เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 27 *แก้ไขบทใหม่
แหว่งนอนหลับสนิท โดยไม่รู้ว่ากุญแจห้องขังชาริณีถูกทวนขโมยไป เธอพลิกตัวตื่น คลำหากุญแจไม่พบก็ตื่นตระหนก รีบผุดลุกขึ้นนั่ง
“กุญแจ กุญแจห้องขังคุณชาริณี...คุณสไบของบ่าวขา”
แหว่งแผดเสียงดังลั่นอย่างตื่นตกใจ วิ่งไปหาสไบทันที เพียงครู่เดียว ทั้งคู่รีบไปยังห้องที่ขังชารินีไว้ สไบและแหว่งต่างตื่นตระหนก เมื่อมองหาชาริณีไม่พบ
“นังชาริณี”
สไบมองหน้า แหว่งรีบปฏิเสธ
“แหว่งเปล่านะคะ ไม่ได้ปล่อยคุณชาริณีไป ไม่รู้กุญแจมันหายไปไหนค่ะคุณสไบของบ่าวขา”
สไบครุ่นคิด
“ต้องมีคนช่วยนังชาริณีออกไปแน่”
“ใครล่ะคะ”
“คนในบ้านนี้แหละ”
“ท่านเศรษฐีกับคุณชิงชัยยังไม่กลับเลยค่ะ ทำยังไงดีคะ”
“ไปดูที่ห้องนายทวน”
สไบรีบออกไป แหว่งตามไปติดๆ ท่าทีของทั้งสองร้อนใจมาก
สไบกับแหว่ง เข้ามาทุบประตูห้องทวน สไบตะโกนเรียก
“นายทวน...นายทวน...นายทวน เปิดประตู”
“ไม่ได้ยิน ยังไม่ตื่น หรือว่าไม่อยู่คะ” แหว่งตะโกนถาม
“จะอยู่ได้ยังไง ถ้านายทวนเป็นคนช่วยชาริณีออกไป นายทวน...นายทวน เปิดประตูนะ”
“ไม่อยู่แน่ๆ เลยค่ะคุณสไบของบ่าวขา ถ้ายังงั้นต้องเป็นนายทวนแน่ ไม่มีใครหวังดีกับคุณชาริณีเท่านายทวนหรอกค่ะ”
สไบอึ้งไป
“นายทวน...นายทวน...”
ขณะเดียวกันนั้น เมินเปิดประตูก้าวออกมา หน้าตางัวเงีย เพิ่งตื่นนอน สไบหันมอง
“นี่คุณ...คุณเมิน”
“มาส่งเสียงเอะอะอะไรกันแต่เช้าครับ คุณสไบของบ่าวขา นี่เพิ่งจะฟ้าสางนะครับ”
“นายทวนเพื่อนของคุณอยู่มั๊ย” สไบถามเสียงแข็ง
เมินงงๆ
“ไอ้ทวน มีอะไรหรือครับ”
“คุณชาริณีหายตัวไป” แหว่งรีบบอก
สไบชักมั่นใจ
“ต้องเป็นนายทวนแน่ ที่ขึ้นไปขโมยกุญแจห้องขังจากนังแหว่ง แล้วช่วยชาริณีออกไป นี่ท่านเศรษฐักับคุณชิงชัยไม่อยู่ ฉันจะทำยังไงดีนะ”
ท่าทีของสไบ และแหว่งร้อนใจเพราะกลัวความผิด
“นี่ถ้าท่านเศรษฐีรู้ เราต้องโดนเล่นงานตายเลยค่ะ”
สไบจ้องหน้าแหว่ง
“แก...ไม่ใช่ฉัน”
แหว่งตื่นกลัว
“ทำยังไงดีล่ะคะ คุณสไบของบ่าวขา”
เมินครุ่นคิด เหลือบสายตามองสไบอย่างเจ้าเล่ห์พยายามหาทางถ่วงเวลา
“เอ้อ...เอายังงี้มั๊ยครับ”
ทวนประคองชาริณี กลับมาบ้านเศรษฐีบุญช่วย ท่าทีของชาริณีอ่อนเพลีย เพราะร่างกายที่ทรุดโทรมอ่อนแอ ทั้งพิษยาเสพติด และการถูกกักขัง
“ผมไม่เข้าใจเลยว่าคุณจะกลับมาทำไม”
“ให้ฉันตายอยู่ที่นี่ ดีกว่าต้องพึ่งคนที่เขาไม่เต็มใจจะช่วยฉัน”
“ขืนผมไม่พาคุณหนี พ่อคุณจะฆ่าคุณนะ”
“พ่อไม่ฆ่าฉันหรอก”
ชาริณีเริ่มมีอาหารสั่นสะท้านเพราะอาการเสี้ยนยา
“ยังไงฉันก็เป็นลูกพ่อ พาฉันกลับไปที่ห้องขัง”
ทวนมองหน้า
“คุณ คิดดีแล้วหรือ”
ชาริณีพยักหน้า
“พาฉันกลับไปเถอะ”
ทวนประคองชาริณีขึ้นบันได
