xs
xsm
sm
md
lg

รักปาฏิหาริย์ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักปาฏิหาริย์
ตอนที่ 1

เวลาเย็นของวันนั้น ผู้คนในย่านไชน่าทาวน์ เมืองซิดนีย์ ออสเตรเลีย ไม่มีใครรู้เลยว่า เหตุใด ณิชมน หญิงสาววัยยี่สิบปีจึงวิ่งกระหืดกระหอบหนีมาเฟียชาวจีนสองคนที่กำลังไล่ล่าเธอสุดชีวิต ณิชมนพยายามเร่งฝีเท้าพร้อมกับเหลียวไปดูมาเฟียทั้งสองที่กวดมาจนทัน มาเฟียคนหนึ่งคว้าตัวเธอได้ ขณะที่มาเฟียอีกคนก็มาล็อคตัวเธอไว้

“Help ! Help ! Somebody help me !! Help !!!”
ณิชมนร้องขอความช่วยเหลือสุดเสียง พร้อมกับดิ้นรนต่อสู้อย่างเต็มกำลัง
จู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งโผล่ออกมาดึงตัวมาเฟีย 1 ใน 2 ออกจากตัวณิชมน
ทั้งสองเปิดฉากแลกหมัดกันอุตลุต ณิชมนได้โอกาสตีเข่าใส่จุดยุทธศาสตร์ของมาเฟียอีกคนที่จับตัวเธออยู่ มาเฟียจีนรายนั้นคงทั้งเจ็บและจุกถึงกับทรุดลงตัวงอ
ณิชมนได้จังหวะสะบัดตัวหลุดแล้ววิ่งหนี มาเฟียทั้งสองตั้งท่าจะวิ่งตาม แต่ชายนิรนามก็ตามมาขวางห้ามไว้ เขาตะลุมบอนกับสองมาเฟียชุลมุนจนผ้าพันคอหล่นร่วงลงบนพื้น ณิชมนวิ่งห่างออกมาได้เพียงเล็กน้อยแล้วชะงัก หันไปมองชายใจดีที่มาช่วย ก่อนที่เสียงหวอจากรถตำรวจจะดังขึ้น สองมาเฟียลนลานวิ่งหนีไป
ชายนิรนามยืนนิ่ง หมอกรอบตัวขึ้นหนาทึบทำให้ณิชมนมองเห็นหน้าของเขาไม่ถนัดนัก
เมื่อหมอกเริ่มจาง ชายร่างยักษ์เพื่อนพ่อของณิชมนก็เข้ามาคว้าตัวเธอให้รีบไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว ทิ้งชายนิรนามที่มาช่วยเหลือเอาไว้ก่อนที่หมอกหนาจะเคลื่อนเข้ามาปกคลุมจนทุกอย่างมืดมิดไปหมด
+ + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...บนเครื่องบินที่กำลังเดินทางสู่ประเทศไทย ณิชมนสะดุ้งตื่นแล้วพรวดพราดจะลุกขึ้นแต่ติดเข็มขัดนิรภัยทำให้ต้องลงไปนั่งตามเดิม ที่ลำคอของณิชมนมีผ้าพันคอของหนุ่มนิรนามที่มาช่วยเธอพันอยู่
ข้างๆ ของณิชมนคือพงษ์เทพ หนุ่มนักธุรกิจจอมเจ้าชู้ เขามองณิชมนอย่างกรุ้มกริ่มก่อนจะถามว่า
“ฝันร้ายหรือครับ?”
ณิชมนนั่งนิ่งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“หรือว่าไม่ใช่คนไทย Japanese? Korean? Chinese?” พงษ์เทพไม่ละความพยายาม
“ฉันเป็นคนไทยค่ะ”
ไวเท่าความคิด ณิชมนรีบสลับแหวนจากนิ้วที่มือขวา มาใส่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างรวดเร็ว
“ผมก็นึกอยู่แล้วเชียว ถ้าสวยๆ อย่างนี้ยังไงก็ต้องเป็นผู้หญิงไทย ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอม กลับมาเยี่ยมบ้านหรือครับ?”
“กลับมาแต่งงานค่ะ”
ณิชมนชูมือให้เห็นแหวนที่ใส่ที่นิ้วนางมือซ้าย
“คู่หมั้นของฉันเป็นตำรวจค่ะ ยิงปืนแม่นแล้วก็ขี้หึงมาก เมื่อเดือนก่อนเราเพิ่งไปเที่ยวเมืองบาธกัน แค่มีผู้ชายขอมาถ่ายรูปฉัน เค้าซ้อมนายคนนั้นจนเกือบตาย อุ๊ย อย่าคิดว่า เค้าเป็นคนโหดร้ายนะคะ จริงๆ แล้วเค้าเป็นคนไนซ์มากๆ ดูรูปแล้วคุณจะรู้ คุณจะดูรูปเค้ามั้ยคะ? “
ณิชมนทำทีจะหยิบรูปออกจากกระเป๋าขึ้นมาให้ดู
“ไม่เป็นไรครับๆ “
ระหว่างนั้นแอร์โฮสเตสเข็นรถเข็นผ่านมา พงษ์เทพเฉไฉหันไปทางแอร์โฮสเตส
“ขอไวน์แก้วครับ”
ณิชมนไม่สนใจพงษ์เทพอีกเลย เธอหยิบหนังสือ Lonely planet เก่าๆ เยินๆ ขึ้นมาอ่านหาข้อมูลเมืองไทย

+ + + + + + + + + +

บนเครื่องบินลำเดียวกันที่ห้องโดยสารชั้นเฟิร์สคลาส ม.ร.ว. บุรธัช ราชนิกูลหนุ่มวัยสามสิบปี กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ โดยมีรวิภาส น้องชายวัยยี่สิบเอ็ดปีนั่งอยู่ข้างๆ แอร์โฮสเตสเข็นรถเข็นมาด้านข้างหยุดถามบุรธัช
“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ ?”
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
รวิภาสรีบยื่นหน้ามาทันที
“แต่ผมรับครับ ขอเบียร์กระป๋องนึงครับ”
“ขอเป็นน้ำแร่ดีกว่าครับ” บุรธัชขัดขึ้น
แอร์โฮสเตอร์เห็นท่าทางเข้มขรึมของบุรธัชแล้ว จึงเสิร์ฟน้ำแร่ให้รวิภาส
“ไม่เปลี่ยนเป็นน้ำส้มเลยล่ะครับ” รวิภาสขัดเคืองใจ
“ตกลงเรื่องเรียนต่อจะว่ายังไง ถ้าแกไม่อยากเรียนที่ซิดนีย์ เดือนหน้าฉันจะพาแกไปดูมหาวิทยาลัยที่บอสตัน”
“ผมไม่เรียนต่อ”
“แกไม่เรียนต่อโท แล้วแกจะทำอะไร?”
“ไม่รู้ ยังไม่อยากคิด”
“นายภาส !”
รวิภาสหยิบหูฟังขึ้นมาฟังเพลง หลับตาทำท่าเหมือนจะหลับไปเลยในทันที บุรธัชมองจ้องรวิภาสอย่างไม่ยอมแพ้

+ + + + + + + + + +

ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ณิชมนแบกกระเป๋าสะพายพร้อมกระเป๋าเป้ใบใหญ่ออกมาพร้อมกับกลุ่มผู้โดยสารที่ทยอยกันออกมา
เธอหันไปมองรายรอบตัวเห็นบรรดาผู้โดยสารต่างก็มีคนมารอรับ ภายในใจของณิชมนรู้สึกแปลกถิ่น เธอยืนนิ่งอยู่กับที่เพียงลำพังเหมือนไม่รู้จะไปทางไหน ในหัวของณิชมนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ไชน่าทาวน์ เมืองซิดนีย์
หลังจากเหตุการณ์ตะลุมบอน ณิชมนเดินกลับมาที่เกิดเหตุอีกครั้ง เธอก้มลงไปหยิบผ้าพันคอของชายนิรนามซึ่งตกอยู่ที่พื้นขึ้นมา มองไปรอบๆ แต่ไร้วี่แววของชายคนนั้น พร้อมๆ กับที่ชายร่างยักษ์เพื่อนพ่อของณิชมนเดินมาหยุดอยู่ทางด้านหลังของเธอ
“วันนี้เธอยังโชคดีนะ ที่มีคนมาช่วยไว้ทัน แต่ไม่รู้ว่า เธอจะโชคดีอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“พ่อก็ตายไปแล้ว ทำไมยังมาตามรังควาญกันอีกก็ไม่รู้”
“ก็พวกมันจะเอาตัวเธอไปล้างหนี้แทนพ่อเธอยังไงล่ะ รีบหนีไปจากที่นี่ซะ ไปให้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
“หนูไม่รู้จะหนีไปไหน หนูไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว”
“แล้วไม่มีญาติที่เมืองไทยเลยหรือยังไง”
ณิชมนนิ่งคิด
นี่คือเหตุผลที่เธอต้องมายืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในยามนี้
+ + + + + + + + + +

