ไม่ว่าผู้คนจะเรียกขานด้วยความเคารพยกย่องว่า “เทพเจ้าแห่งด่านขุนทด” “เทพเจ้าแห่งที่ราบสูง” “เทพเจ้าแห่งโชคลาภ” “นักบุญแห่งที่ราบสูง” “ปราชญ์แห่งที่ราบสูง” หรือ “อริยสงฆ์แห่งที่ราบสูง” แต่พระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ก็ยังเป็นหลวงพ่อคูณ พระสงฆ์ธรรมดาๆ ผู้มีเอกลักษณ์คือการนั่งยองๆ เปี่ยมด้วยเมตตา ที่บรรดาลูกหลานหรือลูกศิษย์ลูกหาสัมผัสได้
แม้ชาวบ้านจะเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า ท่านเป็นผู้มีวิทยาอาคม เป็นผู้วิเศษ ที่ช่วยดลบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ แต่หลวงพ่อคูณกลับบอกว่า
“เป็นพระธรรมดา ไม่มีอะไรวิเศษวิโส ก็พระทั่วๆไป ไม่ได้เป็นผู้วิเศษเลิศเลออะไร”
และเมื่อมีผู้ถามว่าท่านมีญาณวิเศษ ที่จะรู้อะไรล่วงหน้าหรือไม่ ท่านตอบพร้อมกับหัวเราะว่า “กูไม่รู้ด๊อก กูจะมีญาณมีเยินอะไร กูมีแต่ยานโตงเตงอย่างที่ว่าเนี่ย”
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้คนมากมายจากทั่วสารทิศ ก็ยังพากันหลั่งไหลมาวัดบ้านไร่ด้วยความศรัทธา มาให้หลวงพ่อคูณเคาะหัว นำโฉนดที่ดิน นำล็อตเตอรี่ ไปให้ท่านเหยียบ เพื่อความเป็นสิริมงคลและโชคดี จนกระทั่งกลายเป็นภาพชินตาเมื่อนึกถึงหลวงพ่อคูณ ซึ่งท่านได้บอกเหตุผลว่า
“อันนั้นมันประโลมใจกัน เอาใจมัน มันมาให้เราทำ หากไม่ทำให้มัน มันจะบอกว่า โธ่ หลวงพ่อนี่จองหอง ให้เหยียบก็ไม่เหยียบ ไม่ทำก็อีกแหละ ถูกไม่ถูกก็มีหน้าที่ต้องทำ กูก็ต้องทำ มันจะถูกอะไร ไอ้คนที่ถูกกันทั่วบ้านทั่วแผ่นดินเขาไม่เห็นต้องมาให้กูเหยียบ กูก็รู้ ทำตามใจมันเฉยๆ ให้มันดีใจ เดี๋ยวมันจะโกรธ”
เมื่อมีชาวบ้านถวายเงินท่านเกิน 2 ใบขึ้นไป ท่านจะเลือกหยิบเฉพาะใบที่มีค่าน้อยเพียงใบเดียว ส่วนที่เหลือคืนให้กับคนถวาย บอกว่า "กูให้มึงเก็บไว้ทำทุน" แต่เหนืออื่นใด ท่านบอกว่า “เท่านั้นก็พอ โลภของคนร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน มันก็ไม่พอ”
ความศรัทธาเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อคูณ ส่งผลให้วัตถุมงคลของท่านที่วัดบ้านไร่และบรรดาลูกศิษย์ทำออกมามากมาย ได้รับความนิยมอย่างสูง เพราะเชื่อว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้กัน ประเภทยิงฟันไม่เข้า ซึ่งท่านเคยพูดถึงเรื่องนี้ว่า
“กูไม่ว่าอย่างนั้น กูว่าอย่างนี้ ที่เอาเหรียญไป เอาพระไป คือไม่ใช่ว่าจะไปอวดดีอวดเก่งอะไร เอาใส่ห้อยคอ ใส่กระเป๋าไป เป็นการกระตุ้นเตือนใจว่า เราอย่าไปทำสิ่งที่ชั่วช้าสารเลวอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ให้นึกถึงคุณพระ หรือว่าพระที่อยู่กับเรา นี่ความหมายที่บอกไปคืออย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเอาไปยิงไม่ตาย ฟันไม่ตาย กูไม่เคยพูด”
และท่านยังย้ำด้วยว่า “คุณพระคุ้มครองแต่คนอยู่ในศีลในธรรม คนนอกศีลนอกธรรมคุณพระก็ไม่คุ้มครองเมตตาหรอก ไม่มีศีล 5 ประจำใจแม้แต่ตัวเดียว คุณพระก็ไม่คุ้มครองเด็ดขาด”