ศรีแพร แสนและสดเตรียมตัวออกไปท้องนา สดยังกังวลเรื่องที่ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือชาริณีเมื่อคืนนี้ ศรีไพรก้าวลงมาจากเรือน ท่าทีนิ่งขรึม ไม่สบายใจ
“พี่แน่ใจแล้วหรือ ที่พี่ไม่ยอมช่วยชาริณีน่ะพี่ทำถูก”
ศรีแพรโกรธ
“ทำไมต้องช่วย ในเมื่อมันเป็นศัตรู”
“ยามยากเราต้องช่วยเหลือกัน พี่ลืมคำที่พ่อเคยสอนเสียแล้วหรือ พี่ศรีแพร”
“ยามพี่ทุกข์ยาก ไม่เห็นคนพวกนั้นเคยช่วยเรา ไป...แม่ ไปนากัน แกด้วยไอ้แสน”
“จ้ะ พี่”
แสนมีท่าทีหวั่นกลัวศรีแพร สดมองหน้าศรีไพรก่อนตามศรีแพรออกไป ศรีไพรมองตามด้วยความกังวล
สไบและแหว่งรีบวิ่งขึ้นบันได เมินวิ่งตามมาขวางบันไดไว้ เพราะต้องการถ่วงเวลาหาทางช่วยทวน
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนครับคุณสไบของบ่าวขา แน่ใจนะครับว่าคุณไม่ได้ผิดพลาด ห้องขังในบ้านหลังนี้มีทั้งเหล็กดัดทั้งกุญแจ คุณชาริณีมีปีกยังบินหนีไม่พ้นเลย”
“แต่มันหนีไปแล้วจริงๆ” สไบยืนยัน
“จริงๆ นะ มีคนขโมยกุญแจไปไขห้องขัง คุณสไบของบ่าวขา ยืนยันได้” แหว่งเสริม
“ก็คุณสไบของบ่าวขานอนไม่เต็มอิ่ม มัวแต่คิดเรื่องนั่นเรื่องนี่ คุณสไบอาจจะตาพร่าไปก็ได้นะ แหว่ง” เมินแย้ง
สไบไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้คิดเรื่องผู้ชายเสียจนตาพร่าหรอก ฉันเห็นมีแต่ห้องเปล่าๆ จริงๆ ไม่เชื่อขึ้นมาดูกัน”
สไบกระชากตัวเมินขึ้นบันไดไป แหว่งมองตามก่อนตามขึ้นไป
สไบดึงมือของเมินเข้ามาหน้าห้องขังชาริณี แหว่งตามมาติดๆ
“นี่ไง เห็นหรือยังว่ากุญแจเปิดอยู่ เปิดประตูซีนังแหว่ง ให้คุณเมินเขาเห็นกะตาว่าชาริณีหนีไปแล้ว มีคนพาหนี แล้วคนๆ นั้นก็ต้องเป็นเพื่อนร่วมวัดของคุณ”
เมินกังวล
“ไอ้ทวน...”
แหว่งชักช้า สไบหันไปดุ
“เปิดซีนังแหว่ง”
“ค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
แหว่งเปิดประตู สไบและเมินก้าวเข้ามา เห็นชาริณีนอนขดตัวหลับอยู่กับพื้น แหว่งและสไบตกใจ
“คุณชาริณี” แหว่งอุทานออกมา
สไบแปลกใจ
“เอ๊ะ ชาริณีนี่ ก็เมื่อกี้นี้...”
เมินถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เห็นมั๊ยล่ะครับ ผมบอกแล้วคุณสไบของบ่าวขา นอนไม่เต็มอิ่มเลยตาพร่า มองไม่เห็นนั่นนี่ ก็นี่ไม่ใช่คุณชาริณีหรือครับ”
แหว่งและสไบ มองสบสายตากันด้วยความสงสัย สไบครุ่นคิด
“มันมาได้ยังไงนี่!”
เมินกลับมาถึงเรือนพักอย่างร้อนใจ เปิดประตูเข้าไปลากตัวทวนออกมาจากห้อง ทวนแกล้งทำเป็นเพิ่งตื่น
“อย่า...ไม่ต้องทำท่าง่วงเลยนะแก แกไปทำอะไรมา รู้มั๊ยว่าแกทำให้เพื่อนเดือดร้อน”
“ใครเป็นเพื่อนใคร ตอนนี้ไม่มีใครเป็นเพื่อนใครแล้วละโว้ย ไอ้หมา เมิน”
“หมาอาจจะเมินฉัน แต่เศรษฐีบุญช่วยไม่เมินหัวกะบาลแกหรอก ถ้าแกพาชาริณีหนี”
ทวนส่อพิรุธ เมินจ้องหน้า
“อย่า...ไม่ต้องมาโกหกฉัน แกโกหกฉันทีไรเคยรอดมั๊ย”
“ไม่เคย!”
