(ติดตามอ่านได้ทาง www.manager.co.th ทุกวัน เวลา 09.30 น.)
รอยไหม ตอนที่ 2
เรรินเดินเล่น เห็นร้านอาหารกาสะลองน่านั่ง เธอจึงเดินเข้าไป พบว่าที่ร้านใช้ดอกปีบใส่ในแก้วใบเล็กวางตกแต่งบนโต๊ะ เรรินสั่งกาแฟร้อนกับพนักงานแล้วถาม...
“น้องคะ...ทำไมที่ร้านใช้ดอกปีบล่ะคะ”
“อ๋อ...ดอกกาสะลอง เป็นชื่อร้านน่ะเจ้า เจ้าของร้านเปิ้นฮักดอกกาสะลองมากเจ้า”
“กาสะลอง...พี่เพิ่งรู้ว่าภาษาเหนือเรียกดอกปีบว่า กาสะลอง...ขอบคุณนะคะ”
“เจ้า...”
พนักงานออกไปส่งใบออเดอร์ที่มุมกาแฟ เรรินหยิบดอกปีบขึ้นมาดอกนึงจากแก้วน้ำบนโต๊ะมาดมสายตาเรริน เห็นภาพถ่ายขาว-ดำ ที่แขวนตกแต่งร้านหลายภาพ เรรินลุกขึ้นเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ภาพถ่ายขาว-ดำนั้นเป็นภาพคุ้มหลวงในอดีต 80 ปี
“น้องคะ...นี่รูปถ่ายบ้านใครคะ”
“คุ้มหลวงเจ้า”
“คุ้มหลวง...วังน่ะเหรอคะ...สวยจัง ป่านนี้คงผุพังไปหมดแล้วมังคะ”
“ยังอยู่เจ้า... ตอนนี้เปิ้นทำเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ถ้าคุณชอบของเก่าๆ ก็แวะไปชม ได้เจ้า”
เรรินสนใจเต็มที่ ขยับเข้าไปดูรูปใกล้เข้าไปอีกเหมือนถูกแรงดึงดูด ภาพถ่ายถัดไปเป็นภาพอีกมุมของคุ้มหลวง และมีชายสองคนคือศิริวัฒนากับ ศิริวงศ์ ถ่ายภาพด้วยกันภาพเห็นหน้าไม่ชัด เรรินมองภาพด้วยความสนใจยิ่ง ทันใดนั้น มีเงาสะท้อนของศิริวัฒนาปรากฏอยู่ในเฟรมกระจก เรรินสะดุ้งเฮือก หันหลังกลับไปมอง แต่ในร้าน...ไม่มีใคร เรรินงุนงง
“คาปูชิโน่ร้อนของคุณได้แล้วเจ้า”
“ขอบใจจ๊ะ”
เรรินเดินกลับไปที่โต๊ะ เด็กพนักงานวางถ้วยกาแฟเสิร์ฟให้ เรรินงงกับความตาฝาดของตัวเอง
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์ลงจากรถที่จอดข้างร้าน เพราะจะเข้าหลังร้านด้านครัว พนักงานทำงานเตรียมของสดอยู่มุมนึง
“ของมาส่งเรียบร้อยไหมคำปัน”
“เรียบร้อยครับคุณสุริยะ”
“ลูกค้าเยอะไหม”
“เมื่อกลางวันก็แน่นอยู่ครับ แต่ตอนนี้รู้สึกมีลูกค้าดื่มกาแฟอยู่คนเดียวครับ”
สุริยวงศ์พยักหน้ารับรู้แล้วเดินเข้าในร้าน
ทางด้านเรริน เดินไปจ่ายเงินค่ากาแฟที่เคาน์เตอร์ แล้วเห็นบนเคาน์เตอร์วางโบรชัวร์ “ภูหมอก-ทะเลดาว”เรรินหยิบโบรชัวร์ขึ้นมาดูด้วยความสนใจ
“ยินดีนักเจ้า”พนักงานส่งเงินทอนให้
“รีสอร์ทนี้อยู่ไกลมากไหมคะน้อง”
“บ่ไกลดอกเจ้า”
เรรินพลิกดูข้อมูลในโบรชัวร์อย่างสนใจ แล้วเดินออกไป พร้อมๆกับที่สุริยวงศ์เดินอ่านลิสต์รายการของที่จะต้องสั่งซื้อเข้าร้าน คลาดกับสุริยวงศ์นิดเดียว
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเดินเข้าไปในรีสอร์ท ภูหมอก-ทะเลดาว วันดาราที่รอต้อนรับอยู่ยกมือไหว้อย่างยิ้มแย้ม
“สวัสดีเจ้า ภูหมอก-ทะเลดาว ยินดีต้อนฮับเจ้า”
พนักงานหิ้วกระเป๋าเป้นำเรรินเข้ามา เรรินรับไหว้
“สวัสดีค่ะ”
“ใช่คุณที่โทรศัพท์เข้ามาเมื่อสักครู่รึเปล่าเจ้า”
“ใช่ค่ะ ดิฉันเรรินค่ะ”
“คุณจะชมห้องก่อนก็ได้นะเจ้า ชอบใจแล้วค่อยเช็คอิน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เข้ามาก็ชอบแล้ว ที่นี่เงียบสงบดีจัง เช็คอินเลยก็ได้ค่ะ”
วันดารากับเรรินยิ้มให้กันอย่างรู้สึกถูกชะตา
+ + + + + + + + + + + +
เย็นย่ำใกล้ค่ำแล้วในบ้านเริ่มมืดสลัว ...บัวเงินนั่งอยู่ที่มุมประจำ มองภาพถ่ายตนเองในวัยสาว แต่งตัวล้านนา
“เกือบเก้าสิบปี...มันยาวนานเกินไปแล้ว...เจ้าพี่...เจ้าพี่ลงโทษน้องด้วยความทรมานเยี่ยงนี้ มันนานเกินไปแล้ว เมื่อใดจึงจะสาสมใจเจ้าพี่เสียที...”