ที่สนามบิน ณิชมนยังคงเดินใจลอยคิดหาทางออกให้ชีวิต ชายคนหนึ่งดูท่าทางรีบร้อนเดินเข้ามาชนณิชมน จนร่างเซถลา หนังสือLonely planet ในมือของเธอหลุดกระเด็นไป รวิภาสเดินเข้ามาก้มหยิบหนังสือส่งคืนให้
“ไม่เป็นไรนะครับ”
ณิชมนยังไม่ทันจะพูดอะไร บุรธัชก็เดินเข้ามาดึงตัวรวิภาสไป
“ทำอะไรอยู่ ไปได้แล้ว”
รวิภาสหันมาส่งยิ้มพลางโบกมือให้ณิชมน
“ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ”
“ไปยุ่งอะไรกับเรื่องคนอื่น แล้วที่พูดไปเค้าฟังรู้เรื่องเหรอ” บุรธัชขึ้นเสียงใส่รวิภาส
“จริงด้วย ท่าทางจะไม่ใช่คนไทย ต้องกลับไปใหม่”
บุรธัชดึงคอเสื้อรวิภาสไว้
“มานี่เลย นายภาส”
ว่าพลางบุรธัชลากตัวรวิภาสออกไป
ณิชมนมองตามอย่างไม่สนใจนัก ก่อนจะหยิบผ้าพันคอยัดใส่กระเป๋าแล้วเดินออกไปอย่างมุ่งมั่น

+ + + + + + + + + +

บุรธัชเดินนำรวิภาสอย่างเร่งร้อนมาถึงร้านกาแฟภายในสนามบิน
“จะรีบร้อนไปไหนครับ พี่ธัช เครื่องบินดีเลย์ตั้งชั่วโมง ผมบอกแล้วว่าให้อยู่เที่ยวกรุงเทพฯก่อนซักสองสามวันก็ไม่เชื่อ บินจากลอนดอนเป็นสิบชั่วโมงแล้วบินต่อกลับเชียงรายเลย เหนื่อยตายชัก”
“ฉันต้องกลับไปทำงาน”
“ไร่ของพี่ไม่หนีหายไปไหนหรอกครับ”
“ไร่บุริศราวัณเป็นของเราทั้งสองคน ที่จริงท่านพ่อสร้างไร่บุริศราวัณไว้ให้แกคนเดียวด้วยซ้ำ แกมีหน้าที่สานต่องานของท่าน”
“ผมยกไร่บุริศราวัณให้พี่ธัชไปเลยแล้วกัน พี่ธัชจะได้เลิกกำหนดกฎเกณฑ์ ชีวิตผมซักที จบแล้ว ผมจะเรียนต่อหรือไม่เรียนต่อ หรือจะทำงานอะไร ให้ผมเลือกเอง ชีวิตเป็นของผมไม่ใช่เป็นของพี่ธัช”
“คนที่ไม่เคยคิดถึงอนาคตอย่างแกน่ะเหรอจะเลือกชีวิตเองได้ ตราบใดที่แกยังเป็นน้องฉันอยู่ แกก็ต้องทำตามที่ฉันสั่ง”
บุรธัชมองรวิภาสด้วยความรู้สึกของผู้ที่เหนือกว่า

+ + + + + + + + + +

ณ สถานีขนส่ง รถแท็กซี่ที่ณิชมนนั่งมา วิ่งมาจอดที่ด้านหน้าทางเข้า กลุ่มคนขายตั๋วผีจำนวนมากวิ่งกรูเข้ามาห้อมล้อมณิชมน
“น้องๆ จะไปไหนครับ น้อง ซื้อตั๋วกับพี่ได้”
“ซื้อกับพี่ดีกว่า น้อง พี่ขายถูกกว่า”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” ณิชมนปฏิเสธ
“ข้างในน่ะตั๋วหมดแล้ว ซื้อกับพี่ดีกว่า จะไปไหนล่ะ เชียงใหม่เชียงรายลำปางแม่ฮ่องสอน พี่มีหมด”
“ไม่ค่ะ ขอทางด้วย ปล่อย ปล่อยมือฉัน”

หญิงชรารุ่นป้าคนหนึ่งเดินแทรกเข้ามาช่วยดึงตัวณิชมนออกไปอย่างคนใจดี
“มานี่หนู มากับป้านี่ ไอ้พวกบ้า ไปๆ คนเค้าไม่ซื้อก็มาตื๊ออยู่ได้”
หญิงสูงวัยพาณิชมนออกไปได้อย่างทุลักทุเล ณิชมนยกมือไหว้ขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณนะคะ ป้า ไม่ได้ป้า หนูคงแย่แน่เลย”
“ไม่เป็นไร หนู เห็นแล้วมันอดไม่ได้จริงๆ ขอให้เดินทางปลอดภัยบุญรักษานะหนู”
ป้าแก่เดินจากไป ณิชมนมองตามด้วยความรู้สึกขอบคุณ พลางจับสายสะพายกระเป๋าให้เข้าที่ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ากระเป๋าของตัวเองถูกกรีดเป็นทางยาว ณิชมนรีบเปิดกระเป๋าค้นดูของด้านใน
“กระเป๋าตังค์หายไปแล้ว..เงิน..เงินหายหมดเลย”
ณิชมนเงยหน้ามองไปทางป้าแก่ใจดีคนเดิม เห็นหญิงชราเร่งฝีเท้าเดินหายลับไปท่ามกลางฝูงชน ณิชมนยืนตะลึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ท่ามกลางผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในสถานีขนส่ง ณิชมนนั่งเอาสก็อตเทปปิดรอยขาดของกระเป๋าตัวเอง เธอเงยหน้ามองเงินค่าโดยสารรถในมือแล้วถึงกับถอนหายใจ
“ทำไงดีต่อล่ะทีนี้ ณิชมน คิดซิๆๆ”
ณิชมนเหลียวมองไปรอบตัว เห็นกลุ่มวัยรุ่นกำลังยืนฟังไอพอดขยับแข้งขาอยู่ ส่วนอีกทางหนึ่งก็เห็นเด็กฮิปฮอปแบกวิทยุเครื่องใหญ่เดินเข้ามา เมื่อมองไปอีกทางก็เห็นขอทานเป็นใบ้กำลังถือป้ายขอเงินผู้คนที่รอรถอยู่ ณิชมนเกิดไอเดียว่าจะทำอย่างไรให้ได้เงินค่ารถ!

ว่าแล้วณิชมนก็วางวิทยุและหงายหมวกลงกับพื้น จากนั้นจึงวางกระดาษแข็งที่เขียนด้วยลายมือว่า “ช่วยค่ารถด้วยค่ะ” ตามลงไป เธอเปิดวิทยุหมุนหาคลื่นเพลงฝรั่งมันๆ เมื่อพบแล้วก็เปิดเสียงดังสุดๆ แล้วเต้นท่าฮิปฮอปด้วยความชำนาญ
ผู้คนที่ผ่านไปมาละแวกนั้นเริ่มเข้ามามุงดู แล้วเริ่มโยนเงินใส่หมวกที่วางไว้ทีละคน สองคน ณิชมนเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีกำลังใจเต้นต่อไปด้วยความสนุกสนาน
บนรถทัวร์สาย กรุงเทพฯ - เชียงราย ณิชมนเดินขึ้นรถมาแล้วส่งตั๋วให้พนักงาน
“4เอ เชิญนั่งเลยค่ะ ทางซ้ายมือค่ะ”
“รถคันนี้ไปถึงชุติมาศใช่มั้ยคะ?” ณิชมนถาม
“ใช่ค่ะ”
ณิชมนเดินมานั่งยังที่นั่งของตัวเอง เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก

+ + + + + + + + + +

รถยนต์ของบุรธัชแล่นมาจอดด้านหน้าบ้านบุริศราวัณ รวิภาสรีบเปิดประตูลงจากรถ บุรธัชก้าวตามลงมา อาจลงจากที่คนขับมาขนกระเป๋าเดินทางลงจากท้ายรถ
“แกจะไปไหน?” บุรธัชถามรวิภาส
“ไปซ้อมดนตรี”
“ไปซ้อมดนตรีหรือว่าไปกินเหล้า?”
“ไม่ต้องห่วง ผมน่ะ เมาไม่ขับอยู่แล้ว”
“เมื่อไหร่แกจะเลิกทำตัวเหลวไหลซักที วันๆ เอาแต่ไปเที่ยวมั่วสุมกับเพื่อน คนเราเกิดมาต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่ใช่ใช้ชีวิตหายใจทิ้งไปวันๆ อย่างแก”
“การหาความสุขใส่ตัว คือจุดมุ่งหมายในชีวิตของผมไงครับ พี่ธัช”
รวิภาสรีบผละออกไป อาจยกกระเป๋าเดินมาใกล้บุรธัช
“คุณชายอย่าเข้มงวดกับคุณภาสนักเลยครับ เด็กวัยรุ่นก็ติดเที่ยวติดเพื่อนอย่างนี้แหละครับ เดี๋ยวเรียนจบก็คงจะรู้จักรับผิดชอบมากขึ้น”
“นายภาสไม่ใช่เด็กแล้ว ลุงอาจ ตอนที่ฉันต้องกลับมาดูแลไร่ที่นี่ ฉันอายุน้อยกว่ามันด้วยซ้ำ ไม่ต้องมีใครคอยจ้ำจี้จ้ำไชสั่งสอน ฉันก็รู้จักหน้าที่ของตัวเอง แต่นายภาสนี่ ขนาดมีฉันควบคุมดูแลอยู่ มันยังทำตัวไร้แก่นสารได้ขนาดนี้ ฉันถึงปล่อยมันไม่ได้ยังไงล่ะ”
บุรธัชถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

+ + + + + + + + + +

ที่ถนนคนเดิน รวิภาสกำลังนั่งเล่นกีตาร์อยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มหาวิทยาลัย กันต์เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเดินถือกล่องรับบริจาคเข้าไปหาฝูงชนที่เดินผ่านไปมา
“ช่วยบริจาคเงินสร้างโรงเรียนด้วยครับ สิบบาทยี่สิบบาทก็ได้ครับ เพื่อน้องๆ ของเราจะได้มีที่เรียนนะครับ”
กันต์ถือกล่องบริจาคมาทางที่รวิภาสนั่งอยู่
“ไอ้ภาส แกไปรับบริจาคบ้าง ไป อย่างแกคงได้รับบริจาคจากสาวๆ เพียบ”
“เฮ้ย ไม่เอา”
“เฮ้ย แกเป็นประธานชมรม ต้องทำได้ทุกอย่างโว้ย นั่งเก๊กหล่ออยู่ตรงนี้แล้วมันจะได้เงินตามเป้ามั้ย ไปเร็ว ไป”
กันต์ดึงกีตาร์ออกจากมือรวิภาสแล้วยัดกล่องบริจาคใส่มือรวิภาสแทน รวิภาสเดินถือกล่องเข้าไปหาผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“ช่วยบริจาคเงินด้วยคร้าบ บริจาคเงินสร้างโรงเรียนให้น้องครับ มีมากให้มาก มีน้อยให้น้อยครับ ขอบคุณครับๆ “
กลุ่มผู้หญิงเข้ามาใส่เงินบริจาคกันมากขึ้น รวมทั้ง ม.ล.พิมพ์นฤมลนวพรรษ หรือ นมล สาวรุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยก็กำลังจะหย่อนแบงก์พันลงในกล่องบริจาค
ทันใดนั้นเองรวิภาสเงยหน้าขึ้นมาเห็นเป็นพิมพ์นฤมลกับเพื่อนสาวจึงเบี่ยงตัวหลบ ไม่ให้พิมพ์นฤมลใส่เงินได้สำเร็จ
“มีปัญหาอะไร นี่ไม่ใช่แบงค์ปลอมนะ”
“ฉันรู้ว่า ไม่ใช่แบงค์ปลอม”
“แล้วทำไมไม่รับเงินของนมลล่ะคะ พี่ภาส”
“ก็น่าจะรู้ตัวว่า ทำไมถึงไม่รับ”
พร้อมกันนั้นรวิภาสก็รีบหันเดินหนีไปทางอื่น พิมพ์นฤมลเดินไปดักหน้าไว้ โดยมีมีนเพื่อนสาวเดินตามไปติดๆ
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง ฉันแค่อยากช่วยบริจาคเงินให้ชมรมนาย” พิมพ์นฤมลต่อว่า
“ไม่ต้องพยายามเลยนะ ต่อให้เธอบริจาคกี่พันกี่หมื่น ฉันก็ไม่ให้เธอเข้าชมรมของฉัน ใครที่จะมาอยู่ชมรมฉัน จะต้องเป็นคนที่ต้องการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่เข้ามาเพื่อเอาคะแนนกิจกรรม ไปข้างหน้าเลย ไป”
รวิภาสแขวะแล้วเดินจากไป ทิ้งให้พิมนฤมลยืนกัดฟันด้วยความโกรธ
“อย่าคิดนะว่า ฉันจะยอมแพ้นายง่ายๆ นายรวิภาส นายจอมเก๊ก”
“แกไปเข้าชมรมอื่นเถอะ ชมรมค่ายอาสาฯ ไม่รับคนเข้าง่ายๆ ไม่งั้นเค้าจะเรียกพี่ภาสขาโหดเหรอ” มีนแนะนำ
“ไม่ ยังไงฉันก็จะเข้าชมรมค่ายอาสาให้ได้”
“นี่มีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือเปล่า นมล” มีนว่า
“ ไม่มี๊ ไม่มี” พิมพ์นฤมลตอบปฏิเสธเสียงสูง
“วาระซ่อนเร้นอะไร มีน ฉันแค่อยากรู้ว่า ชมรมของนายภาสมีดีอะไร ใครๆ ถึงได้อยากเข้าชมรมนี้กันนัก”
ว่าพลางทำท่าทางกลบเกลื่อน

+ + + + + + + + + +

รถทัวร์ที่มีจุดหมายปลายทางคือเชียงราย แล่นทะยานมาในความมืดของราตรี ณิชมนหยิบรูปถ่ายครอบครัวขึ้นมาดู ภาพแรกเป็นณิชมนขณะอายุห้าขวบกับพ่อและแม่ที่บ้านในเมืองไทย อีกใบเป็นภาพณิชมนถ่ายกับพ่อและแม่ที่อพาร์ตเมนท์ในออสเตรเลีย บ่งบอกถึงความสุขระหว่างสามคนพ่อแม่ลูก ณิชมนนั่งมองดูรูปแล้วนึกถึงคำพูดของแม่ขึ้นมา
ภาพอดีตนั้นฉายชัดขึ้นในมโนนึกของณิชมน

ที่สวนสาธารณะในซิดนีย์ ณิชมนนั่งอยู่กับณัชชา แม่ของเธอ ณัชชานั้นอยู่ในสภาพอิดโรย มีผ้าคลุมหัวเพราะเพิ่งผ่านการบำบัดเคมีมา เธอบรรจงสวมสร้อยที่มีล็อกเก็ตห้อยอยู่ให้ณิชมน
“สร้อยเส้นนี้เป็นของคุณยาย เก็บไว้ให้ดีนะลูก แล้วที่อยู่ของคุณปู่ที่แม่จดไว้ให้ ก็อย่าได้ทำหายเชียวนะ ถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้น ให้ลูกกลับไปหาคุณปู่ที่เมืองไทย”
“แม่อย่าพูดเป็นลางอย่างนี้ซิคะ ยังไงแม่ก็ต้องหาย ถึงทำคีโมครั้งนี้จะไม่ได้ผล แต่ครั้งหน้าจะต้องได้ผลแน่ๆ” ณิชมนปลอบแม่
“แม่จะไม่กลับไปหาหมออีกแล้ว เสียเงินเสียทองโดยเปล่าประโยชน์ สู้เก็บเงินให้ลูกเรียนต่อดีกว่า”
“ณิชเรียนต่อเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ชีวิตแม่สำคัญกว่า เราติดต่อกลับไปหาคุณยายดีมั้ย ถ้าท่านรู้ว่า แม่เจ็บหนัก ท่านต้องส่งเงินมาช่วยแน่ๆ”
“คุณยายตัดขาดแม่ไปแล้ว แม่เองก็ไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลือจากคุณยายของลูก แม่ทำผิดกับท่านไว้มากเหลือเกิน”
“คนเป็นแม่ลูกกันตัดขาดจากกันไม่ได้ง่ายๆ หรอก แม่”
“คุณยายเป็นคนใจแข็ง พูดคำไหนคำนั้น ท่านไม่มีวันยกโทษให้แม่แน่ๆ แต่คุณปู่รักพ่อของลูกมาก แม่เชื่อว่า คุณปู่จะต้องรอพ่อของลูกอยู่ และท่านก็ต้องยอมรับลูกเป็นหลานแน่ๆ “
ระหว่างนั้น ชยทัต พ่อของณิชมนก็เดินมาหา พลางชูกล้องถ่ายรูปในมือให้สองแม่ลูกดู
“ณัชชา ดูซิ ผมได้อะไรมา”
“ได้มาจากวงโป๊กเกอร์ใช่มั้ยล่ะ พ่อ?” ณิชมนถามชยทัต
“ได้มาจากไหนก็ช่างน่า มาๆ มาถ่ายรูปกัน แม่เค้าบ่นว่า บ้านเราไม่ค่อยถ่ายรูปเก็บไว้เลย”
ชยทัตเดินไปขอให้ฝรั่งที่เดินผ่านมาแถวนั้นถ่ายรูปให้
“Could you take a photo ,please ?”
แล้วชยทัตก็เดินกลับมานั่งข้างๆ ณัชชา อีกด้านหนึ่งเป็นณิชมน ทั้งชยทัตและณิชมนโอบไหล่ณัชชาที่อยู่ตรงกลาง ชยทัตหันไปสบตากับณัชชาคล้ายจะรู้ว่านี่เป็นรูปถ่ายใบสุดท้ายของครอบครัว

