• บร็อคโคลีต้านมะเร็งตับได้ด้วยนะ
ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ว่าผักตระกูลกะหล่ำอย่างพวกบร็อคโคลี ดอกกะหล่ำ ช่วยต้านมะเร็งส่วนต่างๆ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ตอนนี้มีการศึกษาใหม่ว่า ช่วยต้านมะเร็งตับได้อีกด้วย
ศาสตราจารย์อลิซาเบธ เจฟเฟอรี แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ และคณะ ได้ทำการศึกษาวิจัยว่า บร็อคโคลีมีผลอย่างไรกับหนูที่เป็นมะเร็งตับ ชนิดเกิดจากสารก่อมะเร็ง โดยแบ่งหนูทดลองเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกควบคุมอาหาร กลุ่มที่กินอาหารไขมันและน้ำตาลสูงแบบชาวตะวันตก กลุ่มที่กินบร็อคโคลี และกลุ่มที่ไม่กินบร็อคโคลี
พบว่า หนูที่กินอาหารแบบตะวันตก มีจำนวนและขนาดของก้อนมะเร็งในตับเพิ่มขึ้น ขณะที่หนูที่กินบร็อคโคลี มีจำนวนก้อนมะเร็งลดลง แต่บร็อคโคลีไม่มีผลต่อขนาดของก้อน
ไขมันที่เราได้รับจากการรับประทานอาหาร ถ้าสะสมมากเข้าก็จะเป็นโรคไขมันพอกตับ และหากเป็นแล้วไม่รักษา หรือไม่ควบคุมดูแลการกินให้ดี ไขมันจะพอกตับมากขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด
เหตุที่บร็อคโคลีและผักตระกูลกะหล่ำ สามารถยับยั้งการสะสมไขมันในตับได้ เพราะมีสารต้านมะเร็งที่ชื่อ ซัลโฟราเฟน การทำให้บร็อคโคลีสุกเล็กน้อย ไม่ผ่านความร้อนนาน ก็จะได้สารต้านมะเร็งชนิดนี้
• ไทเก๊กลดความดันและไขมันในเลือดได้จริง
ดร.เฉิน เพย-จี ประธานมหาวิทยาลัยการกีฬาเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ยืนยันว่า การออกกำลังกายแบบจีนช่วยลดความดันเลือด ไขมันชนิดแอลดีแอล และไตรกลีเซอไรด์ ได้จริง
ทั้งนี้ หลังจากได้ทำการศึกษาแบบสุ่มตรวจคนที่ออกกำลังกายแบบจีน เช่น ไทชิ ชี่กง มาไม่ต่ำกว่า 1 ปี จำนวน 2,249 คนใน 10 ประเทศ ผลที่ได้พบว่า มีระดับความดันโลหิตสูงลดลง ค่าไขมัน LDL ซึ่งเป็นไขมันตัวร้ายลดลง แต่ความแข็งแรงสมบูรณ์ของระบบการทำงานของหัวใจยังคงเดิม
นอกจากนี้ ผู้รับการทดสอบยังยืนยันว่า รู้สึกมีความสุขมากขึ้น เครียดน้อยลง
อันที่จริงนั้น การออกกำลังแบบจีนเป็นการบริหารที่ผสานกันทั้งร่ายกาย จิตใจ และลมหายใจ ซึ่งคนจีนเชื่อว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของคนเรา จึงช่วยให้แข็งแรงและขจัดต้นตอของโรคภัยไข้เจ็บได้
• เครียดเรื้อรังพาสมองอักเสบและความจำหดหาย
คนที่เครียดเรื้อรังเพราะทำงานมากและทำงานยาก เสี่ยงจะเป็นโรคหลงลืมมากขึ้น
ทีมนักวิจัยจาก Ohio State University ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดที่ยืดเยื้อยาวนาน กับการหลงลืมระยะสั้นในหนูทดลอง โดยจัดสถานการณ์ให้หนูเดินไปยังโพรงของมันตามเส้นทางที่มันคุ้นเคย บางตัวทีมวิจัยจัดหนูเกเรตัวใหญ่กว่ามาขวางไว้ระหว่างทาง ให้ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ทำเช่นนี้หลายครั้ง ปรากฏว่าหนูที่ต้องเผชิญหน้า หาทางไปโพรงอย่างยากลำบาก ขณะที่หนูที่ไม่ต้องเผชิญกับความเครียดนี้หาทางไปได้
การไม่สามารถจำได้นี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในหนูที่เครียด คือ เกิดมีเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน หรือ macrophage ขึ้นในสมองของพวกมัน ชี้ให้เห็นว่าสมองเกิดการอักเสบ อันเป็นผลมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อความเครียดนั้น