“แล้วจะโกหกทำไม แกทำแบบนี้เท่ากับแกหาเรื่องตายนะ”
“ถ้าฉันจะปล่อยชาริณีไว้ยังงั้น เท่ากับฆ่าชาริณีนะ”
“พ่อลูก เขาไม่ฆ่ากันหรอก ตอนนี้เศรษฐีบุญช่วยกำลังโกรธ ก็เลยสั่งขังชาริณี แกคิดหรือว่าพ่อจะฆ่าลูกได้ลงคอน่ะ”
ทวนนิ่งงัน มองหน้าเมินอย่างลังเล
ชิงชัยขับรถยนต์เข้ามาจอด บุญช่วยนั่งก้มหน้านิ่งๆ เจ็บปวดอย่างสาหัส เมื่อรู้ว่าลูกติดยาเสพติดเสียเอง
“พ่อ...” ชิงชัยเรียกเบาๆ
บุญช่วยถอนใจแล้วพูดขึ้น
“ปล่อยตัวชาริณี...”
ชิงชัยชะงัก
“พ่อ...”
ดวงตาของบุญช่วยคลอไปด้วยน้ำตา
“ยังไงพ่อก็ฆ่าลูกไม่ได้หรอก ปล่อยตัวชาริณี...”
“พ่อ...” ชิงชัยพูดออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกรันทดใจ
“แล้วให้ไอ้ทวนไปพบฉันที่ห้องทำงาน”
บุญช่วยเดินขึ้นบ้านไป ชิงชัยแปลกใจ พึมพำเบาๆ
“พ่อ...”
ประตูห้องนอนของชารณีเปิดออกอย่างช้าๆ ชิงชัยประคองชาริณีก้าวเข้ามา ด้วยสภาพทรุดโทรม สไบและแหว่งเดินตามเข้ามา ชิงชัยชี้หน้าชาริณี ข่มขู่ เขาทั้งโกรธ แค้น เสียหน้าและเสียใจที่น้องสาวติดยาเสพติดเสียเอง
“เลิกซะ ยาพวกนี้พ่อไม่ได้ทำเอาไว้ให้ลูกของตัวเองเสพ แต่ทำให้ลูกของใครก็ได้เสพมัน ถ้าแกเลิกไม่ได้ แกต้องตาย...”
ชิงชัยผลุนผลันออกไป สไบก้าวเข้ามาเย้ยหยัน
“ยากหน่อยนะ ติดเข้าไปงอมแงมยังงี้เห็นทีจะเลิกไม่ได้ง่ายๆหรอก ฉันเสียใจด้วยนะที่ต่อไปนี้ฉันจะเป็นใหญ่ในบ้านนี้โดยไม่มีก้างขวางคอ ฉันจะกินจะนอน จะระเริงรื่นอยู่บนเงินที่เศรษฐีพ่อของแกหามาได้ จากการขายลูกของชาวบ้าน”
ชาริณีหันไปจ้องหน้าสไบด้วยความชิงชัง ก่อนหันมาคว้าแจกกัน ขว้างใส่ใบหน้า สไบยกศอกขึ้นรับ กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มีแผลแตก
“นังชาริณี แก...”
แหว่งตกใจเห็นเลือด
“ว้าย มีเลือดด้วยค่ะ คุณสไบของบ่าวขา”
“หา...เลือดหรือ...”
สไบมองเลือดที่เปรอะมือ ยิ่งกรีดร้อง
“แก...!”
เมินเดินตามทวนมายังบันได ทวนหยุดก้าว หันไปมอง เมินแววตาห่วงใยแต่พยายามกลบเกลื่อน
“เศรษฐีบุญช่วยเรียกแกไปพบเรื่องอะไร”
“ไม่รู้”
“ระวังตัวนะ เศรษฐีบุญช่วยอาจจะรู้ก็ได้ว่าแกพาชาริณีหนีไปเมื่อคืน จะหนี...ก็น่าจะหนีให้พ้น ไม่รู้กลับมาทำไมอีก”
“แกห่วงฉันหรือ”
“เปล๊า ทำไมฉันต้องห่วงแก ไม่มีแกซีดีฉันจะได้...เอ้อ...ทำอะไรๆโดยไม่มีคนคอยจับผิด ไปซี...ฉันอยู่แถวนี้ มีอะไรร้องดังๆ นะ”
“ก็ไหนว่าไม่ห่วงเพื่อนไง”
ทวนยิ้มเยาะก่อนขึ้นเรือนไป เมินมองตาม ถอนหายใจด้วยความห่วงใย
“ก็เพื่อน ถึงยังไงก็เป็นเพื่อน ไม่ห่วงได้ยังไงวะ”
บุญช่วยนั่งก้มหน้านิ่งๆ เงียบขรึม เคร่งเครียด เสียใจ ทวนเปิดประตูเข้ามา บุญช่วยหันไปจ้องมองทวนด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
“เรียกผม...”
