ติดตามอ่านได้ทาง www.manager.co.th ทุกวัน เวลา 9.30 น.
ภายในบ้านสรณาลัย พรรณอรเปิดประตูออกมาจากห้องทำงานด้วยท่าทีร่าเริง พรรณอรนั้นมุ่งมั่นกับงานเขียนหนังสืออีกด้วย เธอเป็นนักเขียนนวนิยายแนวฆาตกรรมสืบสวนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ใช้นามปากกาว่า “วรรณกานต์” ไม่เปิดเผยตัวให้เป็นที่รู้จัก แต่มีความสุขกับการพูดคุย กับแฟนคลับผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว
“เสร็จไปอีกหนึ่งบท วันนี้เขียนได้ลื่นไหลดีจริงๆ “
พรพรรณเดินเข้ามาหา
“พี่อร ประนอมอยู่ไหนคะ นมลพาขึ้นไปดูห้องพักแล้วก็หายจ้อยไปเลย”
“ประนอมไหน?”
“ก็แม่บ้านคนใหม่ของพี่อรไงคะ เป็นคนจ้างเองแท้ๆ ลืมได้ยังไง”
กันยา คนรับใช้ของบ้านสรณาลัยเดินถือถาดของว่างเข้ามา
“กันยาๆ ไปตามประนอมมาที” พรพรรณสั่ง
“ประนอมไหนคะ คุณพร”
“ก็ประนอม แม่บ้านคนใหม่ยังไงล่ะ นี่ไม่มีใครรู้เลยเหรอว่า ยัยประนอมอยู่ไหน”
พันธ์นฤสรร์ไถรถ Scooter เข้ามา
“เค้าไม่อยู่แล้วล่ะ”
“ไม่อยู่ !! แล้วไปไหน”
“ไปจ่ายตลาด” พันธ์นฤสรร์บอก
“ไปจ่ายตลาด ใครเป็นคนสั่ง เพิ่งทำงานวันแรกก็ไว้ใจให้เงินไปจ่ายตลาดแล้วเหรอ นี่มันต้องเชิดเงินหนีไปแล้วแน่ๆ บ้านเราซื้อของเข้าบ้านทีละตั้งห้าหกพัน นี่ถ้ามันไม่กลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง ฉันจะแจ้งตำรวจจับมัน!”
พรพรรณมีท่าทางเอาจริง
+ + + + + + + + + + + +
ภายในบ้านชุติมันต์ บุรธัชกับณิชมนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่
“เธอเป็นใคร เข้ามาที่นี่ทำไม”
“คุณล่ะเป็นใคร เข้ามาที่นี่ทำไม”
“เลี่ยงไม่ตอบคำถามอย่างนี้ แสดงว่าเธอต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ๆ นี่เธอคงรู้ว่า บ้านนี้ไม่มีคนอยู่ คิดจะมาขโมยของล่ะซิ”
“ฉันไม่ใช่ขโมย ฉันรู้จักกับเจ้าของบ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านหลังนี้ชื่อคุณโชติ ชุติมันต์ คุณโชติมีลูกชายคนเดียวชื่อคุณชยทัต ซึ่งแต่งงานกับคุณณัชชา ซึ่งเป็นลูกสาวของคุณนวลแข สุธาสิน”
“แล้วยังไง คุณโชคเป็นคนมีชื่อเสียง ใครๆก็รู้จักท่านอยู่แล้ว”
บุรธัชมองพิจารณาณิชมนตั้งแต่หัวจดเท้า
“ท่าทางเธอก็ดูไม่เหมือนเป็นขโมย”
ณิชมนรู้สึกโล่งใจขึ้น
“แต่ดูเหมือนพวกสิบแปดมงกุฎมากกว่า”
ณิชมนฉุนกึ๊กทันที
“พูดโกหกได้คล่องปากอย่างนี้คงหลอกต้มคนมานักต่อนักแล้ว มาที่นี่คิดจะทำอะไร จะมาหลอกลุงแหวงล่ะซิท่า จะบอกให้นะ ถึงลุงแหวงจะเป็นคนเก่าแก่ที่นี่ คุณโชติก็ไม่ได้ทิ้งมรดกอะไรไว้ให้ เบี้ยบำนาญอะไรก็ไม่มี”
“ฉันไม่ต้องการอะไรจากใครทั้งนั้น ไม่งั้นฉันก็คงบอกลุงเค้าไปแล้วว่า ฉันเป็น..เป็น..”
“เป็นอะไร?”
“ฉันจะเป็นอะไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”
ณิชมนเดินออกไป แต่บุรธัชคว้าแขนเอาไว้แน่น
“จะไปไหน คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือไปแน่”
บุรธัชลากณิชมนออกไปทันที
+ + + + + + + + + + + +
บุรธัชลากณิชมนออกมาจากในบ้าน
“ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อยยังไงล่ะ”
ณิชมนดิ้นรนจะหยิบสเปรย์พริกไทยแต่บุรธัชรู้ทันจับมือณิชมนไว้ได้ ณิชมนจะเตะผ่าหมากแต่บุรธัชก็หลบได้ทุกจังหวะ
“ปล่อยฉัน คุณมีสิทธิ์อะไรมาจับตัวฉันไว้”
“ก็สิทธิ์ในความเป็นเจ้าของบ้านยังไงล่ะ เธอบุกรุกบ้านฉัน ฉันก็มีสิทธิ์จับตัวเธอส่งตำรวจ”
“คุณโชติต่างหากที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้”
“ฉันซื้อบ้านหลังนี้จากคุณโชติแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นเจ้าของบ้านชุติมันต์แล้ว รู้เอาไว้ด้วย”
ณิชมนหยุดดิ้นรนในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกงุนงง แต่บุรธัชยังจับตัวณิชมนไม่ยอมปล่อย ลุงแสวงวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“มีอะไรกันเหรอครับ”
ณิชมนได้จังหวะสะบัดตัวออกจากบุรธัชมาได้ แต่บุรธัชยังคว้าแขนจับเอาไว้
“ยัยนี่เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ฉันจะจับส่งตำรวจ ลุงแหวงถูกหลอกให้เซ็นอะไรหรือให้ซื้ออะไรหรือเปล่า พวกนี้ชอบหลอกต้มตุ๋นคนแก่ที่อยู่บ้านคนเดียว ไม่ได้กลัวบาปกรรมอะไรเลย ลุงแหวงถูกหลอกไปเท่าไหร่ล่ะ”
“คุณชายเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ คุณคนนี้เป็นคนของอาจารย์ดาวเรืองครับท่านคงทราบข่าวเรื่องที่คุณชายซื้อบ้านหลังนี้แล้ว ก็เลยส่งคนมาช่วยเก็บข้าวเก็บของ”
บุรธัชมองณิชมนภายในใจรู้สึกไม่เชื่อแม้แต่น้อย
“งั้นฉันจะโทรถามอาจารย์ดาวเรืองว่า ส่งคนมาจริงหรือเปล่า เธอชื่ออะไร”
“ฉันชื่อ..ประนอม..ประนอม บุญเสริม”
บุรธัชหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์ แต่ณิชมนรีบตะครุบมือบุรธัชไว้ไม่ให้กดโทรศัพท์ต่อ
“เดี๋ยวๆ ค่ะ คือ..ฉันเป็นคนของอาจารย์ดาวเรืองก็จริงนะคะ แต่ตอนนี้อาจารย์ส่งฉันไปเป็นแม่บ้านที่บ้านสรณาลัยแล้วค่ะ ถ้าคุณจะสอบถามเรื่องของฉัน โทรไปที่บ้านสรณาลัยดีกว่าค่ะ”
ณิชมนหายใจทั่วท้องเพราะคิดว่าแก้ปัญหาไปได้แน่ๆ
“เธอเป็นแม่บ้านของบ้านสรณาลัยเหรอ”
ณิชมนยิ้มด้วยความมั่นใจ “ค่ะ ฉันเป็นแม่บ้านของบ้านสรณาลัย”
“พวกสรณาลัยไว้ใจไม่ได้จริงๆ !! มากับฉันเลย !”
