เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 26
ทวนกระชากตัวศรีไพรที่จะเดินหนีเข้ามา เธอพยายามดิ้นสู้ ทวนจับมือบิดไพล่หลัง ล็อคคอไว้
“ปล่อยนะ” ศรีไพรตวาด
“ไม่ปล่อย เก่งนักแล้วเป็นยังไง เกือบจะเสียท่าไอ้จ่าสิน นี่ถ้าศรีไพรเป็นอะไรไป...” ทวนทำเสียงดุ
“เกี่ยวอะไรกับนาย”
“ไม่เกี่ยวกับพี่ ก็เกี่ยวกับคนบ้านนาทั้งตำบล จะตายทั้งทีตายให้มันคุ้มค่าหน่อยได้มั้ย”
ศรีไพรท่าทีสงบลง แต่ยังฮึดฮัดสู้
“ปล่อย...”
“อย่าใช้แต่กำลังสู้ ใช้สมองให้มากๆ กำลังของศรีไพรสู้พวกนั้นไม่ได้หรอก”
“สู้ได้หรือไม่ได้ก็ต้องสู้ อย่ามาทำเป็นหวังดีเลย ไม่มีใครอยากรับความหวังดีของนายหรอก ใครจะเป็นจะตายก็ไม่ต้องสนใคร”
“ศรีไพร...” ทวนอ่อนไหว กระชับอ้อมแขนโอบกอดด้วยความรัก “ชีวิตของศรีไพรมีค่าสำหรับทุกคน มีค่าสำหรับพี่ พี่จะดีจะเลวพี่ก็ไม่ยอมให้ ศรีไพรตายเหมือนพ่อ พี่ขอร้องนะ ให้โอกาสพี่บ้าง อย่าเกลียดพี่”
“ปล่อยฉัน...ฉันไม่มีอะไรให้นายอีกแล้ว”
ศรีไพรสะบัด ถอยก้าว น้ำตาเอ่อดวงตาแต่พยายามอดกลั้นความอ่อนแอ
“แล้วนายก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในความทรงจำของฉันแล้ว...ไม่มี!”
ศรีไพรวิ่งออกไป ทวนมองตามไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
จ่าสินค่อยๆ ขยับตัว รู้สึกตัวตื่นด้วยอาการเจ็บที่กลางศีรษะ จ่าสินมองไปรอบๆ ก่อนที่จะพรวดพราดลุกขึ้นเมื่อเห็นเมินยืนพิงรถยนต์ของเขา แล้วโยนก้อนกรวดในมือด้วยท่าทีกวนๆ
“ไอ้เมิน...”
“ไปทำอะไรมาล่ะจ่า ถึงได้มานอนนับตะวันอยู่ข้างทางนี่ เจอใครจัดหนักเข้าให้ล่ะถึงได้สลบเหมือด”
“แก...”
เมินยิ้มหยัน
“นี่แสดงว่าไอ้คนที่ล้มจ่าได้นี่ มันต้องมีลำหักลำโค่น มีความเชี่ยวชาญในการใช้มือเปล่าเป็นอาวุธ”
จ่าสินแววตาครุ่นคิด
“หรือว่าจะเป็น...”
“มันจะเป็นใครก็ช่าง แต่มันคงแน่กว่าจ่านะ ถ้ามันล้มจ่าได้”เมินตัดบท
จ่าสินมองหน้าทวน
“ไอ้เมิน ฉันรู้ว่าไมใช่แก”
“ถ้าเป็นผมละก็ จ่าไม่ได้ฟื้นหรอก เจอจ่าก็ดีแล้ว จ่าไม่สงสัยเหรอว่า...ใครเป็นคนเก็บไอ้ส่างลอง”
จ่าสินหลบตา
“แกจะรู้ไปทำไม แกทำงานให้เศรษฐีบุญช่วย แกมีหน้าที่ต้องเก็บความลับของพวกเดียวกัน”
เมินยิ้มกวนๆ
“แน้ งั้นจ่าก็ยอมรับแล้วละซิว่าไอ้ส่างลอง มันเก็บความลับของเจ้านาย มันถึงได้ถูก...เก็บ”
จ่าสินนิ่งอึ้งไป
ศรีแพร สด และแสนทำงานอยู่ที่ลานบ้าน ศรีไพรขับรถจักรยานยนต์เข้ามาจอดแล้ววิ่งผ่านทุกคนขึ้นเรือนไป ทุกคนมองตามไปด้วยความแปลกใจ
“ศรีไพร ไหนว่าจะไปอำเภอทำไมถึงได้กลับมาเร็วนักล่ะ” สดถามอย่างสงสัย
“ฉันจะขึ้นไปดูน้องนะแม่”
ศรีแพรรีบตามขึ้นเรือนไป เห็นศรีไพรนั่งกอดเข่าอยู่
“ที่ไปไม่ถึงอำเภอนี่ เพราะไปมีเรื่องกลางทางใช่มั้ย บ้านนากลายเป็นที่ที่ไม่ปลอดภัยทั้งที่เป็นบ้านที่เราเกิด เราอยู่ พ่อแม่ปู่ย่าของเราตายที่นี่ บอกพี่ว่ามีเรื่องอะไร พี่จะไปยิงหัวมัน”