เคยมีครั้งหนึ่งที่รถเกิดอุบัติเหตุ มีคนตาย รถพังยับเยิน ภายในรถพบรูปหล่อหลวงพ่อคูณอยู่ด้วย เมื่อนักข่าวถามท่านว่า ทำไมในรถคันนั้นมีพระของหลวงพ่ออยู่ แต่เกิดอุบัติเหตุ แสดงว่าพระเครื่องของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ไม่จริง
หลวงพ่อจึงถามว่า "แล้วไอ้รถคันนั้น คนขับมันขับไวเท่าใด"
นักข่าวตอบว่า "เห็นเขาว่าขับประมาณ 120 ครับ"
หลวงพ่อก็ตอบว่า "อ้อ มันขับไวนี่หว่า ถึงว่ามันตาย แค่มันขับเกิน 80 ไป กูก็กระโดดลงก่อนแล้ว แหละหลานเอ๋ย กูไม่ไปด้วยด๊อก"
ดังนั้น เมื่อมีผู้มาให้เจิมรถ ท่านก็จะเขียนบนแผ่นบังแดดหน้าคนขับว่า “อย่าประมาท” เพื่อเป็นการเตือนสติผู้ขับขี่ ให้คุ้มครองตัวเองเป็นเบื้องต้น
เมื่อเงินทองหลั่งไหลมามากมายพร้อมกับศรัทธามหาชน หลวงพ่อคูณก็มิได้เก็บไว้เป็นของตัวเอง แต่ได้นำไปสร้างสาธารณประโยชน์มากมาย
“ใครมาบริจาคกับกู จะเป็นคนชั้นไหนก็ตาม เอาเงินมาฝาก คนยากคนจน คนรวยก็ตาม ก็ถือว่าเขาเอาเงินมาฝากกับกู กูไม่ได้เอามาเป็นสมบัติส่วนตัว กูตีกลับไปเหมือนกัน เขาว่าเอาเงินมาถวายหลวงพ่อ แต่ก็ไม่บ้าเอามาเป็นของกู กูตีกลับว่า เขาเอามาฝากกู ก็ต้องเอาเงินส่วนนั้นไปทำประโยชน์ให้แก่สาธารณะ ไปทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมือง อย่ามากักกันเอาไว้ไม่ได้ คนที่เขาบริจาคก็จะได้รับอานิสงส์บ้าง อย่ามาว่าของกู ของกู อย่างนี้ใช้ไม่ได้”
หลวงพ่อคูณจะเน้นการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ด้วยเหตุผลว่า “โรงพยาบาลมึงไปดูเถอะ ไม่ว่าสถานที่หนึ่งที่ใดจะหาบ้านพักไม่มี ไปนอนตามฟุตบาทก็มี โรงเรียนก็จะหาโรงเรียนไม่มี มันแน่นกันไปหมดแล้ว สร้างโบสถ์ตั้งหลายล้านบาท นานๆ จะมีพระมาบวช สร้างเมรุก็นานๆ จะมีศพมาเผา..”
แม้จะทำบุญสร้างสาธารณประโยชน์ และสาธารณกุศลมากมาย แต่การทำบุญที่หลวงพ่อคูณดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ คือ การทำบุญกับในหลวง
ย้อนไปเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ มาที่วัดบ้านไร่ เพื่อทรงประกอบพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่บุษบกเหนือพระอุโบสถ หลวงพ่อคูณซึ่งในเวลานั้นมีอายุ 72 ปี ได้ทูลเกล้าฯถวายเงิน 72 ล้านบาท โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบถึงความลำบากยากแค้นของชาวด่านขุนทด ซึ่งประสบปัญหาขาดแคลนน้ำทุกปี จึงพระราชทานพระราชดำริ และเงินจำนวนดังกล่าว ให้กรมชลประทานดำเนินการโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวด่านขุนทด ภายใต้ชื่อ “โครงการพัฒนาลำน้ำสาขาห้วยสามบาท อันเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริ”
หลวงพ่อคูณเปิดเผยภายหลังว่า “กูรู้สึกดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ บุญทานอื่นทำมามาก แต่ทำบุญกับพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ได้ทำ.. ทำบุญกับท่านยิ่งใหญ่นัก ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย 72 ล้านบาท ภูมิใจมหาศาล เงินที่ลูกหลานบริจาคทีละเล็กละน้อยสะสมรวมไว้เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย พี่น้องจะได้รับอานิสงส์ด้วย..”
