จี่หอยดึงไว้
“ไม่ต้องมะปราง”
“ทำไมพี่”
“บอกไม่ต้องก็ไม่ต้องซี”
ไผ่กลับเข้าร้านไป ฟ้าใสหันมาทางกลุ่มทูนอินทร์ เดินเข้ามาหารุ้งระวี
“อ้าว...นึกว่ากลับกันไปแล้ว น้องรุ้งคะ ไหนว่าจะขอลายเซ็นไม่ใช่เหรอ”
รุ้งระวีชักกลัวๆนิสัย
“ค่ะ ถ้าไม่เป็นการรบกวน”
รุ้งระวียื่นสมุดโน้ตเล่มเล็กให้พร้อมปากกา ฟ้าใสรับมา ชำเลืองไปทางทูนอินทร์ ที่ไม่แม้แต่มองหน้า ฟ้าใสเซ็นให้อย่างดี ปิดสมุด ส่งคืน จี่หอยมองฟ้าใสอย่างไม่เป็นมิตร
“ขอบคุณค่ะ”
รถคันใหญ่แล่นมา
“รถเสี่ยดำรงมารับแล้วค่ะ ไปนะคะพี่ทูน แล้วว่างๆจะไปเยี่ยมที่บ้าน”
ฟ้าใสยิ้มตาปรอย ก้าวขึ้นรถหรู ทูนอินทร์ยิ่งเครียด
“พี่ ดูเร็ว พี่ฟ้าเขียนว่ายังไง”
มะปรางบอก สามสาวเปิดสมุดออกดู อินทรเข้ามาดูด้วย
“ฟังเพลงของรักของหวง ให้ขึ้นใจนะ ชีวิตจะดีขึ้น จาก...เจ้าของตัวจริง” รุ้งระวีอ่าน
อินทรอึ้งไป ขณะที่จี่หอยโกรธ
“หมายความว่ายังไงพี่ ไม่เซ็นชื่อว่าฟ้าใสด้วย”
มะปรางสงสัย รุ้งระวีมองไปที่ทูนที่ไม่พูดอะไร
“อีฟ้าต่ำ นี่มันร้ายทั้งบนเวทีนอกเวที”
“มีอะไรกันเหรอพี่” รุ้งระวีสงสัย
จี่หอยโพล่งขึ้นมา
“ไม่อยากจะด่า นังฟ้าต่ำนี่แหละนางมารเรยาของแท้ ที่มันไปอยู่กับเสี่ยดำรงน่ะ เห็นว่าไปเป็นเมียน้อยเขานะ จนเมียหลวงเขาทนไม่ได้ต้องหย่ากัน”
ทูนอินทร์ยิ่งขรึมไปกว่าเดิม อินทรเตือน
“อะแฮ่ม”
“เห็นว่าก่อนจะมาได้เสี่ยดำรง นังนี่มันผ่านมาเป็นกองทัพแล้วนะ มันไปหลอกนักเพลงกระจอกๆคนนึง ไปขโมยเพลงเขามาร้อง จนดังลั่นขึ้นมาได้”
“อะแฮ่ม”
“ดีนะ ที่นักแต่งเพลงคนนั้นเขาทั้งจน ทั้งกระจอก เขาเลยไม่มีแรงไปสู้เรื่องลิขสิทธิ์กับมัน”
“ทร พี่ไปรอที่รถนะ”
ทูนอินทร์ผละไปทันที
“พี่หอย หยุดเถอะ” อินทรห้าม
“หยุดทำไม”
“นักแต่งเพลงกระจอกคนนั้นน่ะ คือพี่ทูนครับ”
“หา....อยากตาย”
หอยทำท่าจะเป็นลม อินทรและมะปรางต้องช่วยรับไว้ รุ้งระวีมองไปที่ทูนอินทร์อย่างเป็นห่วง
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อินทรเล่าเรื่องของทูนอินทร์ กับฟ้าใสให้ฟัง จี่หอยจ๋อยไปเลย
“ใครจะไปรู้ว่าคือคุณทูน ถ้างั้นแหล่งข่าวก็ผิด ไม่ใช่นักแต่งเพลงกระจอกเสียหน่อย รวยออกอย่างนี้ เอ...แล้วทำไมคุณทูนไม่ฟ้องร้องละคะ” จี่หอยถาม
