นางฟ้ากับมาเฟีย ตอนที่ 1
ณ เมืองแถบชายฝั่งทะเลสหรัฐอเมริกา เวลานั้นรามกำลังซิ่งมอเตอร์ไซค์ไล่เครื่องบินเล็กมาตามรันเวย์ ขณะที่โรเบิร์ตหัวหน้าแก๊งค้าแบงก์ปลอมกับสมุนที่อยู่ในเครื่องบิน ยิงปืนเข้าใส่ รามหลบไปมา ยิงสวนไป โรเบิร์ตกอดกระเป๋าที่ข้างในมีแท่นพิมพ์แบงก์ปลอมแนบอกแน่น สายตาจ้องมองไปที่รามที่ซิ่งขนาบมาอย่างเป็นกังวล
จังหวะที่เครื่องบินเชิดหัวขึ้น รามตัดสินใจทิ้งรถกระโดดเกาะบันไดเครื่อง สมุนพยายามยิงแต่ไม่ถูก รามเหนี่ยวจับขาสมุนคนหนึ่ง สมุนพยายามเอาปืนกระแทก รามจับคอเสื้อสมุนคนนั้นได้ก็กระชากลอยละลิ่วลงไปกระแทกพื้น จากนั้นก็ดีดตัวเข้าในเครื่องสู้กับโรเบิร์ต ทั้งสองแย่งปืนกัน ปืนลั่นหลายนัดถูกหน้าปัด ตรงคอนโทรลและถูกนักบินเสียชีวิต
ทั้งรามและโรเบิร์ตยังสู้กันต่อในที่แคบๆ จนปืนก็ลั่น ใส่โรเบิร์ตตายคาที่ เครื่องบินเสียการควบคุม รามมองเห็นหน้าผาลิบๆ อยู่ข้างหน้า เขาเซไปตามแรงหวี่ยงของเครื่อง ไวเท่าความคิดรามมองหาที่เก็บร่มชูชีพแล้วกระชากออกมาใส่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบกระเป๋าแท่นพิมพ์ติดมาด้วย
เครื่องบินควันโขมงร่อนไปมาเกือบชนหน้าผา รามเปิดประตูเครื่องโดดลงไปแล้วกระตุกร่ม ในที่สุดเครื่องบินก็ชนหน้าผาระเบิดตูม ขณะที่รามถือกระเป๋าโดดร่มลงมา ก้มมองเห็นด้านล่างเป็นทะเล มีเรือสีขาวลอยลำรออยู่ เขาบังคับร่มไปที่เรือ แล้วปลดสายร่ม ดิ่งลงไปบนเรือได้อย่างแม่นยำ จากนั้นได้หยิบวิทยุกดพูด
“ภารกิจเสร็จสิ้น ได้ของกลางมาแล้ว”
วันต่อมา รามเข้ามาที่ห้องทำงานของก้องภพ ซึ่งผู้บังคับบัญชาของเขา รามวางกระเป๋าลงบนโต๊ะเปิดออก ด้านในมีแท่นพิมพ์แบงก์ปลอม
“เกือบไปนะ ราม แต่ถึงยังไงภารกิจแรกก็จบได้สวยแก๊งพิมพ์แบงก์ดอลล่าปลอมของโรเบิร์ตเป็นแก๊งใหญ่ เบื้องบนพอใจมาก”
ก้องภพตบบ่ารามอย่างให้กำลังใจ
“เสียดายมันตายเสียก่อน เราเลยสาวไม่ถึงเครื่องข่ายของมัน ผมอยากตามต่อ”
“พักเรื่องแบงก์ปลอมไว้ก่อน นายมีงานใหม่รออยู่”
ว่าแล้วก้องภพก็เปิดจอฉายภาพ ปรากฏใบหน้าของพ่อเลี้ยงปองธรรมขึ้นที่จอ
“ผู้ชายคนนี้คือ พ่อเลี้ยงปองธรรม ฉากหน้าของมันทำธุรกิจไร่ชาและสถานบันเทิงหลายแห่งในกรุงเทพฯ ทางตำรวจลับสากลของอเมริกา แกะรอยเส้นทางการค้ายาที่กำลังระบาดหนักอยู่ในดีซีพบว่าเกี่ยวข้องกับพ่อเลี้ยงคนนี้ เขาจึงขอให้ฉันช่วยประสานงานในคดีนี้ในเมืองไทย” ก้องภพส่งพาสปอร์ตให้ “นี่พาสปอร์ตนาย”
รามรับมาอย่างแปลกใจ
“หมายความว่ายังไงครับ”
“นายเป็นคนไทยคนเดียวของหน่วยตำรวจลับอเมริกา ที่จะเข้าไปแฝงตัวอยู่กับพวกมันโดยไม่มีใครสงสัย เราต้องพึ่งนาย...ราม”
รามหน้าเครียดไป เพราะไปอยากลับเมืองไทย ที่เขาจากมานานหลายปี เพราะมความทรงจำเลวร้ายที่ฝังใจอยู่
“ท่านครับ ท่านจะให้ผมไปขึ้นสวรรค์ลงนรกที่ไหนก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ประเทศไทย”
ก้องภพถอนใจ
“มันผ่านมานานแล้วนะราม ป่านนี้คนที่นายไม่อยากเจอ คงคิดว่านายตายไปจากโลกนี้แล้ว”
“ท่านหาคนใหม่เถอะ ยังไงผมก็ไม่ไป” รามยืนยันเสียงแข็ง
ก้องภพจ้องหน้าพูดเสียงเข้ม
“ฉันในฐานะหัวหน้าหน่วยพิเศษของ ป ป ส. นับจากนี้จะเป็นหัวหน้าของนายโดยตรง ถ้านายไม่ไป ก็คือขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา”
รามอึ้งหมดสิทธิ์ปฏิเสธ
เมขลาในชุดแอร์โฮสเตส พร้อมลากกระเป๋าเดินทางใบย่อม และกระเป๋าเล็กที่สะพายอยู่ ก้าวสู่สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยความมั่นใจ เธอหยุดยืนมองบอร์ดยิ้มภูมิใจ
“วันนี้แล้วซินะ เที่ยวบินเที่ยวแรกที่จะทำให้ฉันเป็นนางฟ้าเต็มตัว เมขลา เธอทำได้แล้ว” เมขลากำหมัด “เยส”
ผู้คนที่ลากกระเป๋ามามองๆ เมขลาหันไปยิ้มหวานให้
“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”
เมขลาลากกระเป๋าเดินไปตามทาง ขณะเดียวกับที่รามในชุดดำ แจ็กเกตดำ สะพายเป้ ใส่แว่นดำเดินเข้ามาในสนามบิน พยายามมองหาเป้าหมายที่เขาติดตาม...