“พี่ศรีแพร พี่อย่าเอาแต่ใช้อารมณ์ซิ มีคนเขาบอกฉันว่า...ถ้าจะสู้กับคนมีอิทธิพลอย่างเศรษฐีบุญช่วยเราต้องใช้สมอง ตำรวจทลายโรงงานผลิตสารเสพติด แต่จับเศรษฐีบุญช่วยไม่ได้ เพราะมันอ้างว่ามันเป็นแค่ผู้ให้เช่า ศพคนต่างด้าวที่พี่ศรีแพรเจอกลายเป็นแพะ”
ศรีแพรแปลกใจ
“คนต่างชาติหรือ”
ศรีไพรหน้าตามุ่งมั่น
“ฉันจะสืบเรื่องนี้ให้ถึงตัวเศรษฐีบุญช่วย เราต้องใช้แผนเชิงรุก พี่ศรีแพรต้องสืบให้ได้ว่าไอ้คนที่ถูกยิงตายที่คลองน่ะเป็นใคร มันถูกตำรวจยิง หรือว่าถูกพวกเดียวกันปิดปาก”
ศรีแพรมองหน้าน้องสาวอย่างหวั่นๆ
“อะ...เอายังงั้นหรือ”
“ถ้าเศรษฐีบุญช่วยยังใหญ่อยู่ที่นี่ เราทุกคน...ไม่มีวันปลอดภัย”
ศรีแพรและศรีไพร มองสบสายตากันและกัน
วันต่อมา สไบเดินนำหน้าแหว่งซึ่งถือขันตักบาตรมา ทั้งสองไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับส่างลอง
“คุณสไบของบ่าวขา ตักบาตรทำบุญไปให้ไอ้ส่างลองยังงี้ จะถึงหรือเปล่าคะ”
สไบหยุดก้าว หันมามองหน้า แหว่งทำหน้าซื่อๆ
“ทำไมแกถามฉันยังงี้”
“ก็บ่าวเห็นแต่คนดีๆ เขาใส่บาตรทำบุญ แต่บ่าวไม่เห็นคุณสไบของบ่าวขาเคยทำอะไรดีๆ เหมือน...”
“นังแหว่ง แกพูดอะไรออกมา ฉันเพิ่งจะเข้าวัดทำบุญนะ ยังไงไอ้ส่างลองมันก็เป็นญาติของฉัน ฉันเป็นคนพามันมาตาย”
“อุ๊ย ก็แหว่งสงสัยนี่คะคุณสไบของบ่าวขา ว่าบุญที่คุณสไบของบ่าวขาทำอุทิศไปให้ญาติน่ะ มันจะล้างบาปที่ไอ้ส่างลองเคยทำชั่วไว้...ได้มั้ย”
สไบหันกลับมาหน้าตากระอักกระอ่วน
“เอ้อ...”
แหว่งมองสไบแล้วแผ่วเสียงลง
“แล้วไอ้ที่คุณสไบของบ่าวขา กำลังยักย้ายถ่ายเทสมบัติของเศรษฐีบุญช่วยน่ะ เขาเรียกว่าบาปหรือเรียกว่า...กรรม”
แหว่งมองสบสายตาสไบอย่างซื่อๆกึ่งๆเจ้าเล่ห์ สไบนิ่งอึ้งตอบไม่ได้ ศรีแพรที่แอบฟังอยู่ที่มุมหนึ่งขมวดติ้ว พึมพำเบาๆ
“ไอ้ส่างลองมันเป็นญาติของนังสไบ”
ชาริณีย่องลงมาจากเรือน เหลียวซ้ายขวา มองไปรอบๆ ตัวอย่างระมัดระวัง เธอเริ่มมีอาการกระหายยา แต่พยายามอดกลั้นเพราะต้องการเลิกเสพยาเสพติด สไบเพิ่งกลับจากวัด ส่งขันตักบาตรให้แหว่งมองเยาะหยัน
“ถ้าทนไม่ไหวก็เลิกล้มความตั้งใจที่จะเลิกเสียเถอะ ของมันเลิกยาก ถึงเลิกได้ก็ลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่เลิกหรือไม่เลิกก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ในเมื่อคุณมีมัน”
ชาริณีส่ายหน้า
“ไม่ ฉันจะเลิกให้ได้ ฉันสัญญากับคุณทวนแล้วว่าฉันจะเลิก”
“แล้วคิดว่าเขาจริงใจกับคุณหรือ”
“นังสไบ ฉันจะแต่งงานกับคุณทวน!” ชาริณีบอกอย่างมั่นใจ
“พ่อคุณคงไม่อนุญาต เพราะ...” สไบแผ่วเสียงลงเย้ยหยัน “เศรษฐีบุญช่วยพ่อคุณคิดว่าลูกของตัวเองเป็นนางฟ้า ผู้ชายขี้คุก มีกำพืดเป็นแค่เด็กวัดอย่างคุณทวน ไม่สมเกียรติของลูกเศรษฐี ฝันไปเถอะ”
ชาริณีโกรธจี๊ด
“นังสไบ แก...แกก็เป็นได้แค่นางบำเรอของพ่อฉัน ของพี่ชายฉัน ไม่มีใครยกย่องแกมากกว่านี้หรอก”
สไบเจ็บแค้น
“ฉันก็ไม่ต้องการการยกย่องของใคร น่าสงสารเศรษฐีบุญช่วยนะ คิดว่าลูกของตัวเองวิเศษ ใครจะไปนึกว่าเวรกรรมมาตามทันรุ่น...ลูก”
ชาริณีไม่พอใจ
“นังสไบ แกจะฟ้องพ่อเหรอว่าฉัน...”