“เฮ้อ....พี่ทูนเขาเจ็บมากนะครับงานนี้ เขาอยากจะลืมเรื่องของฟ้าใสให้หมด เลยไม่ได้เอาเรื่อง”
“แสดงว่าพี่ทูนรักเธอมากใช่ไหมคะ” มะปรางซัก
“ก็....จดทะเบียนแต่งงานกันแล้วละครับ”
“ลมชัก”
จี่หอยทำท่าจะเป็นลม รุ้งระวีถอนใจ เสียงขลุ่ยดังแว่วมา น้ำเสียงดูเศร้าสร้อย
“ใครเป่าขลุ่ยคะ”
“อยู่ที่เพิงน่ะครับ พี่ทูน”
รุ้งระวีมองไป แล้วตัดสินใจลงจากเฉลียงไป
“เรื่องพี่ทูนเศร้าจังค่ะ” มะปรางบอก
“เฮ้อ...พี่ก็ปากไม่ดี ไม่น่าพูดออกไปเลย”
“ทำไมพี่ถึงรู้ว่ายายฟ้าใสเธอร้ายละครับ” อินทรสงสัย
“เคยประชันคอนเสิร์ตกันค่ะ มันแกล้งยายแจงกับเจ๊ขวัญข้าวบนเวที ร้องแทบไม่ออกไปเลย นี่แหละร้ายตัวแม่เรยาตัวจริงค่ะ คอนเฟิร์ม” จี่หอยนึกถึงฟ้าใสแล้วเหยียดปาก
รุ้งระวีเดินมาที่เพิง พบทูนอินทร์กำลังเป่าขลุ่ยเพลงสะพานรุ้ง อย่างเศร้าสร้อย ทูนอินทร์จบเพลงทันทีเมื่อเห็นรุ้งเดินเข้ามา
“เพราะมาก”
“เมื่อกี้ต้องขอโทษแทนฟ้าใสด้วยนะ ที่แสดงกิริยาไม่ดีใส่รุ้ง โดยเฉพาะที่เขียนโน้ตแบบนั้น”
“ไม่รู้สึกอะไรหรอกค่ะ เจอนักร้องร่วมค่ายแบบนี้จนชินแล้ว”
ทูนอินทร์หัวเราะ รุ้งระวีหัวเราะตาม
“แต่...ท่าทางเธอยังหวงคุณอยู่”
“ไม่หรอกครับ แค่อิจฉาที่เห็นผมอยู่กับรุ้งละมั้ง”
“ทำไมต้องอิจฉา”
“ก็รุ้งกำลังดังนี่ครับ ฟ้าใสไม่ชอบให้ใครมาดังเกินหน้าเขา อีกอย่างเขาคงคิดว่าเราเป็น...แฟนกัน”
รุ้งระวีเขินตาม
“ก็เลยอิจฉาเป็นสองเท่า”
ทั้งสองไม่กล้ามองหน้ากัน นิ่งๆกันไป รุ้งระวีตัดสินใจถามโดยไม่มองหน้า
“แล้ว ถ้าฟ้าใสยังรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของคุณขนาดนี้ คุณล่ะยังอาลัยเธออยู่รึเปล่า”
“ผมตัดเธอไปนานแล้ว ถ้าจะอาลัยก็แค่อย่างเดียว”
“อะไรคะ”
“เสียงร้องของเธอ....”
ทูนอินทร์มองไปไกลยังทุ่งและเขาเบื้องหน้า นึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว...
ฟ้าใสได้มาฝึกร้องเพลงกับเมธ ขณะที่เมธเล่นเปียโน ฟ้าใสร้องด้วยเสียงอันไพเราะ ทูนอินทร์เข้ามาฟัง แล้วเคลิ้มไปกับเสียง ฟ้าใสหันมามองแล้วยิ้มให้ทั้งๆที่กำลังร้อง
ทูนอินทร์เล่าถึงความรู้สึกของเขาตอนนั้น...