บุรธัชยิ่งโกรธมากขึ้นกระชากพาณิชมนออกไปทันที ณิชมนหน้าเหวอไม่รู้ว่าทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง
“เดี๋ยวครับ กระเป๋าของคุณเค้าครับ” ลุงแสวงรีบคว้ากระเป๋าเป้ของณิชมนตามบุรธัชไป
+ + + + + + + + + + + +
ที่ชมรมค่ายอาสา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รวิภาสเดินมาที่โต๊ะหน้าชมรมฯ ซึ่งมีตะกร้าดอกไม้ติดป้าย “ดอกละ 20 ช่วยสร้าง รร.ให้น้อง” วางอยู่ รวิภาสตบไหล่กันต์ที่กำลังก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค
“เฮ้ย ไอ้กันต์ ฉันไปเรียนแป๊บเดียว ดอกไม้เหลือแค่นี้เองเหรอวะ”
กันต์เงยหน้าขึ้นมองดอกไม้ที่เหลือไม่กี่ดอก
“ก็มีคนสวยๆ มาช่วยขาย มันก็หมดเร็วอย่างนี้แหละ”
“ใครมาช่วยขาย”
“ที่จริงเราน่าจะเอาผลิตผลที่ไร่แกมาขายนานแล้วนะ ของฟรีไม่มีต้นทุน กำไรล้วนๆ อย่างนี้ วันสองวันก็ได้เงินตามเป้าแล้ว” กันต์ตอบเลี่ยงๆ
“ฉันถามว่า ใครมาช่วยขาย”
กันต์พยักเพยิดให้รวิภาสดูเอาเอง รวิภาสมองตามไปเห็นกลุ่มนักศึกษาชายล้วนกำลังรุมล้อมใครบางคนอยู่ แล้วนักศึกษาชายเหล่านั้นก็ถือดอกไม้ค่อยๆ ทยอยออกมา รวิภาสเห็นว่าเป็นพิมพ์นฤมลกับมีนถือตะกร้ายืนขายดอกไม้อยู่
“แกอย่าเพิ่งปรี๊ดแตก น้องนมลอยากช่วย ก็ให้เค้าช่วยไป ไม่เห็นเป็นไรเลย”
รวิภาสผลุนผลันออกไปทันที ทิ้งกันต์ที่รู้สึกหน่ายใจอยู่ที่โต๊ะ รวิภาสรีบเดินไปหาพิมพ์นฤมลกับมีนที่กำลังถือตะกร้าดอกไม้เดินเร่ขายอยู่
“ช่วยซื้อดอกไม้หน่อยนะคะ ดอกละห้าสิบค่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้เราจะเอาไปช่วยสร้างโรงเรียนให้น้องนะคะ ห้าสิบบาทเองค่า”
“นมล พี่กันต์ให้ขายดอกละยี่สิบไม่ใช่เหรอ”
“พี่กันต์ไม่ว่าอะไรหรอกน่า ยิ่งได้เงินเข้าชมรมเยอะเท่าไหร่ยิ่งดีไม่ใช่เหรอ”
รวิภาสเดินเข้ามาดึงตะกร้าดอกไม้จากพิมพ์นฤมลไป
“เธอคิดผิดแล้ว เราต้องการเงินเข้าชมรมก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ได้มาด้วยวิธีขายของเกินราคาเอาเปรียบผู้ซื้ออย่างนี้” รวิภาสพูดเสียงเข้ม “แต่การใช้กลโกงหลอกเอาเงินคนอื่นเป็นวิธีของพวกสรณาลัยอยู่แล้วนี่”
“นี่นายภาส มันจะเกินไปแล้วนะ อย่างกับพวกบุริศราวัณดีนักแหละพี่ชายนายก็ใช้กลโกงกดราคาที่ดินคนอื่นเค้าเหมือนกัน”พิมพ์นฤมลโต้
“เดี๋ยว เดี๋ยวนะคะ ตอนนี้เราเริ่มเบี่ยงเบนประเด็นกันไปไกลแล้ว ถ้าหากพี่ภาสไม่อยากให้เราช่วยขายดอกไม้ เราก็จะไม่ยุ่งแล้วล่ะค่ะ” มีนไกล่เกลี่ย
“ไม่ใช่เฉพาะเรื่องขายดอกไม้นี่ เรื่องอื่นก็ไม่ต้องมายุ่ง ฉันไม่ต้องการคุณหนูไฮโซสมองกลวงอย่างเธอมายุ่งวุ่นวายกับชมรมของฉัน”
“นายรวิภาส ! นึกว่าตัวเองฉลาดล้ำลึกกว่าคนทั้งโลกหรือยังไง มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินฉัน ถ้านายให้โอกาสฉัน นายก็จะรู้ว่า ฉันทั้งเก่งทั้งฉลาดทำงานอึดไม่แพ้นายหรอก แต่นายมีอคติกับฉัน นายถึงไม่ยอมให้ฉันเข้าชมรมของนาย มีอุดมการณ์แต่ไม่มีจริยธรรม คนอย่างนายไม่สมควรจะเป็นหัวหน้าชมรมเลย !”
พิมพ์นฤมลเดินผละไป มีนถือตะกร้ายืนกระอักกระอ่วนใจอยู่ สักพักพิมพ์นฤมลเดินกลับมาดึงตะกร้าจากมีนโยนใส่รวิภาสแล้วลากมีนออกไปด้วยกัน
+ + + + + + + + + + + +
ที่คณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พิมพ์นฤมลกับมีนเดินกลับมาที่คณะ โดยที่พิมพ์นฤมลมีท่าทีหงุดหงิดโมโหอย่างมาก
“นมล เลิกคิดที่จะเข้าชมรมพี่ภาสเถอะ ฉันเบื่อที่จะเป็นกรรมการห้ามมวยเต็มทนแล้ว ชมรมอื่นก็มีเยอะแยะไป”
“ชมรมค่ายอาสาไม่ใช่เป็นชมรมของนายภาสคนเดียว ฉันจะไม่ยอมแพ้จอมเผด็จการอย่างนายคนนี้หรอก ฉันจะต้องต่อสู้ต่อไปเพื่อความยุติธรรมต่อไป”
“สู้ไปก็เหนื่อยเปล่าน่า เราไปเข้าชมรมเชียร์กันดีกว่า”
“ฉันไม่ชอบ”
“ชมรมละครล่ะ”
“ฉันไม่อิน”
“งั้นก็ชมรมโต้วาที”
“ไม่ใช่ทาง ไม่ต้องมาหว่านล้อมฉันเลย มีน ยังไงฉันก็จะต้องเข้าชมรมค่ายอาสาให้ได้”
“ฉันว่าแกตั้งชมรมขึ้นมาใหม่จะง่ายกว่านะ แกไม่มีทางผ่านด่านพี่ภาสไปได้แน่ๆ ว่าแต่บ้านแกกับบ้านพี่ภาสมีเรื่องอะไรกันเหรอ ดูเหมือนว่าพี่ภาสจะไม่ได้เกลียดขี้หน้าแกคนเดียว แต่เกลียดแกทั้งตระกูลเลย”
“เรื่องมันจบไปนานแล้ว เรื่องจบ แต่คนไม่จบ มันก็เลยเป็นปัญหาอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“ตอบได้เคลียร์จริงๆ ฉันเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งเลย”
มีนพูดประชด แต่พิมพ์นฤมลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้
+ + + + + + + + + + + +
ณ บ้านสรณาลัย บุรธัชลากณิชมนเข้ามาด้านใน ณิชมนขัดขืนสุดฤทธิ์ไม่ยอมเข้าไป
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม นี่มันเป็นเรื่องระหว่างคุณกับฉันสองคน ทำไมต้องดึงคนอื่นเข้ามายุ่งด้วย ไปคุยกันข้างนอกดีกว่า”
พรรณอรกับพรพรรณได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงพากันออกมาดู
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมประนอมกลับมากับคุณชายล่ะ” พรรณอรถาม
“พรนึกแล้วเชียว ประนอมเป็นคนของคุณชายจริงๆ นี่คุณชายส่งแม่นี่มาสอดแนมเราใช่มั้ย”
