xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับสุขภาพ : โรคระบาดในศตวรรษที่ 21 (อาหารต้านโรค ตอนที่ 5)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ท่านผู้อ่านครับ ผู้เขียนได้กล่าวถึงอาหารไขมันต่ำไปแล้วหลายตอนในฉบับก่อนๆ เช่น ตัวอย่างอาหารมังสวิรัติและอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน แต่ยังมีอาหารต้านโรคอีกแบบหนึ่ง คือ กลุ่มอาหารแป้งน้ำตาลต่ำ หรือ low carbohydrate diet เรียกย่อๆว่า low carb diet ที่กำลังนิยมไปทั่วโลกในขณะนี้

กลุ่มนี้จะกินอาหารจำพวกแป้งน้ำตาลน้อย ดังนั้น จึงต้องกินไขมันและโปรตีนเพิ่มขึ้นแทน ใช้ไขมันเป็นพลังงานส่วนใหญ่ ร้อยละ 60-80 พลังงานจากโปรตีน ร้อยละ 20-30 แป้งและน้ำตาลต่ำกว่าร้อยละ 10

ทำไมจึงเปลี่ยนมากินไขมันแทนแป้งและน้ำตาล เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อน เพื่อให้เรานำมาใช้ได้ถูกต้อง

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนมากินอาหารไขมันเป็นหลัก เพราะขณะนี้ทั่วโลกเกิดโรคระบาดขึ้น ทำให้ผู้คนล้มตายก่อนวัยอันควรจำนวนมาก โรคอ้วนและเบาหวานกำลังเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกา องค์การอนามัยโลกรายงานในปี 2008 ว่า มีประชากร 1,500 ล้านคน มีน้ำหนักเกิน และ 400 ล้านคนเข้าขั้นเป็นโรคอ้วน และประมาณการณ์ว่าในปี 2015 คนน้ำหนักเกินจะเพิ่มเป็น 2,300 ล้านคน คนอ้วนจะมีจำนวน 700 ล้านคน

ดังนั้น ในเดือนกันยายน 2011 ที่ประชุมใหญ่สมัชชาแห่งสหประชาชาติ ได้นำเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นในการประชุม นายบันคีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า มีคนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable diseases - NCDs) ได้แก่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น ราว 36 ล้านคน ในจำนวนนี้มี 9 ล้านคน อายุต่ำกว่า 60 ปี โรคเหล่านี้เป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษยชาติ และทำให้เกิดการสูญเสียงบประมาณมหาศาลในการบำบัดโรค

องค์การอนามัยโลกพยายามหามาตรการต่างๆที่จะลดโรคในกลุ่ม NCDs ลงร้อยละ 25 ภายในปี 2025

ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา มีคนเป็นโรคอ้วนร้อยละ 36 และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปแบบนี้ ประมาณการว่า ในปี 2030 จะมีคนอ้วนร้อยละ 65 หรือราว 165 ล้านคน

ในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา ก็มีอัตราเพิ่มโรคอ้วนตามอเมริกา ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เด็กอ้วนในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 10 ในญี่ปุ่นมีเด็กอ้วนเพิ่มจากร้อยละ 6 เป็น 12 ในประเทศเกาหลีใต้ เด็กอ้วนเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 18

ก่อนหน้านี้ในประเทศกำลังพัฒนา ไม่เคยมีการพบปัญหาโรคอ้วนและความผิดปกติอย่างมากมายมาก่อน แต่ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบียและมาเลเซีย เป็นประเทศซึ่งมีการเกิดของเบาหวานประเภทที่ 2 อยู่ในอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ประเทศจีนมีโรคอ้วนในเด็กร้อยละ 8 ประเทศอินเดียมีเด็กน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17 เป็นร้อยละ 27 ปัจจุบันบริเวณที่มีประชากรเป็นเบาหวานมาก คือ เอเชีย (ชายฝั่งแปซิฟิค) แอฟริกา กล่าวได้ว่า ปัจจุบันไม่มีที่ไหนในโลกที่ไม่มีการระบาดของโลกอ้วนและเบาหวาน

อะไรเป็นตัวปัญหาหรือสาเหตุที่ทำให้มีการระบาดของโรคอ้วนและโรคเบาหวาน นพ.โรเบิร์ต เอช ลัสติค (Robert H. Lustig) ศาสตราจารย์ด้านโรคต่อมไร้ท่อในเด็ก แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในหมู่นักวิชาการ ที่กำลังรณรงค์ให้คนอเมริกันเห็นภัยของน้ำตาล

เขาชี้ให้เห็นว่า การระบาดอย่างรวดเร็วของโรคอ้วน และโรคเบาหวาน ไม่ได้เกิดจากการกินอาหารมาก ออกกำลังกายน้อยอย่างที่เข้าใจกัน แต่ตัวปัญหา คือ น้ำตาล (Sugar) โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสในเครื่องดื่มต่างๆ เช่น น้ำอัดลม ชาเขียว น้ำผลไม้ต่างๆ

เนื่องจากน้ำตาลชนิดนี้เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้ว มันจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีที่แตกต่างจากกลูโคส เพราะกลูโคสจะถูกนำไปใช้ที่กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นไปที่ตับ

