xs
xsm
sm
md
lg

ใส่ใจสุขภาพ : 18 วิธีดูแล “เท้าชา” ที่อาจส่อโรคร้าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เรื่องเท้าชาดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปมักไม่ค่อยใส่ใจนัก แต่บางครั้งก็อาจไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่คิด

เพราะอาการชาที่เท้าและนิ้วเท้า อาจเกิดจากสาเหตุหลายอย่าง และบ่อยครั้งมักมีอาการเสียวแปลบๆ ร่วมด้วย อาการชาอาจเกิดจากสาเหตุธรรมดาๆ เช่น กำลังจะนอนหลับ หรือเกิดจากสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง

ดังนั้น จึงต้องหันมาใส่ใจอาการชาที่เท้าและนิ้วเท้า เพราะมันไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการเดินเท่านั้น แต่ยังเป็นอาการของโรคร้ายแรงหลายชนิดอีกด้วย

มาสำรวจดูว่า อาการเท้าชาของคุณเป็นแบบไหน พร้อมทั้งวิธีดูแลรักษาเบื้องต้น

ขั้นที่ 1 ดูว่าอาการชาเกิดขึ้นครั้งแรกตรงไหนและเมื่อไร
• อาการชาเกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนยารักษาโรคชนิดใดชนิดหนึ่งได้ไม่นานหรือเปล่า
• ยาที่แพทย์สั่งบางชนิด จะก่อให้เกิดอาการชา รวมถึงยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า

ขั้นที่ 2 อาการชาเกิดหลังจากหกล้ม หรือได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ กระดูกสันหลัง และแผ่นหลัง หรือเปล่า
• อาการชายังคงอยู่หลังเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งข้างต้นหรือไม่

ขั้นที่ 3 คุณเคยตรวจเบาหวานหรือไม่

ขั้นที่ 4 อาการชาเกิดขึ้นแน่ชัดตรงไหน

• ชาที่นิ้วเท้านิ้วเดียวของเท้าข้างหนึ่ง
• ชาที่นิ้วเท้านิ้วเดียวหรือหลายนิ้วของเท้าทั้งสองข้าง

ขั้นที่ 5 รู้สึกชานานเท่าใด

ขั้นที่ 6 ชาทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้าหรือไม่

• หรือรู้สึกเหมือนนิ้วมือหรือนิ้วเท้าถูกเคลือบด้วยขี้ผึ้ง และตึง

ขั้นที่ 7 อย่าสวมรองเท้าที่ขนาดไม่พอดีกับเท้า
• รองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าที่บีบรัดนิ้วเท้า อาจทำให้เกิดอาการชาได้ เมื่อสวมแล้วรู้สึกไม่สบายเท้า ควรเสริมด้วยแผ่นรองเท้า

ขั้นที่ 8 หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักมาก หากมันทำให้รู้สึกชาที่เท้าและนิ้วเท้า
• ควรยืดเหยียดร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้ง สวมรองเท้าที่เหมาะกับการออกกำลังกาย และออกกำลังกายบนพื้นราบ
• มองหาการออกกำลังกายรูปแบบอื่น ที่ไม่ทำให้เกิดอาการชาเท้าและนิ้วเท้า เช่น การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน

ขั้นที่ 9 ลดน้ำหนักเพื่อลดอาการชาที่เท้าและนิ้วเท้า
• เพราะน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและความอ้วน มีส่วนทำให้เท้าชาได้

ขั้นที่ 10 สวมถุงเท้ายาวหรือถุงเท้าที่กระชับเท้า เพื่อเพิ่มความรู้สึกให้เท้าและนิ้วเท้า
• ถุงเท้ายาวและถุงเท้าที่กระชับเรียวเท้า ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้อาการชาลดลง

ขั้นที่ 11 นวดเท้าและนิ้วเท้า เมื่อรู้สึกชา
• การนวดถูช่วยให้การหมุนเวียนโลหิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ชาน้อยลง

ขั้นที่ 12 ยกเท้าขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงอาการชา
• การยกแขนขาให้สูง ทำให้เลือดหมุนเวียนมากขึ้น และช่วยลดอาการบวม ซึ่งเป็นการป้องกันมิให้เกิดอาการชา

ขั้นที่ 13 เปลี่ยนอิริยาบถ เมื่อรู้สึกชาที่เท้าหรือนิ้วเท้า
• การนั่งไขว่ห้างหรือขัดสมาธิติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เท้าและนิ้วเท้าชา การเปลี่ยนท่าทางจะช่วยให้เลือดไหลเวียนกลับไปยังเส้นเลือดแดงและหลอดเลือดที่ถูกบีบได้

ขั้นที่ 14 กินยาลดอาการบวม
• อาการบวมอาจทำให้รู้สึกชา ลองกินยาพาราเซตามอล หรือไอบูโพรเฟน ที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดบวม

ขั้นที่ 15 ลดการดื่มแอลกอฮอล์
• แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ทำให้อาการชาที่แขนขา เท้าและนิ้วเท้า เพิ่มมากขึ้น การดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง จะช่วยป้องกันอาการชาได้

ขั้นที่ 16 อุ่นเท้าด้วยผ้าห่มไฟฟ้าหรือแผ่นให้ความร้อน
• เมื่อเท้าโดนความเย็น อาจทำให้รู้สึกชาและเสียวได้ จึงควรทำให้เท้าอบอุ่น เพื่อกำจัดอาการชาให้หมดไป

ขั้นที่ 17 หาหมอจัดกระดูก
• อาการบาดเจ็บหรือฟกช้ำที่เกิดขึ้นบริเวณแผ่นหลังและลำคอ อาจส่งผลให้เท้าและนิ้วเท้าชาได้ ซึ่งแพทย์จัดกระดูกจะช่วยปรับและจัดกระดูก เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บและชาให้หายขาด

ขั้นที่ 18 พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอาการชาเรื้อรังที่เท้าและนิ้วเท้า
มีหลายภาวะที่ทำให้เกิดอาการชา จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาภาวะต่างๆ ดังนี้
• ข้ออักเสบ เพราะทำให้ข้อต่อที่เท้าและนิ้วเท้าชาและปวด
• เบาหวาน เพราะมักเป็นสาเหตุให้เกิดอาการชาและอาการแทรกซ้อนที่เท้า
• การตั้งครรภ์ เพราะมักเป็นสาเหตุให้เท้าและนิ้วเท้าบวมและชา
• เลือดไหลเวียนไม่ดี มักก่อให้เกิดอาการชาตามปลายแขนขา รวมถึงเท้าและนิ้วเท้า
• โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หนึ่งในอาการเริ่มต้นของโรคนี้คือ ชาที่มือหรือเท้า
• อาการบาดเจ็บที่เท้า นิ้วเท้า หรือข้อเท้า อาจทำให้รู้สึกชาบริเวณนั้นๆ ซึ่งแพทย์สามารถวินิจฉัยและรักษา เพื่อบรรเทาอาการชาได้

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 179 พฤศจิกายน 2558 โดย เบญญา)
กำลังโหลดความคิดเห็น