“พวกคุณต่างหากที่ส่งผู้หญิงคนนี้ไปสอดแนมผม ผมอยากรู้ว่า พวกคุณต้องการอะไร พินัยกรรมของคุณโชติก็บอกอย่างชัดเจนแล้วว่า ท่านขายบ้านให้ผมคนเดียวเท่านั้น จะบอกให้นะ ไม่ว่าจะใช้เล่ห์กลอะไร ทรัพย์สินทุกอย่างของชุติมันต์จะต้องเป็นของผม”
ณิชมนมองหน้าบุรธัชภายในใจรู้สึกว่าบุรธัชโลภมากจนเกินไป
“พวกฉันไม่เคยสนใจทรัพย์สินของคุณโชติ ตอนที่คุณโชติประกาศขายไร่ขายโรงงาน เราก็ไม่เคยคิดไปแย่งซื้อกับคุณชายเลย แล้วถ้าฉันจะส่งคนไปสอดแนมจริงๆนะ ฉันไม่ส่งแม่บ้านโง่ๆเซ่อๆ อย่างประนอมไปหรอกค่ะ”
ณิชมนหันไปมองหน้าพรพรรณที่เพิ่งพูดจบไป เธอคิดจะค้านแต่ก็พยายามปิดปากไว้
“งั้นแสดงว่าคุณคิดจะส่งคนไปสอดแนมจริงๆ”
“อ้าว พูดอะไรก็เข้าตัวไปหมด พี่อรช่วยพูดกับคุณชายหน่อยซิคะ”
“คุณชายเข้าใจผิดค่ะ ขอบคุณที่พาประนอมมาส่งนะคะ ได้เวลาโยคะพอดี ขอตัวก่อนนะคะ”
พรรณอรตัดบทแล้วเดินหนีไปเหมือนไม่ขอรับรู้อะไรด้วย
“พี่อร ! “ พรพรรณหันไปพูดกับบุรธัช “อย่างที่พี่อรบอกแหละค่ะ คุณชายกำลังเข้าใจผิดทั้งเข้าใจผิดเรื่องประนอม แล้วก็เข้าใจผิดเรื่องพี่นฤสรณ์กับท่านพ่อของคุณ น่าจะถึงเวลาแล้วนะคะที่เราจะมาปรับความเข้าใจกัน”
“ผมไม่มีเวลาฟังใครแก้ตัวหรอกครับ คราวนี้ผมจะไม่เอาเรื่อง ถ้าคราวหน้าคุณส่งคนไปบุกรุกที่ของผมอีก ผมไม่ไว้หน้าแน่”
บุรธัชเดินออกไป
“ประนอม เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้ว”
“ขอเวลาแป๊บนึงนะคะ แป๊บเดียวจริงๆ ค่ะ”
ณิชมนรีบวิ่งแจ้นตามบุรธัชไป บุรธัชเดินมาถึงที่รถ แต่ณิชมนวิ่งตามมาจนทัน
“คุณคะ คุณ อย่าเพิ่งไปค่ะ”
ณิชมนวิ่งไปดักหน้าบุรธัช
“คุณซื้อบ้านของคุณโชติไปแล้วจริงๆ เหรอคะ ลุง..เออ..ลุงแหวงบอกว่าคุณโชติเก็บบ้านชุติมันต์ไว้ให้ลูกชายของท่านนี่คะ แล้วท่านจะขายบ้านให้คุณได้ยังไง”
“เธอจะถามทำไม เรื่องบ้านชุติมันต์เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย”
“ก็..ก็ฉันอยากรู้”
“ถ้าอยากได้ข้อมูลไปเอาหน้ากับเจ้านาย ก็ไปสืบหาเอาเอง ฉันไม่จำเป็นจะต้องมาตอบคำถามเธอ”
บุรธัชเดินหลบ แต่ณิชมนยังเดินตามตื๊อต่อ
“แล้วคุณจะทำยังไงกับบ้านชุติมันต์คะ คุณคงจะเก็บไว้ใช่มั้ยคะ คงไม่ขายต่อใครใช่มั้ย บ้านโบราณสวยๆแบบนั้นน่าจะอนุรักษ์ไว้นะคะทำเป็นมิวเซียมหรือดัดแปลงเป็นโรงแรมก็ได้ ปราสาทสวยๆในอังกฤษก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น”
“เธอคิดว่า เธอเป็นใคร”
“ฉันก็แค่อยากจะแนะนำเท่านั้น”
“ฉันไม่ต้องการคำแนะนำของเธอ ไปบอกคุณพรรณอรด้วย ถ้าต้องการอะไรก็ให้มาพูดกันซึ่งๆ หน้า ไม่ใช่ส่งคนใช้มาพูดแทน ลืมไปว่าคนบ้านนี้ทำอะไรตรงไปตรงมาไม่เป็นอยู่แล้ว แล้วเธอ ! หวังว่าฉันคงไม่เห็นหน้าเธออีก !”
บุรธัชขึ้นรถแล้วขับออกไป ณิชมนนึกขึ้นได้รีบวิ่งตาม
“เดี๋ยวค่ะ กระเป๋าของฉัน กระเป๋า !!”
บุรธัชจอดรถ ณิชมนดีใจคิดว่าบุรธัชจะให้ไปรับกระเป๋าของเธอ แต่เขาเปิดประตูรถเหวี่ยงกระเป๋าของเธอออกมาอย่างไม่ไยดี แล้วก็ขับรถออกไปทันที ณิชมนวิ่งไปคว้ากระเป๋าขึ้นมา
“คนอะไร ! ใจดำจริงๆ !”
ณิชมนโกรธฮึดฮัด
+ + + + + + + + + + + +
ภายในบ้านสรณาลัย พรพรรณกำลังจ้องมองณิชมนอย่างจับผิด
“ไหนอธิบายมาซิ ประนอม เธอไปบ้านชุติมันต์ทำไม”
ณิชมนซึ่งนั่งอยู่ที่พื้นกระสับกระส่ายพยายามคิดหาข้อแก้ตัว
“เออ..คือว่า..คือว่านอมไปเยี่ยมลุงแหวงค่ะ แม่ของนอมเป็นเพื่อนกับลุงแหวงน่ะค่ะ แม่ฝากปลาร้ามาให้ นอมก็เลยต้องรีบเอาไปให้ลุงเค้ากลัวมันจะเน่าเสียก่อน”
“เธอคิดว่า ตัวเองเป็นใครไม่ทราบ คิดจะไปไหนก็ไปโดยไม่ขออนุญาตกันก่อน มาถึงวันแรกก็หาเรื่องปวดหัวมาให้ฉันแล้ว แล้วต่อไปไม่รู้จะก่อปัญหาอะไรอีก” ขณะที่กำลังบ่นจู่ๆ พรพรรณก็นึกขึ้นมาได้ “แล้วปลาร้าเก็บได้เป็นปีๆ เน่าง่ายๆซะที่ไหน”
“นอมขอโทษนะคะ คุณพร นอมทำไปโดยไม่ทันคิดจริงๆนึกว่าแวะหาลุงแหวงแป๊บเดียวแล้วก็ไปจ่ายตลาดต่อ พอดีไปเจอคุณผู้ชายคนนั้นซะก่อน ก็เลยเป็นเรื่อง”
“ฉันกลัวแต่ว่า ถ้าเธอไม่ได้เจอคุณชายบุรธัชเข้าซะก่อน เธอคงจะเชิดเงินฉันหนีไปแล้ว เอาบัตรประชาชนมา”
“อะไรนะคะ”
“ฉันบอกว่า เอาบัตรประชาชนมา ฉันจะต้องยึดบัตรประชาชนเธอไว้เป็นประกัน เร็วเข้าซิ รีรออะไรอยู่ล่ะ”
“นอมไม่มีบัตรประชาชนหรอกค่ะ คือว่า..นอมถูกกรีดกระเป๋าน่ะค่ะนี่ยังไงล่ะคะ”
ณิชมนโชว์กระเป๋าสะพายให้ดูเป็นหลักฐานว่ามีรอยกรีดกระเป๋าซึ่งถูกแปะด้วยเทปใสอยู่จริงๆ
“มันขโมยกระเป๋าตังค์นอมไปค่ะ ทั้งเงินทั้งบัตรประชาชนบัตรอะไรต่อมิอะไรอยู่ในนั้นหมดเลยค่ะ”
“เฮ้อ ฉันจะทำยังไงกับเธอดีนี่ ถึงเธอจะเป็นคนของอาจารย์ดาวเรืองฉันก็ยังวางใจไม่ได้”
พรพรรณเหลือบไปเห็นซองเงินกับกระดาษโน้ตของณิชมนจึงหยิบซองเงินมาดู
“เออ..เงินที่คุณนมลให้นอมไปจ่ายตลาดค่ะ นอมหยิบไปพันนึงนะคะ กะว่าจะไปเซอร์เวย์ เอ๊ย ไปดูตลาดก่อน พอให้รู้จักที่ทางแล้วค่อยไปใหม่วันหลัง” ณิชมนบอกพรพรรณ
พรพรรณรู้สึกดีกับณิชมนขึ้นมาหน่อยที่ไม่ได้เอาเงินไปทั้งหมด
“แล้วนี่อะไร”
พรพรรณเอื้อมมือไปหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมา ณิชมนตกใจตาเหลือก
“ลายมือไก่เขี่ยอย่างนี้ ลายมือใครเนี่ย”
พรพรรณพยายามอ่านกระดาษโน้ตแต่มองไม่ชัด จึงหันไปหยิบแว่นสายตายาวมาใส่ แล้วเริ่มอ่านใหม่
“ขอ..ยืม..เงิน..”