ภาพอดีตอีกหนึ่งเหตุการณ์ผุดซ้อนเข้ามา
ยามเย็นที่สวนสาธารณะแห่งเดิม ณ เมืองซิดนีย์ ณิชมนกับชยทัตในชุดสีดำยืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ ทั้งสองโปรยเถ้ากระดูกของณัชชาไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“เรากลับเมืองไทยกันเถอะค่ะ พ่อ”
“พ่อยังกลับไปไม่ได้หรอก พ่อสัญญากับตัวเองว่า พ่อสร้างเนื้อสร้างตัวได้เมื่อไหร่ พ่อถึงจะกลับไป แต่ดูพ่อตอนนี้ซิ พ่อเป็นไอ้ขี้แพ้ไอ้ผีพนัน พ่อไม่น่าพาแม่หนีมาเลย ไม่งั้นแม่เค้าคงไม่ตาย”
“พ่อทำดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ แม่เคยบอกว่า แม่มีความสุขทุกวันที่ได้อยู่กับพ่ออยู่กับณิช แม่เสียใจอยู่เรื่องเดียวที่ไม่มีโอกาสได้พบคุณยายอีกซักครั้ง ณิชก็เลยอยากกลับเมืองไทย ณิชอยากไปกราบขอโทษคุณยายแทนแม่”
“พ่อก็อยากกลับไปกราบขอโทษคุณยายของลูกเหมือนกัน รออีกหน่อยนะลูก รอให้พ่อเก็บเงินได้ซักก้อนนึง แล้วเราไปกลับไปตั้งตัวใหม่ที่เมืองไทย พ่อถึงจะกลับไปสู้หน้าคุณปู่ได้ ลูกไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกนะ ลูกยังมีครอบครัวอยู่ที่เมืองไทย ลูกมีคุณปู่โชติ มีคุณยายนวลแข”
ณิชมนแตะสร้อยที่คอ เธอเปิดล็อตเก็ตออกดูรูปณัชชาถ่ายคู่กับคุณหญิงนวลแขที่อยู่ด้านใน
“คุณปู่โชติ.. คุณยายนวลแข...”
“พ่อจะพาลูกกลับไปหาครอบครัวของเรา พ่อให้สัญญา”
ชยทัตโอบไหล่ณิชมนแน่น

+ + + + + + + + + +

ภาพอดีตอีกหนึ่งเหตุการณ์ ณิชมนวิ่งหน้าตาตื่นไปที่ซอยด้านหลังร้านค้าแห่งหนึ่ง ในย่านไชน่าทาวน์ เมืองซิดนีย์ เธอแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูอะไรสักอย่างอยู่ ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของชยทัตเดินตามณิชมนเข้ามา ท่ามกลางวงล้อมนั้น มีศพหนึ่งศพนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ผ้าสีขาว
“ไม่ใช่ใช่มั้ย ไม่ใช่..ต้องไม่ใช่”
ณิชมนมือสั่นระริก ค่อยๆ เอื้อมมือไปเปิดผ้าคลุมศพ พบว่าคือศพชยทัตผู้เป็นพ่อที่นอนแน่นิ่งอยู่
ณิชมนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก มาเฟียจีนสองคนยืนมองดูจากที่ไม่ไกลนัก เพื่อนชยทัตเหลือบไปเห็นมาเฟียจึงเข้ามาดึงตัวณิชมนให้ลุกขึ้น
“รีบออกไปก่อน ณิช”
“ไม่..ไม่..ณิชจะอยู่กับพ่อ”
“รีบไปก่อน เดี๋ยวเรื่องพ่อ อาจัดการให้เอง”
เพื่อนชยทัตลากตัวณิชมนออกไป แต่ณิชมนยังคงมองมาทางศพของชยทัตตลอดไม่วางตา

หลายวันต่อมาที่สวนสาธารณะในเมืองซิดนีย์ ณิชมนเดินมาลงนั่งที่ม้านั่งที่เธอเคยนั่งอยู่กับณัชชา เธอหยิบรูปถ่ายใบสุดท้ายของครอบครัวขึ้นมาดูแล้วก็ร้องไห้เสียใจ เพราะรู้สึกเหมือนไม่เหลือใครอีกแล้ว
ขณะเดียวกันนั้นบุรธัชซึ่งนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวถัดไปกำลังสเก็ตออกแบบอาคาร แต่แล้วเขาก็หยุดมือเพราะรู้สึกไม่ค่อยพอใจผลงานตัวเอง บุรธัชหยิบรูปถ่ายครอบครัวขึ้นมาดู ในรูปเป็น ม.ล. บริพัตร ภาวินี บุรัช ตอนอายุยี่สิบปี และรวิภาสตอนอายุสิบปี
บุรธัชลุกขึ้นเดินผ่านหน้าณิชมนไปช้าๆ ณิชมนเหลือบตาขึ้นจากรูปในมือเห็นเพียงผ้าพันคอปลิวไสวผ่านหน้าไป เธอก้มลงดูรูปถ่ายครอบครัวอีกครั้ง

+ + + + + + + + + +

บนรถทัวร์ที่แล่นไปท่ามกลางความมืดคันนั้น ณิชมนกำลังนั่งดูรูปถ่ายใบสุดท้ายของครอบครัวที่ถืออยู่ในมือ
“ถ้าแม่ไม่อยู่แล้ว กลับไปหาคุณปู่นะ ลูก” เสียงณัชชาดังก้องอยู่ในหัวณิชมน
“แล้วคุณยายล่ะคะ”
“ไปหาคุณปู่ก่อน ให้คุณปู่ยอมรับลูกก่อน แล้วคุณยายคงจะยอมรับลูกเอง ถ้าได้พบคุณยายเมื่อไหร่ บอกท่านว่า แม่เสียใจที่ทำให้ท่านผิดหวัง..แม่เสียใจจริงๆ “
ณิชมนนั่งนิ่งสีหน้ามีแววมุ่งมั่นฉายชัด
ณ บ้านบุริศราวัณ บุรธัชกำลังยืนมองรูปถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ที่ผนังบ้าน
ชายหนุ่มมองไล่ไปทีละรูปอย่างช้าๆ เสียง ม.ล. บริพัตร ผู้เป็นพ่อของเขาดังก้องอยู่ในหัว
“ถ้าพ่อเป็นอะไรไป ฝากนายภาสด้วยนะ”
“ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“แกไม่ต้องถามอะไรมาก รับปากซิ นายธัช ถ้าไม่มีพ่อแล้ว แกจะต้องทำหน้าที่แทนพ่อ ดูแลนายภาสให้ดี แล้วก็รักษาไร่บุริศราวัณของเราไว้ให้ได้ รับปากพ่อซิ”
“ผมจะต้องทำหน้าที่แทนท่านพ่อไปอีกนานแค่ไหนครับ”
บุรธัชยืนนิ่ง คิดถึงภาระหนักหนาที่ตัวเองต้องแบกรับมานานหลายปี

อ่านต่อหน้า 2










รักปาฏิหาริย์
ตอนที่ 1 (ต่อ)

ยามเช้าที่เชียงราย รถทัวร์แล่นมาจอดที่ท่ารถ ผู้โดยสารทยอยกันลงไปหยิบกระเป๋าที่ใต้ท้องรถ ณิชมนยังนอนกอดกระเป๋าหลับอยู่บนเบาะ พนักงานเห็นจึงเดินมาสะกิดปลุก

“คุณคะ ถึงแล้วค่ะ”
ณิชมนสะดุ้งเฮือกลุกพรวดขึ้นมาทันที
“ถึงชุติมาศแล้วเหรอคะ?”
“ชุติมาศเหรอคะ เลยมาแล้วล่ะ คุณ”
“แล้วที่นี่มันที่ไหน?”
“เทพสุธาค่ะ รถคันนี้สุดสายที่เทพสุธา”
“แล้วชุติมาศไกลจากที่นี่มากมั้ยคะ แล้วฉันต้องต่อรถอะไรไป ไปต่อรถที่ไหน ค่ารถเท่าไหร่?”
“ก็ไกลเหมือนกันนะคุณ ไม่ค่อยมีรถผ่านไปแถวนั้น ถ้าคุณจะไปต้องเหมารถสองแถวไป ไม่น่าเกินสามร้อยหรอก คุณ”
“สามร้อย !” ณิชมนทวนคำด้วยความตกใจ
พนักงานพูดจบก็เดินจากไป ณิชมนหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดูพบว่าตัวเองเหลือเงินอยู่เพียงสี่สิบบาทเท่านั้น

