ปกติเมื่อช่างแกะแยกชิ้นส่วนในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นชิ้นๆ ก็เพื่อดูว่ามันทำงานอย่างไร ซึ่งต่างจาก “ลีโอนาร์โด อูเลียน” (Leonardo Ulian) ศิลปินหนุ่มชาวอิตาลี วัย 40 ปี ที่ถอดแยกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ตัวเก่า ด้วยแนวคิดด้านปรัชญามากกว่าที่จะสนใจการทำงานของมัน
อูเลียนมองหาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อนำไปทำภาพคอลลาจหรือภาพปะติด ที่ดูเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม
“เราใช้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ และไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรอยู่ภายในนั้น” เขากล่าว “ผมต้องการนำสิ่งที่อยู่ภายในตัวเครื่องออกมาโชว์ให้เห็นถึงความสวยงามของมัน”
แล้วอูเลียนก็ได้สร้างสรรค์งานศิลปะง่ายๆ ด้วยการนำชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เล็กๆหลายร้อยชิ้นมาเชื่อมเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นศิลปะที่ดูเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ มากกว่าจะเป็นแค่ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เช่น ในปี 2012 เขาเริ่มลงมือสร้างผลงานที่ชื่อว่า “Mandala”
ศิลปินหนุ่มเล่าว่า ได้นำแนวคิดและความหมายด้านจิตวิญญาณของมันดาลา มารวมกับเทคโนโลยี การค้นหาความสมบูรณ์แบบ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ได้กระตุ้นให้เขาสร้างผลงานชุดนี้ เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นที่ตัวเองมี
“ผมต้องการแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่หลบซ่อนสายตาผู้บริโภค ด้วยการนำแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์มาเป็นตัวแทนสิ่งพิเศษ ซึ่งรูปแบบที่สมบูรณ์ของมันนั้น อาจกลายเป็นสิ่งที่เปราะบาง รูปร่างและสีของชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในความงดงามที่บริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อถูกนำไปใช้งานจริง ก็จะสูญหายไป แผงวงจรหรือมันดาลาที่ผมสร้างขึ้นนั้น สร้างกระแสไฟฟ้าไม่ได้ แต่มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดคำถามง่ายๆ เช่น จะเกิดอะไรขึ้น ถ้ากระแสไฟฟ้าจริงๆวิ่งผ่านแผงวงจรหรือมันดาลา”
มันดาลาที่อูเลียนสร้างสรรค์ขึ้นจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้น เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ไม่ได้ยึดติดกับรูปแบบประเพณีที่ต้องทำเป็นวงกลม เช่นที่ชาวพุทธทิเบตสร้างมันดาลาเป็นรูปวงกลมจากเม็ดทรายหลากสี แล้วก็จัดพิธีทำลายทิ้งในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นเหตุผลที่อูเลียนเปรียบเทียบชิ้นงานมันดาลาของเขากับมันดาลาของทิเบต ว่า
“เทคโนโลยีนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถาวร มีวิวัฒนาการอยู่เสมอ เทคโนโลยีจึงเหมือนกับมันดาลา ที่มีการดับสูญและไม่จีรัง”
อูเลียนบอกถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อในการสร้างผลงานชุดมันดาลาจากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ดูเหมือนจะมีความขัดแย้งกันว่า