พันธ์นฤสรร์ เข้ามาฉกกระดาษโน้ตจากมือพรพรรณไปอย่างรวดเร็ว
“พันสร ! ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ เสียมารยาทจริงๆ “
“ขอผมเอาไปพับจรวดนะ”
พันธ์นฤสรร์ วิ่งปรู๊ดออกไป
“เด็กคนนี้มันน่าตีจริงๆ เลย”
พรพรรณหันไปมองณิชมนอย่างยอมจำนน
“ฉันจะบอกให้นะ การเป็นแม่บ้านของบ้านสรณาลัยไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันจะดูซิว่า เธอจะทำงานที่นี่ไปได้ซักกี่น้ำ”
“คุณยอมรับนอมเป็นแม่บ้านแล้วใช่มั้ยคะ”
พรพรรณพยักหน้าให้อย่างเสียไม่ได้
+ + + + + + + + + + + +
ภายในห้องครัวของบ้านสรณาลัย รำไพ กันยา สายใจและดำเกิงยืนเรียงแถวรออยู่ พรพรรณพาณิชมนเดินเข้ามา
“นี่ประนอม แม่บ้านคนใหม่”พรพรรณแนะนำ
ทุกคนในแถวจับตามองณิชมนอย่างสนใจ
“แล้วนี่รำไพเป็นแม่ครัวของบ้านนี้ ส่วนกันยากับสายใจมีหน้าที่ดูแลทำความสะอาดบ้านรวมทั้งซักรีดเสื้อผ้า แล้วก็ดำเกิง คนขับรถ เธอคงจะรู้จักแล้ว”
ณิชมนยกมือไหว้ทุกคนอย่างนอบน้อม ทุกคนยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ มีอะไรก็ช่วยแนะนำด้วยค่ะ”
“หน้าที่หลักของเธอก็คือ ควบคุมดูแลการทำงานของทุกคน อย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องเป็นอันขาด”
ชัยวัฒน์เดินเข้ามาแล้วรี่เข้าไปหาณิชมนทันที
“คุณคงเป็นแม่บ้านคนใหม่ใช่มั้ยครับ ผมชัยวัฒน์ครับ ผมเป็นครูของคุณพันสร ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยล่ะก็ บอกได้เลยนะครับ”
“ทำงานของตัวเองให้ดีซะก่อน แล้วค่อยคิดช่วยงานคนอื่น ไป ประนอมเดี๋ยวฉันจะแจกแจงรายละเอียดให้ว่า นอกเหนือจากงานหลักแล้ว เธอยังต้องทำอะไรอีกบ้าง”
พรพรรณเดินออกไป ณิชมนรีบเดินตาม ชัยวัฒน์มองตามแล้วผิวปากวี๊ดวิ๊ว
“คนนี้ใช่เลย ตรงสเป๊คจริงๆ”
ชัยวัฒน์รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที
+ + + + + + + + + + + +
ณิชมนเดินก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดบันทึกในมือ
“เราต้องทำอะไรบ้างเนี่ย..”คิดรายการอาหารสามมื้อให้แม่ครัว ควบคุมดูแลการทำความสะอาดบ้าน ตรวจตราข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านเมื่อมีอะไรชำรุดเสียหายต้องส่งซ่อมทันที” เดี๋ยวนะ ตกลงเราต้องเป็นแม่บ้านที่นี่จริงๆ เหรอ”
ณิชมนหย่อนก้นนั่งแปะลงข้างทาง
“ไม่ทำงานที่นี่แล้วจะไปไหนได้ล่ะ เงินก็ไม่มีซักบาท”
จรวดกระดาษร่อนมาตกที่พื้นใกล้ตัว ณิชมนก้มลงมองเห็นชื่อ ณิชมน ชุติมันต์อยู่บนจรวดกระดาษ ณิชมนรีบหยิบขึ้นมาทันที โพันธ์นฤสรร์โฉบมาฉกจรวดกระดาษจากมือณิชมนไป
“คุณพันสร คืนให้นอมเถอะนะคะ”
พันธ์นฤสรร์เหล่มอง เมื่อเห็นณิชมนร้อนรนยิ่งอยากแกล้ง พันธ์นฤสรร์คลี่กระดาษออกมาทำเหมือนอ่านได้
“อย่าอ่านค่ะ อย่า ขอคืนเถอะนะคะ”
“คืนง่ายๆ ได้ไง มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“นอมไม่มีอะไรจะแลกหรอกค่ะ เอาอย่างนี้คุณพันสรจะให้นอมทำอะไร นอมทำได้ทั้งนั้น”
“พาฉันออกไปขี่ม้าที่ไร่ แล้วจะคืนให้”
“นอมจะพาไปได้ยังไงคะ ไร่อยู่ที่ไหน นอมก็ไม่รู้จัก แล้วคุณพรคงไม่อนุญาตแน่ๆ ให้นอมทำอย่างอื่นให้ดีกว่านะคะ”
“ตกลงจะไม่พาไปใช่มั้ย”
พันธ์นฤสรร์ จ้องกระดาษในมือแล้วพยายามอ่าน
“ขะ..ขอ..”
“ที่แท้ก็ยังอ่านหนังสือไม่ออก” ณิชมนขำ
“ถึงฉันจะอ่านไม่ออก ฉันให้คนอื่นอ่านให้ก็ได้ เอาไปให้น้าพรอ่านดีกว่า”
“อย่านะคะ !! “
ณิชมนรีบแย่งกระดาษจากพันธ์นฤสรร์ แล้วยัดใส่ปากกลืนเข้าไปอย่างยากเย็น
“แค่ล้อเล่น จริงจังไปได้ ใครจะไปสนเรื่องของเธอ”
พันธ์นฤสรร์ เดินจากไป ณิชมนมองตาม เธอตบอกป๊าบๆ เพราะกระดาษยังจุกอกอยู่
+ + + + + + + + + + + +
ณ ไร่บุริศราวัณ บุรธัชเดินเข้ามาในแปลงทดลอง มีสีหน้าเครียดที่ไม่เห็นรวิภาส ทันใดนั้นเองรวิภาสโผล่ขึ้นมาจากการนั่งยองๆ อยู่ที่กลางแปลงทดลอง บุรธัชยิ้มพอใจที่เห็นรวิภาส จับตามองรวิภาสที่จดบันทึกอย่างตั้งใจ รวิภาสหันมามองบุรธัช
“นึกว่าจะเบี้ยวงานซะแล้ว”
“ก็กะว่าจะเบี้ยวอยู่เหมือนกัน แต่วันนี้สิ้นเดือน ค่าแรงออกพอดี”
“นี่ถ้าแกไม่ได้เงิน แกคงไม่คิดจะมาช่วยงานที่ไร่เลยใช่มั้ย”
“ทำงานถ้าไม่ได้ผลตอบแทน จะทำไปทำไมล่ะครับ ช่วงนี้ผมมีเรื่องต้องใช้เงินเยอะซะด้วย ขอเบิกค่าแรงล่วงหน้าซักสองเดือนได้มั้ยครับ”
“ไม่ได้ ! เดือนนี้แกโดดงานไปกี่ครั้งแล้ว เมื่อไหร่แกจะรู้จักรับผิดชอบซักทีถ้าหากแกไม่เรียนต่อล่ะก็ จบมหาวิทยาลัยแล้วก็มาทำงานที่ไร่นี่ก็แล้วกัน”
“ผมไม่ทำ ถ้าพี่ธัชทำคนเดียวไม่ไหว ก็ขายไร่บุริศราวัณไปซิครับ ถ้าหากท่านพ่อไม่ตาย พี่ธัชก็ไม่คงไม่กลับเมืองไทยใช่มั้ยล่ะ แล้วจะมาสนใจอะไรกับไร่บ้าๆ นี่ทำไม”
“ฉันไม่มีวันขายไร่บุริศราวัณแน่ ฉันจะสร้างอาณาจักรบุริศราวัณให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วแกก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยฉัน”
“พี่ธัชทำอย่างนี้เพื่ออะไร เพื่อที่จะเอาชนะพวกสรณาลัยงั้นเหรอครับ”
“ฉันไม่ใช่แค่ต้องการเอาชนะ ฉันจะทำให้พวกสรณาลัยล่มจมเหมือนกับที่พวกมันเคยทำกับเรา แกก็รู้ว่า เราเคยสูญเสียทุกอย่างเพราะใคร ถ้าแกยังมีจิตสำนึกหลงเหลืออยู่บ้าง แกคงรู้ว่าหน้าที่ของแกต้องทำอะไร”
บุรธัชเดินออกไปสวนทางกับณิชาภัทรที่เดินเข้ามา
“ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ”
“พี่ณิชาครับ ท่านพ่อตายเพราะพวกสรณาลัยจริงๆ เหรอครับ”
รวิภาสมองณิชาภัทรเหมือนรอคำตอบ
อ่านต่อหน้าที่ 2
รักปาฏิหาริย์ ตอนที่ 2(ต่อ)
บุรธัชเดินดุ่มๆ กลับมาที่รถ แล้วก็หยุดเดินหันไปมองอาณาจักรกว้างใหญ่ของไร่บุริศราวัณ บุรธัชนิ่งคิดเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเมื่อสิบปีก่อน...