“แกต้องแต่งงานกับชาริณี”
ทวนตกใจ
“ผมหรือ”
“แกเป็นคนที่ชาริณีไว้ใจที่สุด ลูกฉันรักแก...แกต้องทำให้ลูกของฉันเลิกยาให้ได้”
ทวนทำเป็นซื่อๆ
“เอ๊ะ แล้วลูกคนอื่นล่ะครับ ถ้าผมมีความสามารถทำให้คนเลิกเสพยาได้ ผมมิต้องแต่งงานกับคนอีกเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นหรือครับ ท่านเศรษฐี”
บุญช่วยลุกขึ้น เข้ามาจ้องหน้าทวนด้วยแววตาถมึงทึง
“ไอ้ทวน ฉันไม่เคยไว้ใจแกเลยนะ ที่ฉันเอาตัวแกมาอยู่ด้วย เพราะฉันต้องการตัดกำลังไอ้ศรีไพร”
“อ๊ะ...อ๋อ...เป็นเช่นนั้น!”
“ฉันก็ไม่อยากให้แกแต่งงานกับลูกของฉัน ไอ้ทวน...ไอ้คนขี้คุกแต่มันเป็นทางเดียวที่จะดึงชาริณีกลับมาเป็นลูกฉัน”
“ทีลูกคนอื่นจะเป็นยังไง กลับไม่สน...”
บุญช่วยแผดเสียงดังอย่างลืมตัว
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าลูกคนอื่นจะเป็นยังไง ฉันสนใจลูกของฉันคนเดียว แก...ต้องแต่งงานกับชาริณี”
ทวนพูดไม่ออก ได้แต่นิ่งไป
ตะวันยามบ่าย...ศรีไพร ศรีแพร แสนและสดยังทำงานอยู่ในท้องนา ทุกคนนิ่งเงียบมองไปยังศรีแพรที่ทำงานอย่างขมักเขม้นเข้มแข็ง
“พักกันได้แล้วละแม่ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูน้ำทางปลายนาโน่น”
ศรีแพรเดินออกไปพร้อมจอบขุดดิน สด ศรีไพรและแสนมองตามไปด้วยความกังวล
“พี่ศรีแพรเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ แม่ เดี๋ยวนี้แม้แต่ความเมตตาก็ไม่มีเหลือให้ใคร” ศรีไพรพูดอย่างหนักใจ
สดถอนใจ
“ใช่ อาการเหมือนคนไกล้จะบ้า แม่ไม่อยากเห็นลูกของแม่เป็นแบบนี้เลย”
“ให้ฉันไปดูพี่ศรีแพรมั๊ย” แสนเสนอตัว
“ไม่ต้องหรอกแสน เก็บข้าวของเถอะ เดี๋ยวพอแดดร่มเราจะได้กลับบ้าน”
ศรีไพรบอกแสนมองตามศรีแพรไปด้วยความห่วงใย
ศรีแพรเดินถือจอบขุดดิน ตรวจทางน้ำอยู่ เมินเข้ามาดักหน้า
“ศรีแพร...”
ศรีแพรเงื้อจอบขึ้น มองเมินอย่างชิงชังรังเกียจ
“ออกไป แล้วเอาเสนียดที่ติดมาจากบ้านเศรษฐีบุญช่วยออกไปด้วย”
“ศรีแพร พี่คิดถึงศรีแพรนะ ไม่ให้พี่เห็นหน้าศรีแพรไม่ได้หรอก พี่เมินต้องตายแน่”
“ไปตายไกลๆ ถ้าจะให้ช่วยฉันช่วยฝังหรือเผานาย ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฉันเกลียดไอ้พวกเศรษฐีบุญช่วย สมุนก็ไม่ยกเว้น”
เมินอึ้ง
“ศรีแพร”
“จะไปดีๆ หรืออยากจะโดนไอ้นี่...”
ศรีแพรเงื้อจอบ เมินค่อยๆ ถอยก้าว จ้องมองศรีแพรด้วยความรู้สึกตื่นตระหนก
“พี่ไปก็ได้ ถึงศรีแพรจะเกลียดพี่ยังไง พี่ก็เลิกรักศรีแพรไม่ได้หรอก”
“ถ้ารักจะเห่าละก็...โน่น...บ้านเศรษฐีบุญช่วย ไปเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่โน่น...ไป๊...!”
“ศรีแพร...”
“จะไปหรือไม่ไป”
“ไปจ้ะ...ไป”
เมินถอนก้าวออกไป ศรีแพรค่อยๆ ลดจอบลง ผ่อนลมหายใจด้วยความเกลียดชัง เมินหันหลังเดินกลับอย่างเสียใจ
“ศรีแพร ไล่พี่เหมือนพี่ไม่ใช่คน โธ่...นี่จะทำยังไงศรีแพรถึงจะยอมเข้าใจว่า...”