“เพราะเสียงร้องของเธอแท้ๆ ที่ทำให้ผมหลง เธอเข้าอย่างจัง”
วันนั้น...เมื่อฟ้าใสร้องจบเพลง ทูนอินทร์เดินเข้าไปหา ฟ้าใสรีบไหว้ เมธแนะนำ
“ทูน นี่ฟ้าใส นักร้องคนใหม่ของร้านเรา เป็นไงเสียงดีไหม”
“นึกว่าได้ยินเสียงสวรรค์”
ฟ้าใสหัวเราะ
“ชมเกินไปแล้วค่ะพี่”
“ทูนเป็นหุ้นส่วนของพี่ที่ร้าน และเราจะคิดจะเปิดบริษัทเพลงเล็กๆของเราเองด้วย”
ฟ้าใสได้ฟังอย่างนั้น รีบบอกทันที
“เปิดเมื่อไหร่ ฟ้าขอเป็นนักร้องในสังกัดเลยนะคะ”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง เสียงแบบนี้แหละที่ผมหามานานแล้ว”
ฟ้าใสเขินอาย กับคำชมของทูนอินทร์
หลังจากวันนั้น...ทูนอินทร์สนิทกับฟ้าใสมากขึ้นเรื่อยๆ เขาได้สอนเกี่ยวกับเรื่องโน๊ต และวิธีการร้องให้ กระทั่งการร้องเพลงของเธอพัฒนาขึ้นไปมาก...
ทูนอินทร์นึกถึงความหลังแล้วทอดถอนใจ...
“เราสนิทกันมากขึ้นทุกที จนอาจจะเรียกได้ว่ามันคือความรัก”
รุ้งระวีแปลกใจ
“สวีทกันขนาดนั้น ยังไม่ใช่ความรักอีกหรือคะ”
“ยังหรอกครับ จนกระทั่งถึงวันนึงที่ผมยอมรับว่าผมรักฟ้าจริงๆ”
ทูนอินทร์เล่าถึงเหตุการณ์ที่ร้านต้มแซ่บ ฟ้าใสกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที อินทร หนาน คูน เมธช่วยกันเล่นดนตรีครบวง ทูนอินทร์นั่งอยู่มุมร้าน
“เดี๋ยวค่ะพี่ขา หยุดก่อน”
ฟ้าใสบอก ทั้งกลุ่มหยุดเล่น
“เพลงนี้เป็นเพลงที่พี่ทูนแต่งให้ฟ้าร้อง ขอเชิญพี่ทูนหน่อยค่ะ”
ทูนอินทร์แปลกใจ แต่ก็ขึ้นไปบนเวที
“ฟ้าจะร้องเพลงนี้ไม่ได้เลย ถ้าพี่ทูนไม่ช่วยสอน ฟ้าอยากให้พี่ทูนร้องเพลงนี้กับฟ้าค่ะ”
ทูนอินทร์กระซิบ
“ฟ้าก็รู้ ผมร้องไม่ได้หรอก ต่อหน้าคนเยอะๆอย่างนี้”
“พี่ทูนสอนฟ้าร้องได้ ก็ต้องร้องต่อหน้าคนอื่นได้ซีคะ”
“ผมไม่กล้า”
“เอาอย่างนี้ มองหน้าฟ้านะคะ เราจะร้องเพลงนี้ด้วยกัน พี่ทูนร้องเพลงนี้ให้ฟ้าคนเดียว ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว นอกจากเราสองคน”
ฟ้าใสพยักหน้า เมธขึ้นดนตรีอีกครั้ง เธอเริ่มร้องนำขึ้นก่อน ทูนอินทร์ยังประหม่า ร้องไม่ออก หันไปมองทางคนฟัง ฟ้าใสจับแก้มของทูนอินทร์หันมาที่ตน
“ร้องตามฟ้าซีคะ....”