ภาพในหัวของบุรธัช เห็นบริพัตรกำลังถือปากกากำลังจะเซ็นเอกสารแต่ยังลังเลตัดใจไม่ได้ นฤสรณ์เดินมาตบไหล่บริพัตร
“เซ็นเถอะ นายไม่มีทางเลือกแล้ว”
บริพัตรจดปากกาเซ็นชื่อในกระดาษแต่ละแผ่นอย่างสิ้นหวัง บุรธัชเดินเข้ามาต้องชะงักเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของทั้งสองคน
นฤสรณ์รีบดึงปึกเอกสารใส่ซองแล้วเดินออกไปทันที
บริพัตรมองตามสีหน้าเคร่งเครียด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ท่านพ่อ คุณอานฤสรณ์มาทำไมครับ”
“ก็อานฤสรณ์เป็นเพื่อนพ่อ ทำไมจะมาหากันไม่ได้ แล้วทำไมแกถึงเพิ่งมา”
“ผมแวะพักที่กรุงเทพฯก่อน ท่านพ่อมีธุระอะไรถึงได้เรียกตัวผมกลับมากะทันหันอย่างนี้ครับ ผมอยู่ได้แค่สามสี่วันเท่านั้นนะครับ อาทิตย์หน้าผมนัดกับแอดไวเซอร์คุยเรื่องเรียนต่อปริญญาโท”
“แกไม่ต้องเรียนต่อแล้ว ฉันจะให้แกกลับมาทำงานที่นี่ จะได้มาดูแลนายภาสด้วย”
“ทำไมล่ะครับ ไหนท่านพ่อเคยบอกว่าจะให้ผมเลือกทางเดินชีวิตเอง ถ้าผมไม่อยากอยู่ที่นี่ก็จะยกไร่บุริศราวัณให้นายภาสไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ บอกความจริงผมมาดีกว่า”
“พ่อจำเป็นจริงๆที่จะต้องให้แกกลับมาดูแลไร่บุริศราวัณของเรา พ่อขอโทษที่ทำตามคำพูดไม่ได้ ทุกอย่างเป็นความผิดของพ่อเอง พ่อขอโทษบุรธัช ยกโทษให้พ่อด้วย”
บุรธัชมองบริพัตรอย่างไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
+ + + + + + + + + + + +
บุรธัชคิดถึงอดีตอีกเหตุการณ์หนึ่ง...
รถของบุรธัชแล่นมาอย่างรวดเร็วแล้วจอดข้างถนนซึ่งมีรถตำรวจกับรถพยาบาลจอดอยู่ นอกจากนั้นยังมีรถยนต์และรถมอเตอร์ไซด์จอดดูอยู่กลุ่มใหญ่
บุรธัชรีบลงจากรถวิ่งมาแหวกกลุ่มไทยมุง เห็นรถบริพัตรสภาพยับเยินคาอยู่ขอบถนน
เจ้าหน้าที่สองคนยกเปลหามบริพัตรในสภาพเลือดท่วมตัวออกมา บุรธัชผวาไปหาบริพัตร
“ท่านพ่อ !”
บุรธัชแตะตัวบริพัตรจึงรู้ว่าสิ้นลมไปแล้ว บุรธัชช็อคจนแทบคุมสติไม่อยู่
รวิภาสในวัยสิบขวบวิ่งเข้ามา
“ท่านพ่อ !”
อาจวิ่งตามมาจับตัวรวิภาสไว้
“ลุงอาจพานายภาสกลับไป”
“ท่านพ่อ ท่านพ่อเป็นอะไร พี่ธัช ท่านพ่อเป็นอะไร”
อาจพยายามจับรวิภาสไว้แต่รวิภาสดิ้นจนหลุดออกมาได้ เจ้าหน้าที่หามร่างของบริพัตรออกไป
“จะเอาท่านพ่อไปไหน ไม่ให้ไป ภาสไม่ให้ท่านพ่อไป”
รวิภาสวิ่งตามแต่บุรธัชดึงรวิภาสมากอดไว้แน่น
นฤสรณ์กับพรรณอรวิ่งเข้ามายืนมองเหตุการณ์ทั้งหมด
บุรธัชมองไปที่นฤสรณ์ แววตาเต็มไปด้วยความแคลงใจ
+ + + + + + + + + + + +
เหตุการณ์ปัจจุบัน หลังจากคิดถึงเรื่องในอดีต บุรธัชก็กำพวงมาลัยรถแน่นด้วยความเคียดแค้น เขาขับรถออกไปอย่างรวดเร็วตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
รวิภาสกับณิชาภัทรเดินออกมาจากแปลงทดลอง
“ตอนที่เกิดเรื่องพี่เรียนอยู่ที่ซิดนีย์ กลับมาถึงได้เข้าใจว่า ทำไมธัชถึงได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน ธัชต้องกลับมากอบกู้ไร่บุริศราวัณกลับคืนมา เพราะท่านลุงกำลังถูกฟ้องล้มละลายจนต้องขายไร่บุริศราวัณให้กับคุณอานฤสรณ์”
“ท่านพ่อล้มละลายเพราะถูกคุณอานฤสรณ์โกงไม่ใช่เหรอครับ”
“ธัชก็เข้าใจว่าอย่างนั้น แต่ความจริงเป็นยังไงไม่มีใครรู้แน่ ธัชทำงานหนักอยู่หลายปีจนซื้อไร่บุริศราวัณกลับคืนมาได้ แล้วก็ขยายกลายเป็น อาณาจักรบุริศราวัณอย่างที่เห็น ส่วนเรื่องท่านพ่อของเธอ..” ณิชาภัทรเริ่มไม่มั่นใจ
“มีคนบอกว่า ไม่ใช่อุบัติเหตุ”
“ทางตำรวจบอกว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ เค้าสันนิษฐานว่า ท่านอาจจะจงใจขับรถพุ่งลงข้างทาง”
“ท่านพ่อฆ่าตัวตายเหรอครับ ท่านพ่อฆ่าตัวตายเพราะถูกอานฤสรณ์หักหลังใช่มั้ยครับ”
ณิชาภัทรมองรวิภาสที่นิ่งอึ้งไป โดยที่เธอก็ไม่รู้ความจริงเช่นกัน
+ + + + + + + + + + + +
ณ บ้านสรณาลัย พรรณอรกำลังเล่นโยคะอย่างมีความสุขมีเพลงนิวเอจบรรเลงเสริมบรรยากาศ พรพรรณเดินมาปิดเครื่องเล่นซีดี พรรณอรชะงักหยุดหันมามอง
“อะไรอีกล่ะ”
“เมื่อไหร่พี่อรจะไปเคลียร์กับคุณชายบุรธัชให้เข้าใจซะทีคะ”
“เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
“นี่ผ่านไปสิบปีแล้วนะคะ พี่นฤสรณ์เสียไปแล้ว คุณชายก็ยังแค้นพวกเราอยู่ ทั้งๆที่พี่นฤสรณ์ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย อุตส่าห์ช่วยเพื่อนแท้ๆ กลับถูกหาว่าโกงซะนี่”
“พี่ก็เข้าใจคุณชายเธอนะ เริ่มต้นธุรกิจมาพร้อมๆกัน ทางเรารวยเอาๆ แต่ทางเค้าล้มละลายขายตัว คุณชายก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดาว่าทางเราโกงเค้าหรือเปล่า”
“ถึงพี่อรจะเข้าใจความรู้สึกคุณชายแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกค่ะนอกจากจะทำให้คุณชายเลิกเข้าใจเราผิด เรามีเอกสารยืนยันนี่คะว่า ท่านชายเป็นคนมาเสนอขายไร่บุริศราวัณเอง แล้วท่านก็ทิ้งจดหมายไว้ให้พี่นฤสรณ์ฉบับนึงก่อนที่ท่านจะเสียไม่ใช่เหรอคะ”
“สิ้นชีพิตักษัยจ้ะ ท่านบริพัตรเป็นหม่อมเจ้าต้องใช้คำว่าสิ้นชีพิตักษัยไม่ใช่เสียชีวิต”
“โอ๊ย ยุคนี้แล้วไม่มีใครใช้ภาษาเจ้ากันแล้วล่ะค่ะ คุณหญิงนวลแขท่านยังเคยสอนพรเลย ถ้าพูดไม่เป็นก็อย่าพูดซะเลยดีกว่า เดี๋ยวจะกลายเป็นพูดภาษาลิเกไป พี่อรพานอกเรื่องอีกแล้ว ตกลงพี่อรเก็บเอกสารการซื้อขายกับจดหมายไว้ที่ไหนคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน คงอยู่ไหนซักที่ในบ้านนี้แหละ”
“พี่อร อย่างนี้คุณชายต้องเห็นเราเป็นศัตรูไปทั้งชาติแน่ เราไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าโกงอย่างเดียวนะคะ ทางเค้ายังคิดว่าเราทำให้ท่านชายสิ้นเนื้อประดาตัวจนฆ่าตัวตายอีกด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ช้าหรือเร็ว ที่สุดแล้วความจริงก็ย่อมหนีความจริงไปไม่ได้ และสุดท้ายก็ต้องแฮปปี้เอ็นดิ้งเหมือนนวนิยายของพี่ เชื่อพี่เถอะ”
พรรณอรมองพรพรรณอย่างเหนื่อยใจ
+ + + + + + + + + + + +