“ไม่ฟ้อง พ่อคุณก็ต้องรู้ เร็วๆ นี้แหละ”
สไบเดินเชิดหน้า แหว่งสะบัดหน้าตาม ชาริณีค่อยๆ ทรุดตัวลงเพราะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ทวนเข้ามาประคอง
“ผมว่าคุณพูดความจริง แล้วไปบำบัดเสียเถอะ อย่าเลิกแบบหักดิบยังงี้เลยมันอันตราย”
“ฉันต้องการเลิก ฉันต้องเลิกมันให้ได้ก่อนที่พ่อจะรู้ ไม่ยังงั้นพ่อต้องฆ่าฉันแน่ แต่งงานกับฉันได้มั้ย ฉันกลัว...”
ทวนมองหน้าชาริณีอย่างคาดคั้น
“คุณกลัวจ่าสินหรือ ทำไมต้องกลัวเขา เขาทำอะไรคุณ”
“ฉัน...”
“พูดความจริงกับผม ไม่ก็...พูดความจริงกับพ่อคุณ”
“ไม่...!” ชาริณีถอยก้าว สั่นศีรษะด้วยความหวาดกลัว
ค่ำคืนนั้น ศรีแพรและศรีไพร แอบสอดแนมพฤติกรรมของบุญช่วย ต่างมองไปยังทวนที่ประคองชาริณีขึ้นบันไดเรือน
“ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าชาริณีติดยาเสพติด นี่กรรมมันมีจริงๆ แล้วก็ตามทัน เศรษฐีบุญช่วยแล้ว”ศรีไพรตกใจกับสิ่งที่เห็นไม่น้อย
“พี่ก็เชื่อแล้ว...เชื่อจริงๆ ทำร้ายลูกของคนอื่นไว้มาก ไม่รู้ว่าทำร้ายลูกตัวเองด้วย”
ศรีไพรหน้าสลดลง
“สงสารชาริณีนะ”
“สงสารทำไม คนพวกนี้ฆ่าพ่อเรา ถึงมันจะเดือดร้อนทุกข์ทรมาณ มันก็ไม่ได้ครึ่งเหมือนที่เราเคยทุกข์ ตั้งแต่พ่อตาย พี่รู้ว่าแม่ไม่เคยนอนหลับสนิท พี่ก็เหมือนกัน กลับไปนี่พี่จะหลับลงแล้ว”
“พี่ศรีแพร นี่มันต่างกรรมต่างวาระนะ”
“ต่างกรรมแต่วาระเดียว...”
“เศรษฐีบุญช่วยจะต้องชดใช้กรรมที่ทำกับพวกเรา...ทุกคน”
ศรีแพรบอกอย่างแค้นใจ
+ + + + + + + + + + + +
ชาริณีนั่งกอดเข่าซึมเซา สภาพร่างกายทรุดโทรมลงเพราะอาการติดยาเสพติด จ่าสินก้าวเข้ามา ชาริณีลนลานหนี
“จะหนีไปไหน”
“จ่า...จ่าสิน”
จ่าสินมองหยัน
“ฉันรู้นะว่าเธอต้องการอะไร มากับฉัน...ฉันมีสิ่งที่เธอต้องการไม่อั้น”
“ไม่ ฉันไม่ใช้มันอีกแล้ว ฉันกำลังจะเลิก มันทำลายชีวิตของฉันจนหมด...ฉันไม่ต้องการมันอีก ฉันต้องเลิกมันได้” ชาริณีน้ำเสียงมุ่งมั่นมาก
จ่าสินยิ้มเยาะ
“ไอ้ทวนมันบอกเธอเหรอว่า มันจะแต่งงานกับเธอถ้าเธอเลิกได้ ทำไมมันต้องบังคับให้เธอเลิก มันไม่รักเธอจริงน่ะซิ”
“เขารักฉัน”
“ไปกับฉัน...” จ่าสินสั่งเสียงเข้ม
“ไม่...”
ชาริณีสะบัดมือจากจ่าสิน วิ่งหนีไป
“ชาริณี”
จ่าสินวิ่งตามไป ชาริณีพยายามวิ่งหนีไปตามต้นไม้ด้วยความหวาดกลัว จ่าสินไล่ตามไม่ลดละ
เมินเดินตรวจดูความเรียบร้อยรอบบ้าน ทวนเดินลงมาจากบ้านด้วยท่าทีร้อนใจ
“เห็นชาริณีมั้ย”
“ไม่เห็น”
ทวนรีบวิ่งออกไป เมินมองตามด้วยความสงสัย
“เฮ้ย ไอ้ทวน...”