ทูนอินทร์ร้องตามอย่างตะกุกตะกักเต็มที ฟ้าใสยื่นหน้าจนแก้มแนบแก้ม แล้วกอดทูนอินทร์ไว้ เขาหลับตาแล้วร้องไปพร้อมๆกับฟ้าใส
ทุกคนต่างพากันประหลาดใจ ฟ้าคลายกอด ทูนอินทร์ค่อยๆลืมตาขึ้น และร้องเพลงร่วมกับฟ้าใสได้อย่างไม่เคะเขินอีกต่อไป ฟ้าใสให้ทูนอินทร์หันไปมองทางคนฟัง ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเสียงของทั้งสอง ทูนอินทร์ยิ้มออกมาได้ และร้องร่วมกับฟ้าจนถึงท่อนสุดท้าย ที่โหนเสียงสูงประสานกันและกัน จนจบเพลงคนดูปรบมือสนั่นร้าน
“ผมร้องเพลงต่อหน้าคนได้แล้ว” ทูนอินทร์บอกอย่างดีใจ
“เห็นไหมคะว่าพี่ทำได้”
อินทรเข้ามาแสดงความยินดีกับทูนอินทร์
“พี่หายแล้วนะพี่ทูน”
“ยินดีด้วยว่ะ” เมธยิ้มให้
“คนชอบกันใหญ่เลยพี่” หนานเห็นด้วย
คูณหันไปมองฟ้า...
“น้องฟ้าทำยังไงเนี่ย”
“ฟ้า ขอบคุณมาก”
ทูนอินทร์กับฟ้าใสยิ้มให้กัน
รุ้งระวีฟังอย่างทึ่งๆ
“เธอช่วยให้คุณร้องเพลงต่อหน้าคนได้อีกครั้ง”
“ครับ แล้วผมก็รู้ว่าชีวิตผมคงขาดเธอไม่ได้อีกแล้ว เราตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน แต่แล้ว....”
ทูนอินทร์เล่าถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นว่า...บ่ายวันหนึ่งขณะที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกันที่เฉลียง ทูนอินทร์หยิบการ์ดแต่งงานขึ้นมาโชว์ให้ฟ้าใสดูอย่างตื่นเต้น
“การ์ดแต่งงานสวยจัง”
“งานเราจะจัดกันเองนะครับ เล็กๆในครอบครัว ฟ้าคงไม่ว่า”
“โธ่ พี่ทูนขา ฟ้าไม่ชอบอะไรที่มันเอิกเกริกอยู่แล้ว เออ...พี่ทูนคะ เรื่องที่พี่จะเปิดบริษัทเพลง ไปถึงไหนแล้ว”
“คงรอไปอีกหน่อย เพราะพี่กับพี่เมธยังไม่พร้อม เรายังต้องหาตลาดที่แน่นอนกว่านี้”
ฟ้าใสสลดไป ทานอาหารต่อเงียบๆ
“เออ ฟ้าขอตัวสักครู่นะคะพี่”
ฟ้าใสแยกมาลำพัง แล้วหยิบมือถือขึ้นมา น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นนางยั่วทันที
“เสี่ยขา ฟ้าค่ะ ตกลงฟ้าตัดสินใจแล้วฟ้าจะไปอยู่กับเสี่ย แต่เสี่ยก็ต้องทำตามสัญญานะคะว่าเสี่ยจะปั้นฟ้าให้ดังให้ได้ งานนี้ฟ้ามีของขวัญไปให้เสี่ยด้วย...ของขวัญที่ว่า คือเพลงของนายทูนน่ะซีคะ เพราะๆ ทั้งนั้นรับรองเราเอาไปดัดแปลงนิดหน่อย ต้องดังระเบิดทุกเพลง แล้วนายทูนก็ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องเราด้วย เพราะทุกเพลง...ไม่ได้จดลิขสิทธิ์”
ฟ้าใสแอบเข้าไปในห้องทำงานของทูนอินทร์ ที่ค่อนข้างสลัว หยิบเนื้อเพลงและโน้ตออกมาจากลิ้นชัก ใช้มือถือถ่ายทุกหน้าทุกเพลงที่ทูนอินทร์แต่งไว้ แล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจที่จะเห็นตัวเองมีอนาคตที่ดี
ทูนอินทร์น้ำตาคลอ เจ็บปวดกับสิ่งที่เล่า...