บัวเงินนิ่งงันด้วยความเจ็บปวด ขณะเดียวกันนั้นไฟเปิดสว่างขึ้น
“เมี๊ยวๆๆ” บ่าวเรียกแมว
บัวเงินแสบตา
“ผู้ใดให้คิงเปิดไฟ”
“สุมาเต๊อะเจ้า ข้าเจ้าบ่ฮู้ว่าแม่คุณอยู่ตรงนี้”
“จ้าดง่าว...ปิดไฟ ฮาบอกให้ปิดไฟ”
“ข้าเจ้าตามหาอีปลอดมันน่ะเจ้า มันหายไปแต่เช้าแล้ว คลุกข้าวกับปลาทูหื้อ มันก็บ่มากิน”
“เดี๋ยวมันหิวมันก็กลับมาเอง แค่แมวตัวเดียว จะอะไรกันนักหนา...ปิดไฟ”
“เจ้า... แม่คุณเจ้า”
บ่าวลนลานไปปิดไฟแล้วรีบออกไป บัวเงินนั่งนิ่งเหม่อในมุมมืด
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำนั้น สุริยวงศ์ช่วยงานในครัว วงพระจันทร์เข้ามาข้างหลังสุริยวงศ์ และปิดตา สุริยวงศ์ชะงัก
“ทายซิ ใครเอ่ย”
“วงพระจันทร์ ผมกำลังทำงานอยู่”
วงพระจันทร์ปล่อยมือออก
“ว้า...อุตส่าห์เปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมแล้วนะเนี่ย สุริยะยังรู้อีกว่าเป็นวงพระจันทร์”
“ก็มีคุณคนเดียวที่เล่นตลกแบบไม่ตลกอย่างนี้”
วงพระจันทร์ขำ
“ไปคุยกันข้างนอกเถอะค่ะ ในนี้อึดอัดอุดอู้ยังกะอะไรดี”
“ลูกค้าเยอะ ผมต้องช่วยงานในนี้ คุณมีธุระอะไรก็ว่ามาเถอะ”
“แหม...ไม่โรแมนติกซะเลย วงพระจันทร์จะมาชวนสุริยะไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน เลดี้กาก้าเปิดคอนเสิร์ตรอบเดียวที่โตเกียวนะคะ”
“ผมไปไม่ได้หรอก”
“อะไรกันคะ เลดี้กาก้าเชียวนะ คุณไม่อยากดูเหรอ”
“ไปดูก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตผมดีขึ้น อีกอย่างผมไม่ว่างด้วยวงพระจันทร์”
“คุณนี่ชีวิตจะทำแต่งานๆๆ รึไงคะ ทำไมไม่รู้จักให้กำไรกับตัวเองบ้างเลย ไม่รู้ละ วงพระจันทร์จองตั๋วเอาไว้แล้วด้วย”
“คุณหาคนอื่นไปเป็นเพื่อนเถอะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงก็ต้องเป็นสุริยะ เพราะตั๋วเครื่องบินวงพระจันทร์ก็จองเป็นชื่อคุณแล้ว เรื่องขอวีซ่าน่ะเรื่องเล็ก”
วงพระจันทร์หยิบตั๋วเครื่องบินขึ้นมาอวด สุริยวงศ์มองอย่างหนักใจ
+ + + + + + + + + + + +
ทีวีช่องสามกำลังนำเสนอละครเย็น พรรณวรินทร์ยกอาหารเย็นของตัวเองมาวางบนโต๊ะ เตรียมกินข้าว ขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์ดังขึ้น พรรณวรินทร์เดินมารับโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ”
“แม่คะ...รินเองค่ะ”
“ริน...อยู่ไหนน่ะลูก แม่คอยโทรศัพท์ลูกทั้งวัน โทรเข้าไปก็ปิดเครื่อง จนแม่เป็นห่วง”
“รินขอโทษค่ะแม่ รินสบายดี ตอนนี้รินอยู่เชียงใหม่”
“ธนินทร์เขาโทรเข้ามาทั้งวัน ถามว่าลูกกลับมารึยัง”
“แม่ไม่ต้องบอกอะไรเขาเลยนะคะ แม้กระทั่งตอนนี้รินอยู่ที่ไหนก็ไม่ต้องบอกเขานะคะ”
“แม่ว่ามีอะไรก็คุยกันตรงๆ ดีกว่านะลูก”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นละค่ะแม่ แต่คงไม่ใช่เวลานี้ แล้วรินจะจัดการเรื่องนี้เองค่ะ”
พรรณวรินทร์หันไปทางหน้าบ้านเพราะได้ยินเสียงกริ่ง
“ใครมากดกริ่งก็ไม่รู้ สงสัยจะเป็นธนินทร์”
“งั้นเท่านี้ก่อนนะคะแม่ แล้วรินจะโทรกลับมาใหม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงรินนะคะ รินสบายดี...รักแม่ค่ะ”
เรรินกดปิดโทรศัพท์
พรรณวรินทร์เดินไปเปิดประตูให้ธนินทร์เข้ามา ธนินทร์หิ้วถุงอาหารมาหลายใบ
“สวัสดีครับคุณแม่”
“แม่นึกอยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นธนินทร์”
“ผมซื้อของกินมาตั้งหลายอย่างแน่ะครับ”
“กินกับแม่สิ แม่กำลังจะกินข้าวเย็นพอดี กินคนเดียวก็เหงา”
“รินเขาโทรมาบ้างรึเปล่าครับ”
พรรณวรินทร์ ลำบากใจ
“ก็...โทรมาลูก”
“แล้วเขาบอกรึเปล่าครับว่าอยู่ที่ไหน”
พรรณวรินทร์ไม่อยากโกหก แต่ก็ต้องจำใจ
“แม่ถามเขาแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าอีกไม่กี่วันก็จะกลับมาจ้ะ”