“ผมชอบแนวคิดการผสมผสานสองโลกที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย และขอย้ำความจริงที่ว่า เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ได้กลายมาเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันของเราทุกคน เรียกได้ว่าเกือบเป็นสิ่งที่หลายคนพากันบูชา
ผมอยากให้มองมันดาลาที่ผมสร้างขึ้น เป็นสิ่งเล็กๆที่ไม่จีรัง แต่สามารถกระตุ้นสายตาและกระตุกใจของผู้ชม ให้เห็นภาพและแนวคิดต่างๆอย่างสบายๆ และที่ผมใช้คำว่า “ไม่จีรัง” เนื่องจากเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งชั่วคราว มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จึงตกยุคได้ง่าย เช่นเดียวกับมันดาลาทราย ซึ่งเมื่อทำเสร็จ ก็จะถูกทำลายลงอย่างง่ายดายหลังจากนั้น”
ศิลปินหนุ่มตอบคำถามที่ว่า “เขาคิดว่าจิตวิญญาณและอิเล็กทรอนิกส์มีความคล้ายคลึงกันหรือไม่”
“มันอาจมีความคล้ายคลึงกัน ผมไม่ทราบจริงๆนะ แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ เราใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตเราทุกๆด้าน และในหลายกรณีเราต้องพึ่งพามัน
พูดแบบทั่วไปก็คือ เทคโนโลยีค่อยๆลดทอนสติที่อยู่ภายในตัวของเราออกไปทีละน้อย ซึ่งการมีสตินั้น ทำให้เราตระหนักถึงตัวตนและจิตวิญญาณของเราเอง จากนั้นเทคโนโลยีก็จะแทนที่สติ ด้วยสิ่งอื่นที่แตกต่างออกไป ทำให้เราเป็นเหมือนเครื่องจักรกล เราเชื่อว่าเราเป็นผู้ครอบครองวัตถุ แต่ทว่าในบางกรณี วัตถุกลับเป็นผู้ครอบครองเรา เนื่องจากเราต้องพึ่งพามันเป็นอย่างมาก
ดังนั้น คำตอบของผมอาจจะเป็น “ไม่” จิตวิญญาณไม่ได้คล้ายคลึงกับเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เพราะเทคโนโลยีค่อยๆทำให้เราขาดสติ แต่การมีสติเป็นสิ่งที่ทำให้บุคคลมีจิตวิญญาณ”
งานศิลปะชิ้นล่าสุดของอูเลียน มีชื่อว่า “Microchip Synapse” เป็นซีรีย์ภาพแอบสแตรก (ภาพนามธรรม) ที่แสดงให้เห็นเครือข่ายเส้นใยสมองของมนุษย์ ซึ่งเขาต้องการสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เปรียบเทียบกับสมองกลคอมพิวเตอร์
“เรามีชีวิตอยู่ในช่วงที่อิเล็กทรอนิกส์ได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแห่งความเป็นจริงที่เรารับรู้ได้ หากปราศจากไมโครชิพแล้วละก็ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหยุดทำงาน” อูเลียนกล่าว
• รู้จัก มันดาลา (MANDALA) “มณฑลแห่งการตรัสรู้”
คำว่า ‘มันดาลา’ มาจากภาษาสันสกฤต ‘มันดา (manda)’ แปลเป็นภาษาทิเบต ตรงกับคำว่า ‘dkyil’ ซึ่งหมายถึง ‘แก่นศูนย์กลาง หรือที่นั่ง’ โดยใช้ในความหมายควบคู่ไปกับคำว่า ‘โพธิ’ หรือการตื่นรู้ การบรรลุธรรม ซึ่งชี้ถึงสถานที่นั่งภายใต้ต้นโพธิ์ ที่ซึ่งการตรัสรู้อย่างสมบูรณ์ได้เกิดขึ้น
ส่วนคำว่า ‘ลา (la)’ หมายถึง ‘วงล้อที่หลอมรวมแก่น’ ดังนั้น ‘มันดาลา’ จึงแปลว่า ‘ที่ประทับของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ต่างๆในขณะที่รู้แจ้ง’ และภาพเหล่านี้จะปรากฏในมโนทัศน์ของวัชราจารย์(ครูบาอาจารย์ในพุทธศาสนานิกายวัชรยาน) สำหรับคนไทยเรียกคำว่ามันดาลาเป็นสำเนียงไทยว่า ‘มณฑล’ นั่นเอง ซึ่งก็มีความหมายสอดคล้องกัน