ที่ห้องครัว ณิชมนมองไปที่รำไพ กันยา สายใจและดำเกิงที่ยืนรอฟังอยู่ ณิชมนยื่นกระดาษรายการอาหารให้รำไพ
“นี่ค่ะ ป้ารำไพ รายการอาหารของพรุ่งนี้”
ณิชมนหันไปมองกันยากับสายใจและดำเกิง ไม่รู้จะสั่งงานอะไร
“ส่วนพี่กันยา พี่สายใจ พี่ดำเกิงก็ทำงานอย่างที่เคยทำนะคะ ใครมีหน้าที่ทำความสะอาดก็ทำไป ใครซักรีดก็ซักไป ใครขับรถก็ขับรถไป ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดีมั้ยคะ”
รำไพมองรายการอาหารในมือแล้วหน้านิ่ว
“นี่อะไรกัน มื้อเช้า-ขนมปังปิ้งไข่ดาว กลางวัน-ข้าวผัดกุ้ง เย็น-ไข่เจียวหมูสับ ผัดคะน้า แกงจืดวุ้นเส้น อาหารพื้นๆ อย่างนี้พวกคุณๆ รับทานไม่ลงหรอก แม่คุณ”
“อ้าว แล้วต้องเป็นอาหารแบบไหนล่ะคะ”
“แบบไหนก็ได้ที่มันดูดีกว่านี้ แล้วทุกมื้อต้องมีกับข้าวไม่ต่ำกว่าห้าอย่าง ของหวานอีกสองอย่าง แล้วบ่ายก็ต้องมีของว่างเสิร์ฟพร้อมน้ำชากาแฟด้วย ไปคิดมาใหม่ ไป”
“ฉันขอเปลี่ยนหน้าที่กับสายใจด้วยนะ ฉันต้องคอยรับใช้คุณผู้หญิงทั้งวันแล้วยังต้องทำความสะอาดบ้านอีก แต่สายใจแค่ซักรีดอย่างเดียว งานเบากว่าฉันตั้งเยอะ” กันยาท้วง
“ได้ยังไง ฉันก็ต้องคอยวิ่งตามคุณพันสรทั้งวันเหมือนกัน เหนื่อยกว่ารับใช้คุณผู้หญิงไม่รู้กี่เท่า ยังไงฉันก็ไม่แลกงานกับกันยานะ” สายใจค้าน
“ขอเบิกเงินค่าซ่อมรถด้วย แล้วอาทิตย์หน้าฉันขอหยุดสองวันจะไปเยี่ยมแม่ หาคนมาทำงานแทนด้วยล่ะ” ดำเกิงพูดขึ้นบ้าง
“ถ้าไม่ให้ฉันแลกงานกับสายใจ ก็ต้องขึ้นเงินเดือนให้ฉัน”
“ถ้าขึ้นเงินเดือนให้กันยา ก็ต้องขึ้นให้ฉันด้วย”
“ฉันอาวุโสที่สุด ต้องขึ้นเงินเดือนให้ฉันก่อน” รำไพแทรก
“ต้องขึ้นให้ฉันก่อน ฉันทำงานหนักที่สุด”
“แต่ฉันทำงานที่นี่ก่อนแก ยังไงต้องฉันก่อน”
ณิชมนยืนงงเพราะตั้งรับไม่ทัน ชัยวัฒน์เข้ามาขัดกลางวง
“หยุดก่อนๆ อย่าเพิ่งเถียงกัน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเรียกร้องขอขึ้นเงินเดือนนะ คุณประนอมเพิ่งมาทำงานวันแรก พวกเธอมีหน้าที่ให้ความร่วมมือแล้วก็ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ใครทำงานหนักทำงานดี รับรองได้ขึ้นเงินเดือนแน่ๆ ไป แยกย้ายไปทำงานได้แล้ว”
รำไพยัดรายการอาหารใส่มือณิชมนแล้วเดินออก
“รายการอาหาร !”
ดำเกิงยัดใบเก็บเงินค่าซ่อมรถให้ณิชมนแล้วเดินออก
“ค่าซ่อมรถ !”
กันยากับสายใจยืนมองณิชมนหัวจดเท้าแล้วเดินออกไป ณิชมนหันไปมองชัยวัฒน์ด้วยความรู้สึกขอบคุณ
+ + + + + + + + + + + +
ณิชมนกับชัยวัฒน์เดินออกมาจากครัวด้วยกัน
“ขอบคุณนะคะที่ช่วย”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมยินดีช่วยคุณนอมอยู่แล้ว”
“แล้วเรื่องขึ้นเงินเดือน ถ้าทุกคนทำงานดี คุณพรพรรณก็จะขึ้นเงินเดือนให้เป็นปกติอยู่แล้วใช่มั้ยคะ”
“ผมพูดส่งๆไปอย่างนั้น จะได้เลิกกัดกันน่ะครับ คนพวกนี้ไม่ค่อยมีสมองหรอกครับ พูดอะไรก็เชื่อ แล้วถึงจะไม่ได้ขึ้นเงินเดือน อย่างมากก็แค่โวยวายไม่กล้าทำอะไรเราหรอกครับ เรากับพวกมันคนละระดับกัน”
ณิชมนมองชัยวัฒน์อย่างไม่ชอบใจ ชัยวัฒน์ยังไม่รู้ตัวยิ้มกริ่มใส่ณิชมน
“แล้วคุณนอมมีอะไรให้ผมช่วยอีกมั้ยครับ ได้ไปไร่สรณาลัยหรือยังครับ ถ้ายัง ผมพาไปได้นะครับ”
“ฉันคงไม่จำเป็นต้องไปหรอกมั้งคะ งานของฉันคือการดูแลที่นี่ไม่ใช่ดูแลไร่”
“แล้วคุณนอมรู้จักทุกคนในบ้านนี้แล้วใช่มั้ยครับ คุณพรรณอรถึงจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของบ้าน แต่คนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างในบ้านหลังนี้คือคุณพรพรรณ เอาใจเธอให้ดี ถ้าเข้าถูกทางล่ะก็ ทุกอย่างก็ฉลุยครับ ส่วนคุณนมลกับคุณพันสรไม่มีพิษสงอะไรครับ อยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปไม่ต้องไปสนใจมาก เดี๋ยวจะปวดหัวเปล่าๆ”
“แต่คุณเป็นครูของคุณพันสรไม่ใช่เหรอคะ”
“เออ..ผมหมายถึงไม่ต้องไปเข้มงวดมากน่ะครับ คุณพรรณอรอยากให้ลูกๆใช้ชีวิตอย่างอิสระเป็นตัวของตัวเอง เออ..คุณนอมอยากรู้อะไรในบ้านหลังนี้ ถามผมได้ครับ ผมรู้ทุกเรื่อง”
“คุณรู้จักอาจารย์ดาวเรืองใช่มั้ยคะ”
“อาจารย์ดาวเรืองเหรอครับ รู้จักซิครับ ใครๆก็รู้จักท่านทั้งนั้น ท่านเป็นเจ้าของวิทยาลัยพลพิทักษ์ เป็นวิทยาลัยที่มีคุณภาพมาก ใครๆก็อยากได้ลูกศิษย์ของท่านไปทำงานด้วยทั้งนั้น ผมท่าจะเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนซะแล้ว คุณนอมเคยทำงานกับท่านมาก่อน น่าจะรู้จักท่านดีกว่าผม”
“เออ..ค่ะ คือฉันไม่รู้มาก่อนว่า ท่านจะมีคนนับถือมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าใครๆ ก็รู้จักท่านนะคะ ท่านเป็นคนดีจริงๆนะคะ ไม่งั้นท่านคงไม่ช่วยฝากงานให้ฉันแน่ ฉันอยากจะมีโอกาสไปกราบขอบคุณท่านจริงๆ เลยค่ะ “ ณิชมนพึมพำกับตัวเอง “ แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้แน่”
ณิชมนฝืนยิ้ม เธอไม่รู้ว่าความลับจะแตกวันไหน
+ + + + + + + + + + + +
ณ บ้านสุธาสิน นวลแขกำลังนั่งดูรูปณิชมนกับพ่อและแม่ ตั้งแต่สมัยที่ณิชมนอายุห้าขวบซึ่งถ่ายที่เมืองไทย โดยมีดาวเรืองนั่งอยู่ด้วย นวลแขรู้สึกห่วงหาอาทรแต่ยังคุมสีหน้าให้เรียบเฉย
“นอกจากรูปถ่ายใบนี้แล้ว ณัชชาไม่ได้ส่งอะไรมาอีกเลยเหรอ ครู”
ดาวเรืองมองนวลแขอย่างเข้าใจ
“ณัชชาส่งรูปถ่ายรูปนี้มาให้รูปเดียวค่ะ แล้วพอย้ายไปอยู่ที่ซิดนีย์ก็ส่งโปสการ์ดมาบอก แต่ไม่ได้เขียนที่อยู่ไว้ ดิฉันก็เลยติดต่อกลับไม่ได้”
“เป็นความผิดของฉันใช่มั้ย ตอนที่ลูกอยู่เมืองไทย ถ้าฉันตามหาเค้าตอนนั้นก็คงจะเจอตัวไม่ยาก แต่มาตามหาเอาป่านนี้ คงยากที่จะตามหาเจอ”
“ดิฉันเชื่อว่า ซักวันนึงณัชชาจะต้องกลับมาหาคุณหญิงค่ะ”
“เค้าคงไม่กลับมาแล้วล่ะ ขนาดคุณโชติเสีย ตาชยทัตยังไม่กลับมาเผาศพพ่อตัวเองเลย ต่อให้ฉันตายไป ณัชชาก็คงไม่สนใจไยดีฉันเหมือนกัน”
“ชยทัตกับณัชชาคงไม่ได้ติดต่อใครที่เมืองไทยเลยน่ะค่ะ ก็เลยไม่รู้ข่าวคุณโชติเสีย ถ้ารู้คงต้องกลับมาแน่ๆ ค่ะ ที่ทั้งสองคนไม่กล้ากลับมาเพราะละอายใจกับสิ่งที่ทำลงไป ถ้ารู้ว่าคุณหญิงยกโทษให้แล้ว..”