ในศูนย์ลูกเรือของ พาราไดซ์ แอร์ไลนส์ บรรดาแอร์เข้าแถวเพื่อเอาบัตรไปแตะที่เครื่อง เช็คเวลาทำงาน เมขลาเอาบัตรแตะอย่างมั่นใจ แต่ไม่มีเสียง เธอหันไปยิ้มให้เพื่อนแอร์
“วันนี้ฉันบินวันแรกค่ะ ตื่นเต้นจังเลย”
“เชื่อค่ะ ว่าตื่นเต้น ไม่งั้นคงไม่หยิบบัตรผิด”
แอร์ยิ้มขำๆ ชี้ไปที่บัตร เมขลาหน้าเหวอ
“คะ...ฮะ” ก้มดูบัตรในมือเป็นบัตรอื่นที่ไม่ใช่บัตรพนักงาน “จริงด้วย” เมขลาอายๆเอากระเป๋าเล็กมาเปิดหา แล้วไม่เจอ เริ่มอึ้ง “หรือ ลืมไว้ที่บ้าน”
เมขลากลับออกไปด้านนอก ขณะเดียวกันก็โทรหา รุจเพื่อนสนิทที่อยู่ในอยู่ในศูนย์ลูกเรือ เมื่อรู้ว่าเธอลืมเอสาบัตรมา รุจโวยทันที
“ฮ้า...อีกแล้วเหรอยัยเม ไหนเธอบอกว่า เช็คของไปแปดรอบแล้ว ไม่มีอะไรขาดแน่ไง”
“ฉันสาบานได้ ฉันเอามาแล้วจริงๆ แต่มันไม่มี”
“ยัยเมเอ๊ย ทำไมถึงมาตกม้าตายเอาวินาทีสุดท้ายแบบนี้ หาแล้วกว่าจะกลับไปกว่าจะมา มันจะทันได้ไง”
“แกลืมแล้วเหรอ ว่า ฉันมาซื้อคอนโด ติดสนามบินตั้งแต่สอบผ่านแล้ว”
“เออ...โชคดีแล้วกัน อย่าไปเดินตกท่อที่ไหนอีกล่ะ”
ขณะเดียวกันนั้น ไอเอ็มเดินเข้ามาหน้าเครียดๆ รุจหันไปเห็น
“ไอเอ็มมาแล้ว แค่นี้นะ” รุจปิดโทรศัพท์
“ลูกเรือยังมาไม่ครบอีกหรือ” ไอเอ็มถามเสียงเครียด
เมขลาก้มเอาโทรศัพท์ ใส่กระเป๋า วิ่งออกไป เวลาเดียวกันนั้น แสงกับเย็นลูกน้องของปองธรรม เป้าหมายที่รามมาตามหา เดินเร่งรีบสะพายกระเป๋าเดินเข้ามาในสนามบิน ทั้งสองอยู่ในคราบนักธุรกิจ แต่งตัวดี แสงขรึมๆแต่เย็นตื่นตาตื่นใจกับการเข้ามาในสนามบินเป็นครั้งแรก
“โห...ทำไมมันกว้างแบบนี้วะ”
“ไอ้เย็น หยุดทำเป็นบ้านนอกเข้ากรุงซะที”
แสงผลักหัว เย็นเลยเจื่อนๆไป ทั้งคู่เดินตามกันไป รามเห็นทั้งคู่จึงเดินตามมาเรื่อยๆ ทันใดนั้นเมขลาชนโครมเข้ากับรามอย่างแรงจนกระเป๋าตัวเองกระเด็นกระจาย โทรศัพท์มือถือตกพื้น แบตหลุดออก เมขลาเซแซ่ดๆ ลงไปนั่ง
“ขอโทษ”
รามละล้าละลังกลัวคลาดกับแสง รีบหิ้วแขนเมขลาขึ้นมา
“ไม่เป็นไรค่ะ”
แสงกับเย็นเดินเลี้ยวลับไป รามกลัวไม่ทัน ปล่อยแขนเมขลาลงไปก้นจ้ำเบ้าอีกที
“โอ๊ะ...อูย...อะไรเนี่ย”
รามเดินแกมวิ่งไปหายไปเลย เมขลาจำต้องรีบเก็บของ ใส่กระเป๋าแล้วก็ชะงักที่เห็นบัตรพนักงานกระเด็นตกที่พื้น
“บัตรพนักงาน” เมขลาดีใจมาก “โอ๊ย...เมื่อกี๊ทำไมหาไม่เจอนะ”
เมขลารีบเก็บข้าวของหยิบโทรศัพท์มาประกอบกลับเหมือนเดิม แต่ยังไม่ได้เปิดเครื่อง เมื่อเก็บของเสร็จแล้วรีบสำรวจตัวเอง ขยับผมเผ้า มองกระจกที่เสาแล้วยิ้ม
“เพอร์เฟกต์”
เมขลาหมุนตัวจะไป เด็กหญิงอายุราว 5-6 ขวบ ท่าทางซุกซนวิ่งถือไอศกรีมโคนช็อกโกแลตดำๆวิ่งมาแล้วสะดุดขาตัวเองถลามาใส่เมขลา ไอศกรีมจิ้มไปที่กระโปรงเต็มๆ เมขลาอ้าปากค้าง ตกใจสุดๆ ที่ชุดแอร์เลอะ
แสงกับเย็นเดินเลี้ยวเข้าไปทางห้องน้ำ เย็นรีบร้อนเพราะปวดท้องมาก เกือบเลี้ยวเข้าห้องน้ำหญิง แสงดึงคอเสื้อให้เข้าห้องชาย รามตามมาห่างๆ ตามทั้งคู่เข้าห้องน้ำไป
รามยืนล้างมือที่อ่างล้างหน้า เห็นแสงกับเย็นก้าวเข้าห้องน้ำไป เย็นเข้าห้องแรกจากประตูทางเข้า กระเป๋าของเย็นวางไว้บนพื้นติดหน้าประตูห้องน้ำ รามเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นใครอีกในห้องน้ำ เขารีบหยิบอุปกรณ์ดักฟังเป็นปากกาด้ามทองออกจากกระเป๋ากางเกง เอื้อมมือไปจะใส่ที่ดักฟังไว้ที่ด้านข้างกระเป๋า ขณะที่มือกำลังจะแตะกระเป๋า เมขลาพรวดเข้ามาโดยไม่ทันมองว่าเป็นห้องน้ำชาย เธอ รีบมาก จึงสะดุดรามที่ก้มๆ เงยๆ อยู่
“ว้าย...”
รามมองเมขลาตกใจ รีบเก็บเครื่องดักฟังเข้ากระเป๋าตัวเองอย่างไว เมขลาสบตาราม ตกใจตาโตอ้าปากค้าง
“นี่คุณเข้ามาทำอะไรในห้องน้ำหญิงน่ะ”
รามชู่ว์ปากให้เงียบ
“ออกไปเดี๋ยวนี้ รปภ.ๆ” เมขลาตะโกนเสียงดังมาก
รามตาเหลือกรีบพุ่งไปปิดปากเมขลา
“เฮ้ย...เงียบ อย่าโวยวายสิคุณ”
เมขลาไม่ยอมดิ้นใหญ่ กัดมือราม
“โอ๊ย...”
แสงเปิดประตูออกมา รามรีบปล่อยเมขลา วิ่งออกไปเพราะไม่อยากให้แสงเห็นหน้า เมขลามองสะใจ
“คนโรคจิตก็ต้องเจอแบบนี้แหละ”
แสงเดินมาถาม
“มีอะไรเหรอครับ”
“ก็ผู้ชายคนนั้นน่ะสิคะ เข้ามาในห้องน้ำหญิงได้ยังไง” เมขลานึกได้ มองหน้าแสงตาค้าง “เอ๊ะ” เธอเหลือบมองไปรอบๆ เห็นโถปัสสาวะเรียงอยู่แล้วยิ้มกร่อย “สงสัย...เขาไม่ได้ผิดหรอกค่ะ แต่ฉันเองที่ผิด...เข้าผิดที่”
เมขลาเผ่นไป แสงมองตาม แล้วมองไปที่ห้องที่เย็นอยู่เข้า ไปเคาะประตู
“เฮ้ย ไอ้เย็น ทำอะไรอยู่วะ เร็ว...เดี๋ยวก็ขึ้นเครื่องบินไม่ทันหรอก”
เย็นเปิดออกมา ใส่เข็มขัด
“จะได้ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก มันก็เลยตื่นเต้น”
แสงตบหัว
“ไอ้นี่...บอกให้รู้นะ ถ้างานนี้พังละก็ แกโดนนายไล่กลับไปล้างรถแน่”
แสงเดินหน้าเครียดนำเย็นออกมาจากห้องน้ำ แล้วเดินเข้าไปทางด้านใน รามโผล่มามองตามถอนใจ แล้วมองมาที่ห้องน้ำ
“เพราะยัยแอร์จอมเอ๋อนั่นคนเดียว”
ในห้องประชุม ไอเอ็มนั่งอยู่หัวโต๊ะ
“นอกจากเรื่องการให้บริการผู้โดยสารแล้ว อีกเรื่องที่ผมอยากจะให้พวกคุณให้ความสำคัญมากๆ ก็คือเครื่องแบบที่คุณสวมอยู่ เครื่องแบบของพวกคุณเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของบริษัท ดังนั้นจะต้องสะอาด เรียบร้อยปราศจากรอยยับหรือรอยเปื้อนตลอดเวลา”
แอร์คนอื่นๆ ฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่รุจแอบส่องกระจกปัดมัสคาร่า และเริ่มกังวลที่เมขลาไม่มาเสียที จึงกดโทรศัพท์หาเมขลา แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ ไอเอ็มมองอย่างไม่พอใจ
“ถ้าลูกเรือประจำไฟลต์ยังไม่มา ผมขอไปเรียกลูกเรือสแตนด์บายมาบินแทนก่อนนะ”
ไอเอ็มจะไป รุจหน้าซีดรีบวิ่งไปดักหน้าประตู
“วันนี้รถติดมากเลยครับไอเอ็ม ยายเม...เอ่อ...เมขลาเลยมาช้าไปหน่อย แต่ผมรับรองว่ายังไงเมขลาก็มาแน่ๆ เพื่อนผมรอวันนี้มานานแล้ว ยังไงเขาไม่มีทางป่วยหรือขาดแน่ ต่อให้ตายผมก็เชื่อว่า วิญญาณมันต้องมาทำไฟลต์”
ไอเอ็มมองรุจที่พยายามอ้อนวอน แล้วพยักหน้าให้
“งั้นผมจะรออีกสิบนาที”
รุจโล่งอก รีบกลับไปนั่งที่ ไอเอ็มหันไปอบรมต่อ
“ระหว่างนี้เรามาทบทวนหัวใจการให้บริการกันก่อน ต้องดูแลทุกคนเสมือนญาติ ไม่ทอดทิ้ง แม้ในเวลาคับขัน”
เมขลาเช็ดกระโปรงที่เปื้อนเรียบร้อยแล้ว ขณะจะก้าวออกจากห้องน้ำก็ชะงักเมื่อ ได้ยินเสียงครางดังขึ้นจากในห้องน้ำที่ปิดอยู่
“โอยยย”
เมขลาอึ้งหันไปมองงงๆ
“หูฝาดละมั้ง”
“ช่วยด้วย”
เมขลาเข้าไปแนบหูกับประตู ทันใดนั้นประตูห้องน้ำเปิดผัวะออกมา สาวอ้วนเซออกมา เมขลาตกใจรีบหันไปประคอง
“คุณ...คุณเป็นอะไรไหมคะ”
สาวอ้วนได้สติ กุมท้อง ยิ้มเซียวให้เมขลา
“ไม่ค่ะ...ไม่เป็นไร ยาลดความอ้วนคงออกฤทธิ์”
ขาดคำสาวอ้วนก็ล้มลงทับ เมขลารับน้ำหนักไม่ไหวตาเหลือก รีบประคองสาวอ้วนออกมาจากห้องน้ำอย่างทุลักทุเล สาวอ้วนตัวโตมากจนออกจากประตูไม่ได้ ต้องตะแคงซ้าย ตะแคงขวา เปลี่ยนท่าจนเจ้าตัวเหนื่อย
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คุณไปเถอะ” สาวอ้วนบอกเสียงอ่อน
“ฉันปล่อยคุณทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่...”