“ผมคงได้แต่หวังว่าริน เขาคงจะโกรธผมไม่นานนะครับคุณแม่” ธนินทร์ถอนใจ
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเดินเล่นออกมาจนเห็นแกลลอรี่เล็กๆ ในรีสอร์ท และสิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษ คือผ้าทอหลายชิ้นจากแม่แจ่ม เรรินเดินเข้าไปในแกลลอรี่ ชมผ้าต่างๆ ที่แขวนโชว์ วันดาราหอบผ้าเซ็ทที่สุริยวงศ์เพิ่งขนมาให้จากแม่แจ่มเข้ามาพอดี
“เชิญตามสบายนะคะ”
“ผ้าสวยๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ”
“คุณเรรินชอบผ้าทอมือเหมือนกันเหรอคะ”
“ดิฉันเป็นอาจารย์สอนทอผ้าในมหาวิทยาลัยค่ะ”
วันดาราตาโต
“อ้าว...ตายจริง...เกือบจะเอามะพร้าวมาขายสวนซะแล้ว” วันดาราหัวเราะ
“ดิฉันไม่ได้เก่งกาจอะไรมากมายหรอกค่ะ ยังต้องค้นคว้าหาข้อมูลความรู้อีกเยอะ”เรรินมองผ้าชิ้นในมือวันดาราที่เพิ่งเอาเข้ามา “ผ้าซิ่นผืนนั้นสวยจังเลยค่ะ”
“ผ้าซิ่นแม่แจ่มค่ะ ชาวบ้านเพิ่งทอเสร็จ เพิ่งส่งมาถึงวันนี้เอง ชมสิคะ”
วันดาราส่งผ้าซิ่นให้เรริน เรรินรับผ้ามาคลี่ชมมองอย่างคุ้นตา
“ดิฉันว่าดิฉันคุ้นกับผ้าผืนนี้จังเลยค่ะ”
“คุณเรรินชอบผ้าไหมเก่าหรือคะ”
“ชอบค่ะ”
“ที่นี่โชว์ผ้าเก่าไม่มาก แต่ถ้าคุณเรรินสนใจ ดิฉันแนะนำให้ไปชมที่เก็ดถะหวาค่ะ”
“อะไรนะคะ เก็ดถะหวา”
“เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวเล็กๆ น่ะค่ะ แต่ที่นั่นมีผ้าเก่าระดับคุ้มเจ้าหลวงล้านนาเยอะทีเดียวค่ะ”
“น่าสนใจจังเลยค่ะ...เก็ดถะหวา”
“เก็ดถะหวา เป็นชื่อดอกไม้น่ะค่ะ คนเหนือเรียก เก็ดถะหวา คนกรุงเทพเรียก ดอกพุด”
“อ๋อ...ชื่อเพราะจังเลยนะคะ เก็ดถะหวา คือ ดอกพุด กาสะลอง คือ ดอกปีบ”
เรรินท่องทวนคำอย่างรู้สึกดี
+ + + + + + + + + + + +
ค่ำคืนนั้น เรรินนอนหลับฝันเห็น ห้องทอผ้าในคุ้มเจ้าหลวง เสียงฟืมกระทบกี่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ภายในห้องทอผ้ามีแสงสลัวๆและลำแสงจ้าสาดมาจากช่องหน้าต่าง ทำให้เห็นแต่โครงร่างของ หญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาทอผ้า มือของหญิงสาวกระแทกฟืมเข้าหาตัว
“เจ้าริน... เจ้าริน...”ศิริวัฒนากระซิบ
เรรินกระสับกระส่ายทั้งที่ยังหลับ เพราะเหมือนได้ยินเสียงเรียก
“ตื่นเถอะ เจ้าริน...เจ้าริน”
เรรินลืมตาตื่นขึ้น...งงกับฝันประหลาด เธอขยับลุกขึ้นนั่ง จะเอื้อมไปหยิบขวดน้ำมารินดื่ม ทันใดนั้นเสียงศิริวัฒนาก็ดังขึ้น
“เจ้าริน...เจ้าริน...”
เรรินชะงักที่ได้ยินเสียงเรียก และแน่ใจว่าไม่ได้หูแว่วไปเอง เรรินลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง คลี่ผ้าม่านหน้าต่าง มองออกไป สายตาเรรินเห็น ชายหนุ่มคนนึงในชุดสีขาวล้านนาโบราณยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญในสวน
“เจ้าริน”
เรรินแปลกใจ...ไม่ใช่ความรู้สึกกลัว แต่เป็นความรู้สึกคุ้นเคยลึกๆ เรรินถอยออกมาหยิบผ้าคลุมไหล่ที่วางพาดอยู่ขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องพักมาในสวน ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม หันหลังให้
“นั่นใครน่ะ”เรรินเอ่ยถาม
ศิริวัฒนาค่อยๆ หันกลับมา เรรินมองอย่างแปลกใจ
“คุณเป็นใครคะ”
ศิริวัฒนาไม่ตอบ แต่ยิ้มให้
“คุณเรียกฉันใช่ไหม คุณเป็นใครกันแน่ คุณเรียกฉันทำไม”
“อ้ายมาต้อนฮับ”
“มาต้อนรับ...ต้อนรับทำไมกันคะ คุณทำงานอยู่ที่นี่เหรอคะ...เราเคยรู้จักกัน เหรอคะ”
“เคยสิ แต่นั่นนานมาแล้ว นานมากเสียจนน้องอาจจะจำบ่ได้”
“ฉันไม่ใช่คนลืมอะไรง่ายนักหรอกค่ะ ถ้าเราเคยรู้จักกันจริง ฉันต้องจำคุณได้”
“อ้ายก็หวังจะอั้น ซักวันหนึ่งน้องอาจจะนึกออก คงจะมีซักวันนึง...”