ทอกและหมอก กำลังจะไปหาปลา ทั้งสองเดินตามกันมาบนคันนา เมินมองเห็นสองคน ก็ส่งเสียงตะโกนเรียกด้วยความดีใจ
“ไอ้ทอก...ไอ้หมอก”
ทอกกับหมอกชะงัก หันมามองเมินด้วยท่าทีเย็นชา ทอกหันไปพูดกับหมอกอย่างไม่สนใจเมิน
“ไปโว้ย เดี๋ยวไม่ทันลงเบ็ดราว”
“ใช่ ไอ้เบ็ดราวที่วางไว้เมื่อวาน ได้ปลาแล้วไปให้ศรีแพรมันด้วยนะโว้ย”
“มันต้องแบ่งปันกันซีวะ คนบ้านนากินอยู่กันตามประสา มีปลากินปลา มีปูกินปู สบายใจว่ะ...ไม่ต้องอยู่ในคอกของใคร ไป...” ทอกแดกดัน
สองคนพากันเดินผ่านไป เมินมองตามไปด้วยแววตาสลด
อ่านต่อหน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 27 (ต่อ)
ค่ำนั้น...ศรีไพรยืนมองพระจันทร์ด้วยท่าทีเลื่อนลอย เศร้าหมอง เมื่อคิดถึงทวน สดเดินลงบันไดมามองไปยังลูกสาวด้วยความสงสาร
“แม่รู้ว่าลูกยังคิดถึงไอ้ทวนอยู่ อย่าไปคิดถึงใครให้เป็นทุกข์เลย ทุกวันนี้เราก็มีทุกข์มากพออยู่แล้ว”
“ฉันไม่ได้กลัวจะไม่มีคนช่วยทำนาหรอกแม่ มีแรงแค่ไหนก็ทำแค่นั้น ทำแค่พอกินก็พอแล้ว แต่...แต่ใจนี่น่ะซีแม่ ถ้ามันมีแต่ความเกลียด ฉันคงไม่ทุกข์ทรมานแบบนี้หรอก ฉันอยากจะใจแข็งให้ได้เหมือนพี่ศรีแพร”
สดดึงลูกสาวเข้ามากอดไว้อย่างปลอบโยน
“ก็ไม่แน่ว่าเกลียดแล้วจะไม่เป็นทุกข์นะ ศรีแพรแปลกหน้าแม่แปลกหน้าน้องออกไปทุกวัน แม่กลัว...”
สดนิ่งไป ศรีไพรมองแม่อย่างสงสัย
“แม่กลัวอะไร”
“กลัวความเกลียดมันจะเปลี่ยนลูกของแม่ให้กลายเป็นยักษ์เป็นมาร เป็นคนที่รักใครไม่เป็น”
ศรีไพรอึ้ง
“แม่”
สดร้องไห้ ศรีไพรกลับเป็นฝ่ายกอดแม่ไว้อย่างปลอบโยน
“ถึงจะโกรธ จะเกลียดสักแค่ไหน เราก็ยังต้องมีเมตตาธรรมอยู่นะลูก ถ้าเราไม่มีเมตตาแล้ว โลกจะอยู่ได้ยังไงล่ะ”
“แม่...”
“สัญญากับแม่ได้มั๊ย...ว่าถึงจะโกรธไอ้ทวนยังไง ก็จะไม่เกลียดเขา”
“แม่...”
ศรีไพรชะงัก มองหน้าแม่แต่ไม่สัญญา กอดแม่ไว้อย่างปวดร้าวใจ
ทวนนั่งครุ่นคิดกังวล เรื่องที่บุญช่วยสั่งให้เขาแต่งงานกับชาริณี เพื่อให้เธอเลิกยาเสพติด เมินเปิดประตูออกมา ชะงักมองแล้วเข้ามานั่งลงใกล้ๆ
“เศรษฐีบุญช่วยสั่งให้แกทำอะไร”
“แต่งงานกับชาริณี”
“ฟังดูดีกว่าเศรษฐีบุญจะยิงแกทิ้งนะ”
“แกไม่เข้าใจหรอก”
“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจวะ แกยังรักศรีไพร เหมือนกับที่ฉันรักศรีแพร แต่เดี๋ยวนี้เราถูกเกลียด”
เมินถอนหายใจ เป็นทุกข์ ทวนมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย
“แกมีโอกาสกลับไปทำให้ศรีแพรรักแก แล้วทำไมแกไม่กลับไป แกจะอยู่ที่นี่ทำไม”
เมินจ้องหน้า
“แกอยู่ทำไมล่ะ...ทำไมแกไม่กลับไปปรับความเข้าใจกับศรีไพร”
ทวนชะงักอึ้ง
“ฉัน...”
“คิดดูให้ดีนะ ถ้าแกแต่งงานกับชาริณี แกจะไม่ได้กลับไปหาศรีไพรอีกเลยตลอดชีวิต ไม่ต้องถามฉันหรอกว่าทำไมฉันต้องอยู่ ฉันมีเหตุผลของฉัน”
ทวนถอนใจ
“ฉันก็มีเหตุผลของฉัน”
“เอาเป็นว่าเราต่างก็มีเหตุผลที่ต้องอยู่ เพราะฉะนั้นใครจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ก็ช่างมัน” เมินลุกขึ้นยืน “ฉันจะออกไปเดินดูอะไรแถวๆ นี้หน่อยโว้ย”
เมินเดินออกไป ทวนมองตามไปดวยความสงสัย
เมินเดินผ่านหน้าต่างบ้านเศรษฐีบุญช่วย แหว่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง พยายามทำท่าเซ็กซี่เพื่อยั่วยวน เมินมองท่าทางของแหว่งด้วยความสงสัย แหว่งทำท่ามือขอนัดพบ เมินมองๆแล้วตีความตามสัญญาณมือ
“พบ...กัน...ใต้...ต้น...งิ้ว...บร๊อออ กึ๋ยยยยย!”