เมขลายืนโซเซไปมา พาสาวอ้วนออกจากประตูห้องน้ำได้สำเร็จ แต่ก็ยังประคองไม่ค่อยไหว
“อดทนอีกนิดนะคะ”
สาวอ้วนพยักหน้า พยายามก้าวเดินตามเมขลา แต่กลายเป็นเสียหลัก ล้มทับเมขลาเสียงกระโปรงขาด ดังแคว่ก เมขลาตาเหลือก สาวอ้วนมองตามสายตาเมขลาไปที่กระโปรงเห็นขาดตรงรอยผ่าขึ้นมา ขณะเดียวกันนั้น รปภ.วิ่งเข้ามา
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”
รุจปิดชีตที่เตรียมมาอย่างเครียดๆ ไอเอ็ม เก็บของแล้วลุกขึ้น มองรุจขรึมๆ
“เนื่องจากคุณเมขลาไม่มาปฏิบัติหน้าที่ในวันนี้ ผมเลยขอแจ้งให้พวกคุณทราบว่าเที่ยวบินไปเกาหลีวันนี้จะมีพนักงานคนอื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทนเธอ”
“เดี๋ยวสิครับ ไอเอ็ม”
“หรือคุณจะอยู่รอ ผมจะได้หาแทนสองคนไปเลย”
ไอเอ็มหันไปจะเปิดประตูออก แต่เมขลาเปิดประตูผัวะเข้ามา พุ่งมาอย่างเร็ว
“ดิฉัน เมขลา มณีแก้วมารายงานตัวแล้วค่ะ”
รุจยิ้มแย้ม
“เห็นมั้ยครับ ไอเอ็มฯ ยังไงเมขลาก็ต้องมา เอ๊ะ...ยัยเมนี่แก”
รุจอึ้งเมื่อเห็นสภาพเมขลา หัวยุ่ง กระโปรงขาด ไอเอ็ม มองเห็นเมขลาแล้วไม่พอใจ
“คุณมารายงานตัวสายไปหนึ่งชั่วโมงห้านาที สองวินาที หน้าที่ของคุณจะต้องให้ความสำคัญกับการตรงต่อเวลาที่สุด แต่คุณก็มาสายในสภาพแบบนี้ ขนาดนี้ แล้วยังคิดอีกหรือว่าจะได้ทำไฟลต์วันนี้”
“ดิฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ แต่ว่า...ฉันอธิบายได้ค่ะ”
ไอเอ็มไม่ฟัง หันมาบอกลูกเรือ
“พวกคุณไปเตรียมตัวขึ้นเครื่องได้แล้ว แอร์สแตนด์บายจะมาถึงในอีกสิบนาทีนี้แล้ว”
ทุกคนมองขำๆแล้วทยอยออกไป เมขลาวิ่งตามมาหน้าห้องดึงแขนไอเอ็มไว้
“กรุณาให้โอกาส ฉันเถอะนะคะ”
“เธอต่างหากที่ทำลายโอกาสตัวเอง”
ไอเอ็มดึงแขนออก เมขลาทรุดตัวนั่งคุกเข่ากอดขา
“แต่เที่ยวบินนี้สำคัญกับฉันมาก ขอให้ฉันได้ไปเถอะค่ะ”
รุจเข้ามาลงนั่งกอดขาไอเอ็มอีกข้าง
“ใช่แล้วครับ เมขลารอวันนี้มาตลอด ละเว้นซักครั้งเถอะครับ”
ไอเอ็มโมโห
“พวกเธอทำบ้าอะไรกันนี่...ปล่อยๆ”
“ไม่ปล่อยค่ะ จนกว่า ไอเอ็มฯจะยกโทษให้เม”
รุจทำหน้าเศร้าอ้อนวอนสุดฤทธิ์
“นะครับๆๆ”
เจ้าหน้าที่สายการบินหญิงเดินเข้ามา ชะงัก
“อุ๊ยขอโทษค่ะ”
ทั้งสามชะงักหยุดกึก
“ไม่ทราบว่า มีแอร์โอสเตสที่ชื่อเมขลามั้ยคะ” เจ้าหน้าที่ถาม
ไอเอ็ม เมื่อรู้เรื่องราวจากเจ้าหน้าที่แล้ว ก็หันมาต่อว่าเมขลา
“ทำไมคุณไม่บอก ว่าที่คุณมาช้าก็เพราะว่ามัวไปช่วยผู้โดยสาร”
เมขลาอึกอัก ขณะที่รุจหูผึ่งหันมาถาม
“จริงดิ เม”
เมขลาพยักหน้า รุจดีใจมากหันไปมองไอเอ็ม
“ในเมื่อยายเมมาสายเพราะเหตุผลแบบนี้ ไอเอ็มฯ ก็คงยอมให้ขึ้นบินแล้วใช่ไหมครับ”
ไอเอ็มอึ้งไป เมขลาโดดกอดรุจ
“ไชโย”
ไอเอ็ม กระแอม
“ถึงผมจะยอม แต่ทางบริษัทคงไม่ยอมให้แอร์ฯที่อยู่ในสภาพแบบนี้ขึ้นบินหรอก”
ไอเอ็มกับเมขลาหันมองรุจ
“เรื่องนี้ผมว่าพอมีทางแก้นะครับ”
รุจฉีกยิ้ม รูดซิปกระเป๋าลากดึงชุดแอร์สวยงามออกมา ทุกคนตะลึง
เมขลาอยู่ในชุดแอร์ใหม่รีบออกมา พลางก้มกลัดป้ายชื่อบนหน้าอกอยู่
“ฉันล่ะไม่อยากเชื่อเลยว่าแกจะพกชุดแอร์มาด้วย”
รุจที่ยืนรออยู่หน้าห้อง
“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ”
เมขลาแต่งตัวเสร็จโผล่หน้าออกมา รุจเอียงคอมอง ช่วยเก็บปอยผมให้
“อ่ะ สวยแล้ว ทีนี้ก็ go!”
เมขลานึกได้ ฉุดมือรุจไว้
“เดี๋ยว”
“อะไรอีกล่ะ อยากโดนห้ามงดทำไฟลต์จริงๆ หรือไง”
เมขลาส่ายหน้า
“ไม่ใช่ แต่ฉันไม่เข้าใจ ว่าแกตัดชุดนี้ไว้ทำไม อย่าบอกนะว่าตัดเผื่อไว้ใส่เอง”
“ก็แกคิดว่าฉันอยากใส่ชุดไหนมากกว่า ระหว่างชุดนี้กับชุดนั้น”
รุจเดินเชิดไป เมขลาหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
เครื่องบินเดินทางสู่ประเทศเกาหลี เสียงเมขลาดังขึ้น...
“สวัสดีค่ะ ท่านผู้โดยสาร สายการบิน...แอร์ไลน์ มีความยินดีต้อน รับทุกท่าน เดินทางสู่เกาหลี”
รามใส่แว่นดำนั่งอยู่ที่ชั้นธรรมดา มองสองแสงกับเย็น คิดหาทางใส่เครื่องดักฟังที่กระเป๋าของทั้งคู่ จึงไม่ได้สังเกตว่าแอร์ที่ยืนสาธิตอยู่ด้านหน้าสุดคือเมขลา ขณะเดียวกันเมขลาก็ไม่เห็นราม
แสงนั่งริมหน้าต่างคู่เย็น รามนั่งข้างหลังเย็นติดทางเดินคนเดียว ตรงข้ามรามมีทางเดินคั่นเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เย็นคาดเบลต์ ใส่หน้ากากออกซิเจน หยิบถุงอ้วกขึ้นมาดู ปรับที่นั่งเลื่อนเข้าเลื่อนออก ยกที่เท้าแขนขึ้นลองเสียบหูฟัง แสงเม้มปากอย่างอดทน เย็นหันมาชน แสงหงุดหงิด
“แกนั่งนิ่งๆ ไม่เป็นหรือไงวะ”
เย็นจ๋อยๆ ยิ้มแหยค่อยๆวางที่เท้าแขนลง นั่งนิ่งเหมือนเดิม รามมองกระเป๋าที่เย็นเอาไว้ใต้เก้าอี้
เมขลาถือกากาแฟกับกาน้ำชาเดินเข้ามาเสิร์ฟ ไล่จากท้ายเครื่องขึ้นมา เธอเสิร์ฟเครื่องดื่มแถวทางขวาเสร็จหันมาด้านซ้ายเห็นรามก็ชะงัก นิ่วหน้ามองสงสัยว่ารามคือคนโรคจิตคนเดียวกับที่เจอในห้องน้ำ รามอึ้งเมื่อเห็นเมขลาอีกแล้วเขารีบก้มหน้า หยิบแว่นตาจะมาใส่ แล้วนึกได้หยิบหนังสือพิมพ์ที่เสียบในช่องข้างหน้ามาแทน รีบยกหนังสือพิมพ์ขึ้นกางปิดหน้า เมขลาเข้ามามองๆ ยิ่งมองเห็นมีหนังสือพิมพ์ปิดเต็มหน้ายิ่งสงสัย
“ต้องการรับชาหรือกาแฟดีคะ”
รามทำไม่สนใจ โบกมือไล่ เมขลามองห่วงๆ
“ระวังหายใจไม่ออกนะคะ”
รามทำมือว่า OK สบายมาก เมขลายังติดใจ พยายามหลอกให้พูด อยากจับให้ได้
“ถ้าคุณต้องการอะไร ก็บอกฉันได้เลยนะคะ”
รามเซ็งมาก เมื่อไหร่จะไปสักที เมขลาหมดทางให้รามพูดด้วย เลยเข็นรถต่อขึ้นไป ถึงแถวของแสงกับเย็นและนักธุรกิจ เมขลายิ้มให้อย่างยินดีให้บริการ
“ต้องการรับชาหรือกาแฟดีคะ”
แสงตามองจอทีวีไม่สนใจเมขลาแต่ปากตอบคล่องแคล่ว
“ผมขอกาแฟก็แล้วกัน”
เมขลายิ้ม หยิบกาแฟร้อนๆ ไปรินให้ เย็นคิดๆ ตามองน้ำบนรถเข็นอยากลองไปทุกอย่าง เมขลาหันมาถามเย็น
“แล้วคุณล่ะคะ”
“เอ่อ”
ทันใดนั้น นักธุรกิจเอื้อมมือมาจับก้นเมขลาหมับ เมขลาสะดุ้งโหยง
“ว้าย”
กากาแฟ กับกาน้ำชาในมือเมขลาหกรดหน้าตักของเย็น เย็นแหกปากร้องลั่น
“เฮ้ย...จ๊าก”
เมขลาหน้าเสีย
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ”
เมขลาหันขวับมาเจอราม ที่กำลังก้ม เอาเครื่องดักฟังใส่กระเป๋าเย็น เธอเข้าใจว่ารามเป็นคนจับก้นเธอ
“คุณ!”