“ฉันยังไม่ได้ยกโทษให้ แค่อยากรู้ว่า ไปอดตายกันอยู่ที่ไหนเท่านั้นแหละ จะกลับมาหรือไม่กลับ ฉันไม่สนใจ” นวลแขยังปากแข็ง
“แล้วคุณหญิงไม่อยากเจอหลานเหรอคะ”
“หลานของฉัน…”
“ลูกของณัชชาไงคะ ตอนที่ณัชชาพาไปซิดนีย์ก็อายุสิบสองสิบสามแล้วตอนนี้ก็น่าจะอายุซักยี่สิบแล้วมั้งคะ อ่อนกว่าณิชาสี่ห้าปี”
“ลูกของณัชชาชื่ออะไรนะ”
“ณิชมนค่ะ ลูกสาวของณัชชาชื่อ ณิชมน ชุติมันต์”
ณิชาภัทรเดินเข้ามา
“คุณป้าดาวเรือง สวัสดีค่ะ มานานแล้วเหรอคะ”
ณิชาภัทรยกมือไหว้ดาวเรือง นวลแขรีบเอารูปถ่ายณิชมนแทรกใส่หนังสือไว้
“มาได้ซักพักแล้วล่ะ กำลังจะกลับพอดี” ดาวเรืองตอบ
“กลับไม่ได้นะคะ ณิชามีเรื่องจะฟ้องคุณย่า แล้วคุณป้าก็ต้องอยู่รับฟังด้วย เพราะเรื่องนี้คุณป้ามีส่วนรับผิดชอบด้วยล่ะค่ะ”
ณิชาภัทรมองดาวเรืองแล้วแกล้งทำเป็นต่อว่าต่อขาน
+ + + + + + + + + + + +
นวลแขกับณิชาภัทรเดินออกมาส่งดาวเรือง
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณป้าขอร้อง ณิชาคงไม่กลับมาทำงานที่นี่ ทำงานกับคุณพ่อที่กรุงเทพฯ สบายใจกว่าตั้งเยอะ ไม่ต้องปวดหัวแล้วก็ไม่ต้องปวดใจด้วย”
“ยายณิชา...” นวลแขปราม
“ทำงานกับแฟนเก่าไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ คุณย่าก็ทราบว่า ธัชน่ะเป็นคนหัวดื้อเอาแต่ใจแค่ไหน ชอบสร้างปัญหาอยู่เรื่อย”
“แล้วเค้าขอให้เราไปช่วยแก้ปัญหาให้หรือเปล่าล่ะ หรือว่าเราเข้าไปยุ่งกับปัญหาของเค้าเอง”
“คุณย่ารู้ทันอีกแล้ว”
“ณิชาทำงานที่นี่น่ะดีแล้ว คุณหญิงต้องมีคนเป็นหูเป็นตาแทนให้ ถ้าคุณหญิงร่วมลงทุนแล้ว ไม่ส่งคนไปช่วยทำงานจะไม่เป็นการยุติธรรมต่อทางไร่บุริศราวัณและไร่สรณาลัย” ดาวเรืองบอก
“ที่จริงเราน่าจะล้มเลิกโครงการเทพสุธาตั้งแต่คุณอานฤสรณ์เสียนะคะ พวกเราสามตระกูลจะได้ไม่ต้องยุ่งอิรุงตุงนังอยู่อย่างนี้”
“โครงการเทพสุธาเป็นโครงการที่ดีช่วยสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับคนที่นี่ จะล้มเลิกง่ายๆ ได้ยังไง”
“แต่ณิชาว่า คุณย่าใช้โครงการนี้เป็นกาวประสานใจระหว่างบ้านสรณาลัยกับบ้านบุริศราวัณมากกว่า ณิชาวิเคราะห์ถูกมั้ยคะ คุณป้า”
ดาวเรืองยิ้มไม่ตอบอะไร
“ดิฉันลานะคะ คุณหญิง ถ้าได้ข่าวคืบหน้ายังไง ดิฉันจะรีบมาเรียนให้ทราบนะคะ”
ดาวเรืองยกมือไหว้ลานวลแข ณิชาภัทราไหว้ลาดาวเรือง ดาวเรืองเดินออกไปที่รถ
“ข่าวคืบหน้าอะไรหรือคะ คุณย่า”
“อย่ายุ่งเรื่องผู้ใหญ่”
นวลแขเดินจากไป ณิชาภัทรมองตามอย่างสงสัย
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่ ณ บ้านสรณาลัย ณิชมนวุ่นวายจัดโต๊ะอาหารเช้าชุดใหญ่เป็นบุตเฟ่ต์อาหารเช้าไทย จีน ฝรั่งแบบในโรงแรม
กันยากับสายใจเดินเข้าเดินออกยกจานอาหารมาจัดวางไว้บนโต๊ะ
“น้ำผลไม้ ยังขาดน้ำผลไม้ ยกมาให้หมดเลยนะ น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำกีวี น้ำ แพชั่นฟรุต น้ำองุ่น” ณิชมนสั่ง
พรรณอรกับพรพรรณเดินมาหยุดมอง
“นี่มันอะไรกัน” พรพรรณถามเสียงหลง
“น่ากินจังเลย” พรรณอรพูด
“เธอทำอะไรของเธอ ประนอม”
“เออ..คือว่า..นอมไม่แน่ใจว่าคุณๆ ชอบทานอะไรกันบ้าง ก็เลยจัดทุกอย่างมาให้เลือกน่ะค่ะ จะได้ถูกใจทุกคนยังไงล่ะคะ”
“ไม่รู้แล้วทำไมไม่ถามล่ะ”
“ก็ถามแล้ว แต่ว่า...”
ณิชมนหันไปมองกันยากับสายใจที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เธอผลาญเงินฉันไปเท่าไหร่นี่ ค่าอาหารมื้อนี้มื้อเดียวจ่ายค่ากับข้าวได้ทั้งเดือนเลยนะ”
“ตอนนี้ก็เกือบสิบโมงแล้ว ถือว่าเป็น Brunch แล้วกันนะคะ เออ..มื้อสายไงคะ”
“ไม่ต้องอธิบาย ฉันรู้ว่า Brunch แปลว่าอะไร เธอนั่นแหละรู้ได้ยังไง”
“เออ..นอมเคยทำงานบ้านฝรั่งมาค่ะ มื้อนี้ถือเป็นมื้อเช้ารวมกับมื้อกลางวัน คิดอย่างนี้แล้วคงไม่สิ้นเปลืองเท่าไหร่”
“ยังไงมันก็สิ้นเปลืองอยู่ดี ฉันต้องการแม่บ้านที่มาช่วยให้ชีวิตฉันดีขึ้นไม่ใช่แย่ลง มาช่วยแก้ปัญหาไม่ใช่สร้างปัญหา”
พิมพ์นฤมลกับพันธ์นฤสรร์เดินเข้ามา ทำให้พรพรรณต้องหยุดชะงักกลางอากาศ
“ว้าว ฝีมือพี่นอมเหรอคะเนี่ย” พิมพ์นฤมลทัก
“สุดยอด !” พันธ์นฤสรร์ร้องออกมา
“เจ๋งที่สุด ลุยกันเลยดีมั้ย วันนี้กินกันให้สะใจกันไปเลย”
พรรณอรนำพิมพ์นฤมลกับพันธ์นฤสรร์เข้าไปตักอาหารอย่างสนุกสนาน พรพรรณได้แต่มองตาปริบๆ แล้วหันขวับไปมองณิชมนแบบอยากเอาเรื่องต่อ ณิชมนได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้พรพรรณ เธอรู้สึกโล่งใจที่รอดตัวไปได้
+ + + + + + + + + + + +
พิมพ์นฤมลพาณิชมนมาที่รถ โดยที่พันธ์นฤสรร์กระโดดโลดเต้นตามมา
“นอมไปด้วยไม่ได้หรอกค่ะ นอมมีงานต้องทำอีกเยอะแยะเลยนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงเลย นมลสั่งงานกันยาไปแล้วล่ะ มีอะไรก็ให้กันยาจัดการแทนไปก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวคุณพรพรรณจะว่าเอาได้นะคะ”
“พี่นอมมีหน้าที่ดูแลนมลกับพันสรด้วยนะคะ ฉะนั้นเราสองคนไปไหนพี่นอมก็ต้องไปด้วย”
“ไปเถอะน่า อย่าเล่นตัวนักเลย”
พิมพ์นฤมลกับพันธ์นฤสรร์ทั้งผลักทั้งดันณิชมนขึ้นรถไป โดยมีพรรรณอรกับพรพรรณยืนมองรถพิมพ์นฤมลที่แล่นออกไป
“ประนอมดูจะเข้ากับเด็กๆ ได้ดีนะ พี่เลือกคนไม่ผิดจริงๆ”