“ผมไม่นึกเลยว่า ที่ฟ้าทำดีกับผม ก็เพื่อต้องการให้ผมสร้างความโด่งดังให้ตัวเธอ ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า เธอติดต่อกับเสี่ยดำรงลับๆ จนเสี่ยสัญญาว่าจะปั้นเธอเป็นนักร้องในสังกัด”
ทูนอินทร์พูดแล้วหยุดไป ด้วยความสะเทือนใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“เธอหนีจากผมไป ก่อนวันแต่งงานแค่สองสามวัน”
“แล้วที่พี่หอยบอกว่า เธอขโมยเพลงของคุณไปด้วย จริงเหรอ”
ทูนอินทร์แค่นยิ้มออกมา
“ครับ ผมมันก็โง่ที่ไม่ได้จดลิขสิทธิ์ไว้ เพลงดังๆของเธอดัดแปลงจากเพลงผมไปทั้งนั้น อย่างเพลง จันทร์เจ้าเอ๋ย นั่นก็คือเพลงแสงจันทร์ ที่ผมแต่งที่ใต้ต้นแสงจันทร์ นี่ละครับ”
ทูนอินทร์น้ำตารื้น
“ทำไมไม่ฟ้อง”
“ผมไม่ได้เสียดายเพลงของผมหรอก ผมเสียดายความรักที่ผมมีให้เธอต่างหาก ทุ่มเทให้เธอทุกอย่างเพื่อที่จะรู้ว่าผมไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาของเธอ ผมมันไร้ค่า”
ทูนอินทร์เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา หันหลังให้ รุ้งระวีเดินเข้ามาหา จับมือทูนอินทร์ไว้
“อย่ามองตัวเองด้อยค่าอย่างนั้นซีคะ คุณมีค่าเสมอ แล้วก็อย่ายอมให้เธอมาทำลายความเชื่อมั่นในตัวคุณด้วย”
“มันไม่ง่ายหรอกครับ” ทูนหัวเราะหยันตัวเอง “เพราะหลังจากที่ฟ้าทิ้งผมไป ผมก็กลับเป็นไอ้บ้าคนเดิม ที่ไม่กล้าร้องเพลงให้ใครฟังอีก อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เพราะร้องทีไร มันก็เจ็บ...”
ทูนอินทร์พูดได้เท่านั้น ก็กลั้นสะอื้นไว้ไม่อยู่
“.....มันเจ็บเหลือเกิน”
ทูนอินทร์ร้องไห้สะอื้น รุ้งระวีดึงเขาเข้ามากอดไว้อย่างปลอบประโลม
“ฉันเข้าใจค่ะ ไม่เป็นไรนะ มันคืออดีต ให้มันผ่านไปเถอะค่ะ”
ทั้งสองกอดกัน ขณะที่พระอาทิตย์อัสดงหลังขุนเขา เป็นสีทองไปทั้งท้องทุ่ง
ค่ำคืนนั้น รุ้งระวี กับทูนอินทร์ นั่งอยู่ด้วยกันในมุมหนึ่งของร้านต้มแซ่บ มะปราง จี่หอย นั่งโต๊ะแถวหน้าเวที บนเวที เมธ หนาน คูน และอินทรกำลังเล่นและร้องเพลงอย่างสนุกสนาน
ขณะเดียวกันที่หน้าร้าน รถเบนซ์เข้ามาจอด ฟ้าใสก้าวลงมาจากรถ มองไปยังตัวร้าน ถนอมคนขับรถรีบลงมา
“คุณฟ้าครับ คุณเมามากแล้วนะ กลับโรงแรมเถอะครับ”
“ไม่กลับ ฉันยังมีธุระที่ร้านต้มแซ่บต้องเคลียร์อีกเยอะ”
ฟ้าใสจะเดินไปแล้วเซ ถนอมช่วยประคอง
“ปล่อยโว้ย”
ฟ้าใสหยิบแว่นสีชาขึ้นมาใส่พรางใบหน้า แล้วเดินตรงไปในร้านต้มแซ่บอย่างนางพญา
อ่านต่อตอนที่ 7