ณิชมนออกเดินไปตามถนน พยายามโบกมือเรียนรถที่แล่นผ่านไปมา แต่ก็ไม่มีรถคันไหนจอดรับเธอ หลังจากพยายามอยู่นานรถสองแถวคันหนึ่งก็จอดรับ
แต่เมื่อณิชมนขึ้นไปเจรจาขอโดยสารฟรี คนขับรถก็ไล่เธอลงมาทันที ณิชมนเดินต่ออีกสักพักก่อนจะหยุดพักนั่งที่ข้างทาง ในใจคิดถึงคำสอนของพ่อ
“คุณปู่ตั้งชื่อพ่อว่า ชยทัต แปลว่า ผู้มีชัยชนะ แต่พ่อไม่เคยชนะอะไรเลย ชีวิตพ่อมีแต่ความล้มเหลว อย่าเป็นเหมือนพ่อนะ ณิช ไม่ว่าจะเจอความยากลำบากแค่ไหน ลูกจะต้องไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ลูกจะต้องสู้ถึงที่สุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย”
ณิชมนเกิดแรงฮึดลุกขึ้นสู้อีกครั้ง เธอล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ แต่เจ้ากรรม แบงก์ยี่สิบติดออกมาด้วย มันปลิวละล่องไปตามแรงลม ณิชมนวิ่งตามไปตระครุบแบงก์ใบนั้น เมื่อคว้าได้ก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่กลางถนนโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเองรถของบุรธัชก็แล่นตรงมาหาเธอด้วยความเร็วสูง ณิชมนตกใจยืนตัวแข็ง ขณะที่บุรธัชก็ตกใจเหยียบเบรกตัวโก่ง เงยหน้าขึ้นมองณิชมนที่กำลังยืนช็อคอยู่กลางถนน
หลังจากสติฟื้นกลับคืน ณิชมนก็จับเนื้อตัวว่ายังปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า ระหว่างนั้นบุรธัชก็ก้าวลงจากรถตรงมาที่ณิชมนอย่างคนหัวเสีย
“อยากตายหรือยังไง”
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“ถ้าอยากตายก็ไปกระโดดสะพานโน่น ไม่ใช่กระโดดให้รถชนตาย ให้คนอื่นเค้าต้องเดือดร้อน“
“ฉันบอกแล้วยังไงว่า ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ฉันไม่ได้คิดฆ่าตัวตาย ฉันวิ่งมาเก็บเงินของฉันต่างหาก”
บุรธัชมองแบงก์ยี่สิบในมือของณิชมน
“เธอเสี่ยงตายเพื่อเงินแค่ยี่สิบบาทเนี่ยนะ” บุรธัชแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ฉันเคยเสี่ยงตายเพื่อเงินน้อยกว่านี้มาแล้ว คุณไม่รู้หรอกว่า เวลาคนเราไม่มีจะกินทำอะไรได้บ้าง”
“อย่างกระโดดให้รถชนแล้วหลอกเอาค่าทำขวัญจากคนขับใช่มั้ย นี่ถ้าฉันเบรกรถไว้ไม่ทัน คงจะตกเป็นเหยื่อของเธอแน่ ทำสำเร็จมากี่รายแล้วล่ะ!”
ณิชมนมองบุรธัชตาค้าง
“คุณคิดได้ยังไง?! ฉันไม่ใช่พวกต้มตุ๋น บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจๆ ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ คนอะไร มองโลกในแง่ร้ายชะมัด”
ณิชมนเดินหนีออกไป แต่บุรธัชจับแขนณิชมนไว้
“พอฉันจับได้ ก็คิดจะหนีเหรอ ฉันจะจับเธอส่งตำรวจ เชื่อได้เลยว่า ต้องมีเจ้าทุกข์รอชี้ตัวเธอเป็นแถวแน่ ไปเข้าคุกซะ จะได้ไม่ไปหลอกลวงคนอื่นอีก หน้าตาก็ดี ไม่น่าทำมาหากินแบบนี้เลย”
“ปล่อยๆ ปล่อยฉันนะ บ้าไปแล้วหรือยังไง บอกแล้วว่าฉันไม่ใช่พวกต้มตุ๋น”

ณิชมนดิ้นรนเอากระเป๋าสะพายฟาดจนบุรธัชมึนไป เธอจึงหนีออกมาได้ แต่บุรธัชตามจับไม่ปล่อย ณิชมนจึงหยิบสเปรย์พริกไทยออกมาฉีดใส่หน้าบุรธัช นั่นจึงทำให้เธอหลุดอกมาได้ ณิชมนวิ่งไปคว้ากระเป๋าที่ตกอยู่แล้วเผ่นไปทันที ส่วนบุรธัชยืนตาปิดและปวดแสบปวดร้อนอยู่กับที่
ณิชมนวิ่งหนีหน้าตาตื่นมาจนถึงศาลาริมถนน หญิงสาวเข้าไปนั่งพักหอบหายใจ รถกระบะคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบศาลานั้น คนขับรถชื่อดำเกิงลงมาหาณิชมน
“ประนอมใช่มั้ย?” ชายคนขับรถกระบะ
“อะไรนะคะ?” ณิชมนงง
“นัดไว้เจ็ดโมงเช้าไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่มาให้มันตรงเวลา ฉันวนรถมาดูไม่รู้กี่รอบแล้ว ไปๆ ไปขึ้นรถ คุณผู้หญิงรออยู่”
“คุณผู้หญิง?”
“เออ คุณผู้หญิงโทรมาตามไม่รู้กี่ครั้งแล้ว รีบๆ ขึ้นรถซะ ไป”
ดำเกิงดึงกระเป๋าจากณิชมนโยนใส่ท้ายรถ ขณะเดียวกันนั้นรถของบุรธัชแล่นตามมามองเห็นอยู่ไกลๆ
ณิชมนหันไปเห็นจึงตาลีตาเหลือกรีบขึ้นรถดำเกิงทันที
เธอมองไปทางรถบุรธัชแล้วหันมามองดำเกิง ได้แต่ปิดปากเงียบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ครู่ต่อมารถกระบะที่ดำเกิงขับ ก็แล่นเข้ามาในอาณาบริเวณของบ้านสรณาลัย ณิชมนที่นั่งอยู่ในรถมองป้ายชื่อบ้าน
“บ้าน..สะ..ณะ.”
“บ้านสอน-นา-ลัย” ดำเกิงบอกพลางเล่าต่อ “ตอนแรกๆ ที่นี่เรียกว่าบ้านนวพรรษ ตามนามสกุลเจ้าของบ้าน แต่คุณผู้หญิงเปลี่ยนชื่อมาเป็นบ้านสรณาลัย เพื่อเป็นที่ระลึกถึงคุณชายนฤสรณ์”
“คุณชายนฤสรณ์”
“คุณชายนฤสรณ์เสียไปหลายปีแล้ว คุณผู้หญิงทำใจอยู่นาน ดีที่คุณผู้หญิงยังนึกถึงคุณนมลกับคุณพันสร ไม่งั้นอาจจะหนีไปบวชชีแล้วก็ได้ ที่จริงคงเป็นเพราะคุณพรพรรณมากกว่าที่ทำให้คุณผู้หญิงได้สติ”
ณิชมนนิ่งฟังงงๆ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“เออ เธอก็น่าจะรู้แล้วว่า ที่บ้านนี้มีใครบ้าง คุณผู้หญิงสัมภาษณ์เธอทางโทรศัพท์ไปแล้วนี่”
“สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ไปแล้ว?”
“เธอนี่โชคดีจริงๆ สัมภาษณ์แค่ครั้งเดียวก็ได้งานเลย” ดำเกิงหัวเราะ พูดต่อว่า “คงมีแต่คุณผู้หญิงคนเดียวมั้งที่รับคนเข้าทำงานง่ายๆ อย่างนี้”
ณิชมนบ่นพึมพำ “ทำงานเหรอ ทำงานอะไร?”
ยังไม่ทันจะได้คำตอบรถกระบะแล่นมาจอดที่หน้าตัวบ้าน ณิชมนนั่งไม่ติด เพราะไม่รู้จะหาทางออกยังไง