“ฉันชื่อเรริน และฉันแน่ใจว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแน่นอน ขอโทษนะคะ คุณชื่ออะไร”
ศิริวัฒนายิ้มเศร้า
“น้องจำอ้ายบ่ได้จริงๆ น่ะแหละ เจ้าริน”
“คุณเรียกฉันว่าอะไรนะคะ”เรรินแปลกใจ
ขณะเดียวกันนั้นเสียงวันดาราก็ดังขึ้น
“คุณเรรินคะ”
เรรินหันกลับไปตามเสียง เห็นวันดาราเดินเข้ามาหา
“คุณเรรินออกมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ คะ เห็นคุยอะไรกับใครอยู่คนเดียว”
“ดิฉันไม่ได้คุยคนเดียวนะคะ ดิฉันกำลังคุยกับคุณคนนั้น”
เรรินหันกลับไปทางศิริวัฒนา เรรินอ้าปากค้าง...ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
“ใครคะ”
“ก็เมื่อกี๊...”เรรินพยายามมองหา “เมื่อกี๊เขายังอยู่ตรงนี้เลยค่ะ ผู้ชายอายุสักราวสามสิบกว่าๆ เขาเรียกชื่อดิฉัน พอดิฉันออกมาจากห้อง ก็เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น”
วันดารามองไปอย่างสงสัย
“เอ...ที่นี่เป็นที่ส่วนตัวมาก ไม่น่าจะมีใครเข้ามาได้นะคะ”
“เหรอคะ...งั้น...ดิฉันอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ค่ะ”
เรรินตัดสินใจตอบไปอย่างนั้น เพราะไม่อยากให้วันดาราซักอะไรอีก
+ + + + + + + + + + + +
เช้าวันใหม่...บ่าวเปิดประตูเข้ามาในห้องเห็นบัวเงินนั่งอยู่บนเตียง ผมสีขาวยังไม่ได้ถูกรวบมวย
“แม่คุณเจ้า...คุณวงพระจันทร์มาขอพบแม่คุณเจ้า”
“มาทำไมแต่เช้า”
“เปิ้นว่าเปิ้นมีเรื่องสำคัญจะมากราบเรียนปรึกษาเจ้า”
“อีคนนี้เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งก็สำคัญไปซะทั้งนั้น”
“แล้วแม่คุณจะให้เปิ้นพบรึเปล่าเจ้า”
“รอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ให้กลับไป”
บัวเงินบอกอย่างไม่ใส่ใจ
วงพระจันทร์อยู่ในห้องรับแขก คอยด้วยความกระวนกระวาย นั่งไม่ติดที่ บ่าวกลับเข้ามา
“คุณวงพระจันทร์เจ้า...”
“คุณย่าให้ฉันเข้าไปพบในห้องเลยใช่ไหม”
“บ่ดอกเจ้า แม่คุณเปิ้นบ่ค่อยสบาย แต่อีกสักพักเปิ้นจะลงมา คุณวงพระจันทร์จะรอเปิ้นก่อเจ้า”
“รอสิ ถามโง่ๆ ยังไงฉันก็ต้องรอ”
“เจ้า...จะอั้นข้าเจ้าขอตัวก่อนนะเจ้า”
บ่าวลุกออกไป
“แก่แล้วไม่มีอะไรดีเล๊ย มีแต่เรื่องมาก”วงพระจันทร์บ่น
ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องสยองขวัญของบ่าวดังขึ้น วงพระจันทร์ตกใจสะดุ้งเฮือก
+ + + + + + + + + + + +
บ่าวกรีดร้องเสียสติ เมื่อเห็นซากแมวดำที่เหลือแต่ซากหัวห้อยรุ่งริ่ง ท้องถูกฉีกเปิด ไส้กับเครื่องในบางส่วนที่เหลืออยู่ห้อยย้อย วงพระจันทร์เข้ามามองพลอยตกอกตกใจไปด้วย
“เป็นอะไร แกเป็นอะไร ร้องซะตกอกตกใจ”
“อีปลอดเจ้า...อีปลอด”
วงพระจันทร์มองไปเห็นซากแมวที่บ่าวชี้ให้ดู ก็ตกใจสะดุ้งร้องลั่น
“กรี๊ด อุบาทว์ ทุเรศ...สกปรกจังเลย”วงพระจันทร์พะอืดพะอมจะอ้วก
บ่าวร้องไห้
“อีปลอด ยะหยังเป็นจะอี้”
“ยังจะมาบีบน้ำตาอยู่อีก จะเก็บไปทิ้งที่ไหนก็ทำเข้าสิ เห็นแล้วจะอ้วก”
วงพระจันทร์จะผละกลับออกมา แต่ต้องเบรกหัวทิ่มเพราะเผชิญหน้ากับบัวเงิน
“คิงเป็นจะได ไห้คือผีบ้า”บัวเงินถามบ่าวเสียงดุ
“แม่คุณ อีปลอดมันตายแล้วเจ้า”
บัวเงินเห็นซากแมวแล้วอึ้ง...รู้ได้ในทันทีว่าเป็นฝีมือของใคร
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินผลักประตูเข้าไปในห้องผีอีเม้ย ที่วันดาราจะเข้าไปเมื่อวันก่อน
“อีเม้ย...อีตัวดี”
วงพระจันทร์กับบ่าวที่กำลังจะตามเข้าไปในห้องตัองชะงักเมื่อ ประตูปิดปังต่อหน้าต่อตา วงพระจันทร์สะดุ้งตกใจ
ในห้อง...บัวเงินก้าวเข้ามาตรงหน้าโต๊ะเครื่องเซ่นผีอีเม้ย ที่สกปรกรุงรังด้วยหยากไย่ และซากกระดูกสัตว์
“มึงซุกหัวอยู่ที่ไหน ออกมาซะดีๆ กูบอกให้ออกมา”
เสียงลมหายใจฟืดฟาด เหมือนเสียงลมหายใจสัตว์ใหญ่ดังชัดขึ้นเรื่อยๆ
“อีเม้ย...กูยังเป็นนายของมึงอยู่รึเปล่า”
หัวอีเม้ยค่อยๆโผล่ออกมาจากเสาไม้ที่มันสิงอยู่ ผมยาวรุงรังปิดหน้า อีเม้ยพูดเสียงแหบใหญ่เหมือนเสียงผู้ชาย
“หม่อมเจ้าขา...”
