xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมปฏิบัติ : สติปัฏฐาน ๔ (ตอนจบ) สรุปใจความย่อสติปัฏฐาน ๔

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สรุปใจความย่อหัวข้อแห่งสติปัฏฐานทั้ง ๔ นั้น มีอยู่ ๒ ประเภท คือ รูปหนึ่ง นามหนึ่ง อีกสำนวนหนึ่งเรียกว่า กาย ใจ ถึงจะแยกเป็น ๔ ประเภทก็ตาม สักแต่ว่ากระแสจิตที่แบ่งไปเท่านั้น ถ้าจะกล่าวถึงความประสงค์ในการประพฤติปฏิบัติแล้วก็มีอยู่เท่ากับกายหนึ่ง ใจหนึ่ง

เมื่อต้องการปฏิบัติให้รวบรัดจริงๆ แล้ว ให้กำหนดกาย พิจารณากายนี้หนึ่ง กำหนดใจ พิจารณาใจนี้หนึ่ง

ประการที่ ๑ กำหนดกาย พิจารณากาย ดังนี้ คือให้ทำความรู้สึกไว้ในกายส่วนใดส่วนหนึ่ง เป็นต้นว่า ลมหายใจ เมื่อกำหนดไว้แม่นยำเช่นนี้แล้ว จึงให้ขยายไปดูในส่วนอื่น ได้แก่การพิจารณาส่วนของร่างกายโดยอาการต่างๆ เวลาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในส่วนของร่างกาย จนจิตนั้นนิ่งสงบนิ่งละเอียดเข้าไปยิ่งกว่าเก่า จะมีอะไรเกิดขึ้นในขณะจิตพิจารณาอยู่นั้น อย่ายึดถือเอาเป็นอันขาด

ประการที่ ๒ กำหนดใจ พิจารณาใจ นั้นคือ ทำความรู้สึกไว้ในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ทำความรู้นั้นให้นิ่งอยู่ เมื่อใจนิ่งพอสมควรแล้ว ให้พิจารณาความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของเขา จนรู้ขึ้นได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงของเขาจะดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เป็นสักว่าประเภทสังขาร จะมีความรู้ ความคิด ความเห็นอันใดเกิดขึ้น อย่ายึดถือเป็นอารมณ์ ทำความรู้สึกอยู่ในปัจจุบัน เมื่อทำด้วยอาการเช่นนี้ จิตใจของตนก็จะเป็นไปเพื่อความสงบและความรู้แจ้งเห็นจริงได้ในการปฏิบัติ นี้เรียกว่า ดำเนินตามแนวทางสติปัฏฐานทั้ง ๔

เมื่อทำได้เช่นนี้ ก็เป็นหนทางให้เกิดมรรคจิต ถ้ากำลังองค์มรรคสมบูรณ์เกิดขึ้นในขณะใดแล้ว ก็จะปล่อยกันได้ในขณะนั้น การปล่อยนั้นมีอยู่ ๒ สถานคือ

๑. ปล่อยอารมณ์ได้ แต่ปล่อยจิตใจของตนไม่ได้
๒. ปล่อยอารมณ์ได้ ปล่อยตนได้


การปล่อยตนได้ กับ ปล่อยอารมณ์ได้ นี้เป็นความรู้จริง ปล่อยอารมณ์ได้ แต่ปล่อยตนเองไม่ได้ นี้เรียกว่าไม่รู้จริง

ความรู้ที่แท้จริงนั้นย่อมปล่อยได้ทั้ง ๒ เงื่อน คือวางจิตใจตามสภาพของจิต วางอารมณ์ตามสภาพของอารมณ์ คือธรรมชาติรักษาธรรมชาติ อารมณ์ในที่นี้หมายเอากาย ตนหมายเอาใจ ต้องปล่อยวางไว้ทั้ง ๒ ประการนี้