+ + + + + + + + + +

พรพรรณวี๊ดใส่พรรณอร ผู้เป็นพี่สาว และเป็นคุณผู้หญิงเจ้าของบ้านสรณาลัยทันทีที่ทราบว่าพรรอรจ้างแม่บ้านมาทำงานบ้านโดยไม่บอกตัวเอง
“แม่บ้าน ! พี่อรรับแม่บ้านคนใหม่โดยไม่ถามพรซักคำเหรอคะ ทำอย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน พี่อรเห็นพรเป็นหัวหลักหัวตอหรือยังไงคะ”
ณิชมนที่ยืนอยู่กลางวงได้แต่นิ่งทำตาปริบๆ ส่วนดำเกิงค่อยๆ ถอยฉากหนีออกไป
“อ้าว ก็เห็นเธอบอกว่า งานล้นมือทำไม่หวาดไม่ไหว ทั้งานดูแลบ้านดูแลหลานแล้วก็ยังงานที่ไร่อีก พี่ก็เลยหาแม่บ้านมาช่วยดูแลบ้านให้ จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระเธอไงล่ะ” พรรณอรอธิบายเหตุผล
“พี่อรต่างหากที่ควรจะเป็นคนช่วยแบ่งเบาภาระของพร พี่อรเป็นเจ้าของบ้านเป็นเจ้าของธุรกิจทุกอย่างของสรณาลัย เป็นแม่ของนมลกับพันสร”
“โอ๊ย ไม่ได้หรอก พี่ก็มีงานของพี่ที่จะต้องทำ ไม่มีเวลาช่วยงานเธอหรอก”
“พี่อรเขียนหนังสือปีละเล่ม จะใช้เวลาซักแค่ไหนเชียว แล้วพี่อรคิดว่าจ้างแม่บ้านมา ปัญหาทุกอย่างก็จะจบเหรอคะ ปัญหายิ่งมีมากขึ้นน่ะซิไม่ว่า แม่คนนี้เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ถ้าเป็นสายให้โจรจะว่ายังไง วันดีคืนดีมันพาโจรเข้าบ้าน ได้ถูกเชือดคอตายหมดบ้านแน่”
“อุ๊ยๆ พล็อตอันนี้น่าสนใจ นางเอกเป็นนางโจรแล้วปลอมตัวไปทำงานเป็นแม่บ้านในบ้านพระเอก”
“พี่อร !” พรพรรณขึ้นเสียง
“แล้วยังไงล่ะ ตกลงเธอจะไม่รับน้องคนนี้เข้าทำงานเหรอ?”
“ไม่รับค่ะ” พรพรรณหันไปพูดกับณิชมน “กลับไปได้แล้ว เธอ ยังไงฉันก็ไม่รับเธอเข้าทำงานแน่ ยืนรออะไรอยู่ ไปซิ ไป”
ณิชมนได้แต่ก้มหน้ารับคำโดยดุษฎี

+ + + + + + + + + + + + + + + +

ขณะเดียวกันนั้น ที่ ไร่บุริศราวัณ รถของบุรธัชแล่นมาจอดหน้าแปลงดอกไม้เมืองหนาว บุรธัชลงจากรถ ณิชาภัทรอดีตสาวคนรักของบุรธัชถือตะกร้าดอกไม้ใบใหญ่เดินเข้ามาหา
“มาทำอะไรน่ะ ณิชา” บุรธัชทักทายคนรักเก่า
“มาช่วยเลือกดอกไม้ให้ภาสน่ะค่ะ ไปโดนอะไรมาคะ ธัช ทำไมหน้าเป็นผื่นแดงอย่างนั้น ตาก็แดงด้วย” ณิชาภัทรถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ผมไม่ได้เป็นอะไร”
ระหว่างนั้นรวิภาสก็ถือตะกร้าดอกไม้เต็มสองมือเดินเข้ามา
“จะเอาดอกไม้ไปจีบสาวที่ไหนอีกล่ะ” บุรธัชเอ่ยถามเสียงเข้ม
“ไม่ใช่นะคะ ธัช ตอนนี้ภาสกำลังหาเงิน..”
“ ตอนนี้จีบอยู่หลายคนครับ” รวิภาสขัดขึ้นประชดพี่ชาย
“จีบติดอีกแค่สองคน ผมก็มีแฟนครบทุกคณะในมหาวิทยาลัยแล้ว ไปก่อนนะครับ พี่ณิชา แล้วพี่ณิชาช่วยพิจารณารับพี่ธัชกลับไปหน่อย ตอนนี้ยิ่งเป็นโสดก็ยิ่งอารมณ์บูดง่ายขึ้นทุกวัน”
รวิภาสรับตะกร้าดอกไม้จากณิชาภัทรแล้วผลุนผลันออกไป
“แล้วเย็นนี้อย่าลืมมาช่วยงานที่แปลงทดลองด้วยล่ะ “
รวิภาสไม่ตอบโบกมือลาโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา
“ตอนนี้ภาสเรียนหนักอยู่แล้ว คุณไม่น่าบังคับให้มาช่วยงานที่ไร่เลยนะคะ”
“งานหนักไม่เคยทำให้ใครตายหรอก คนอย่างนายภาสให้อยู่ว่างไม่ได้ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่เป็นได้ไปเถลไถลทำเรื่องไร้สาระทุกที”
“คุณแน่ใจเหรอคะว่า ภาสไปทำเรื่องไร้สาระจริงๆ”
“ไม่ต้องถามก็รู้”
“คุณเป็นซะอย่างนี้ เชื่อแต่ตัวเอง”
“แล้วผมเคยมองอะไรผิดมั้ยล่ะ ไม่เชื่อตัวเอง แล้วผมจะต้องไปเชื่อใคร”
บุรธัชเดินจากไป ทิ้งณิชาภัทรที่มองตามบุรธัชด้วยความรู้สึกเซ็ง

+ + + + + + + + + + + + + + + +

ขณะที่ณิชมนกำลังแบกกระเป๋าเป้เดินออกจากบ้านสรณาลัย อย่างหมดอาลัยนั้น พรรณอรก็เดินตามไปลากตัวณิชมนกลับมา
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป ฉันตกลงรับเธอเข้าทำงาน เธอต้องมาเป็นแม่บ้านให้ฉัน”
แต่ทันใดนั้นเองพรพรรณก็เข้ามาดึงณิชมนจะลากออกไปนอกบ้านเสียให้ได้
“แต่ฉันไม่รับ กลับไปได้แล้ว นี่ค่าเสียเวลาของเธอ”
พรพรรณยัดแบงก์ห้าร้อยใส่มือณิชมน ณิชมนตาโตด้วยความดีใจ แต่พรรณอรกลับดึงแบงก์ห้าร้อยคืนไปอีก ณิชมนมองตามตาละห้อย
“ไม่ได้ เธอไปไม่ได้ เธอต้องทำงานให้ฉัน”
พรรณอรดึงณิชมนเข้าบ้าน
“ไป ไป เธอเริ่มงานวันนี้เลย” หลังจากนั้นสองพี่น้องก็เปิดฉากเถียงกันหน้าดำหน้าแดง
“พรบอกว่าไม่รับแม่นี่แล้วไงล่ะ พี่อรพูดไม่รู้เรื่องหรือยังไง”
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านนี้นะ”
“แต่พรเป็นคนรับผิดชอบดูแลบ้านนี้”
“ฉันเป็นคนจ่ายเงินเดือน”
“พรเป็นคนหาเงินมาให้จ่าย”
“ฉันเป็นพี่เธอนะ เป็นน้องก็ต้องเชื่อฟังพี่ซิ”
ฟังอยู่ครู่หนึ่งณิชมนจึงพูดแทรกขึ้นมาแบบไม่เต็มเสียงนัก
“ไม่ต้องเถียงกันหรอกค่ะ ที่จริงหนู..หนูไม่ใช่..”
แต่พรรณอรกับพรพรรณยังเถียงกันหน้าดำหน้าแดงโดยไม่ได้สนใจฟังณิชมน
“งั้นพี่อรบอกเหตุผลมาว่า ทำไมพี่อรถึงได้กล้ารับคนไม่มีหัวนอนปลายเท้าเข้ามาทำงานในบ้านของเรา”
“อาจารย์ดาวเรืองเป็นคนส่งน้องคนนี้มาให้ เหตุผลพอหรือยังล่ะ คุณพรพรรณเจ้าขา”
ได้ฟังคำนั้นพรพรรณนิ่งอึ้ง หันมามองณิชมนอย่างพิจารณา