ผีอีเม้ยออกมาจากเสาจนหมดตัว แล้วคลานแบบสัตว์สี่เท้าเข้ามาคุดคู้แทบเท้าบัวเงิน
วงพระจันทร์กับบ่าว ยืนตัวแข็งฟังอยู่นอกห้อง
“ใครสั่งให้มึงทำเรื่องอัปรีย์ในบ้านกู...มึงอดอยากนักรึไง”
“บ่าวหิว หม่อมเจ้าขา บ่าวไม่เคยได้กินอะไรเลย หม่อมลืมบ่าวแล้ว หม่อมจะไม่เลี้ยงบ่าวแล้วก่อเจ้า”
วงพระจันทร์ได้ยินไม่ถนัด ขยับมาเอาหูแนบฟังที่ประตู
ในห้อง...บัวเงินหยิบแส้หางกระเบนขึ้นมากำแน่น แล้วฟาดอย่างแรงลงพื้น ผีอีเม้ยกรีดร้องเป็นเปรตโหยหวน บ่าวขนลุกขนพองรีบผละออกไปจากหน้าห้องทันที วงพระจันทร์ยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง
ทันใดนั้นประตูเปิดผลัวะ วงพระจันทร์เผชิญหน้ากับบัวเงินซึ่งดุดันน่ากลัว
“วงพระจันทร์ได้ยินเสียงร้อง ใครอยู่ในนั้นคะคุณย่า”
“บ่ใช่ธุระกงการอะหยังของเจ้า”
วงพระจันทร์จ๋อยไป
(อ่านต่อหน้า 2 )
ตอนที่ 2 (ต่อ)
บัวเงินกับวงพระจันทร์อยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยกัน บัวเงินถามด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“เจ้ามีธุระอะหยังก็ว่ามาวงพระจันทร์”
“เมื่อวานวงพระจันทร์ไปหาพี่สุริยะมาค่ะคุณย่า วงพระจันทร์อุตส่าห์ซื้อทั้งตั๋วคอนเสิร์ต ตั๋วเครื่องบินไปอวด แต่พี่สุริยะไม่สนใจวงพระจันทร์เลยค่ะคุณย่า”
“เรื่องแค่นี้ก็แล่นมาหาข้าแล้วเหรอ”
“ก็คุณย่าเป็นคนเดียวที่จะสั่งพี่สุริยะได้นี่คะ”
บัวเงินไม่ชอบใจนัก
“วงพระจันทร์”
“ขา...คุณย่า”
“ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาจะมัดใจเขาไว้ เจ้าก็ไม่เหมาะจะมาเป็นหลานสะใภ้ข้า”
วงพระจันทร์อ้าปากค้าง
“คุณย่า”
“มีธุระอะหยังแหมพ่อง ถ้าบ่มีก็กลับไปซะวันนี้ข้าบ่อยากคุยกับใครหน้าไหนทั้งนั้น”
วงพระจันทร์อึ้งไป
+ + + + + + + + + + + +
ร้านอาหารของภูหมอก-ทะเลดาวมองเห็นทิวทัศน์ภูเขาไกลๆ เรรินที่นั่งดื่มกาแฟไปเขียนบันทึกลงสมุดไปอยู่มุมนึง วันดารายกถ้วยน้ำชาเข้ามาหาเรริน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณเรริน”
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“ลองดื่มน้ำชาเปอกะยอหน่อยสิคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ”
“พอกลับเข้าไปก็หลับเป็นตายจนเช้าเลยล่ะค่ะ...ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณวันดาราต้องตกใจ...เรื่องเมื่อคืนน่ะค่ะ”
“ความปลอดภัยของแขกทุกคนที่มาพักที่นี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดค่ะเมื่อเช้าดิฉัน ก็ถามเด็กๆทุกคนแล้วว่า นอกจากแขกที่พักแล้วมีใครแปลกหน้าบ้างรึเปล่า ก็ไม่มีนะคะ คุณเรรินสบายใจได้”
“ขอบคุณค่ะ เลยพลอยทำให้วุ่นวายกันไปใหญ่...แปลกนะคะที่ดิฉันไม่ได้รู้สึกกลัวเลย”
“แต่ยังไงก็ระวังตัวไว้ ไม่ประมาทเป็นดีที่สุดค่ะ คุณเรริน”
“เรียกรินเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“งั้นคุณรินก็เรียกพี่วันเฉยๆ ดีกว่า เหมือนกันนะคะ”
เรรินยิ้มตอบ
“พี่วันคะ ถ้ารินจะเข้าเมือง...”
“แหม รถของที่นี่เพิ่งออกไปซื้อของเมื่อกี๊นี่เอง...”