สไบก้าวเข้ามา
“ไม่ต้องตามคุณทวนไปหรอกค่ะ คืนนี้ไม่มีคนอยู่ เศรษฐีบุญช่วยกับคุณชิงชัยมีนัดสำคัญคงกลับดึก”
เมินท่าทีอยากรู้
“นัด...นัดอะไรครับ”
“คงเป็นเรื่องธุรกิจ”
“ธุรกิจของเศรษฐีบุญช่วยนี่ คงมีหลายอย่างนะครับ ผมเห็นคุณนับแต่เงิน วันดี...คืนเดือนมืด ก็ลำเลียงทองลงทางใต้ถุนบ้าน”
สไบมองหน้าเมิน
“แล้วคุณอยากจะเป็นเจ้าของทองที่ว่านั่นมั้ย”
“แหม มันก็ต้องรู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร มีที่ไปที่มายังไง ไม่ยังงั้นผมไม่กล้าคิดหรอกครับว่าผมจะได้เป็นเจ้าของ...ของๆ คนอื่น” เมินแสร้งทำตาเจ้าชู้
สไบส่งยิ้มหวาน
“ถ้าคุณร่วมมือกับฉัน...”
เมินแกล้งทำหน้าซื่อ
“งงอีกแล้วครับ ร่วมมือยังไง”
สไบเข้ามากอดคอเมิน มองสบสายตายั่วยวน
“หักหลังเศรษฐีบุญช่วย”
ชาริณีวิ่งหนีจ่าสินมาล้มลงอย่างหมดแรง เหนื่อยหอบ จ่าสินตามมาทัน
“หมดฤทธิ์แล้วใช่มั้ย ชาริณี”
จ่าสินก้มลงไปหาชาริณี ศรีไพรก้าวเข้ามาทางเบื้องหลังของจ่าสิน ฟาดไม้ลงบนศีรษะของจ่าสินเต็มแรง จ่าสินล้มทับลงบนร่างของชาริณีที่กรีดร้องอย่างตื่นตระหนก
“ฉันเอง...คุณ...นี่...ฉันเอง...”
“ปล่อย...ปล่อยฉัน แก...ปล่อยฉันนะ” ชาริณีดิ้นรนโวยวายลั่น
ศรีไพรพยายามเขย่าตัว ชาริณีตื่นกลัวจนคลั่ง สะบัดตัว พยายามต่อสู้ปกป้องตัวเอง
“คุณ...ฉันเอง คุณปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครทำร้ายคุณแล้ว”
“แก...” ชาริณิชะงักจ้องหน้าศรีไพร “แกไม่ใช่...”
“จ่าสินเป็นสมุนรับใช้ของเศรษฐีบุญช่วยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาต้องทำยังงี้กับคุณล่ะ ดูท่าทางมันสัตว์ป่าที่กำลังจะขย้ำคุณ ไป ปล่อยจ่าสินไว้ที่นี่แหละส่วนคุณก็กลับบ้าน กลับไปบอกเศรษฐีบุญช่วยว่าไอ้บ้านี่มันทำอะไรคุณ”
ชาริณีส่ายหน้าน้ำตาคลอ
“ไม่...ไม่ได้”
ขณะเดียวกันนั้น เสียงทวนตะโกนดังมา
“ชาริณี...คุณชาริณี”
ศรีไพรหน้ามึนตึง
“บอดี้การ์ดของคุณมาแล้ว หมดหน้าที่ของฉันนะ”
ทวนวิ่งเข้ามา ก้มลงมองจ่าสินที่นอนสลบอยู่ มองหน้าศรีไพร
“จ่าสิน ศรีไพร”
ศรีไพรมองทวนหยันๆ
“พาชาริณีกลับไปซะ คุยว่าเป็นบอดี้การ์ด แต่ฉันไม่เห็นจะดูแลนายจ้างดีสักเท่าไหร่เลย ไป...เอาตัวชาริณีกลับไป ส่วนไอ้จ่าสินนี่...ทิ้งให้นอนตากน้ำค้าง เดี๋ยวก็ฟื้น ไปซิ...”
ทวนอึ้งไป
“ศรีไพร”
“ไป...!” ศรีไพรตวาดไล่
ทวนประคองชาริณีออกไป ศรีไพรมองตาม ทำหน้าหยิ่งใส่ทวน แต่เมื่อเขาออกไปแล้วเธอก็หน้าเศร้าสลดลง
อ่านต่อ หน้า 2
เพลงรักบ้านนา ตอนที่ 26 (ต่อ)
ทวนประคองชาริณี ที่ยังเนื้อตัวสั่นไปด้วยหวาดกลัว รวมทั้งมีอาการเสี้ยนยาอย่างรุนแรงด้วย
“พูดความจริงกับพ่อคุณ แล้วหาทางไปบำบัดรักษา คุณต้องคืนชีวิตให้ตัวเอง เหมือนอย่างที่คืนให้แก่พ่อแม่” ทวนแนะ
ชาริณี ชะงัก
“ฉัน...”