รามสะดุ้ง ปากกาที่เป็นเครื่องดักฟังกลิ้งหลุดมือ รามอึ้งชะงัก ขณะเดียวกันนั้น รุจเข้ามาอย่างห่วงๆ
“เกิดอะไรขึ้น ยัยเม”
เมขลาอึกอักแล้วเปลี่ยนใจไม่ยอมบอกรุจ
“ก็...ไม่มีอะไร”
รุจมองหน้า
“จริงเหรอ”
“มดกัด ก็เลยตกใจ” เมขลาหันไปหาเย็น “ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ”
เมขลาดึงกระดาษทิชชูส่งให้เย็น รุจเดินกลับไป นักธุรกิจนั่งกระหยิ่ม รามมองแค้นๆ ก่อนหันหาปากกาแล้วชะงัก เมื่อเห็นกลิ้งไปอยู่หน้าเคบินที่เตรียมอาหารของลูกเรือ รามหันกลับมารีบปลดเข็มขัดเตรียมลุกไปเก็บปากกา แต่ช้ากว่าเมขลาที่กลับมาที่เคบิน แล้วชะงักเมื่อเหยียบปากกา
“ปากกาใครเนี่ย”
เมขลาหยิบปากกาขึ้นเสียบที่กระเป๋าเสื้อ รามเห็นพอดีได้แต่ถอนใจด้วยความเซ็ง ไม่รู้จะเอาคืนมายังไงดี
เครื่องบินลงสู่สนามบินเกาหลี เมขลากับรุจยืนส่งผู้โดยสารอยู่ รามเดินมามองๆปากกาที่เมขลาเหน็บไว้ แต่ไม่รู้จะเอายังไงเจ็บใจ เผลอสบตากัน เมขลาฝืนยิ้มให้ตามหน้าที่
“โชคดีนะคะ”
รามพยักหน้าส่งๆ แล้วเดินไป รุจมองๆ
“มีอะไร”
“หมอนั่นมันจับก้นฉัน”
“เฮ้ย! แล้วทำไมแกถึงไม่บอกฉัน”
“บอกแล้วแกจะทำอะไร แกบอกฉันเองว่าลูกค้าเป็นเสมือนญาติ หนักนิดเบาหน่อยต้องให้อภัย”
รุจไม่พอใจ
“ญาติฝ่ายไหนของแก ถึงมาจับของสงวนกัน ถ้าเป็นฉันหน่อยไม่ได้”
“แกจะทำไม”
“ก็จะยื่นให้จับถนัดๆน่ะซิ”
“บ้า...นี่ แต่ฉันสงสัยนะ ว่าหมอนั่น...” เมขลาโกรธแกมเขิน “คนที่แอบลวนลามฉันน่ะ ต้องเป็นมิจฉาชีพแน่ๆ”
รุจอึ้งๆไป
“มิจฉาชีพเชียวหรือ ฉันว่าโรคจิตก็พอมั้ง”
เมขลาส่ายหน้า
“ฉันเห็นเขาลับๆ ล่อๆ พยายามจะล้วงกระเป๋าผู้โดยสารคนอื่นมาหลายทีแล้ว”
“แกมีหลักฐานอะไรหรือเปล่า แล้วบอกเพอร์เซอร์รึยัง”
เมขลาอึกอัก
“พอดีแลนดิ้งเสียก่อน ฉันเลยบอกไม่ทันน่ะ” เมขลาโค้งส่งผู้โดยสาร “คัมซาฮัมนีดะ”
หลังจากเสร็จงาน เมขลากับรุจ เปลี่ยนชุดเป็นธรรมดาแล้วเดินออกมาหน้าสนามบิน เมขลามองรอบๆอย่างตื่นเต้น
“เอาละ เราฝากกระเป๋าไปไว้ที่โรงแรมแล้ว ชุดก็เปลี่ยนเรียบร้อย ที่นี้ก็ลุยกันได้ แกอยากไปไหน” รุจถาม
“หอคอยโซลดีไหม”
“นี่” รุจจิ้มหน้าผากเมขลา “เกาหลีน่ะไม่ได้มีแค่หอคอยโซลนะยะ” รุจโชว์โบชัวร์สถานที่ท่องเที่ยวที่เขาหยิบจากเคาน์เตอร์ในสนามบินมาให้เมขลาดู “อ่ะ เลือกมา ว่าแกจะไปไหน เดี๋ยวฉันจัดให้”
เมขลารับมามองอย่างแปลกใจ
“แกเชี่ยวขนาดนั้นเชียว”
“ที่อื่นไม่รู้ แต่ที่เกาหลีนี่ ฉันพากิ๊กมาโมหน้าไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เกิร์ล เจนนะเรชั่น หรือ วันเดอร์เกิร์ล ฉันกระทบไหล่มาแล้วทั้งนั้น ตามมา”
รุจเดินเชิดเป็นนางแบบออกไป เมขลายิ้มขำๆ
รามชะเง้อมองหาเมขลาอยู่มุมหนึ่งของสนามบิน นักธุรกิจเดินผ่านหน้ามาพอดี เดินไปดมมือที่จับก้นเมขลาอย่างมีความสุขไปด้วย รามตัดสินใจเข้ามาดัก นักธุรกิจชะงัก รามดันนักธุรกิจเข้ามาที่มุมลับตาคน แล้วจับหักแขนไพล่หลัง นักธุรกิจจะร้องไห้ พูดภาษาญี่ปุ่น
“อย่าทำผมเลย อยากได้อะไรก็เอาไปเลย เอาไปให้หมด”
นักธุรกิจใช้มืออีกข้างควานหากระเป๋าสตางค์ให้รามลนลาน รามปัดทิ้งแล้วบิดข้อมือแรงขึ้น นักธุรกิจหน้าเบ้
“ถ้าแกมีเงินเยอะขนาดนี้ ก็ควรมีความเป็นสุภาพบุรุษให้มากเหมือนมีเงินด้วย”
นักธุรกิจงง หันมอง รามผลักนักธุรกิจออกอย่างขยะแขยง
“จำไว้ว่าถ้าฉันเห็นแกลวนลามผู้หญิงอีก ฉันจะหักมือแกทิ้ง”
นักธุรกิจไม่เข้าใจ แต่รีบพยักหน้าก่อนวิ่งไป รามถอนใจ ก่อนหันไปมองทางประตูเข้าออก
“ยายนั่นหายไปไหนนะ”
เมขลากับรุจเดินไปขึ้นรถแท็กซี่ รามเห็นพอดี รีบโบกแท็กซี่ให้ขับตามไป
รุจพาเมขลามาซื้อตั๋วเพื่อล่องเรือในแม่น้ำฮัน เมขลาจ่ายเงิน รุจรออยู่มองป้ายกำหนดเวลาเรือออกจากท่า
“เร็วๆ เข้า นังเม เรือจะออกแล้ว”
“มาแล้วจ้า”
เมขลากับรุจรีบเข้าไปในท่าเรือ รามต่อคิวซื้อตั๋วอยู่มองเวลากลัวไปไม่ทัน รีบแซงคิว ผลักคนอื่นออกอย่างไม่สนใจ
“A ticket please”
รามมองไปที่ท่าเรือ เห็นเรือกำลังจะออก
“แย่แล้ว”
รามรีบวิ่งไปอย่างร้อนใจ ขณะเดียวกัน พนักงานต้อนรับขึ้นเรือ กำลังจะกั้นโซ่ห้ามคนขึ้นเรือ รามตะโกนตะโกนลั่น
“Hold on!”