“แล้วถ้ารินเดินไป”
“ความจริงก็ไม่ไกลหรอกค่ะ แต่นี่ว่าแทนที่จะเดิน ขี่จักรยานดีกว่ามังคะ คุณรินขี่จักรยานได้รึเปล่า”
เรรินยิ้มรับทันที ไม่นานนักเรรินขี่จักรยานไปตามถนนสวยร่มรื่น ในตะกร้าหน้ารถมีถุงย่ามใส่ข้าวของใช้เล็กๆน้อยๆ เรรินสนุกเพลิดเพลิน เรรินจอดจักรยานที่หน้าประตูรั้วคุ้มเจ้าหลวง เห็นป้ายเล็กๆมีตัวอักษรว่า “เก็ดถะหวา” เรรินหยิบโบรชัวร์ที่เก็บมาจากร้านกาสะลอง ขึ้นมาเทียบดู
“เก็ดถะหวา...”
เรรินจูงจักรยานเข้าไปในอาณาบริเวณคุ้มเจ้าหลวง
+ + + + + + + + + + + +
พนักงานยกกาแฟมาเสิร์ฟให้สุริยวงศ์ ที่มาถึงหลังจากที่เรรินออกจากรีสอร์ทไปไม่นาน
“ยินดีเน้อ”สุริยวงศ์ยิ่มให้พนักงาน
“เจ้า”พนักงานออกไป
“ว่างมากรึไงจ๊ะ ถึงขยันมาที่นี่”วันดาราแหย่
“ว่างที่ไหนกันล่ะครับพี่วัน ผมหนีเขามาต่างหาก”
“เจ้าหนี้รายใหญ่รึไงจ๊ะ”
“พี่วันก็น่าจะรู้ดีว่าผมหมายถึงใคร”
“วงพระจันทร์”
“เมื่อวานเขาจะหักคอพาผมไปญี่ปุ่นด้วย ซื้อทั้งตั๋วเครื่องบิน ตั๋วคอนเสิร์ตแล้ว ไม่ถามผมก่อนซักคำ”
“วงพระจันทร์เขาก็เป็นคนยังงี้อยู่แล้ว แล้วเธอบอกเขาไปยังไง”
“ผมก็บอกไม่ไป ผมไม่ว่าง มีงานต้องทำเยอะแยะ ผมว่าป่านนี้คงแจ้นไปฟ้อง คุณย่าแล้วละครับ”
“ใจคอจะไม่ให้โอกาสวงพระจันทร์เขาบ้างเลยรึไงจ๊ะ”
“ผมไม่ชอบผู้หญิงจุ้นจ้าน พี่วันก็น่าจะรู้ดี”
“งั้นก็มีทางเดียวละมังที่จะทำให้วงพระจันทร์เลิกมาวอแวตามตื๊อเธอ”
“ทางไหนครับ”
“เธอก็รีบหาแฟนที่คิดจะจริงจังกะเขาซักคนสิ”
“เอาอีกแล้วพี่วัน หาเจอกันได้ง่ายๆ ก็ดีสิครับ”สุริยวงศ์ถอนใจ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “วันนี้แขกเข้าพักเต็มไหมครับพี่วัน”
“เมื่อวานเกือบค่ำแล้วมีวอล์คอินเข้ามาอีกห้องนึง”
“คู่ฮันนีมูนละมังครับ”
“รู้ได้ยังไงจ๊ะ”
“อ้าว...ก็ที่นี่บรรยากาศออกจะเหมาะกับคู่ฮันนีมูนนี่ครับ”
“แขกคนนี้มาคนเดียวจ๊ะ เช็คอินรวดเดียวอาทิตย์นึงเลย ท่าทางเธอสนใจผ้าทอมากเพราะเธอเป็นอาจารย์สอนทอผ้าในมหาวิทยาลัย”
“อายุมากแล้วเหรอครับ”
“ใครว่า ยังเด็กอยู่เลยต่างหาก สวยด้วยนะจะบอกให้ อยู่ให้ถึงเย็นๆ สิจะได้เจอตัว”
“ผมว่าไม่มีใครสวยไปกว่าคนสวยที่แม่แจ่มของผมหรอกครับพี่วัน”
สุริยวงศ์คิดถึงเรริน โดยไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกัน
+ + + + + + + + + + + +
เรรินจอดจักรยานไว้มุมนึง แล้วจะเดินเข้าภายใน เหนือซุ้มประตู เรรินเงยหน้าขึ้นไปเห็น ตราประจำราชวงศ์ล้านนา เป็นแผ่นไม้แกะสลักลงรักแดงปิดทองดูเก่าขลัง บรรยากาศรอบๆ เงียบสงัดเหมือนไม่มีใครอยู่เลย เรรินเดินเข้าไปภายใน
“สวัสดีค่ะ มีใครอยู่ไหมคะ...สวัสดีค่ะ”
ไหมแมออกมาจากห้องด้านใน
“สวัสดีเจ้า คุ้มเจ้าหลวงยินดีต้อนฮับเจ้า”
“ดิฉันอยากจะขอเข้าชมพิพิธภัณฑ์น่ะค่ะ”
“ยินดีเจ้า”
ในห้อง...เครื่องลงรัก เครื่องเขิน อันเป็นข้าวของเครื่องใช้โบราณ วิจิตรบรรจง น่าตื่นตาตื่นใจ ถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่ น่าสนใจ เรรินเดินชมสิ่งของต่างๆ โดยมีไหมแมเดินตามให้ข้อมูล
“อาณาจักรล้านนา เริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่พระยามังราย จากเมืองเชียงราย สร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. 1839 แต่ก่อนหน้านั้นก็มีแคว้นหลายแคว้น ที่ปรากฏในตำนานนะคะ อย่างแคว้นโยนกเคยขยายอาณาจักรขึ้นไปถึงสิบสองปันนา ไปถึงเมืองพวนที่ตอนนี้คือ แขวงเชียงขวางในลาว