“มีคนติดมันได้ ก็ต้องมีคนเลิกมันได้ แต่คุณต้องใช้ชีวิตที่มันถูกต้อง ที่มันเหมาะสมกับตัวคุณเอง ไม่ใช่หักดิบแบบนี้”
“ฉัน...ฉัน...” ชาริณีเริ่มมีอาการร้อน สั่นสะท้าน เหงื่อออกปวดท้อง ทุรนทุรายเพราะอาการเสี้ยนยา “ช่วยฉันด้วย กอดฉันไว้แน่นๆ”
“ชาริณี” บุญช่วยก้าวเข้ามา ส่งเสียงตวาดด้วยความโกรธ
ชิงชัย หลิม เลิศเข้าจับตัวทวน ขณะที่ชาริณี ตื่นกลัว ลนลาน
“พ่อ เปล่านะ ไม่...ไม่ใช่ หนูไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อคิดนะ ไม่...ไม่ได้ติดยา ไม่เคย...ไม่เคยเลยจริงๆ”
บุญช่วยแววตาตื่นตระหนก
“ชาริณี นี่...นี่แกติดยา แก...แกติดยาเสพติดหรือ”
ชาริณีร้องไห้โฮ
“พ่อ...หนูติดยา”
เมินเดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆ ทวน มองอย่างสะเทือนใจ ชาริณีคุกเข่าลง คลานเข้ามากอดขาบุญช่วยไว้ด้วยเนื้อตัวที่สั่นสะท้านไปด้วยอาการเสี้ยนยาดวงตาเลื่อนลอย เหมือนไร้แวว ไร้สติ
“หนูติดมัน หนูจะเลิก พ่อ...อย่าห้ามหนูนะ หนูรู้...ว่าพ่อรักหนู พ่อมีให้หนูเสพไม่อั้น พ่อทำมันเองกับมือ นี่ไง...ที่หนูเป็นยังงี้ก็เพราะ...พ่อ”
“ชาริณี”
บุญช่วยเงื้อมือจะตบหน้าชาริณี ทวนสะบัดหลุดจากหลิมกับเลิศ เข้ามาห้ามไว้
“อย่า...อย่าทำร้ายคุณชาริณี”
“แกยุ่งอะไรด้วยวะ ไอ้ทวน” ชิงชัย ตวาด
ทวนหันมาจ้องหน้าชิงชัย
“เพราะคุณกับพ่อคุณ ทำร้ายคุณชาริณีมามากแล้ว หรือคุณจะปฏิเสธว่าไม่ใช่...ไม่ใช่ไอ้ยาที่คุณทำกับมือ...พวกนั้น!”
บุญช่วยยกมือค้าง เมินเข้าประคองชาริณี
“นี่...นี่เพราะฉันหรือ ฉัน...ฉันค้ายา แต่ลูกของฉันกลับติดยาซะเอง...ฉันหรือ”
บุญช่วยแผดเสียงด้วยความโกรธ กระชากร่างของชาริณีขึ้นมา ทวนเข้าห้าม
“อย่า...”
“ฉันจะฆ่ามัน อีลูกไม่รักดี พ่อมีเงินมีความรักให้ ทำไมต้องไปติดยา”
สไบเบะหน้าไปยิ้มเยาะ เมินเข้าห้ามอีกคน
“อย่าครับ นี่จะฆ่าคุณชาริณีหรือ”
“แกถอยไป ฉันจะฆ่ามัน” บุญช่วยตวาดลั่น
ชิงชัยตกใจ
“พ่อ...พ่อ ใจเย็นๆ”
ทวนจ้องหน้าบุญช่วยด้วยแววตาจริงจัง
“ผมไม่ยอมให้ใครทำร้ายคุณชาริณี นี่ยังเป็นคนกันอยู่หรือเปล่า นี่ลูกนะ...ลูก ที่ชาริณีติดยานี่...ยาของใครล่ะ ยาของใคร” ทวนแผดเสียงใส่หน้าบุญช่วย
บุญช่วยชะงัก นัยน์ตาฉายแววเจ็บปวด คั่งแค้น เสียใจ ตะโกนสั่งดังลั่น
“เอามันไปขังไว้ในห้องมืด”
วันต่อมา พ.ต.อ.รฤก ในชุดนอกเครื่องแบบมาหาหลวงตาที่วัด แล้วก้มลงกราบ หลวงตาค้นย่ามหาวัตถุมงคลแต่ไม่พบ
“อ้า พุทธบริษัทจำกัดท่านผู้การมาจากกรุงเทพฯ มาปราบผู้ร้ายทลายโรงงานนรก แล้วก็เลยมากราบนมัสการพระคุณเจ้าขอรับ” มหาเฉื่อยหันไปหาพ.ต.อ.รฤก “ท่านหูไม่ค่อยดีขอรับผู้การ”
หลวงตาส่ายหน้า
“ไม่มีว่ะ”
หมอกมองอย่างสงสัย
“หลวงตาหาอะไรหรือขอรับ”
“จะหาเหรียญหาพระเครื่อง มอบให้ท่านผู้การที่เขาเข้ามาช่วยปราบยาเสพติดบ้านเรา อาตมาก็ไม่ค่อยได้สะสมวัตถุพวกนี้เสียด้วย”
ทอกยิ้มแหยๆให้ พ.ต.อ.รฤก
“แหม เป็นนายตำรวจกองปราบก็ไม่บอก ผมก็นึกว่าเป็นลุงแก่ขอทาน ขอโทษท่านด้วยที่เอาข้าวคลุกปลาทูไปให้ท่าน”