เมื่อรู้เข้าถึงโดยอาการเช่นนี้แล้ว ก็ไม่ใคร่จะวิตกถึงศีล สมาธิ ปัญญาเท่าไรนัก ศีล สมาธิ ปัญญานั้นไม่ใช่สภาพของจิต สภาพจิตไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสภาพสังขารธรรมเท่านั้น เป็นเครื่องปราบกิเลสให้ดับเมื่อใด ศีล สมาธิ ปัญญาก็ดับลงไปเมื่อนั้น

ศีล สมาธิ ปัญญาเปรียบด้วยน้ำ กิเลสเปรียบเหมือนด้วยไฟ จิตใจเปรียบด้วยคนผู้เอาน้ำไปดับไฟ เมื่อน้ำดับไฟมอดไปแล้ว น้ำก็หายไปในที่นั้นเอง แต่ผู้เอาน้ำไปดับไฟนั้นไม่สูญ

ไฟไม่ใช่น้ำ น้ำไม่ใช่ไฟ คนไม่ใช่น้ำ น้ำไม่ใช่คน คนไม่ใช่ไฟ ไฟไม่ใช่คน สภาพจิตที่แท้จริงนั้นไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอยู่ตามสภาพแห่งตน

คนที่ไม่รู้สภาพแห่งความจริงก็เห็นว่าตายสูญ หรือนิพพานสูญไปต่างๆ เป็นความเข้าใจผิดของบุคคลผู้นั้น ถึงแม้จิตยังไม่ถึงธรรมชั้นสูงเสมอโสดาบันเท่านั้น ท่านก็ย่อมรู้สภาพจิตได้ว่าไม่สูญ เหตุนั้นจึงเกิดศรัทธาอย่างแรงกล้า เชื่อมรรค เชื่อผล แต่ยังไม่พ้นไปจากกิเลสเครื่องเจือปน ถึงจะเจือปนได้ ก็ไม่สามารถที่จะลบล้างสภาพจิตใจของท่านได้ เปรียบเหมือนทองคำตกหล่นอยู่ในธุลี มีเขม่ามลทินเข้าเกาะอยู่ แต่เขม่ามลทินนั้นก็ไม่สามารถกระทำให้ทองคำนั้นกลายเป็นอื่นได้ ผิดจากปุถุชนธรรมดา

ส่วนปุถุชนธรรมดานั้นจะมีจิตใจผ่องใสอยู่บ้าง บางขณะก็ไม่ค่อยจะตายตัว ไม่พ้นไปจากความเศร้าหมองอีก เปรียบเหมือนมีดที่ลับคมแล้วจะทรงตัวอยู่ได้ ก็อาศัยอาบน้ำมันไว้ ถ้าเอาน้ำมันใช้ในกิจการ หรือทิ้งไว้ มีดนั้นอาจกลายเป็นอื่นไปได้

ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติควรกระตือรือร้นขวนขวายช่วยตน ให้เข้าถึงกระแสธรรมชั้นต่ำจนได้ เพราะว่าคุณธรรมทั้งหมดที่กล่าวมา จะเป็นส่วนสังขตธรรมก็ตาม อสังขตธรรมก็ตาม ย่อมมีปนกันอยู่ทุกรูปทุกนาม แต่ไม่ประเสริฐเหมือนวิราคธรรม วิราคธรรมนั้นได้แก่กิริยาที่แยกสังขตะและอสังขตะออกจากกัน เหมือนแยกแร่ทองคำออกจากก้อนหิน

ฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงเป็นของลึกซึ้งละเอียดสุขุม ถ้าใครไม่ตั้งใจปฏิบัติจริงแล้ว ย่อมไม่รู้รสเสียเลย จะเปรียบได้เหมือนนายโคบาลที่รับจ้างเลี้ยงโค ไม่ได้ดื่มรสแห่งนมโค

ฉะนั้น พระพุทธศาสนาท่านก็ชี้ไว้ว่า ปริยัติเรียนรู้คัมภีร์ ปฏิบัติดีรู้ทันกิเลส ปฏิเวธรู้แล้วละวาง ดังนี้

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 182 กุมภาพันธ์ 2559 โดย พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ)
กำลังโหลดความคิดเห็น