พนักงานชะงักมองมา รามที่รีบวิ่งตาม หัวเรือกำลังเบี่ยงออกจากท่า รามกลั้นใจ กระโดดขึ้นเรือ ได้เฉียดฉิว ก่อนยัดตั๋วเรือใส่มือพนักงานต้อนรับแล้วเดินมองหาเมขลา ทั้งชั้นล่าง ด้านนอก ชั้นบน แล้วไปเจอเมขลากับรุจอยู่ที่ดาดฟ้าแถวหัวเรือกำลังชี้ชวนกัน ชมวิวริมฝั่งแม่น้ำอย่างตื่นตาตื่นใจ
“แกถ่ายรูปให้ฉันทีเร็ว ถ่ายกับสะพานนั่นนะ”
“ได้ๆ”
เมขลาเปิดกระเป๋าสะพายหากล้องถ่ายรูป รามแอบมองอยู่
“เร็วสินังเม” รุจเร่งหันไปมองวิวรอบๆ
“รู้แล้วน่า” เมขลาเจอปากกานึกได้ “รุจ”
รุจหันมายิ้มกว้าง นึกว่าเธอเรียกให้ถ่ายรูป
“ชีส” รุจชะงักเซ็ง “อ้าว ทำไมไม่ถ่าย อะไรของแก”
“พอดีฉันเพิ่งนึกได้น่ะ ปากกานี่ของแกหรือเปล่า” เมขลาชูปากกาขึ้น
“เปล่า...เร็วแก เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน วิวข้างหลังกำลังสวย”
เมขลาใส่ปากกาเสียบลงไปในกระเป๋าเหมือนเดิม แล้ววางกระเป๋าไว้ ลุกไปถ่ายรูปรุจ ที่แอคชั่นคอยอยู่ รามมองๆ ไปที่กระเป๋าคิดๆ ดึงปกเสื้อขึ้น เอาหมวกปิดลงมา ไม่ให้เห็นหน้า เดินก้มหน้า เฉียดไปที่กระเป๋าจะคว้ากระเป๋า ทันใดนั้น รุจก็ร้องลั่น
“อ๊าย !”
รามสะดุ้ง รีบถอยหลบ นึกว่าโดนจับได้ เมขลางงๆ
“เป็นอะไร ตกใจหมดเลย”
รุจชี้ไปที่อีกทางหนึ่ง
“ก็ผู้ชายคนนั้นน่ะสิ หน้าเหมือนแจจุง วงดงบังชินกิเลย”
รุจรีบตามผู้ชาย เมขลาคว้ากระเป๋าตามไปด้วย
“เดี๋ยวสิแก รอฉันด้วย นังชำรุดนะนังชำรุด เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนอีกแล้ว”
รามเซ็ง มองไปที่กระเป๋าสะพายแค้นๆ
ลงจากเรือ...เมขลากับรุจเดินชมพระราชวังแฮกุงกันอย่างตื่นเต้น หน้าราชพระราชวังมีการแสดงต่อสู้แบบเกาหลี เมขลากับรุจยืนชมปะปนอยู่กับผู้ชมต่างๆ
รามยืนอีกมุม พยายามแทรกผู้คน เข้าไปหาทั้งคู่ เห็นได้จังหวะเอื้อมมือไปจะคว้ากระเป๋า แต่เมขลาขยับออก รามเสียหลักไปจับก้นรุจเต็มๆ รุจสะดุ้ง
“อุ๊ย...”
รุจหันไปมอง รามรีบก้มหน้าถอย เมขลาหันมาหารุจ
“อะไรอีกล่ะแก เจอแจจุงอีกหรือไง”
“เปล่า แต่ใครไม่รู้จับก้นฉัน” รุจมองหาอย่างอยากรู้
รามทำเป็นก้มลงผูกเชือกรองเท้า ทำให้สองคนมองไม่เห็น เมขลามองรอบๆไม่ไว้ใจ
“จับก้นอีกแล้วเหรอ ทำไมวันนี้ถึงเจอแต่คนโรคจิตก็ไม่รู้ ฉันว่าเราไปกันเถอะ”
“จะรีบไปไหนล่ะแก ฉันอยากเห็นหน้าคนโรคจิต”
“ส่องกระจกมั้ย...เดี๋ยวก็เห็น” เมขลาเย้าแหย่
รุจค้อน
“ต๊าย แรงนะยะ”
“ไป”
เมขลาลากรุจไป รามขยะแขยงสุดๆ เช็ดมือกับกางเกง ก่อนนึกขึ้นมาได้แล้วรีบตามทั้งคู่ไป
อ่านต่อหน้า 2
นางฟ้ากับมาเฟีย ตอนที่ 1 (ต่อ)
เมขลากับรุจเที่ยวชมพระราชวังโบราณกันอย่างสนุกสนาน ทั้งคู่ไปลองยิงธนู เล่นการละเล่นแบบเด็กเกาหลีโบราณ และถ่ายรูปกับแดจังกึมที่เป็นหุ่นกระดาษอีกด้วย รามคอยตามอยู่ห่างๆ รอโอกาสเหมาะ จังหวะที่เมขลากับรุจไปลองยิงธนู ซึ่งเมขลาต้องถอดกระเป๋าสะพายวางไว้
รามแอบไปนั่งใกล้ๆ จะหยิบกระเป๋าเปิดเอาปากกา แต่รุจเดินมานั่งพักพอดี รามเสียจังหวะ ทำเป็นหันไปดูพวกอุปกรณ์ยิงธนูแทน
เมขลากับรุจไปเช่าชุดเกาหลีโบราณ รามจะตาม แต่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าด้านนอกมาสะกิดบอกให้จ่ายเงินค่าเช่าด้วย รามมองเห็นเมขลากับรุจหายเข้าไปด้านใน ก็หันไปบอกเจ้าหน้าที่
“I come with my friends . They have already got in.”
(คือผมมาตามเพื่อนครับป้า เขาเข้าไปในนั้นแล้ว)
เจ้าหน้าที่ ชูนิ้ว 2 หมายถึง2000 วอน รามอึกอัก จะไม่ให้ก็ไม่ได้ ควักเงินให้แล้ว รีบเข้าไป
รามใส่ชุด ชายเกาหลีโบราณใส่หมวกโบราณ ติดหนวดมองหาแล้วเห็นรุจในชุดฮันกุง นั่งรออยู่ มีกระเป๋าของเมขลาอยู่บนตัก รามนึกว่าเป็นเมขลาจึงตรงเข้าไปหา จ้องกระเป๋าสะพายเขม็ง เขาตั้งใจเดินเข้าไปชนทำให้กระเป๋าหล่น รุจตกใจร้องลั่น
“ว้าย”
รามประคองรุจ
“Excuse me.”
รามก้มเก็บ แต่จริงๆ จะรีบเปิดกระเป๋า รุจเห็นหน้ารามแล้วปิ๊ง
“It’s o.k.”
รุจจับมือรามแน่น รามอึ้งเมื่อเห็นว่าเป็นรุจ แถมโดนมองตาวาว
“เอ่อ...”
“My name is Ruj and this is my BB’s number ,”
(ผมชื่อรุจ และนี่เบอร์บีบีของผม)
รุจคว้าปากกาที่รามจะเอา มาเปิดออก จดเบอร์โทรตัวเองให้ลงบนมือราม
“and what’s your name and your phone number”
(แล้วคุณชื่ออะไรครับ เบอร์มือถือเบอร์อะไร)
รามพูดไม่ออกอึกอัก
“เอ่อ... give me a pen”
(ขอปากกาได้มั้ย)
“Pen? O.k”
รุจจะยื่นปากกาให้ รามกำลังรับปากกา ทันใดนั้นเสียงเมขลาดังขึ้น
“นังรุจ มีอะไรเหรอ”
รุจไม่ทันให้ปากการามหันไปหา รามมองตาม เมื่อเห็นเมขลาในชุดฮันบกน่ารักมาก ก่อนรีบก้มหน้าลง รุจยิ้มปลื้ม
“อ๋อ ก็พ่อรูปหล่อคนนี้น่ะสิ เขาจะขอเบอร์ฉัน”
เมขลาขำๆ
“เขาจะขอเบอร์แก แล้วทำไมเขาเดินงุดๆ ไปโน่นแล้วล่ะ”
รุจหันขวับมา ไม่เจอเห็นรามเดินแกมวิ่งออกไปแล้ว
“ยายตัวแสบ...แล้วแบบนี้ฉันจะเอาปากกาคืนได้ไงเนี่ย” รามเดินบ่นมาเซ็งๆ
เมขลากับรุจ นั่งรถบัสกลับเข้าเมือง รามแอบตามมานั่งอยู่ด้านหลัง เมขลากอดกระเป๋าสะพายไว้ นั่ง ชิดหน้าต่าง รุจนั่งด้านนอก รามเลยไม่ได้จังหวะ
รามสะกดรอยตามเมขลาไปถึงหอคอยโซล มีนักท่องเทียวขอให้รามถ่ายรูปให้ รามจำต้องถ่าย เมขลากับรุจยืนทึ่งดูหอคอยโซลอยู่
“เราจะขึ้นไปบนนั้นทางไหนดี รถกระเช้าหรือเดิน” เมขลาถาม
รุจเงยหน้าจากจอมือถือ
“แกเลือกตามใจชอบเลย”
“งั้นขึ้นกระเช้า แล้วค่อยเดินลง”
“โอเค”
เมขลาเดินนำหน้าไป รุจหันหลังไปอีกทาง เมขลานึกได้ หันมาคว้ารุจไว้
“แกจะไปไหน ไปขึ้นกระเช้าต้องไปทางนี้”
“ฉันบอกให้แกไป แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปด้วยสักหน่อย”
เมขลามองตาเขียว
“อย่าบอกนะ ว่าแกจะทิ้งฉันไปหน้าด้านๆ อีกแล้ว”
“เอาน่า...ฉันก็พาแกเที่ยวตั้งเยอะแล้วนี่ ตอนนี้ฉันต้องไปหาหวานใจฉันก่อน เจอกันที่โรงแรมนะ บาย”
รุจเดินไป เมขลาส่ายหน้าเซ็งๆ ขณะที่ราม ถูกใช้ให้ถ่ายรูปหลายคน เพราะพอเห็นรามถ่ายก็มาขอกันใหญ่ รามเห็นรุจผ่านไปรีบยื่นกล้องให้นักท่องเทียวอีกคน นักท่องเที่ยวคนนั้นรับไปงงๆ รามรีบตามรุจไปเพราะนึกว่าเมขลาอยู่กับรุจ ไม่รู้ว่าเมขลาเวลานี้ นั่งอยู่ในกระเช้า ชมวิวกรุงโซล อย่างตื่นเต้น
รุจโบกแท็กซี่อยู่ริมถนนคนเดียว รามตามมามองอึ้งๆ
“แล้วยายตัวแสบนั่นล่ะ” รามคิดๆ นึกได้ “หรือว่า...”