“หมายความว่า อาณาจักรล้านนาในอดีตยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหมคะ”เรรินถามอย่างสนใจ
“เจ้า... ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นประเทศไทย อย่างทุกวันนี้หรอกนะเจ้า อยุธยาก็เป็นอาณาจักรของคนไทกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา ก็มีแข่งอำนาจ ทำสงครามกับล้านนาเหมือนกัน รบกันไปรบกันมาก็หมดแรงกันเอง สุดท้ายพม่าก็ตีทั้งอยุธยาทั้งล้านนาแตก กลายเป็นเมืองขึ้นของพม่า นักประวัติศาสตร์บางคนในพม่า ยังสันนิษฐานด้วยซ้ำว่า เชลยจากล้านนาเป็นคนนำความรู้เรื่องวิธีทำเครื่องเขินไปสู่พม่าค่ะ”
เรรินสนใจและตื่นตาตื่นใจกับข้าวของที่จัดแสดง ไหมแมเดินนำเรรินเข้ามาในห้องจัดแสดงผ้าโบราณ
“ห้องนี้เป็นห้องจัดแสดงผ้าโบราณของล้านนาเจ้า”
เรรินตื่นตะลึง ขนลุกขนชันกับสิ่งรอบตัวที่ได้เห็น ใจเต้นแรงจนพูดอะไรไม่ออก
“อาณาจักรล้านนาเป็นที่อยู่ของคนหลายเชื้อชาติ การอพยพย้ายถิ่น ทำให้หลายๆ ชาติพันธุ์มารวมกันอยู่ที่ล้านนา ทั้งไทลื้อ ไทพวน ไทเหนือ ไทยวน คนไท แต่ละกลุ่มก็มีวัฒนธรรมการทอผ้าเป็นของตัวเองเจ้า”
“ผ้าซิ่นลื้อชิ้นนั้นน่าทึ่งมากเลยค่ะ”
“คุณรู้จักผ้าดีเหมือนกันนี่เจ้า”
ขณะเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือไหมแมดังขึ้น
“สุมาเตอะเจ้า”
“เชิญเถอะค่ะ เชิญตามสบาย ดิฉันชมคนเดียวก็ได้”
“งั้นข้าเจ้าขอตัวเดี๋ยวเดียวนะเจ้า”
ไหมแมขยับออกไปรับโทรศัพท์ เรรินเดินชมผ้าที่จัดแสดงแต่ละผืนอย่างตื่นเต้น ตาไม่กระพริบ ผ้าที่จัดแสดงบางส่วนสวมใส่กับหุ่นทั้งชุด ทำให้ห้องทั้งห้องเหมือนมีชีวิตผู้คนโลดแล่นจริงๆ เรรินมาหยุดชะงักที่มุมนึง แสงที่ถูกจัดเป็นพิเศษ ทำให้มุมนั้นดูโดดเด่นสำคัญยิ่ง ชุดเจ้าหญิงเชียงตุงทั้งชุด หัวจรดเท้าถูกดิสเพลย์ใส่หุ่น เรรินตะลึงตัวแข็งเมื่อเผชิญหน้ากับชุดนั้น
“เชียงตุง...นี่น่ะเหรอชุดเจ้าหญิงเชียงตุง”
ทันใดนั้นเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้างรอบตัวเรริน... เหมือนถูกมนต์สะกด ขยับก้าวเข้าไปหาภาพถ่ายขาว-ดำของเจ้าหญิงเชียงตุงองค์หนึ่ง กับบ่าวไพร่บริวารที่หมอบอยู่ กับพื้น เรรินขยับเข้าดูภาพนั้นจนใกล้แล้วต้องอึ้ง ถึงภาพจะเก่ามากจนเค้าลางบนหน้าเจ้าหญิงเชียงตุงองค์นั้นจะลางเลือน แต่ก็มีความคล้ายเรริน จนน่าขนลุก
“งามแต๊ๆ นะเจ้า”เสียงไหมแมดังขึ้น
เรรินหันกลับมาและทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ
“สมัยก่อนราชวงศ์ล้านนากับแคว้นเชียงตุงใกล้ชิดผูกพันกันมาก ขนาดแคว้น เชียงตุงเคยส่งเจ้าหญิงมาอภิเษกสมรสกับเจ้าชายเชียงใหม่ด้วย”ไหมแมอธิบาย
“คนที่เห็นในรูปนั่นน่ะเหรอคะ เจ้าหญิงเชียงตุงองค์นั้น”
“ข้าเจ้าก็บ่ค่อยฮู้อะหยังนักดอกเจ้า แต่คิดว่าน่าจะใช่”
เรรินหันกลับไปมองภาพถ่ายนั้นอีกครั้ง ครู่หนึ่ง เรรินเดินคุยออกมากับไหมแม
“ที่นี่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์นานรึยังคะ”
“เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงสองปีเองเจ้า”
“เจ้าของที่นี่ท่านคงต้องทุ่มเทมากเลยนะคะ”