แต่เมื่อกินน้ำตาลฟรุกโตสเข้าไปมากๆ มันจะไปที่ตับทั้งหมด ตับจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมที่ตับและตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะในช่องท้องจะเก็บไว้มาก น้ำตาลฟรุกโตสจึงมีโทษต่อร่างกายถ้าบริโภคมากเกินไป

น้ำตาลทรายหรือน้ำตาลก้อน น้ำตาลซอง ที่เรารับประทานกัน ทำจากอ้อย มีน้ำตาลกลูโคสและน้ำตาลฟรุกโตสผสมกันอย่างละครึ่งโดยประมาณ

เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารเจริญเติบโตอย่างมาก อาหารต่างๆถูกแปรรูปบรรจุเป็นห่อพร้อมรับประทาน หรือในรูปเครื่องดื่มเป็นขวดเป็นกระป๋อง (แล้วใช้การโฆษณาลด แลก แจก แถม ชิงโชค) ซึ่งผู้บริโภคสามารถซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ทำให้การบริโภคอาหาร ขนมหวาน เครื่องดื่ม ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก หันไปทางไหนก็จะมีแต่อาหารแป้งและน้ำตาล ร้านขนมปัง เบเกอร์รี คุกกี้ โดนัท กินกับกาแฟ และนี่คือคำตอบของคำถามที่ว่า ทุนนิยมทำร้ายเราได้อย่างไร นี่คือหายนภัยของศตวรรษที่ 21 ซึ่งรุนแรงกว่าสงคราม เพราะมันล้อมไว้หมดทุกด้านแล้วโดยเราไม่รู้ตัว ที่แย่กว่านั้นคือเราก็ชอบกินอาหารรสหวานเหล่านี้ โดยเฉพาะเด็กๆ

นอกจากนั้น คนเรายังมีแนวโน้มที่จะเสพติดน้ำตาล ถ้าบริโภคบ่อยๆ ซึ่งจะกลายเป็นโรคเสพติดของหวาน (Sugar Addiction) คนเสพติดมักจะอยากกินเป็นประจำ และกินจำนวนมากๆ หากไม่ได้กินจะเกิดอาการหงุดหงิด อารมณ์เสีย ซึ่งเป็นกลไกในการเสพติดแบบเดียวกับการเสพยาเสพติด คนเหล่านี้โดยพื้นฐานจะเป็นคนที่มีความเครียด เก็บกด ต้องการระบาย และใช้การกินของหวาน เพื่อคลายเครียด เวลาเด็กกินขนมหวานเข้าไป มันจะมีปฏิกิริยาทางชีวเคมีเหมือนผู้ใหญ่กินเหล้า ซึ่งก่อผลเสียเหมือนกัน นักโภชนาการบางท่านจึงเรียกขนมหวานอบกรอบว่า เหล้าของเด็กนั่นเอง

สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ได้ตั้งกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของน้ำตาลและโรคหัวใจ พบว่า น้ำตาลเป็นตัวการทำให้เกิดโรคหัวใจ จึงได้จัดทำคำแนะนำต่อสาธารณชน ในปี 2009 ซึ่งพบว่าคนอเมริกันกินอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจากอาหารประจำ 3 มื้อ (Added Sugar) มีน้ำตาลเท่ากับ 22 ช้อนชาโดยเฉลี่ย ซึ่งมากเกินไป จึงได้แนะนำให้กินน้ำตาลวันละแค่ 6 ช้อนชาในผู้หญิง และ 9 ช้อนชาในผู้ชาย เพราะน้ำตาลที่มากเกินไป เป็นที่มาของโรคเรื้อรังต่างๆ โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสในเครื่องดื่ม เป็นตัวการสำคัญของโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ

สำหรับประเทศไทย พญ.พรพันธุ์ บุณยรัตพันธ์ ประธานกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบัน คนไทยบริโภคน้ำตาล 100 กรัม(20 ช้อนชา) ต่อวันต่อคน ซึ่งเกินมาตรฐานสุขภาพ (ปกติให้กินได้ประมาณไม่เกิน 10 ช้อนชา หรือ 50 กรัมต่อวันต่อคน) ประเทศไทยกินน้ำตาลเกินไปเป็นอันดับ 9 ของโลก ดังนั้น จึงได้มีการเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในเครื่องดื่ม อาทิ น้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง นมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลเกินมาตรฐานที่กำหนด โดยจัดเก็บภาษีเป็น 2 อัตรา คือ ปริมาณน้ำตาลมากกว่า 6-10 กรัม/100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 ของราคาขายปลีก และปริมาณน้ำตาลมากกว่า 10 กรัม/100 มิลลิลิตร จัดเก็บภาษีในอัตราที่ทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของราคาขายปลีก

นึ่เป็นมาตรการทางภาษี ที่รัฐใช้ในการควบคุมไม่ให้มีการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป เพื่อต้องการจะควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ ที่ระบาดมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อาหารต้านโรคจึงต้องลดแป้งและน้ำตาลให้มาก มากเท่าไหร่ค่อยกล่าวกันในตอนต่อๆไป

ท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปฟังคำบรรยายเรื่องน้ำตาล ได้ใน www.youtube.com พิมพ์คำว่า the sugar epidermic : policy versus politics., และเรื่อง the sugar : the bitter truth ก็จะได้รับประโยชน์มาก

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 192 ธันวาคม 2559 โดย กองบรรณาธิการ)
กำลังโหลดความคิดเห็น