พรรณอรกับพรพรรณเดินกลับมานั่งที่โซฟา ณิชมนเดินตามมา ทำท่าจะนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเคยชิน แต่พรพรรณถลึงตามอง ณิชมนรู้ตัวจึงค่อยๆ นั่งลงกับพื้น พรรณอรส่งแฟ้มให้พรพรรณดู
“เอ้า ดูซะ อาจารย์ดาวเรืองส่งรูปพร้อมประวัติของน้องคนนี้มาให้เมื่อวาน”
ณิชมนนิ่งอึ้งแล้วรีบก้มหลบหน้าหลบตา
“เธอชื่ออะไร?”
ณิชมนนึกอยู่ครู่หนึ่ง “ประ..ประนอมค่ะ”
“ชื่อประนอม นามสกุลอะไร เรียนจบชั้นอะไร เป็นคนที่ไหน เคยทำงานอะไรมาบ้าง?”
“จะซักทำไม ในประวัตินี่ก็บอกไว้หมดแล้ว นางสาวประนอม บุญเสริม”
พรรณอรดึงแฟ้มประวัติไปอ่านให้ฟัง
“ประนอม บุญเสริม ชื่อไม่เข้ากับหน้าเลย”
“อายุยี่สิบแปด...ดูยังไงก็ไม่น่าถึงยี่สิบ”
“จบม.6 บ้านเดิมอยู่ที่ขอนแก่น”
“ดูยังไงก็ไม่ใช่ มันไม่ใช่ พรบอกไม่ถูกว่า ทำไมมันไม่ใช่ นี่เธอเขียนประวัติปลอมหรือเปล่า เธอเป็นใครมาจากไหนกันแน่ คุณชายบุรธัชส่งเธอมาใช่มั้ย?”
“เออ..คือว่า..หนู..หนู..” ณิชมนอึกอัก
พรรณอรขัดขึ้น “นี่เธอคิดว่า ประนอมเป็นสายของคุณชายเหรอ เธอนี่จินตนาการบรรเจิดยิ่งกว่าพี่อีกนะ คุณชายไม่ทำอะไรบ้าๆ อย่างนั้นหรอก”
“คุณชายจ้องล้างแค้นเราอยู่นะคะ พี่อร แม่คนนี้ก็ดูดีเกินคนใช้ ก็ต้องสงสัยไว้ก่อนล่ะ”
“อาจารย์ดาวเรืองรับรองว่า ประนอมทำงานเก่ง ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ ถ้าเธอไม่ไว้ใจประนอม เธอก็น่าจะเชื่อในการตัดสินใจของอาจารย์ดาวเรืองนะ ถ้าคนของท่านไม่ดีจริง ท่านไม่ส่งมาทำงานให้เราหรอก”
พรพรรณมองณิชมนแล้วมองอีก จากนั้นจึงดึงแฟ้มประวัติจากพรรณอรมาอ่านอีกครั้ง
“ไหนล่ะ รูปของแม่นี่?”
พรพรรณพลิกหารูปถ่ายของประนอม
ณิชมนก้มหน้างุดๆ ทำเป็นค้นหาของในกระเป๋าแล้วจึงตัดสินใจเผชิญหน้า รวบรวมความกล้าพูดเสียงดัง
“หนูขอโทษค่า !!”
แต่พรพรรณพูดเสียงดังกลบเสียงณิชมน “เจอแล้ว !”
พร้อมกันนั้นพรพรรณก็ชูรูปในมือขึ้นเทียบกับหน้าของณิชมน ณิชมนรู้สึกว่าอยากจะตายเสียเดี๋ยวนั้น
พรรณอรกับพรพรรณชะโงกเข้าไปดูรูปใกล้ๆ อย่างสงสัย
รูปประนอมตัวจริงขนาดโปสการ์ดใบนั้น ถูกเขียนหนวดใส่แว่นจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร
“พันสร” พรรณอรกับพรพรรณตะโกนขึ้นมาแทบจะประสานเสียงกัน

ระหว่างนั้น ม.ล. พันธ์นฤสรณ์ หรือ พันสร เด็กชายวัยหกขวบไถรถ Scooter สำหรับเด็กเข้ามา
“เรียกผมทำไม”
“นี่ฝีมือเราใช่มั้ย”
พรพรรณชูรูปเยินๆ ของประนอมตัวจริงให้พันสรดู ณิชมนชะโงกดูรูปแล้วนั่งแปะลงที่พื้นอย่างโล่งใจ
พิมพ์นฤมลก็เดินเข้ามาสมทบพอดี
“ไม่เห็นต้องถามเลยค่ะ น้าพร นี่แม่บ้านคนใหม่ใช่มั้ยคะ สวัสดีค่ะ นมลค่ะ ส่วนเจ้าตัวแสบนี่ นายพันสร น้องชายนมลเอง แล้วพี่ชื่ออะไรคะ?”
“ประนอมค่ะ ประนอม บุญเสริม”
“นมลเรียกพี่นอมแล้วกันนะคะ ไปค่ะ เอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องดีกว่า”
พิมพ์นฤมลดึงณิชมนไป ณิชมนเดินตามนมลไปอย่างไม่มีทางเลือก
“ไปด้วยดิ” พันธ์นฤสรณ์ตะโกนไล่หลัง
“เดี๋ยว พันสร อย่าเพิ่งไป เรายังมีคดีติดตัวอีกหลายคดี มาชำระความกันก่อน”

พรพรรณบอกด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันขวับมามองหน้าพรรณอร
“นี่ทุกคนรู้ว่าพี่อรรับแม่บ้านคนใหม่ มีพรคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ยคะ?”
“พี่ลืมบอกไป ขอโทษทีนะ”
“พี่อรลืมเรื่องสำคัญอย่างนี้ได้ยังไง”
“อุ๊ย! พี่คิดตอนไคลแม็กซ์ของเรื่องได้แล้ว ไปก่อนนะ”
พรรณอรพรวดพราดลุกออกไป ทิ้งพรพรรณที่กำลังละเหี่ยใจให้นั่งอยู่ลำพัง

+ + + + + + + + + + + + + + + +

บุรธัชกำลังเดินตรวจงานในไร่ บุริศราวัณอยู่ โดยมีณิชาภัทรเดินตามมา
“เรื่องภาสน่ะ ณิชาว่า คุณควบคุมน้องมากเกินไป คุณจำตัวเองตอนอายุเท่าภาสไม่ได้หรือยังไง คุณต้องการอิสระ มีฝันของตัวเอง ต้องการเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง”
“ไม่มีใครได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ”
“คุณอยากทำลายฝันของภาสเหมือนอย่างที่ท่านลุงทำลายฝันของคุณเหรอคะ คุณไม่มีทางเลือก แต่ภาสยังมีโอกาส”
“หมดธุระที่นี่แล้วใช่มั้ย”
“นี่คุณจะไม่ฟังณิชาจริงๆ ใช่มั้ย”
“ขอบคุณที่หวังดี แต่คุณเอาเวลาที่มายุ่งเรื่องนายภาสไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ย ผมเลี้ยงนายภาสมา ผมรู้ดีว่า ควรจะจัดการกับมันยังไง”
“นี่คุณหาว่าณิชายุ่งเหรอคะ”
“คุณคิดว่า คุณมีสิทธิ์พูดเรื่องนายภาสกับผมมั้ยล่ะ”
“ณิชาจำได้แล้วว่า ทำไมณิชาถึงได้เลิกกับคุณ ไม่มีใครเผด็จการ บ้าอำนาจ เอาแต่ใจเท่าคุณอีกแล้ว คุณชายบุรธัช !”
ณิชาภัทรเดินจากไป บุรธัชยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านอะไร