หลังจากช่วงเครียดผ่านพ้นไป พบว่าการพัฒนาเซลล์ประสาทใหม่ๆ ที่ฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางการตอบสนองทางความจำและอารมณ์ ขาดช่วงหายไปราว 10-28 วัน
ความจำระยะสั้นที่หายไป มีส่วนเชื่อมโยงกับการเกิดสมองอักเสบและระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีต้นตอมาจากความเครียดนั่นเอง
• ผู้หญิงกินโยเกิร์ต ความดันไม่สูง
การประชุมทางวิทยาศาสตร์ของระบาดวิทยาสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ระบุว่า ผู้หญิงที่กินโยเกิร์ตสัปดาห์ละ 5 ถ้วยขึ้นไป เสี่ยงที่จะมีปัญหาความดันโลหิตสูงน้อยกว่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ค่อยได้กิน
ผู้วิจัยตรวจสอบผลระยะยาวของการกินโยเกิร์ต ต่อการเป็นความดันโลหิตสูงในกลุ่มผู้ใหญ่วัยกลางคน โดยวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องสามกลุ่ม สองกลุ่มแรกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง อายุระหว่าง 25-55 ปี กลุ่มที่สามส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย อายุระหว่าง 40-75 ปี ติดตามข้อมูลอยู่ 18-30 ปี
พบว่า มีผู้เป็นความดันโลหิตสูงรายใหม่ 74,609 ราย ในจำนวนนี้ ผู้หญิงจากสองกลุ่มแรกที่กินโยเกิร์ตสัปดาห์ละ 5 ถ้วยขึ้นไป เสี่ยงที่จะมีปัญหาความดันโลหิตสูงน้อยกว่าคนที่กินโยเกิร์ตเดือนละ 1 ถ้วย ประมาณร้อยละ 20 ส่วนผู้ชายกินโยเกิร์ตน้อยกว่าผู้หญิง อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ชายได้รับผลดีจากโยเกิร์ตน้อยกว่า
ผู้วิจัยยืนยันว่า การบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างชีส โยเกิร์ต เป็นประจำทุกวัน ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะพัฒนาเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง
• “กล้วย” ช่วยเรื่องการมองเห็น
กล้วยมีสารอาหารสำคัญหลายอย่าง รวมทั้งวิตามินเอ ซึ่งมีหน้าที่สร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้ตาฝ้ามัวเวลามองตอนกลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และยังทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ถ้าขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้
เวลาพูดถึงอาหารบำรุงสายตา คนยุคใหม่มักนึกถึงผลไม้พวกเบอร์รี่ แต่ไม่ค่อยรู้ว่ากล้วยน้ำว้าพื้นบ้านของเรานี่แหละมีวิตามินเอสูง และสูงกว่ากล้วยหอมเกือบสามเท่า
นักวิจัยในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้พัฒนาสายพันธุ์กล้วย Asupine ที่มีวิตามินเอมากกว่ากล้วยปกติ 5 เท่า เพื่อช่วยแก้ปัญหาการตาบอดในแอฟริกา เพราะขาดวิตามินเอ กล้วยตัดแต่งพันธุกรรมนี้มีลักษณะด้านนอกเหมือนกล้วยปกติ แต่เนื้อด้านในมีสีส้ม ซึ่งเป็นสารที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในตับ
บ้านเรามีสารพัดกล้วยอยู่แล้ว หากินง่ายตลอดปี ที่สำคัญแค่ปอกเปลือกก็เข้าปากได้เลย ไม่ต้องหุงหาปรุงสุกอย่างมันฝรั่ง บร็อคโคลี ฟักทอง ที่แม้จะมีวิตามินเอมากกว่า แต่ก็ไม่ง่ายเท่าปอกกล้วยเข้าปาก
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 186 มิถุนายน 2559 โดย ธาราทิพย์)
ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ว่าผักตระกูลกะหล่ำอย่างพวกบร็อคโคลี ดอกกะหล่ำ ช่วยต้านมะเร็งส่วนต่างๆ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ตอนนี้มีการศึกษาใหม่ว่า ช่วยต้านมะเร็งตับได้อีกด้วย
ศาสตราจารย์อลิซาเบธ เจฟเฟอรี แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ และคณะ ได้ทำการศึกษาวิจัยว่า บร็อคโคลีมีผลอย่างไรกับหนูที่เป็นมะเร็งตับ ชนิดเกิดจากสารก่อมะเร็ง โดยแบ่งหนูทดลองเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกควบคุมอาหาร กลุ่มที่กินอาหารไขมันและน้ำตาลสูงแบบชาวตะวันตก กลุ่มที่กินบร็อคโคลี และกลุ่มที่ไม่กินบร็อคโคลี
พบว่า หนูที่กินอาหารแบบตะวันตก มีจำนวนและขนาดของก้อนมะเร็งในตับเพิ่มขึ้น ขณะที่หนูที่กินบร็อคโคลี มีจำนวนก้อนมะเร็งลดลง แต่บร็อคโคลีไม่มีผลต่อขนาดของก้อน
ไขมันที่เราได้รับจากการรับประทานอาหาร ถ้าสะสมมากเข้าก็จะเป็นโรคไขมันพอกตับ และหากเป็นแล้วไม่รักษา หรือไม่ควบคุมดูแลการกินให้ดี ไขมันจะพอกตับมากขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาไปเป็นโรคตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด
เหตุที่บร็อคโคลีและผักตระกูลกะหล่ำ สามารถยับยั้งการสะสมไขมันในตับได้ เพราะมีสารต้านมะเร็งที่ชื่อ ซัลโฟราเฟน การทำให้บร็อคโคลีสุกเล็กน้อย ไม่ผ่านความร้อนนาน ก็จะได้สารต้านมะเร็งชนิดนี้
• ไทเก๊กลดความดันและไขมันในเลือดได้จริง
ดร.เฉิน เพย-จี ประธานมหาวิทยาลัยการกีฬาเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ยืนยันว่า การออกกำลังกายแบบจีนช่วยลดความดันเลือด ไขมันชนิดแอลดีแอล และไตรกลีเซอไรด์ ได้จริง
ทั้งนี้ หลังจากได้ทำการศึกษาแบบสุ่มตรวจคนที่ออกกำลังกายแบบจีน เช่น ไทชิ ชี่กง มาไม่ต่ำกว่า 1 ปี จำนวน 2,249 คนใน 10 ประเทศ ผลที่ได้พบว่า มีระดับความดันโลหิตสูงลดลง ค่าไขมัน LDL ซึ่งเป็นไขมันตัวร้ายลดลง แต่ความแข็งแรงสมบูรณ์ของระบบการทำงานของหัวใจยังคงเดิม
นอกจากนี้ ผู้รับการทดสอบยังยืนยันว่า รู้สึกมีความสุขมากขึ้น เครียดน้อยลง
อันที่จริงนั้น การออกกำลังแบบจีนเป็นการบริหารที่ผสานกันทั้งร่ายกาย จิตใจ และลมหายใจ ซึ่งคนจีนเชื่อว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของคนเรา จึงช่วยให้แข็งแรงและขจัดต้นตอของโรคภัยไข้เจ็บได้
• เครียดเรื้อรังพาสมองอักเสบและความจำหดหาย
คนที่เครียดเรื้อรังเพราะทำงานมากและทำงานยาก เสี่ยงจะเป็นโรคหลงลืมมากขึ้น
ทีมนักวิจัยจาก Ohio State University ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดที่ยืดเยื้อยาวนาน กับการหลงลืมระยะสั้นในหนูทดลอง โดยจัดสถานการณ์ให้หนูเดินไปยังโพรงของมันตามเส้นทางที่มันคุ้นเคย บางตัวทีมวิจัยจัดหนูเกเรตัวใหญ่กว่ามาขวางไว้ระหว่างทาง ให้ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ทำเช่นนี้หลายครั้ง ปรากฏว่าหนูที่ต้องเผชิญหน้า หาทางไปโพรงอย่างยากลำบาก ขณะที่หนูที่ไม่ต้องเผชิญกับความเครียดนี้หาทางไปได้
การไม่สามารถจำได้นี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในหนูที่เครียด คือ เกิดมีเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน หรือ macrophage ขึ้นในสมองของพวกมัน ชี้ให้เห็นว่าสมองเกิดการอักเสบ อันเป็นผลมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อความเครียดนั้น