รามมองไปที่กระเช้าไฟฟ้า
รามวิ่งขึ้นบันไดขึ้นหอคอยๆไป หอบแฮ่กๆ เหนื่อยแทบขาดใจ...เมขลาเดินเที่ยวชมหอคอยโซลอย่างเพลิดเพลิน รามมองหาเมขลา ก่อนชะงักเมื่อเห็น เมขลาเดินไปที่บริเวณสำหรับคล้องกุญแจคู่รัก ซึ่งเธอถือแม่กุญแจและลูกกุญแจไปด้วย
“ถึงวันนี้ฉันจะไม่มีคู่รักมาคล้องกุญแจด้วย แต่ฉันขอคล้องกุญแจไว้ที่นี่ก่อนก็แล้วกันนะคะ แล้วถ้าฉันมีแฟนวันไหน ฉันจะชวนเขามาโยนลูกกุญแจทิ้งทีหลัง”
รามเบ้หน้า
“ยัยน้ำเน่าเอ๊ย”
เมขลาหน้าตามุ่งมั่นมาก หยิบกุญแจไปคล้อง แล้วหย่อนลูกกุญแจลงกระเป๋า ก่อนนึกขึ้นได้
“จริงด้วย...ต้องเขียนชื่อไว้บนกุญแจด้วยนี่”
เมขลาเปิดกระเป๋าจะหยิบปากกาออกมา รามคิดๆ ตัดสินใจพุ่งเข้าไปแย่งปากกามาหน้าด้านๆแล้ววิ่งหนี
“ว้าย...ไอ้หัวขโมย เอาปากกาฉันคืนมานะ”
เมขลาวิ่งตาม ทั้งคู่ชนคนนั้นคนนี้ ในที่สุด รามหลบไปได้ เมขลามองหาเห็นหลังไวๆวิ่งไป
“บ้าที่สุด ปากกาด้ามเดียวก็ยังเอา นี่ถ้าเป็นเมืองไทย ฉันไม่ปล่อยแกลอยนวลแน่”
เมขลามองลูกกุญแจสำหรับคล้องกุญแจคู่รัก
เมื่อได้ปากกาคืนใสสมความตั้งใจ รามหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาก้องภพทันที
“ผมมาถึงโซลแล้วครับ แต่มีปัญหานิดหน่อย ท่านช่วยเช็คได้มั้ยครับว่าสองคนนั่นมันพักโรงแรมไหน ถ้ารู้เบอร์ห้องด้วยยิ่งดี”
รออยู่ไม่นานก้องภพได้ตอบกลับมา รามสะพายเป้เดินเข้ายังโรงแรมที่แสงกับเย็นพัก โดยรามติดหนวด ปลอมตัวเป็นพนักงานโรงแรม เดินมาหยุดหน้าห้องแล้วเคาะประตู เย็นเดินมาเปิด มองเครื่องดื่มงงๆ
“ฉันไม่ได้สั่งนี่ เออ ไอ ไอ โน น้ำ เอ้ย โน วอ วอ เตอร์”
“This is complementary drink from the hotel sir”
(นี่เป็นเครื่องดื่มที่ทางโรงแรมบริการให้ครับ)
เย็นโกรธ
“ใครเซอร์ นี่ๆ แก...แกกล้าว่าฉันเซ่อหรือวะ”
รามอึ้งรีบอธิบายง่ายๆ
“free”
เย็นตาโต
“ฟรี... ไอ้น้ำสีสวยๆนี่ฟรีจริงๆหรือ”
“yes yes”
เย็นหัวเราะ
“ฮ่าๆ แล้วก็ไม่บอกว่าฟรีซะตั้งแต่แรก Go Go เข้ามาๆ”
รามรีบยกเครื่องดื่มเข้าไปวางบนโต๊ะ แล้วอาศัยช่วงที่เย็นไม่ทันมองเสียบปากกาในกระเป๋าใบเล็กบนโซฟาของเย็นแล้วรีบออกไป เย็นรีบยกเครื่องดื่มจิบๆแล้วชอบใจดื่มพรวดเดียวหมด
เมขลากลับมาที่โรงแรมหลังจากเที่ยวจนเหนื่อย ขณะที่จะเข้าไปเช็คอินที่เคาร์เตอณก็ต้องชะงักไป
“เอ๊ะ !”
เมขลาเห็นรามนั่งซุ่มที่ล็อบบี้ ใส่แว่นดำมองตามแสงกับเย็นตาเป็น มันขณะเปิดเครื่องรับสัญญาณเครื่องดักฟังเพื่อเซ็ทเครื่องอยู่ ราม ขยับหูฟังบลูทูท เสียงซ่าๆ จึงยกรีซีฟเวอร์ หันทางโน้นทีทางนี้ที หาสัญญาณ
“นี่ฉันตาฝาด เห็นไอ้หมอนี่อีกแล้วเหรอเนี่ย” เมขลานิ่วหน้าขยี้ตา
เมขลามองไปอีกที รามหายไปแล้ว
“หายไปไหนแล้วเนี่ย”
เมขลามองหาราม พอดีเสียงมือถือดังขัดจังหวะ เมขลารับสาย
“ว่าไงโรส ว้าย! ฉันลืมเรื่องที่แกฝากซื้อของเสียสนิทเลยขอโทษๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เมขลารีบเผ่นออกจากโรงแรม
รามนั่งซุ่มอยู่ที่บันไดหนีไฟชั้น 20 ชั้นเดียวกับที่แสงและเย็นพัก พยายามหาจุดรับสัญญาณ ขยับบลูทูทไปด้วยและกดรีซีฟเวอร์ปรับค่าต่างๆต่อ ทันใดนั้นเสียงแสงดังออกมาแต่ไม่ชัดเพราะมีคลื่นแทรกดังซ่าส์ๆ
“ฉัน...น้ำ...ศัพท์...เลี้ยงนะ”
ซึ่งประโยคที่แสงพูดเต็มๆคือ ฉันจะเข้าห้องน้ำหน่อย แกคอยรับโทรศัพท์พ่อเลี้ยงทีนะ รามนิ่วหน้าหมุนเครื่องไปมา เสียงซ่าส์ค่อยๆหายไป เสียงเย็นดังออกมา
“เดี๋ยวพี่”
รามอมยิ้ม ทำท่าเยส แบบในที่สุดก็รับสัญญาณได้ชัดแล้ว รีบฟังอย่างตั้งใจ
“ปากกาด้ามนี้ของพี่ป่ะ”
รามอึ้งๆลุ้น ตั้งใจฟัง
“เปล่า”
“ถ้างั้นมันมาอยู่ในกระเป๋าผมได้ไงอ่ะ”
“ถ้าแกไม่เอาก็ทิ้งมันไปเสีย”
“ทิ้งให้โง่สิ” เย็นพูดกับตัวเอง
รามยิ้มโล่งใจ เย็นเสียบปากกาไว้ที่กระเป๋าหน้าอกอย่างเก๋ไก๋ แล้วพลิกเอกสารท่องเที่ยวใหม่มองโฆษณาตาลุกวาว ขณะเดียวกันนั้น เสียงมือถือดัง เย็นรีบรับ ท่าทางเป็นการเป็นงาน
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง...ถึงแล้วครับ...ได้ครับ”
เย็นปิดมือถือสลับกับมองโฆษณาในมืออย่างคิดๆ เย็นเดินไปเคาะประตูห้องน้ำ
“พี่แสงๆ พ่อเลี้ยงโทรมาแล้ว บอกว่าเราจะชนของตอนเที่ยงคืน...ถ้างั้นฉันขอออกไปข้างนอกหน่อยนะ”
เย็นรีบบอก แล้วรีบไป กลัวแสงเปลี่ยนใจ รามที่ฟังอยู่รีบลุกขึ้น
“เที่ยงคืนเหรอ...แล้วนั่นจะไปไหนของมันวะ”
รามรีบเอามือแตะหูฟัง ฟังเสียงขณะวิ่งลงบันไดหนีไฟไป เพื่อจะไปดักรอเย็นที่ด้านล่าง
ค่ำนั้น...เมขลาเดินเล่นในสถานที่ท่องเที่ยวของเกาหลี ถ่ายรูป สนุกสนาน ดูของที่ระลึกต่างๆ เมขลาเดินชอปปิ้งอยู่ในแหล่งช็อปของเกาหลีซื้อข้าวของตามที่โรสสั่ง หอบหิ้วพะรุงพะรัง เดินเลยร้านขายเครื่องสำอาง แล้วนึกได้ย้อนกลับมาหยิบโพยกระดาษออกมาดู โพยยาวมาก เมขลานิ่วหน้า หยิบมือถือออกจากกระเป๋า เปิดเครื่อง กดโทรหาโรส
“ฮัลโหล...โรส นี่ฉันนะ ถามอะไรหน่อยสิ แกให้ฉันซื้อเครื่องสำอางเกาหลี ใช่มั้ย แล้วจะให้ซื้อยี้ห้ออะไรไม่เห็นแกเขียนมาให้เลยอ่ะ”
ที่เมืองไทย โรสขายเครื่องสำอางอยู่ กำลังหยิบข้าวของส่งให้ลูกค้าชุลมุนไปด้วย คุยมือถือไปด้วย คิดๆที่เมขลาถามไปด้วย
“เดี๋ยวนะ คิดก่อน....”