เมินทำท่าสยอง
สไบก้าวออกมาจากหลังใต้ต้นงิ้ว ยิ้มยั่วยวนเมื่อเห็นเมินเดินเข้ามา เมินกวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยท่าทีระแวดระวัง
“ทางนี้ค่ะ คุณเมิน”
เมินมองอย่างแปลกใจ
“คุณสไบของบ่าวขานี่เอง มาทำอะไรอยู่ใต้ต้นงิ้วนี่ครับ ชื่อต้นไม้ไม่ค่อยจะเป็นมงคลกับชีวิตของคุณสไบเลยนะครับ”
สไบยิ้มหวานให้
“ต้นงิ้วสมัยนี้มันไม่มีหนามแล้วละค่ะคุณเมินขา ที่ฉันให้นังแหว่ง นัดคุณมาพบที่นี่ก็เพราะฉันมีเรื่องจะปรึกษา อ้า...ไปหาที่ปรึกษา กันในที่ปลอดภัยดีมั๊ยคะ”
เมินยิ้มๆ
“อ้า...ที่...ที่ไหนครับ”
“ห้องนอนของฉันเป็นยังไง”
เมินสะดุ้ง
“อุ๊ย จุ๊กกรู๊...แต่ห้องนั้นเศรษฐีบุญช่วยนอนอยู่ด้วยไม่ใช่หรือครับ”
สไบหน้ามึนตึงทันที
“มาเป็นครั้งคราว ไม่ก็เรียกขึ้นไปหาบนห้องใหญ่”
“อ้า ผมไม่สดวกไปนอน...เอ๊ย...นั่งให้ตำปรึกษาคุณสไบในห้องส่วนตัวเลยครับ มีอะไรปรึกษาผมได้ที่นี่...ที่เดียว”
สไบเข้ามาเกาะไหล่ เมินจั๊กกะจี้
“อยากจะเป็นหุ้นส่วนของฉันมั๊ย”
“คิดจะทำธุรกิจอะไรครับ”
สไปยิ้ม
“คิดจะทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินของท่านเศรษฐี”
เมินตาโต
“โอ ฟังดูเหมือนคุณสไบของบ่าวขากำลังหาหุ้นส่วน เพื่อรวมหัวกันโกงท่านเศรษฐีนะครับ”
“เศรษฐีบุญช่วยมีเงินสดเป็นปี๊ปๆ ในห้องนอน เงินที่เอาเข้าบัญชี ธนาคารไม่ได้เพราะไม่มีที่มาที่ไป เราน่าจะร่วมมือกันฉวยโอกาสที่ชาริณีทำเหตุ ยักยอกเงินมาเป็นของเรา...สองคน”
เมินยิ้มทะเล้น
“นี่แสดงว่าทำคนเดียวไม่สำเร็จ ต้องมีมือมีไม้”
“ถึงเวลาเศรษฐีบุญช่วยพัง เราจะได้หนีไปด้วยกัน...”
สไบเข้ามากอด เมินพยายามขยับตัว บ่ายเบี่ยง
“อ้า...ผม...ผม...”
สไบมองอย่างไม่เข้าใจ
“ผม...ทำไม”
เมินหวั่นๆ
“ผมขอคิดดูก่อนครับ”
วันใหม่ ศรีแพรและแสนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านค้าในตลาด สไบเดินนำหน้าแหว่งเข้ามา
“นังแหว่ง...”