ภายในห้องที่กำลังจะเป็นห้องใหม่ของณิชมนที่บ้านสรณาลัย พิมพ์นฤมลเปิดประตูห้องเข้ามา ณิชมนแบกกระเป๋าเป้ตามเข้ามา พันสรเดินตามเข้ามาติดๆ
“พออยู่ได้มั้ยคะ พี่นอม นมลเป็นคนขอคุณแม่เองให้พี่นอมมา อยู่ห้องข้างๆ นมล ตอนกลางคืนเราจะได้เมาท์กันตามประสาสาวๆ ไงคะ”
“พี่..เออ..นอมเป็นแค่คนใช้นะคะ”
“พี่นอมเป็นแม่บ้านค่ะ ไม่ใช่คนใช้ ส่วนคนทำงานในบ้านคนอื่นๆ เราก็ถือว่าเป็นลูกจ้าง ไม่ใช่คนใช้ คุณแม่บอกว่า บ้านเราจะต้องไม่แบ่งชั้นวรรณะ แค่มีเงินไม่ได้แปลว่า เราดีกว่าคนอื่น”
“น้าพรบอกว่า คุณแม่เป็นพวกเพ้อเจ้อ” พันสรสอดขึ้น
“คุณแม่เป็นพวกเสรีนิยมต่างหาก นายไม่เข้าใจหรอก”
“อย่างกับพี่นมลเข้าใจงั้นแหละ”
พันสรดึงหนังสือ Lonely planet ที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเป้ของณิชมนออกมาพลิกดู
“อ่านภาษาอังกฤษเป็นด้วยเหรอ?”
“เออ..นอมเก็บได้ในรถทัวร์น่ะ สงสัยมีฝรั่งลืมทิ้งไว้ นอมเห็นว่า รูปสวยดีก็เลยเก็บมาดูเล่น”
“ไม่เห็นจะมีรูปสวยๆ เลย”
“แล้วนี่นอมต้องทำอะไรบ้างคะ”
“เดี๋ยวน้าพรคงจะมาสอนงานพี่นอมเองแหละค่ะ นมลต้องไปเรียนแล้ว แล้วเดี๋ยวเย็นนี้เจอกันนะคะ”
พิมพ์นฤมลเดินออกไปแล้ว แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมา
“วันนี้เป็นวันจ่ายตลาดนี่ นมลฝากซื้อคัพเค้กร้านพี่ก้อยหน่อยนะคะ พี่นอมให้พี่ดำพาไป พี่เค้ารู้ว่า ร้านอยู่ตรงไหน นี่ค่ะ รายการซื้อของกับเงิน นมลเตรียมไว้ให้แล้ว”
พิมพ์นฤมลหยิบซองเงินบนโต๊ะในห้อง ยื่นส่งให้ณิชมนแล้วเดินออกไป ระหว่างนั้นพันธ์นฤสรณ์ยังกระโดดขย่มเตียงนอนเล่นอยู่ในห้อง ไม่นานหลังจากนั้นพิมพ์นฤมลเดินกลับเข้ามาลากน้องชายออกไป
คล้อยหลังสองพี่น้องณิชมนก็นั่งนับเงินในซองได้ห้าพันบาท เธอนิ่งคิด นึกออกว่าได้โอกาสหนีแล้ว

+ + + + + + + + + + + + + + + +

ณิชมนแบกกระเป๋าเป้เดินย่องลงมาจากข้างบนแล้วเหลียวซ้ายแลขวา เธอมองซองเงินในมือแล้วกลั้นใจดึงแบงก์พันออกมาหนึ่งใบ ณิชมนวางซองเงินที่เหลือไว้บนโต๊ะ แล้วก็ฉีกกระดาษจากสมุดบันทึกมาเขียนโน้ต
“ขอยืมเงินไปก่อนหนึ่งพันบาทนะคะ ยังไงก็ใช้คืนแน่ๆ ค่ะ ลงชื่อ ณิชมน ชุติมันต์ ที่ไม่ใช่ประนอม บุญเสริม เรื่องมันยาวแล้วจะกลับมาอธิบายทีหลังนะคะ”
ณิชมนวางกระดาษโน้ตไว้บนโต๊ะ แล้วเอาหนังสือวางทับไว้ เธอหันกลับมาพบว่าพันธ์นฤสรณ์ยืนมองอยู่
“คุณพันสร !”
“ทำอะไรน่ะ”
“เออ..นอมมาหาปากกาค่ะ หาเจอแล้ว”
ณิชมนรีบคว้าปากกาจากโต๊ะไป
“นอมไปจ่ายตลาดก่อนนะคะ”
“ไปจ่ายตลาดแล้วทำไมต้องเอากระเป๋าไปด้วย บ้านนี้ไม่มีขโมยหรอก” พันธ์นฤสรณ์ถามอย่างแปลกใจ
“เออ..เออ..กระเป๋าของนอมเปียกน้ำค่ะ นอมจะเอาไปผึ่งแดดข้างนอกน่ะค่ะ เดี๋ยวนอมซื้อขนมมาฝากนะคะ ยังไงนอมก็จะต้องกลับมาแน่ๆ นอมสัญญาค่ะ”
ณิชมนแบกกระเป๋าเป้รีบก้าวพรวดพราดออกไป ทิ้งพันธ์นฤสรณ์ที่มองตามอย่างสงสัยเอาไว้เบื้องหลัง

+ + + + + + + + + + + + + + + +

รถสองแถวแล่นมาจอดที่หน้าบ้านชุติมันต์ ซึ่งเป็นบ้านโบราณเก่าแก่ ณิชมนกระโดดลงจากรถ แทบจะวิ่งถลาไปที่รั้วบ้าน ณิชมนมองป้ายชื่อบ้านมั่นใจว่ามาไม่ผิดหลังแน่นอน
“บ้านชุติมันต์”
ณิชมนทำใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจกดกริ่ง เสียงกริ่งขาดๆ หายๆ บ่งบอกว่ามันหมดอายุขัยแล้ว ลุงแสวงคนเก่าแก่ของบ้านเดินออกมาเปิดประตูรั้ว
“มาหาใครครับ?”
“มาหาคุณโชติ คุณโชติ ชุติมันต์ค่ะ” ณิชมนพูดพร้อมน้ำตารื้น
“มีธุระอะไรหรือครับ คุณ”
“ธุระส่วนตัวค่ะ ขอหนูเข้าไปในบ้านหน่อยนะคะ วันนี้หนูต้องพบคุณโชติให้ได้ หนูมีเรื่องสำคัญจะเรียนให้ท่านทราบ”
“คุณพบท่านไม่ได้หรอกครับ”
“แต่หนูต้องพบท่านให้ได้ค่ะ เป็นตายยังไง หนูก็จะต้องพบท่านให้ได้ ท่านเป็นความหวังสุดท้ายของหนูแล้ว ลุงให้หนูเข้าไปเถอะนะคะ”
“คุณพบท่านไม่ได้หรอกครับ ท่านเสียชีวิตไปแล้ว คุณจะพบท่านได้ยังไง”
ณิชมนนิ่งอึ้งรู้สึกเหมือนจะล้มทั้งยืน

+ + + + + + + + + + + + + + + +

ณิชมนเดินเข้ามาในบ้านชุติมันต์ที่ทรุดโทรมเก่าแก่ แต่ยังมีเครื่องเรือน และของตกแต่งอยู่อย่างครบถ้วน เธอมองสำรวจไปรอบๆ บ้าน มองรูปถ่ายของปู่กับย่า รูปถ่ายครอบครัวของพ่อ ณิชมนหยิบรูปพ่อที่ถ่ายคู่กับปู่ขึ้นมาดู ลุงแสวงเดินเข้ามา
“คุณโชติเสียไปสามปีแล้วล่ะครับ นั่นรูปคุณโชติกับลูกชายครับ คุณชยทัตลูกชายคนเดียวของท่าน ตั้งแต่คุณชยทัตพาลูกสาวคุณหญิงนวลแขหนีไป คุณโชติก็เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอด ไม่มีกระจิตกระใจทำอะไร ธุรกิจก็เลยพังพินาศ ขายไร่ขายโรงงานไปหมด เหลือก็แต่บ้านหลังนี้ล่ะครับ ท่านบอกว่า จะเก็บไว้ให้คุณชยทัต ท่านรอลูกชายมายี่สิบกว่าปี”
ณิชมนได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง
“ท่านจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้ลูกเนรคุณอย่างนั้นทำไมก็ไม่รู้ ว่าแต่คุณบอกว่า คุณเป็นใครนะครับ”
“หนูเป็น..หนูเป็น..เป็นคนของอาจารย์ดาวเรืองค่ะ อาจารย์ให้หนูมาดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า”
ณิชมนกลั้นใจ รอดูปฏิกิริยาว่าตนปั้นเรื่องได้ถูกทางหรือเปล่า
“อาจารย์ดาวเรืองท่านมีน้ำใจจริงๆ ท่านคงทราบข่าวแล้ว ไม่มีอะไรให้ช่วยหรอกครับ ผมเก็บของเกือบหมดบ้านแล้ว เหลือเท่าที่เห็นนี่แหละครับ ที่ผมยังทำใจเก็บไม่ลง”
“หนูขออนุญาตอยู่ในนี้ซักครู่ได้มั้ยคะ
“เชิญตามสบายเลยครับ”

ลุงแสวงเดินออกไป ณิชมนเดินไปหยุดอยู่หน้ารูปปู่ เธอพนมมือไหว้
“ณิชขอโทษนะคะ คุณปู่ ณิชมาช้าไป ณิชขอโทษจริงๆ”
ณิชมนร้องไห้พรั่งพรูหลังจากที่อดกลั้นมาตลอด
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
“ เธอเป็นใคร!”
ณิชมนสะดุ้งหันไปมองตามเสียงนั้น เห็นบุรธัชยืนมองมาที่เธอ
“คุณ ! “
“นี่เธอ ! เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

บุรธัชกับณิชมนยืนประจันหน้า ทั้งสองคนต่างตกใจ แปลกใจและคาดไม่ถึง พอๆ กัน

จบตอน 1

โปรดติดตามอ่านต่อวันพรุ่งนี้ (อังคาร 18 ตุลาคม 2554 )









กำลังโหลดความคิดเห็น