“เราจ้างประนอมมาดูแลบ้านนะคะ ไม่ใช่ให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กๆคอยดูนะคะ ถ้าประนอมทำงานตามที่พรสั่งไม่ครบถ้วนทุกข้อล่ะก็พรจะตัดเงินเดือนไม่ให้เหลือเลย ไม่รู้จักหน้าที่ตัวเอง ต้องเจอแบบนี้”
“เธออย่าซีเรียสนักเลย หัดรู้จักปล่อยวาง หาความสุขใส่ตัวบ้าง”
“อย่างพี่อรไม่ได้เรียกว่า ปล่อยวาง แต่เรียกว่าปล่อยปละละเลย ดูซิคะที่บ้านเราไม่เป็นระเบียบวุ่นวายไปหมด ไม่ใช่เพราะการปล่อยวางของพี่อรเหรอคะ”
“ถ้าปล่อยวางแล้วมีความสุข เราก็น่าจะปล่อยวางไม่ใช่เหรอจ๊ะ ถ้าเธอปล่อยวางไมได้จะแบกความทุกข์ให้หน้าแก่ก่อนวัยอย่างนี้ต่อไปก็ตามใจ”
พรรณอรเดินไป พรพรรณเอามือขึ้นมาแตะหน้าตัวเองทันที
+ + + + + + + + + + + +
ณ โครงการเทพสุธา ณิชมน พิมพ์นฤมลและพันธ์นฤสรร์ ขี่จักรยานตามกันมาในไร่กว้าง พิมพ์นฤมลหยุดรถจักรยาน ณิชมนจึงหยุดตาม แต่พันธ์นฤสรร์ ขี่จักรยานเลยหายไปข้างหน้า
“สวยมั้ยคะ พี่นอม”
ณิชมนมองไปรอบๆ ตัว เห็นแปลงดอกไม้เมืองหนาวที่สวยงามของโครงการเทพสุธา
“สวยมากเลยค่ะ นี่เหรอคะ ไร่สรณาลัย”
“ไร่สรณาลัยเป็นแค่ส่วนนึงเท่านั้นแหละค่ะ ทั้งหมดนี้เราเรียกว่า โครงการเทพสุธา เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างเรากับไร่บุริศราวัณแล้วก็คุณย่าของพี่ณิชา ที่นี่เราปลูกแทบทุกอย่างเลยนะคะ ทางด้านโน้นเราทำเป็นสวนพฤกษชาติให้คนเข้าชมด้วยนะคะ”
“แล้วทำไมเรียกว่าโครงการเทพสุธาล่ะคะ”
“เทพสุธาได้มาจากนามสกุลของคุณย่าพี่ณิชาค่ะ คุณย่าของพี่ณิชาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แล้วก็อาวุโสที่สุด ก็เลยเอานามสกุลท่านมาแปลงเป็นชื่อของโครงการ เป็นการให้เกียรติท่าน ท่านชื่อคุณหญิง... “
รวิภาสขี่จักรยานเข้ามาหยุดกึ๊กตรงหน้าพิมพ์นฤมลพอดี
“มาทำไม”
“แล้วทำไมจะมาไม่ได้”
ณิชมนมองรวิภาสแล้วจำหน้าได้ว่ารวิภาสเป็นคนที่เธอเจอที่สนามบินเลยถึงกับสะดุ้งเฮือก เธอก้มหน้าก้มตาค่อยๆ ไถจักรยานหลบออกไป
“มาดักพบฉันล่ะซิ”
“พูดบ้าๆ ทำไมฉันต้องมาดักพบนายด้วย”
พิมพ์นฤมลปรับสีหน้าไม่ให้รวิภาสจับได้ว่าที่เธอมาที่นี่เพราะรู้ว่ารวิภาสมักจะมาที่นี่บ่อยๆ
“ก็เธออยากเข้าชมรมของฉันไม่ใช่เหรอ คราวนี้มีลูกเล่นอะไรอีกล่ะ”
“ฉันไม่ได้คิดจะมาเจอนาย ฉันพาพี่นอมมาเที่ยวต่างหาก”
พิมพ์นฤมลแก้ตัวแล้วหันไปหาณิชมน แต่ณิชมนหายไปแล้ว
“แต่เจอนายก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องจะต้องพูดกับนาย”
รวิภาสกับพิมพ์นฤมลประจันหน้ากัน พิมพ์นฤมลพยายามปั้นหน้าเครียดแต่ในใจยังคิดอะไรไม่ออก
+ + + + + + + + + + + +
โครงการเทพสุธา ณิชมนปั่นจักรยานพ้นจากรวิภาสมาได้ก็เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น แล้วมาหยุดหลบที่หลังต้นไม้ใหญ่ เธอหอบแฮ่กๆ ด้วยความเหนื่อย พันธ์นฤสรร์ขี่จักรยานโผล่มาที่ด้านหลังณิชมน
“หนีใครมา”
ณิชมนสะดุ้งเฮือก
“คุณพันสร ! ตกใจหมดเลย”
“หนีใครมา”
“ไม่ได้หนีใครมาค่ะ นอมแค่ปั่นจักรยานเล่นเท่านั้นเอง”
“อยากทำอะไรสนุกๆ มั้ย”
“ทำอะไรเหรอคะ”
“ตามมาก็แล้วกัน”
พันธ์นฤสรร์เดินนำหน้า ณิชมนเดินตาม
“จะไปไหนคะ นั่นใช่สวนพฤกษชาติที่คุณนมลพูดถึงหรือเปล่าคะ”
“เข้าไปดูเองซิ”
“ต้องสวยมากเลยใช่มั้ยคะ”
ณิชมนเดินเลยเข้าไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สังเกตว่าพันธ์นฤสรร์หยุดยืนไม่เดินตามเธอมา
+ + + + + + + + + + + +
ณิชมนเดินข้ามเขตเข้าไปในไร่บุริศราวัณโดยไม่รู้ตัว เธอมองไปรอบๆ ตัว
“ไหนล่ะสวนพฤกษชาติ ไม่ใช่นี่นี่นา หรือว่าคุณพันสรจะพามาผิดทาง คุณพันสรคะ”
ณิชมนมองหาพันธ์นฤสรร์แต่ก็ว่างเปล่า
“ตายแล้ว คุณพันสรเดินหลงทางไปไหนแล้ว”
ณิชมนร้อนรนเพราะคิดว่าพันธ์นฤสรร์หลงทาง เธอวิ่งไปทางโน้นทีทางนี้ทีจนไปชนเข้ากับบุรธัชที่เดินมาพอดี ณิชมนกระเด็นหงายหลังไป บุรธัชยืนมองโดยไม่คิดแม้แต่จะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ณิชมนตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนเอง
“คุณ..คุณ..”
“เธอบุกรุกที่ของฉันอีกแล้วนะ”
“โครงการเทพสุธาไม่ใช่เป็นของคุณคนเดียวซะหน่อย”
“ใช่ โครงการเทพสุธาไม่ใช่ของฉันคนเดียว แต่ไร่บุริศราวัณเป็นของฉันคนเดียว แล้วที่ๆเธอเหยียบอยู่นี่ก็คือไร่บุริศราวัณ”
“ฉัน..ฉันไม่รู้นี่ ไม่เห็นจะมีรั้วกั้นหรือป้ายบอกเลยว่า ตรงไหนเป็นไร่ของคุณ ตรงไหนเป็นโครงการเทพสุธา”
“ที่ดินตั้งแต่หลังต้นไม้ใหญ่นั่นเป็นของฉัน ออกไปจากที่ของฉันได้แล้ว ไป”
บุรธัชชะงักหยิบปืนขึ้นมาเตรียมพร้อม
“นี่คุณ..แค่บุกรุกที่แค่นี้ ถึงกับจะฆ่ากันเลยเหรอ”
ณิชมนถอยหลังหนีอย่างกลัวสุดขีด
“อยู่นิ่งๆ !”
ณิชมนยืนตัวแข็งจ้องบุรธัชตาไม่กระพริบ
+ + + + + + + + + + + +
อีกด้านหนึ่งในเขตโครงการเทพสุธา รวิภาสกับพิมพ์นฤมลยังคงประจันหน้ากันโดยไม่มีใครยอมใคร
“จะพูดอะไร ก็ว่ามาซิ” รวิภาสเอ่ยขึ้น
“นายจะต้องรับฉันเข้าชมรมค่ายอาสาฯ ถ้านายไม่รับฉันเข้าชมรมฉันจะร้องเรียนถึงคณบดีเลย รับรองจะต้องมีการตั้งกรรมการสอบสวนกับการกระทำที่ไม่ชอบธรรมของนายในครั้งนี้ แล้วนายจะรู้ว่า...”
เสียงปืนดังลั่นแทรกมากลางอากาศ
พิมพ์นฤมลหยุดพูดทันที ทั้งคู่นิ่งชะงักตกใจ แล้วมองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จบตอนที่ 2
ติดตามอ่านตอนต่อไป พรุ่งนี้ เวลา 9.30 น.