ในทางคัมภีร์แล้ว ทิเบตถือว่าทุกชีวิตก็คือมันดาลา มากกว่าจะเป็นเพียงแค่จุดของการตระหนักรู้ เพราะเราก็คือสิ่งแวดล้อมของเราเอง อาจกล่าวได้ว่า มันดาลาก็เปรียบเหมือนพิมพ์เขียวสำหรับการบรรลุธรรม ที่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นการปลดปล่อยตนเองสู่อิสรภาพที่แท้จริงเท่านั้น แต่ยังเป็นการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะแวดล้อม
โดยทั่วไป มันดาลามักจะสร้างเป็นวิหารที่มีประตู 4 ทิศ ซึ่งแต่ละทิศจะแสดงถึงพรหมวิหารทั้ง 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา และก่อนที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะเดินเข้าประตูได้นั้น จะต้องผ่านด่านทดสอบคือกำแพง 4 ชั้น ซึ่งประกอบไปดัวย
1. กำแพงไฟแห่งความรู้อันบริสุทธิ์
2. กำแพงเพชรแสดงความแข็งแกร่งและกล้าหาญ
3. กำแพงหลุมศพแห่งการมีสติรู้
4. กำแพงดอกบัวแสดงถึงการยอมอุทิศตนต่อพุทธะ
มันดาลาสามารถสร้างได้จากกระดาษ ผ้า หรือทรายก็ได้ โดยมักเริ่มจากโครงประกอบด้วยรูปทรงเรขาคณิตแบบง่ายๆ และค่อยๆเพิ่มรายละเอียดภายในตามแต่จินตนาการหรือภาพนิมิตที่เห็น ดังนั้น การสร้างแต่ละครั้งสิ่งที่สำคัญคือ จิตใจที่มีสมาธิจดจ่อในสิ่งที่กำลังสร้าง
พระลามะส่วนใหญ่รู้วิธีการสร้างมันดาลา เพื่อใช้ในการประกอบพีธีต่างๆ ซึ่งมักสร้างโดยการโรยทรายผสมสี มันดาลาบางรูปใช้เวลาสร้างเป็นเดือน ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้ว การสร้างมันดาลาเป็นการฝึกฝนจิตอย่างหนึ่ง มโนจิตและสมาธิต้องดำเนินไปด้วยกัน การสร้างมันดาลาไม่มีการร่างโครงร่างก่อน ไม่ว่ารูปมันดาลานั้นจะใหญ่หรือเล็กขนาดใด ดังนั้น มโนจิตในมันดาลานั้นต้องเที่ยงตรง สมาธิต้องมั่นคง บางครั้งพระบางรูปจะท่องมนตราและแผ่เมตตาในขณะที่สร้างด้วย
ส่วนปริศนาธรรมที่แฝงมาในเมนดาลานั้นก็คือ ไม่ว่าจะสมบูรณ์สวยงามหรือมั่นคงเพียงใด สุดท้ายก็ต้องสูญสลายไปตามธรรมชาติ และก็เช่นกันเมื่อสูญสลายไปแล้ว ก็จะต้องถูกสร้างขึ้นมาอีก เพราะความมีอยู่ทำให้เกิดความว่าง และความว่างก็เป็นบ่อเกิดของความมีอยู่
นอกจากนี้ ชาวทิเบตเองยังมีความเชื่อว่า มันดาลาสร้างโดยพระผู้มีปัญญาอันบริสุทธิ์ เนื่องจากในขณะที่สร้าง พระสงฆ์ได้อัญเชิญพลังศักดิ์สิทธิ์มาสถิตในมันดาลา ซึ่งจะเป็นสิริมงคลให้กับผู้ที่ได้มาเยี่ยมชมมันดาลา อีกทั้งยังช่วยคุ้มครองปกป้องสถานที่ซึ่งมันดาลานั้นตั้งอยู่อีกด้วย
ปัจจุบัน ได้มีการประยุกต์เรื่องมันดาลามาใช้ในการบำบัดรักษาโรคทางจิต โดยให้ผู้รับการบำบัดวาดภาพมันดาลา ซึ่งเป็นการแสดงออกทางอารมณ์และจิตใต้สำนึกของตัวตนภายใน ทำให้จิตแพทย์สามารถเข้าใจถึงปมปัญหาของคนไข้ได้มากขึ้น มันดาลาในยุคปัจจุบันจึงมีรูปร่างและสีสันที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่ละบุคคลจะสร้างออกมา”
(ข้อมูลจากธรรมลีลา ฉบับที่ 37 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2546)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 166 ตุลาคม 2557 โดย มนตรา)