จากคำบอกเล่าของลูกศิษย์ใกล้ชิด และเคยถามหลวงพ่อว่า ในหลวงทรงตรัสอะไรกับหลวงพ่อบ้าง
หลวงพ่อคูณเงียบเพียงครู่ ก่อนจะตอบมาเบาๆ ว่า “มึงรู้ไหม มือพระองค์เป็นมือคนทำงานอย่างก๊ะชาวไร่ชาวนา แข็งกระด้างมากๆ"
และเมื่อถูกถามอีกว่า หลวงพ่อใช้คำเรียกพระองค์ว่าอะไร หลวงพ่อท่านเงียบ แล้วก็ตอบว่า พระองค์ตรัสประโยคแรกว่า…"หลวงพ่อครับ พูดตามปกตินะครับ ผมเป็นคนไทย”
จากนั้นมาหลวงพ่อคูณก็ได้ตั้งปณิธานไว้ว่า
"ตราบใดที่กูยังมีลมหายใจอยู่ ก็ตั้งใจว่าจะหาเงินทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงอีก ตั้งงบไว้ในใจ 100 ล้าน"
แต่แล้วเมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2558 พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 11 ก็ได้ละสังขารอย่างสงบ สิริอายุ 91 ปี พรรษา 70 ยังความเศร้าโศกเสียใจอย่างใหญ่หลวงมาสู่ผู้เคารพศรัทธา
การละสังขารครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างบารมีธรรมครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อคูณ เพราะท่านได้ทำ “พินัยกรรม” มอบสังขาร เพื่อเป็น “อาจารย์ใหญ่” ของนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านเคยบอกไว้ว่า
“อยากจะสร้างบารมีในเรื่องบริจาคศพ ดีกว่าเอาไปเผาทิ้ง ให้เขาเอาไปเป็นทาน เป็นครูเขา เขาจะได้เอาไว้พิจารณาหาเหตุผลในเรื่องแพทย์ กูนึกได้อย่างนั้น กูก็อยากสร้างบารมีของกู กูบริจาคไป พวกมึงก็ควรอนุโมทนาสาธุการกับกู ทำบุญร่วมกับกูไปเถอะลูกหลานเอ๊ย ของอะไรทุกอย่าง เกิดแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา มันไม่เที่ยงแท้แน่นอนหรอก..”
ด้วยความที่หลวงพ่อคูณเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา เป็นพระผู้ให้มาตลอดชีวิต และที่สำคัญถือว่าตัวท่านเองเป็นเพียงพระธรรมดาๆ ท่านจึงได้ระบุไว้ในพินัยกรรมด้วยว่า
“เมื่อสิ้นสุดการศึกษาค้นคว้าของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้ว ให้จัดงานแบบเรียบง่าย ละเว้นการพิธีสมโภชใดๆ และห้ามขอพระราชทานเพลิงศพ โกศ และพระราชพิธีอื่นๆ เป็นกรณีพิเศษเป็นการเฉพาะ โดยให้คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กระทำพิธีเช่นเดียวกับการจัดพิธีศพของอาจารย์ใหญ่นักศึกษาแพทย์ประจำปีร่วมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น”
หลังการสวดพระอภิธรรม บำเพ็ญกุศลครบ 7 วัน ก็ได้มีพิธีเคลื่อนสรีระสังขารหลวงพ่อคูณ จากศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น ไปยังภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อส่งมอบสรีระสังขารตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม โดยมีคลื่นมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลเข้าร่วมพิธีเคลื่อนขบวน เป็นระยะทางราว 4 กม. เพื่อส่งเทพเจ้าแห่งด่านขุนทดเป็นครั้งสุดท้าย
ภาพเช่นนี้ หลวงพ่อคูณได้ฉายให้เห็นมาก่อนหน้า พร้อมกับคำสอนที่ว่า
“หมู่พวกเพื่อนฝูงญาติมิตรสหาย เมื่อเวลาดับจิตหรือว่าหมดลมหายใจเข้าออกแล้ว เขาก็ไปส่งได้แค่เมรุเท่านั้น จะไปสู่สุคติหรือทุคติ เราไปเอง บุญทานการกุศลที่เราได้สร้างได้ทำนี่แหละสำคัญจะนำไปสู่สุคติ เพราะฉะนั้นพี่น้องลูกหลาน พยายามช่วยกันสร้างคุณงามความดี อย่าเป็นคนเนรคุณต่อประเทศชาติบ้านเมือง”
บัดนี้ หลวงพ่อคูณ อริยสงฆ์แห่งที่ราบสูง ได้เดินทางครั้งสุดท้ายของชีวิตไปสู่สุคติแล้ว ด้วยบุญกุศลความดีงามที่ท่านได้สั่งสมมาตลอดการดำรงธาตุขันธ์ เหลือเพียงลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพศรัทธา ซึ่งยังมีลมหายใจอยู่ จะระลึกรู้และเข้าถึงหนทางแห่งสุคติตามที่หลวงพ่อท่านสอนไว้.. ได้มากน้อยเพียงใด
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 174 มิถุนายน 2558 โดย กองบรรณาธิการ)