แหว่งรีบแถเข้าหา
“เหมาหมดร้านอีกหรือคะ คุณสไบของบ่าวขา”
“ไม่ต้อง สินค้าสั่วๆ ไม่มีอันดับพวกนี้ฉันใส่ไม่ลงหรอก มันเป็นสินค้าของพวกบ้านนอกบ้านนาใช้กัน ไม่มียี่ห้อ ไม่ทันสมัย ใส่แล้วไปทำนาไม่ใช่ใส่แล้วนั่งท้าวแขนเป็นคุณนาย”
ศรีแพรรู้ว่าสไบแขวะจึงสวนกลับทันควัน
“เสื้อผ้ามีไว้นุ่งห่มกันอุจาด มียี่ห้อใส่แล้วเหาะได้มั๊ย แสนแสบ”
“เดินดินจ้ะ พี่ศรีแพร” แสนรับมุข
“แล้วจะโง่ไปซื้อของแพงๆ มาใส่ทำไม ในเมื่อใส่แล้วก็ยังเป็นมนุษย์ ไป...ไปร้านอื่น ขืนซื้อร้านนี้เดี๋ยวแม่อดไม่ไหวได้ออกแรงตบคน”
ศรีแพรและแสนออกไป แหว่งและสไบต่างตกใจ
“ต๊ายตาย...คุณสไบของบ่าวขา ทำไมนังศรีแพรมันถึงได้ยะโสโอหัง เหมือน...เหมือน...เหมือนไอ้ศรีไพรเลยล่ะคะ”
สไบมองอย่างเหยียดๆ
“ก็น่าหรอก แต่งงานยังไม่ได้เข้าหอ ซ้ำเจ้าบ่าวยังถูกคาบไปกินดื้อๆ แกอยากแทนคุณฉันมั๊ย”
แหว่งหน้าระรื่น
“อยากซีคะ แหว่งรับใช้คุณสไบของบ่าวขา คุณสไบของบ่าวขาเลี้ยงดูแหว่งอย่างดี บุญคุณต้องทดแทนค่ะ”
“งั้น...ตามฉันมา”
แหว่งงงๆ
“ตะ...ตามไปไหนคะ”
“ตามไปตอบแทนบุญคุณของฉันยังไงล่ะ”
สไบเดินนำหน้าแหว่งออกไป
ศรีแพรและแสนเดินเข้ามาเลือกดูเครื่องสำอาง แสนสะกิดให้ศรีแพรระวังตัว เมื่อสไบเดินนำหน้าแหว่งเข้ามา แหว่งส่งเสียงประจบสไบทันที
“เหมาอีกร้านเลยมั้ยคะ คุณสไบของบ่าวขา สินค้าไม่ต้องรสนิยมองคุณสไบ ก็เอาไปทิ้งน้ำก็ได้ ตัดตอนความสวยของใครบางคนที่มัน บังอาจมาสวยแข่งกับคุณสไบของบ่าวขา”
สไบขยับจะตอบ เนี๊ยววิ่งเข้ามาชนสไบกระเด็นไป ท่าทีเนี้ยวดีใจที่ได้พบศรีแพร
“พี่ศรีแพร...พี่ศรีแพรน่ะเองเนี้ยวมองแล้วมองอีก ศรีไพรไม่ได้มาด้วยหรือจ๊ะ”
ศรีแพรยิ้มให้เนี้ยว
“ศรีไพรไปวัดกับแม่น่ะ มาซื้ออะไรล่ะ เนี้ยว”
“เนี้ยวมาซื้อของให้เตี่ย เอ๊ะ...พี่ศรีแพร เนี้ยวเป็นอะไรไม่รู้คันไม้คันมือ หาหมอที่ไหนดี”
แสนยิ้มอย่างเข้าใจในความหมายของเนี้ยว
“สงสัยพี่ม่วยเนี้ยวต้องเป็นโรคคันคะเยอ ไม่ต้องไปหาหมอหรอก โรคแบบนี้ได้ตบคนก็หายคันแล้ว”
สไบและแหว่งขยาดๆ
“ฟังดูเหมือนมันประชด คุณสไบของบ่าวขาเลยนะคะ”
“งั้นแกเฉยอยู่ทำไมละนังแหว่ง ทดแทนบุญคุณของฉันซี”
แหว่งชะงักลังเล
“ไว้วันอื่นไม่ได้หรือคะ”
“วันนี้แหละ ไป...ไปตบสั่งสอนทั้งสอง...เอ๊ย...สามคนเลย”
สไบผลักแหว่งเข้าไปในวงล้อมของศรีแพร เนี้ยวและแสน แหว่งกรีดร้องฟังไม่ได้ศัพท์ เมื่อโดนรุมทุบเสียงดังตุ้บตั้บ สไบจ้องมองอย่างเสียวสยองและหวั่นกลัว
ทวนนั่งอยู่ที่บันได เคร่งเครียดคิดหนักเรื่องที่บุญช่วยบังคับให้แต่งงานกับชาริณี ขณะเดียวกัน ชาริณีก้าวเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งลง เอนศีรษะซบไหล่ของเขา
“คุณจะแต่งงานกับฉันใช่มั้ย คุณรับปากพ่อฉันหรือยัง เรื่องที่พ่อสั่งคุณ ถ้าคุณแต่งงานกับฉันๆ จะเลิกมันให้ได้”
“คุณควรจะเข้มแข็งด้วยตัวของคุณเอง แต่งงานกับผมมันก็ไม่ช่วยอะไรหรอก มันขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง”
“ฉันต้องการความเข้มแข็ง ฉันเลิกมันไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ”
“คุณเลิกมันได้...”
“แต่งงานกับฉันเถอะค่ะ ฉันต้องแต่งงานกับคุณนะ...”