พ.ต.อ.รฤก ยิ้มแย้ม
“ฉันก็ขอบใจนายทอก นายหมอก แล้วก็ท่านมหาเฉื่อยด้วย ที่ให้ความร่วมมือ ถึงจะจับตัวเป็นๆ ไม่ได้ ได้แต่จับตาย แต่เราก็ไม่นิ่งนอนใจ จะจับตัวใหญ่ให้ได้ครับหลวงพ่อ”
“ใครจะไปนึกว่าใครจะเป็นใคร ไอ้ที่ทำลับๆ ล่อๆ ไม่รู้จะเป็นใครดีนี่ก็น่าสงสัย” มหาเฉื่อยต่อว่าเล็กๆ
“จะไปสงสัยอะไรล่ะท่านมหาเฉื่อย ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่นั้นแหละให้ดีที่สุด” หลวงตานึกบางอย่างได้ “อ้า...เห็นจะต้องสร้างวัตถุมงคลไว้เป็นสิริมงคลของอาตมา ใครไปใครมาจะได้มอบให้เป็นที่ระลึก”
“ไม่งมงายนะขอรับหลวงตา” หมอกแย้ง
“ก็ให้คนละเหรียญซิวะ จะได้งมงายน้อยๆ หน่อย ถ้าบ้านนาเราขาวสะอาดปลอดสารเสพติด...” หลวงตาทอดถอนหายใจ “บ้านนาของเราคงจะเป็นสวรรค์บนดิน”
ศรีแพรตำหนิศรีไพร เมื่อรู้ว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ไปช่วยเหลือชาริณี
“ไปช่วยมันทำไม มันทำกับพวกเราแสนสาหัส ไอ้ชิงชัยเป็นคนยิงพ่อ แกลืมเสียแล้วเหรอ”
“ฉันไม่ลืมหรอก ยังไงฉันก็ต้องเอานายชิงชัยเข้าคุกให้ได้ แต่ชาริณียังเด็กไม่ช่วยไมได้นะพี่ศรีแพร”
“เห็นแก่ชาริณี ไม่รู้พวกมันจะเห็นแก่เราแค่ไหน”
ศรีไพรถอนใจ
“พี่ศรีแพร ถึงเราจะเคืองแค้นเรื่องพ่อสักแค่ไหน แต่เราต้องไม่ขาดมนุษยธรรมกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนะ ต่อหน้าต่อตายังงั้นฉันไม่ช่วยไม่ได้จริงๆ”
“งั้นก็รอลูกสาวเศรษฐีบุญช่วยมาสนองคุณแกเถอะ ฮึ”
ศรีแพรสะบัดหน้าจากไปด้วยความโกรธ ศรีไพรมองตาม ทอดถอนหายใจ
สไบเดินนำหน้าแหว่ง ผ่านทวนที่หลบอยู่หลังเสาเรือนไปยังประตูห้องที่ปิดใส่กุญแจอย่างร้อนรน...
“เปิดซินังแหว่ง”
“ค่ะ คุณสไบของบ่าวขา เอ้อ...ว่าแต่คุณสไบของบ่าวขาจะเปิดเข้าไปทำไมคะ ก็ในเมื่อ...”
“ฉันเข้าไปดูหน้านังชาริณี ดูซิว่ามันจะทำหน้าโอหัง เหมือนตอนที่มันยังเป็นลูกสาวคนโปรดของเศรษฐีบุญช่วยมั้ย”
แหว่งรับกุญแจพวงใหญ่มาไขกุญแจประตู ทวนค่อยๆ เยี่ยมหน้าออกมาแอบมองในห้องมืดที่มีแสงสว่างสาดเข้ามาผ่านประตูที่เปิด ชาริณีนอนอยู่กับพื้น มีอาการสั่นสะท้าน ทรุดโทรมอย่างรุนแรง สไบเข้าไปมองอย่างเหยียดหยัน
“ไง เชิดหน้าไม่ขึ้น ซมซานเหมือนสุนัขขาดอาหารเลยนะ นังชาริณี”
“ใคร...นั่นใคร” ชาริณีถามเสียงสั่นเครือ
“ฉันเอง ฉันไม่ได้เอาข้าวเอาน้ำมาให้แกหรอก ท่านเศรษฐีโกรธแก สั่งงดข้าวงดน้ำ ขังเดี่ยวแกในห้องมืด”
“ออกไป...” ชาริณีตวาดไล่
“ยังจะจองหองอีก ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก แกยังไม่รู้นิสัยของเศรษฐีบุญช่วยว่าโหดเหี้ยมแค่ไหน สมน้ำหน้าไอ้แก่ ค้ายาจนร่ำรวย โดยไม่รู้ว่ายานั่น...ย้อนกลับมาทำลายลูกของตัวเอง”
ชาริณีโกรธตัวสั่น
“ฉัน...บอก...ให้...แก...ออกไป!”
น้ำเสียงของชาริณีแผ่วโหย ก่อนสิ้นสติลง แหว่งตกใจ
“อุ๊ยแน่นิ่งไปแล้วค่ะคุณสไบของบ่าวขา”
สไบยิ้มเยาะ
“ตายเสียได้ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องกำจัดมัน!”