ลูกค้ายื่นขวดน้ำหอมให้
“ชาแนลนัมเบอร์ไฟฟ์ 1 นะคะ”
โรสหยิบน้ำหอมมาใส่ถุง เมขลาคิดว่าโรสพูดกับเธอรีบหยิบปากกามาจด
“แกอยากได้ชาแนลนัมเบอร์ไฟฟ์เพิ่ม 1 ขวดเหรอ”
โรสส่งของให้ลูกค้า
“จ้ะ” โรสนึกได้ “ไม่ใช่ๆ ตะกี้ฉันถามลูกค้าน่ะ”
“ตกลงแกจะฝากซื้อของร้านนี้ไหม”
“แป้งองุ่นสกินฟูด 6 ตลับ แล้วก็...” โรสเห็นลูกค้าชี้ไปที่แป้งฟัพเอสเต้ “แป้งเอสเต้ เบอร์อะไรดีคะ”
เมขลาจดยิก
“เอ้า...แล้วแกจะเอาเบอร์อะไรล่ะ”
โรสสาละวนกับการขายของ
“ฉันไม่ได้ถามแก ฉันถามลูกค้า”
เมขลาเซ็ง
“เอาไว้แกขายของเสร็จเมื่อไหร่ ก็ค่อยโทรมาบอกฉันก็แล้วกัน”
เมขลาปิดมือถือแล้วขีดฆ่าร้านนั้นทิ้ง เดินต่อไป
เย็นเดินออกมาหน้าโรงแรม รามสะกดรอยตามห่างๆ เย็นกวักมือเรียกแท็กซี่แล้วขึ้นไป รามกวักเรียกแท็กซี่อีกคันที่วิ่งตามมา ให้ตามคันของเย็นไป ระหว่างนั่งในรถกดมือถือโทรหาก้องภพไปด้วย
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ...การแสดงใหญ่จะเริ่มตอนเที่ยงคืน...ช่วยเตรียมนักแสดงสมทบให้มารวมตัวกันที่ห้องเบอร์ 2016 ของลูกค้าด้วยนะครับ...ตอนนี้ ผมกำลังตามเป้าหมายคนหนึ่งออกจากโรงแรม ถ้าโชคดี อาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม”
รามกดปิดโทรศัพท์ คอยชี้บอกคนขับให้ขับตามไป
รถแท๊กซี่ที่เมขลานั่งมาสั่นๆ ก่อนหยุดนิ่ง คนขับแท็กซี่พยายามสตาร์ต แต่ไม่ติด เหมือนรถเสีย เมขลาที่เช็กลิสต์รายการของที่โรสฝากซื้ออยู่เงยหน้าขึ้น ชะโงกหน้าไปถามคนขับ
“what happened?”
(มีอะไรหรือคะ)
“I’ don’t know"
(ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน)
คนขับแท็กซี่เครียด สตาร์ตไม่ติด ในที่สุดก็เปิดประตู ก้าวลงจากรถ เปิดประตูค้างไว้ จับพวงมาลัยไปด้วย เข็นรถไปด้วย เมขลาก้มลงมองลิสต์ในมือต่อว่ามีอะไรบ้างที่โรสสั่งซื้อ
หลังจากไปเล่นการพนันได้พักใหญ่ เย็นกระเด็นกลิ้งออกมาจากประตูหลังของบ่อนคาสิโน
“บอกว่าไม่ได้โกงก็ไม่ได้โกงสิ ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ”
เย็นรีบยกมือป้องหน้าป้องตา แต่ไพ่ที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อร่วงลงมา นักเลงคุมบ่อนมองหน้ากันโมโห เย็นยิ้มจืดๆให้
“ตีมันเลย” นักเลงคุมบ่อนบอกพื่อน
เย็นตาเหลือก เห็นนักเลงคุมบ่อนถือไม้หน้าสามเดาะกับฝ่ามือ ตรงเข้ามาอย่างน่ากลัว พร้อมจะตี เย็นยังทำฟอรม์ ตั้งท่าชกมวยไทย
“เข้ามาเลย ให้รู้จักโทนี่ เย็นซะบ้าง”
นักเลงพุ่งเข้าหา เย็นร้องจ๊ากตาเหลือก โดนรุมสะกรัม สักครู่เย็นก็คลานสี่ขาออกมา รามที่แอบสะกดรอยมาวิ่งมาช่วย
“มาทางนี้พี่”
พวกนักเลงหันมาเห็นพอดีวิ่งไล่กวดรามกับเย็น
“ตีมันๆๆๆ”
รามกับเย็นวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในตรอกมืดๆ ของเกาหลี พวกนักเลงวิ่งตามมา เงื้อง่าไม้ในมืออย่างน่ากลัว เย็นสะดุดทำปากกาตก จะหันไปเก็บ
“เฮ้ย เดี๋ยว ปากกาข้า”
รามหันไปเห็นปากกากลิ้งอยู่บนพื้น รามมองแล้วอึ้ง รีบพุ่งไปจะเก็บแต่ไม่ทัน พวกนักเลงตามทันเสียก่อน รามเครียด หันหลังชนกับเย็น พวกนักเลงล้อมเป็นวงกลม ก่อนโถมเข้าหาทั้งคู่...รามเตะต่อยคล่องแคล่ว ซัดนักเลงร่วงระนาว เย็นกลัวๆแต่พยายามฝืนตั้งท่ากังฟู
“ย้ากส์”
เย็นพลาด ถลาล้ม นักเลงเข้ามารุม เย็นหลับตาปี๋ รามรีบหันมาช่วยจัดการนักเลงหมอบร่วงลงพื้น แล้วหิ้วปีกเย็นขึ้น
“เป็นไงบ้างพี่”
“อูย...สบายมาก แค่นี้เด็กๆรีบไปกันเหอะ”
รามอึ้ง ห่วงเครื่องดักฟัง
“แล้วปากกาพี่ล่ะ”
มองๆหา ที่พื้นตามร่างนักเลงที่นอนฟุบอยู่
“เอ่อ...ข้าว่าเรื่องนั้นเอาไว้ที่หลังก็ได้”
ขาดคำเย็นก็ตาเหลือก
“ทำไม”
รามแปลกใจมองตามสายตาเย็น เห็นนักเลงบ่อนยกโขยงมาเป็นฝูง วิ่งถือไม้กรูมาฝุ่นตลบ เย็นกระชากแขนรามหนีทันที
“ไปโว้ย”
ทั้งคู่เผ่นไม่คิดชีวิต
รามกับเย็นวิ่งหนีนักเลงมา นักเลงตามทัน หวดไม้ลงมา รามหลบได้ เย็นเกือบหลบไม่ได้ รามดึงให้รอดอย่างหวุดหวิด แล้ววิ่งหนีต่อ เข้าไปในซอยที่วกวน เย็นเหนื่อยหอบวิ่งไม่ไหวจับแขนรามไว้
“ข้าไปต่อไม่ไหวแล้วเอ็งไปเถอะ”
เย็นหยุดหอบ ยอมแพ้ รามอึ้ง หันไปมองในซอยเห็นพวกนักเลงวิ่งตามมาไกลๆ ไม่ลดละ รามเครียดหันไปมองหน้าปากซอยเห็นแท็กซี่เคลื่อนที่มาช้าๆผ่านมาที่หน้าปากซอยพอดี
“วิ่งพี่ เรารอดแล้ว”
รามกระชากเย็นให้วิ่งไปปากซอยอย่างหัวซุกหัวซุน ขณะเดียวกันนั้น เมขลาเข็นรถแท็กซี่มองไปที่คนขับแท็กซี่
“Are u ok?”
(ได้รึยังคะ)
เมขลาทุ่มกำลังเข็นฮึดสุดแรง คนขับพยายามสตาร์ต เหยียบคันเร่ง รถสตาร์ตติดพอดี
“OK”
เมขลายิ้มออก
“ในที่สุดฉันก็ทำสำเร็จ”
คนขับหันมาทำมือ OK เมขลาทำ OK ตอบ ก่อนจะเดินปาดเหงื่อหน้าตามอมแมม แล้วเดินไปขึ้นรถกำลังจะเอื้อมไปจับที่เปิดประตูรถ ทันใดนั้นมือรามที่วิ่งพรวดเข้ามาจับก่อน เปิดออก เมขลาตกใจ
“เอ๊ะ!”