สไบกับแหว่งกลับมาด้วยสภาพที่แหว่งบาดเจ็บอย่างหนัก แหว่งทำท่าจะร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด แต่สไบขึงตาห้ามไว้ต่างจ้องมองมายังชาริณีและทวน
“ฉันขาดคุณไม่ได้”
ทวนถอนใจ
“ชาริณี คุณขาดยาไม่ได้ต่างหากล่ะ คุณต้องลุกขึ้นมาสู้กับมันไม่ก็...ไปบำบัดกับหลวงตาฉุน”
ชาริณีส่ายหน้า
“ไม่...พ่อไม่ยอมให้ฉันไปยุ่งกับคนบ้านนาหรอก คนบ้านนาไม่ต้อนรับฉัน”
“ไม่ก็ไปสถานบำบัด”
“ฉันไม่มีคุณไม่ได้ ฉันรักคุณ ได้ยินมั้ยคะคุณทวน ฉันรักคุณ”
ชาริณีพยายามเขย่าตัวเข้า ร่ำร้องไห้ ทวนมองชาริณีด้วยความสงสาร สไบและแหว่งหันมาสบสายตากันและกัน
สไบลากแหว่งออกมายังที่ลับตาในบริเวณบ้านของบุญช่วย แหว่งพยายามขัดขืน เพราะยังบาดเจ็บอยู่
“คุณสไบของบ่าวขาจะให้บ่าวขาทำอะไรคะ ทำไมต้องลากบ่าวขามาที่นี่ด้วย”
“ฉันจะไม่ยอมให้นังชาริณีมันแต่งงานกับนายทวนหรอก ขืนมันแต่งงานแล้วเลิกยาได้จริงๆ แกรู้มั้ยว่าใครจะรับบทหนัก”
“คุณสไบ”
“ใช่ เพราะฉะนั้นแกต้องทำให้ไอ้ศรีไพรมันรู้ให้ได้ ไอ้นั่นน่ะ...มันบ้าระห่ำ มันอาจจะควงปืนเข้ามายิงหัวนายทวนก็ได้”
“หมดคู่แข่งไปหนึ่ง ตะ...แต่ว่า...ทำไมต้องเป็นแหว่งด้วยล่ะคะ” แหว่งหน้าสลดขยาดไม่อยากเจอศรีไพร
“ก็เพราะฉันเป็นคนเอาแกมาเลี้ยง แกต้องทดแทนบุญคุณของฉันน่ะซี”
แหว่งหวั่นๆ แต่ปฏิเสธสไบไม่ได้
วันใหม่...ศรีไพรและแสนกำลังทำงานอยู่ที่ลานบ้าน แหว่งเดินนวยนาดทำทีเป็นเดินผ่านหน้าบ้าน ป่าวประกาศไปด้วย
“เจ้าข้าเอ๊ย นี่เป็นเสียงตามสายจากท่านเศรษฐีบุญช่วย”
ศรีไพร แสนชะงักจากการทำงาน มองไปยังแหว่ง
“มีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบว่า...อีกไม่นานจะมีพิธีมงคลสมรสใหญ่ปิดบ้านนาทั้งตำบลห้ามไม่ให้ใครไปใครมา นกก็บินผ่านไม่ได้”
แสนได้ยินอย่างนั้นก็ตะโกนถามอย่างสงสัย
“ท่านเศรษฐีจะจองถนนไปเมรุหรือวะ นังบ่าวขา”
“ท่านเศรษฐีจะจัดงานแต่งงานระกว่างคุณชาริณีกับ...นายทวน”
ศรีไพรหน้าสลดลงทันทีก้าวเข้ามา ยกปืนขึ้น
“กลับไปบอกเศรษฐีบุญช่วยของแกด้วยนังแหว่ง จะประกอบพิธีมงคล หรืออัปมงคล ไม่ต้องมาป่าวประกาศให้คนบ้านนารับรู้ คนตำบลนี้เขาตัดหางปล่อยวัดเศรษฐีบุญช่วยแล้ว”
ศรีแพรแกล้งไล่ยิง แหว่งวิ่งหนีลูกปืนล้มลุกคลุกคลาน
ศรีไพรเดินเหงาๆ อยู่บนคันนา ทวนโผล่มามาดักหน้า ศรีไพรมองทวนอย่างชิงชัง
“มาทำไมอีก จะได้เป็นลูกเขยเศรษฐี มีเงินเป็นถุงเป็นถังแล้วไม่ใช่หรือ ดีนะ...ไม่ต้องทำนาเหงื่อตก ต้องหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ใช้ชีวิตสบายๆบนความเป็นความตายของชาวบ้าน”
“ศรีไพร พี่ไม่ได้...”
ทวนพยายาจะอธิบายแต่ศรีไพรไม่ฟัง
“ไม่ต้องมาตีหน้าหลอกใครว่าเป็นคนดี...เป็นคนขยันประจำ ตำบลอีกแล้ว จะเป็นอะไรก็ไม่มีใครเขาสนใจหรอก ขอให้มีความสุขก็แล้วกัน”
ศรีไพรหันหลังกลับ ทวนวิ่งเข้ามากอดไว้
“ศรีไพร”
“ปล่อยฉัน...เอามือสกปรกออกไป ฉัน...เกลียด...นาย”
ศรีไพรผลักร่างของทวนตกคันนาก่อนวิ่งร้องไห้ออกไป ทวนตะกายขึ้นมาจากคันนา มองตามศรีไพรไปด้วยความเสียใจ
จบตอนที่ 27
โปรดติดตามตอนที่ 28 เร็วๆนี้