สไบยิ้มเหยียดก่อนเดินออกไป แหว่งรีบปิดประตูใส่กุญแจ ทวนแอบมองอยู่หลังต้นเสา มองตามสไบและแหว่งไปอย่างครุ่นคิด
ค่ำคืนนั้น หมอกและทอก เดินกอดคอกันร้องเพลงอย่างประชดประชัน คั่งแค้นทวนและเมิน ทันใดนั้นมีรถบรรทุกคลุมด้วยผ้าใบสีดำ แล่นผ่านทั้งสองไป
“เฮ้ย ขับรถน่ะแบ่งถนนให้คนอื่นเขาใช้บ้างซิโว้ย หนอย...ใหญ่คับฟ้า ไม่ยืดไม่หด ทนน้ำทนไฟได้หรือยังไงวะ ถึงไม่เห็นใจคนอื่น” ทอกตะโกนด่า
หมอกมองตามรถไป
“ขับรถประสาตะบวยยังงี้ต้องเป็นรถขนดินของเศรษฐีบุญช่วยแน่”
“ขนดิน ถุย...ขนดินกลางค่ำกลางคืน ไม่รู้จักเกรงใจประชาชนคนอื่นซะบ้าง ขนดินแต่มีผ้าใบคลุม สุภาพจนเกินเหตุ” ทอกอะไรบางอย่างได้ “เฮ้ย...”
หมอกหน้าตื่น
“เฮ้ย...”
“หรือว่า...”
“ไม่ใช่รถขนดิน”
“แล้วเป็นรถอะไร”
หมอกและทอกหันมามองสบสายตากัน
“อยากรู้ใช่มั้ย” หมอกถาม
ทอกส่ายหน้า
“ไม่อยากรู้...”
“ไม่อยากรู้ไม่ได้ หลวงตาฉุนท่านสั่งให้คนบ้านนาเอาตาดูหูฟัง มีเรื่องไม่ชอบมาพากลรายงานลุงขอทาน...เอ๊ย...ตำรวจด่วน”
“งั้น...ไป!”
ทั้งสองรีบตามไป
รถบรรทุกคลุมผ้าใบ ถอยหลังเข้ามาจอดแล้วดับเครื่อง หลิมก้าวลงมา ชิงชัย เดินนำหน้าเลิศ ลงไปยังรถบรรทุก
“ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย” ชิงชัยเดินสำรวจรอบๆรถ
หลิมยิ้มแย้ม
“ผ่านด่านเรียบฉลุยเลยครับเจ้านาย”
“ดีมาก จอดรถทิ้งไว้ที่นี่แหละ ไม่มีใครกล้าเข้ามาตรวจค้นหรอก”
เมินยืนมองอยู่ในมุมที่หลบอยู่ ทวนเข้ามาสมทบ ต่างจ้องมองไปยังรถบรรทุก
“แกว่าในนั้นมีอะไร” ทวน กระซิบถาม
“ดิน หิน หรืออาจจะเป็นทรายก็ได้ เศรษฐีบุญช่วยมีธุรกิจรับถมดิน จะมีอะไรล่ะ”
“แกคิดยังงั้นจริงๆเหรอ”
“แล้วแกล่ะ...คิดยังไง”
ทวนไม่ตอบ ผละไป เมินหันกลับมาจ้องมองรถบรรทุก ด้วยแววตาเป็นประกายไปด้วยความสนใจ เพราะเมินมาสืบจับอาวุธเถื่อน
ทอกและหมอก ย่องตามหลังกันเข้ามาสอดแนม แอบดูรถบรรทุกของชิงชัย หมอกหันไปปรึกษาทอก
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ตกบันไดพลอยโจน ปลอมเป็นนักสืบเหมือนลุงขอทานเลยดีมั้ยไอ้ทอก”
ทอกมองหน้าหมอก
“แกคิดว่าแกเนียนเหมือนลุงขอทานหรือวะ มาเร่ร่อนขอทานอยู่ตั้งนานไม่มีใครรู้ว่าเป็นตำรวจ”
“ก็ทำให้เนียนซิวะ ก่อนอื่นต้องทำหน้าให้เนียนก่อน”
“ทำยังไง”
“นี่ ยังงี้...”