หลังจากช่วงเครียดผ่านพ้นไป พบว่าการพัฒนาเซลล์ประสาทใหม่ๆ ที่ฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางการตอบสนองทางความจำและอารมณ์ ขาดช่วงหายไปราว 10-28 วัน
ความจำระยะสั้นที่หายไป มีส่วนเชื่อมโยงกับการเกิดสมองอักเสบและระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีต้นตอมาจากความเครียดนั่นเอง
• ผู้หญิงกินโยเกิร์ต ความดันไม่สูง
การประชุมทางวิทยาศาสตร์ของระบาดวิทยาสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา ระบุว่า ผู้หญิงที่กินโยเกิร์ตสัปดาห์ละ 5 ถ้วยขึ้นไป เสี่ยงที่จะมีปัญหาความดันโลหิตสูงน้อยกว่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ค่อยได้กิน
ผู้วิจัยตรวจสอบผลระยะยาวของการกินโยเกิร์ต ต่อการเป็นความดันโลหิตสูงในกลุ่มผู้ใหญ่วัยกลางคน โดยวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เกี่ยวข้องสามกลุ่ม สองกลุ่มแรกส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง อายุระหว่าง 25-55 ปี กลุ่มที่สามส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย อายุระหว่าง 40-75 ปี ติดตามข้อมูลอยู่ 18-30 ปี
พบว่า มีผู้เป็นความดันโลหิตสูงรายใหม่ 74,609 ราย ในจำนวนนี้ ผู้หญิงจากสองกลุ่มแรกที่กินโยเกิร์ตสัปดาห์ละ 5 ถ้วยขึ้นไป เสี่ยงที่จะมีปัญหาความดันโลหิตสูงน้อยกว่าคนที่กินโยเกิร์ตเดือนละ 1 ถ้วย ประมาณร้อยละ 20 ส่วนผู้ชายกินโยเกิร์ตน้อยกว่าผู้หญิง อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ชายได้รับผลดีจากโยเกิร์ตน้อยกว่า
ผู้วิจัยยืนยันว่า การบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างชีส โยเกิร์ต เป็นประจำทุกวัน ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะพัฒนาเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง
• “กล้วย” ช่วยเรื่องการมองเห็น
กล้วยมีสารอาหารสำคัญหลายอย่าง รวมทั้งวิตามินเอ ซึ่งมีหน้าที่สร้างสารที่ใช้ในการมองเห็น หากขาดจะทำให้ตาฝ้ามัวเวลามองตอนกลางคืนหรือในที่แสงสว่างน้อย และยังทำให้เยื่อบุตาแห้ง กระจกตาเป็นแผล ถ้าขาดวิตามินเออย่างรุนแรงอาจทำให้ตาบอดได้
เวลาพูดถึงอาหารบำรุงสายตา คนยุคใหม่มักนึกถึงผลไม้พวกเบอร์รี่ แต่ไม่ค่อยรู้ว่ากล้วยน้ำว้าพื้นบ้านของเรานี่แหละมีวิตามินเอสูง และสูงกว่ากล้วยหอมเกือบสามเท่า
นักวิจัยในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้พัฒนาสายพันธุ์กล้วย Asupine ที่มีวิตามินเอมากกว่ากล้วยปกติ 5 เท่า เพื่อช่วยแก้ปัญหาการตาบอดในแอฟริกา เพราะขาดวิตามินเอ กล้วยตัดแต่งพันธุกรรมนี้มีลักษณะด้านนอกเหมือนกล้วยปกติ แต่เนื้อด้านในมีสีส้ม ซึ่งเป็นสารที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในตับ
บ้านเรามีสารพัดกล้วยอยู่แล้ว หากินง่ายตลอดปี ที่สำคัญแค่ปอกเปลือกก็เข้าปากได้เลย ไม่ต้องหุงหาปรุงสุกอย่างมันฝรั่ง บร็อคโคลี ฟักทอง ที่แม้จะมีวิตามินเอมากกว่า แต่ก็ไม่ง่ายเท่าปอกกล้วยเข้าปาก
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 186 มิถุนายน 2559 โดย ธาราทิพย์)