เมขลาหันขวับไปมอง รามตาเหลือกเมื่อเห็นเมขลา ทั้งสองชี้หน้าพูดออกมาพร้อมกัน
“คุณ!”
เย็นวิ่งไปนั่งหน้าหันมองสองคนแปลกใจ และรีบไขกระจกตะคอกราม
“มัวแต่ทำอะไรอยู่วะ ขึ้นมาซะทีสิ”
รามรีบแทรกตัวเข้าไปในรถ เมขลาตาโต กระโดดเข้าไปกระชากแขนราม
“นี่รถฉัน ฉันเข็นมากับมือ ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่มีทาง”
“ฉันก็เหมือนกัน ที่นี่ไม่ใช่บนเครื่องบินฉันไม่มีทางยอมคุณอีกแล้ว ลงมา บอกให้ลงมาไง”
เมขลาจับแขนรามขึ้นกัด รามสูดปากเจ็บ
“โอ๊ย! เจ็บนะคุณ”
รามสะบัดอย่างแรง เมขลาเซไปล้มก้นจ้ำเบ้า
“ว้าย!”
เย็นที่รออยู่รีบบอกราม
“รีบปิดประตูสิวะ” เย็นรีบสั่งคนขับแท็กซี่ “goเลย...go go!”
คนขับงงๆโวยวาย เป็นภาษาเกาหลี
“พวกคุณทำอะไรกัน ผู้โดยสารผมอยู่ข้างนอก”
เย็นร้อนใจตะคอกลั่น
“กูบอกให้ไป”
คนขับกลัวๆรีบออกรถไป เมขลาหน้าตื่น
“ไม่นะ ลงมา ลงมาจากรถฉันเดี๋ยวนี้”
เมขลาวิ่งตามไป...นักเลงวิ่งออกมาถึงปากซอย แล้วมองหารามกับเย็นไม่เห็นแล้ว เมขลามองตามอึ้งๆ
แสงกำลังนอนกินน้ำอัดลม ดูทีวีสบายๆ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แสงนิ่วหน้าหันไปมองนาฬิกาเห็นยังเป็นช่วงหัวค่ำอยู่
“ยังไม่ถึงเวลานี่หว่า”
แสงคิดๆ หยิบปืนติดมือไปที่ประตูดูที่ตาแมว
“ผมเองพี่แสง เปิดเร็ว”
แสงเปิดประตูออกมาเห็นเย็นกับรามโซเซเข้ามา
“หายหัวไปไหนมาวะ” แสงมองรามอย่างไม่ชอบขี้หน้า “แล้วนี่ใคร”
เย็นนึกได้
“เออ เอ็งชื่ออะไรวะ”
รามหอบเหนื่อยหาที่นั่ง แต่จริงๆ มองประเมินอย่างรวดเร็ว
“ราม”
“มันชื่อรามพี่”
แสงหน้าเครียด
“แกต้องไปคุยกับฉันหน่อยแล้ว”
แสงดึงเย็นไปที่ระเบียง แล้วผลักเย็นเซไปชนลูกกรงระเบียง
“แกพาไอ้นั่นมาด้วยทำไม”
“ก็มันมีบุญคุณกับผม ถ้าไม่ได้มันผมคงตายไปแล้ว”
“ลืมแล้วหรือว่าเรามีงานสำคัญคืนนี้”
เย็นอึ้งๆ สับสน มองไปในห้อง เห็นรามนั่งเครียดอยู่ จริงๆ รามกำลังมองเก็บข้อมูล
“แต่รามมันไม่มีที่ไปจริงๆ นะพี่แสง มันตั้งใจจะมาลงทุนที่บ่อน แต่โดนยึดเงินไปหมดเลย ถ้าพี่ไม่ให้มันอยู่กับเรา คืนนี้มันต้องไปนอนตบยุงริมถนนแน่ๆ”
“ระหว่าง มันไปนอนตบยุงริมถนน กับแกไปกินข้าวแดงในคุกที่นี่ แกจะเลือกอะไร”
เย็นยิ้มแห้งๆ มองไปที่รามอย่างครุ่นคิด
รามเดินออกมาหน้าโรงแรม คิดอย่างเซ็งๆ ว่าจะอยู่ช่วยพวกแสงกับเย็นให้ได้ยังไงดี ในเมื่อโดนไล่ออกมาแล้ว ขณะเดียวกันนั้นไหล่ของรามชนกับไหล่ภาคภูมิ นายตำรวจที่ก้องภพส่งมาทำงาน รามหันไปอึ้งเมื่อเห็นภาคภูมิจังๆ ภาคภูมิไม่สนใจ ไม่รู้จักราม เดินสวนเข้าไปพร้อมกับนายตำรวจนอกเครื่องแบบของเกาหลี 3-4คน รามดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว รามรีบเดินตามพวกภาคภูมิเข้าไปในโรงแรมอีกครั้ง
เมขลาลงแท็กซี่คันใหม่มาอย่างมอมแมม แต่พอเห็นรามเธอก็โมโหปรี๊ด
“ไอ้ตัวแสบ !”
เมขลารีบวิ่งเข้าไปในโรงแรม ตามหาราม เห็นหลังใครคนหนึ่งใส่เสื้อคล้ายๆกัน เมขลาวิ่งพรวดเข้าไปคว้าแขนไว้
“คิดหรือว่าจะหนีฉันพ้น”
ชายคนนั้นหันมา เมขลาอึ้ง รีบยิ้มแหยๆ
“ซอรี่”
เมขลามองหาราม แต่ไม่เห็น เพราะรามวิ่งไปทางบันไดหนีไฟก่อนที่เมขลาจะหันมองนิดเดียว
ภาคภูมิกับทีมเข้ามาที่ทางเดินหน้าห้องแสงกับเย็น ภาคภูมิก้มดูโพยที่จดมาในกระดาษเห็นไม่ผิดแน่ พยักหน้าไปที่ห้องข้างแสงอีกห้องหนึ่ง ตำรวจลับเปิดห้องเข้าไป
ขณะเดียวกัน เมขลาเดินแค้นๆออกจากลิฟต์ จะไปที่ห้องซึ่งอยู่ติดกับห้องแสงกับเย็น
“คอยดูนะถ้าเจอกันอีก ฉันจะ...” เมขลาอ้าปากค้างเมื่อเห็นรามซุ่มอยู่ “เจ้าประคู้ณ ขอให้คราวนี้อย่าตาฝาดอีกเลย” เมขลาขยี้ตา
รามเห็นหน้าห้องแสงกับเย็นมีพวกค้ายาเกาหลี สองคนยืนเคาะประตูอยู่
“ทำไงดีวะ”
เมขลาเห็นราม ความแค้นพุ่งปรี๊ด วิ่งเข้าเอากระเป๋าสะพายฟาดเข้าที่หัวรามเปรี้ยง
“นี่แน่ะๆ”
รามแทบทรุด
“โอ๊ย...” รามกุมหัว หันมาจะชกเห็นเป็นเมขลาแล้วอึ้งไป “เฮ้ย...นี่ คุณมาตีผมทำไม”
เมขลาโดดเข้าบีบคอราม
“ยังจะกล้าถามอีกนะ คุณทั้งลวนลามฉันบนเครื่องบิน ทั้งแย่งแท็กซี่ฉัน แถมยังขโมยของฉันเสียอีก แบบนี้มันสมควรตาย”
รามพยายามแกะมือเมขลา
“คุณพูดอะไรผมไม่รู้เรื่อง”
เมขลาไม่ปล่อย
“ไม่ต้องมาฟอร์ม เอาของฉันคืนมาเดี๋ยวนี้เลย”
“มันติดไปกับแท็กซี่คันนั้นแล้ว คุณไปทวงกับเขาเองเถอะ”
“งั้นไปโรงพัก ดูซิว่าตำรวจจะเชื่อใครกันแน่”
เมขลาจับข้อมือรามแน่น พาเดินออกไป รามมองไปทางห้องแสงกับเย็นอย่างพะวง พร้อมกับขืนตัวไว้ ตัดสินใจเล่นบทน่าสงสาร
“อย่าพาผมไปหาตำรวจเลย ผมเอาของคุณไปเพราะจนตรอกจริงๆ”
เมขลาหันมองหน้าอย่างเหลืออด
“คนจนตรอกอะไร มีปัญญาบินมาเที่ยวถึงเกาหลี ฮึ”
รามทำหน้าละห้อยหน้าสงสาร
“ถ้าคุณเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา แถมยังมีแม่ที่ป่วยหนัก คุณก็ต้องคิดหาทางเสี่ยงโชคเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนผม”
เมขลามองไม่อยากเชื่อ
“เก็บเรื่องโกหกของคุณไว้หลอกเด็กเถอะ”
รามทำท่าหายใจไม่ออก เหมือนโรคหัวใจกำเริบ
“ผม...ไม่...ได้...โก...หก...คร่อก”
รามเล่นมุขเป็นลมล้มทับเอาดื้อๆ เมขลาแทบล้มตามตบแก้มแรงๆ
“อย่ามาหลอกฉันเสียให้ยากเลย ฉันไม่เชื่อหรอก”
รามแกล้งชักมือหงิกๆ
“นี่ๆ ลืมตาสิ ไม่งั้นคุณเจอดีแน่” เมขลาตะโกนใส่ข้างหู
รามยิ่งแกล้งชัก เมขลาเริ่มหน้าเสียมองไปที่ห้องตัวเองอย่างลังเล
อ่านต่อวันพรุ่งนี้