“ยังไงวะ”
“ยังงี้ไง”
หลิมกับเลิศก้าวเข้ามาทางเบื้องหลังหมอกและทอกใช้ปืนจี้ที่ศีรษะทั้งสอง
“ยังไง” ทอกถาม
“นี่...ยังงี้”
หลิมกับเลิศง้างไกปืนเสียงดังกริ๊ก ทอกกับหมอกสะดุ้งสุดตัว ชะงัก ก่อนออกวิ่งหนี หลิมและเลิศวิ่งไล่ยิงตามไป
ทอกและหมอกวิ่งมาล้มลงหน้าบันไดบ้านศรีไพร
“โอย ช่วยด้วยโว้ยไอ้ศรีไพร เปิดประตูรับที” ทอกเรียกอย่างหอบเหนื่อย
หมอกร้อนใจ
“เร็วๆ เข้า เดี๋ยวมันตามมาทัน ไอ้หมอกหยุดหายใจไม่รู้ด้วยนะ”
ศรีไพร ศรีแพร สดและแสนเปิดประตูออกมาอย่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไอ้หมอก ไอ้ทอก...นั่นเอ็งไปทำอะไรมาหน้าตาตื่นยังงั้น” สดถามอย่างสงสัย
“ฉันไม่ได้หลับจ้ะ หน้ามันก็เลยตื่น โอย...” หมอกหอบแฮ่ก
“วิ่งหนีใครมา” ศรีไพรถามอย่างแปลกใจ
“บอกมาเร็วๆ ไม่ยังงั้นยิงเละ” ศรีแพรขู่
หมอกตื่นกลัว
“โอ อย่ายิงเลยแม่จ๋า แค่นี้ก็หางจุกตูดแล้วจ้ะ ไปสืบความบ้านเศรษฐีบุญช่วยมา เลยถูกมันไล่ยิงวิ่งหางชี้นี่แหละ”
“มีอะไรผิดสังเกตที่นั่น” ศรีไพรสงสัย
“มีรถบรรทุก ขนอะไรไม่รู้มาส่งที่บ้านเศรษฐีบุญช่วย” ทอกบอก
“อะไร” ศรีแพรถามเสียงเข้ม
ทอกส่ายหน้า
“ฉันไม่รู้ มันคลุมด้วยผ้าใบ เลยไม่เห็นว่าข้างในมีอะไร”
“แล้ว...เอ้อ...แล้วเห็นนายทวนมั้ย” ศรีไพรถามเหมือนเสียไม่ได้ แต่ถามเพราะอยากรู้
แหว่งนอนส่งเสียงกรน ทับพวงกุญแจห้องขังชาริณี โดยไม่รู้ว่าทวนค่อยๆ ย่องเข้ามาขโมยกุญแจไป และรีบไปเปิดห้องที่บุญช่วยขังชาริณีไว้
ชาริณีเธอนอนหลับอยู่กับพื้น มีโซ่ล่ามขาอยู่ ทวนไขกุญแจแห้องเปิดเข้ามา
“ชาริณี คุณ...คุณชาริณี”
ชาริณีลืมตามาเห็นทวนก็ดีใจ
“คุณ...ทวน ช่วยด้วย...ช่วยฉันออกไปที พ่อต้องฆ่าฉันแน่ เอาฉันออกไปจากที่นี่”
“อย่าส่งเสียง ผมมาช่วยคุณแล้ว ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่”
ทวนไขกุญแจโซ่ แล้วเขย่าตัวชาริณีจากอาการงัวเงีย
“ลืมตาไว้ เกาะหลังผมแน่นๆ ผมจะแบกคุณลงไปทางหน้าต่าง มา...ขึ้นมา”
ทวนแบกชาริณีขึ้นหลังปีนลงมาจากหน้าต่างระเบียง ลงมายังพื้นดินแล้ววิ่งหายไปในความมืด หลิมเห็นหลังไวๆก็ส่งเสียง
“เฮ้ย นั่นใครวะ”
เลิศมองตามไม่เห็นมีอะไร
“ไม่มีอะไรนี่ หรือไอ้หมอกกับไอ้ทอก มันจะกลับมาลองดีกับพวกเรา”
“ให้มันกลับมาเถอะ จะยิงให้ธาตุไฟแตกเชียวมึง!”
หลิมส่งเสียงคำรามด้วยความแค้นใจ
หน้าบ้านเรือนไทยเงียบสงัด ทวนแบกร่างของชาริณีเข้ามาส่งเสียงเรียก
“ศรีไพร...ศรีไพร เปิดประตูรับด้วย นี่พี่เอง...”
“คุณ...ทวน นี่...ที่ไหน...” ชาริณีถามเสียงแหบแห้ง
“ศรีไพร ศรีแพร แม่...แสนแสบ เปิดประตูรับด้วย นี่พี่เอง...เปิดประตูด้วย”
ทันใดนั้น เสียงสดดังออกมาจากในบ้าน
“เฮ้ย ได้ยินแล้ว ใครวะ มาเรียกกันดึกๆ ดื่นๆ”
“เปิดเลยแม่ เรามีปืน...!” ศรีแพรบอก
ศรีไพรกับศรีแพร เปิดประตู สดถือตะเกียง แสนโผล่พรวดลอดเอวศรีแพรกับศรีไพรออกมา
“นั่นพี่ทวนนี่แม่”
“มาทำไม” ศรีไพรถามเสียงแข็ง
ทวนมองศรีไพรด้วยสายตาขอร้อง
“พี่ต้องการความช่วยเหลือ นี่คุณชาริณี”
ศรีไพรชะงักอึ้ง
“ชาริณี”
ศรีแพรแผดเสียง ยกปืนขึ้น
“เอาออกไป บ้านนี้ไม่ต้อนรับลูกเศรษฐีบุญช่วย มันฆ่าพ่อฉัน ลูกมันจะไปตายโหงที่ไหนก็...ไป”
ทันใดนั้น ร่างของชาริณีบนแผ่นหลังของทวนร่วงลงมานอนสิ้นสติกับพื้น
จบตอนที่ 26
อ่านต่อ ตอนที่ 27 วันพรุ่งนี้