“ก่อนหน้านี้เคยมีพ่อค้าต่างชาติมาติดต่อขอซื้อของทุกชิ้นในนี้ เพราะจะเอาไปขายให้พิพิธภัณฑ์ที่เมืองนอกเจ้า เจ้าของเปิ้นเลยตัดสินใจไม่ยอมขาย เพราะเปิ้นจะทำพิพิธภัณฑ์ของเปิ้นเอง เปิ้นว่าสมบัติของคนไทยก็ควรจะต้องอยู่ในเมืองไทย ให้ลูกหลานไทยได้ภาคภูมิใจเจ้า”
“น่าชื่นชมจังเลยนะคะ วันหลังดิฉันคงจะขอกลับมาชมผ้าอีก”
“ท่าทางคุณสนใจผ้าโบราณมากเลยนะคะ”
“ดิฉันเป็นอาจารย์สอนเรื่องทอผ้าในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพน่ะค่ะ”
“มิน่าล่ะ คุณถึงได้รู้เรื่องผ้าโบราณไม่ใช่น้อย”
“ไม่ได้รู้อะไรมากมายหรอกค่ะ ยังมีอะไรๆ ที่ดิฉันอยากเรียนรู้อีกเยอะ”
“ถ้ายังงั้นข้าเจ้าจะพาคุณไปชมผ้าพิเศษผืนนึงเจ้า”
ไหมแมเดินนำเรรินผ่านทางเดินมืดๆ ทึมๆ มาจนถึงหน้าห้องนึง
“ความจริงห้องในคุ้มเจ้าหลวงนี่ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดให้ใครเข้าชมนะเจ้า”
“แล้วจะมีปัญหารึเปล่าคะ”
“ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ คงไม่เป็นไรหรอกเจ้า ข้าเจ้าเห็นว่าคุณสนใจเรื่องผ้าโบราณก็เลยอยากให้ได้ชม”
ไหมแมล้วงหยิบพวงกุญแจพวงใหญ่ขึ้นมา เลือกหาดอกที่จะใช้ไขประตู
“เอ...ดอกไหนกันนะ ไม่ได้ไขซะนาน”
ไหมแมเลือกกุญแจดอกแล้วดอกเล่า พยายามไข แต่ก็ไม่สำเร็จอยู่หลายดอก เรรินลุ้น
“ดอกนี้แหละ...น่าจะใช่”ไหมแมค่อยๆ สอดลูกกุญแจเข้าแม่กุญแจลูกใหญ่โบราณ
ไหมแมพาเรรินก้าวเข้ามาในห้องที่มืดสลัว
“เดี๋ยวนะเจ้า ข้าเจ้าหาสวิชต์ไฟก่อน นานๆ ถึงได้เข้ามาที อะไรอยู่ตรงไหนมันงงไปหมด”
ไหมแมกดสวิชต์ไฟ ไฟสว่างขึ้น เรรินเห็นกี่ทอผ้าตั้งอยู่กลางห้องกว้าง หัวเสากี่ทอผ้ามีลวดลายสลักเสลางดงาม ไม่ใช่กี่ทอผ้าของคนธรรมดา ตรงที่ไหมแมยืน มีผ้าขาวคลุมปิดผ้าที่ทอเอาไว้
“ผ้าผืนนี้เป็นผ้าที่ทอไม่เสร็จนะเจ้า แต่ข้าเจ้าว่างดงามเหลือเกิน คุณเปิดดูสิเจ้า”
เรรินก้าวเข้ามาชิดกี่ ค่อยๆ ดึงผ้าที่ปิดอยู่ออกเรรินตะลึง เมื่อเห็น ผ้าทอลายด้วยเทคนิคจกด้วยเส้นไหมและไหมคำ
เรรินยืนอึ้งตะลึงงัน
“งามเหลือเกินค่ะ ดิฉันไม่เคยเห็นลายผ้าที่ไหนงามเท่านี้มาก่อนเลย ใครเป็นคนทอผ้าผืนนี้คะ”
“เล่ากันมาว่าคนที่ทอผ้าผืนนี้คือ เจ้านางมณีรินเจ้า”
“เจ้านางมณีริน ท่านเป็นใครคะ”
“ข้าเจ้าก็บ่ค่อยแน่ใจ เล่ากันว่าท่านเป็นเจ้าหญิงมาจากเชียงตุงเจ้า ท่านถูกส่งตัวมาแต่งงานกับเจ้าราชบุตรที่นี่ แต่พอมาถึง...”
ขณะเดียวกันนั้นมีเสียงเด็กดังขึ้น
“พี่ไหมแมเจ้า...พี่ไหมแม”
“เด็กที่ออฟฟิศมาตามข้าเจ้าแล้ว คุณจะอยู่ชมผ้าไปพลางๆ ก่อนก็ได้เจ้า เดี๋ยวข้าเจ้ากลับมา”
ไหมแมเดินออกไปจากห้อง เรรินหันกลับมามองผ้าบนกี่...
“เจ้านางมณีริน ...”
ทันใดนั้นเหมือนมีลมพัดเข้ามาทั้งที่หน้าต่างปิดหมด... ผมเรรินปลิว…เรรินหันกลับไปมองทางทิศที่ลมพัดมา เธอเผชิญหน้ากับภาพเขียนสีน้ำมันภาพใหญ่ขนาดเต็มฝาผนัง เป็นภาพคุ้มเจ้าหลวง เรรินเพ่งมองภาพเขียนนั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ต้นไม้ดอกไม้ในภาพเขียนนั้นโบกไหวไปมาเหมือนโดนสายลม แสงสว่างวาบขึ้นจากคุ้มเจ้าหลวงในภาพเขียน
เรรินแสบตาจนต้องยกมือขึ้นป้อง...แสงสว่างนั้นฟุ้งขาวจนจ้าสุดๆ แล้วค่อยๆ หายไปจนเป็นปกติ เรรินค่อยๆ ลดมือลงหันกลับไปทางกี่ทอผ้า เพราะได้ยินเสียงฟืมกระแทกกี่ เรรินตาค้าง เมื่อเห็นตัวเองในชุดแม่หญิงล้านนากำลังก้มหน้า ก้มตาทอผ้าผืนนั้นอยู่!
(จบตอนที่ 2)
ติดตามอ่านตอนต่อไป เวลา 09.30 น. พรุ่งนี้