ในช่วงหน้าฝนนี้ มักมีข่าวคนเสียชีวิตจากฟ้าผ่า ดังนั้น นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จึงออกมาเตือนว่า ในช่วงที่สภาพอากาศร้อนอบอ้าวและมีความชื้นสูง หากมีพายุฝน ฟ้าคะนองจะมีโอกาสเกิดฟ้าผ่าได้ง่าย
ทั้งนี้ ข้อมูลการเฝ้าระวังการบาดเจ็บรุนแรงจากการถูกฟ้าผ่า (Lightening-related injuries) ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ร่วมกับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่อยู่ในเครือข่ายการเฝ้าระวังการบาดเจ็บแห่งชาติ 33 แห่ง ของ สธ. พบว่าในรอบ 5 ปี ระหว่างปี 2551-2555 มีผู้ถูกฟ้าผ่า 180 ราย เสียชีวิต 46 ราย คิดเป็นอัตราตายร้อยละ 26
นพ.ณรงค์ยังบอกด้วยว่า ภัยจากฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่ากลัว และมีอันตรายสูง โดยลักษณะของฟ้าผ่าแบ่งเป็น 4 แบบ คือ 1. ฟ้าผ่าภายในก้อนเมฆ 2. ฟ้าผ่าระหว่างก้อนเมฆ 3. ฟ้าผ่าจากฐานเมฆลงสู่พื้นเรียกว่า ฟ้าผ่าแบบลบ 4. ฟ้าผ่าจากยอดเมฆลงสู่พื้น เรียกว่าฟ้าผ่าแบบบวก โดยฟ้าผ่าแบบลบและแบบบวกนั้น จะทำอันตรายต่อคน สัตว์ และสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนพื้นดินหรือพื้นน้ำ
ทั้งนี้ ฟ้าผ่าแบบลบจะผ่าลงบริเวณใต้เงาของเมฆฝนฟ้าคะนองเป็นหลัก ส่วนฟ้าผ่าแบบบวกสามารถผ่าได้ไกลออกไปจากก้อนเมฆประมาณ 40 กิโลเมตร ในเวลาอันรวดเร็วภายในเวลา 1 วินาที มักจะเกิดในช่วงท้ายของพายุฝนฟ้าคะนองคือหลังจากที่ฝนซาแล้ว
ส่วน นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้แนะนำวิธีป้องกันตัวให้ปลอดภัยจากฟ้าผ่า ดังนี้
1. หากอยู่ในที่โล่งให้หาที่หลบที่ปลอดภัย เช่น อาคารขนาดใหญ่ แต่อย่าอยู่ใกล้ผนังอาคาร ประตูและหน้าต่าง หรือควรหลบในรถยนต์ที่ปิดกระจกมิดชิด แต่อย่าสัมผัสกับตัวถังรถ
2.หากหาที่หลบไม่ได้ ให้หมอบนั่งยองๆ ให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด โดยแนบมือทั้งสองข้างติดกับเข่า แล้วซุกศีรษะเข้าไประหว่างเข่า ส่วนเท้าให้ชิดกันหรือเขย่งปลายเท้า เพื่อลดพื้นที่สัมผัสกับพื้นให้น้อยที่สุด แต่อย่านอนหมอบกับพื้น เพราะกระแสไฟฟ้าอาจวิ่งมาตามพื้นได้
3. อย่ายืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้สูงและบริเวณใกล้เคียงกับต้นไม้ หรืออยู่ในที่สูงและใกล้ที่สูง ที่สำคัญอย่ากางร่ม
4. ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือกลางแจ้งในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เพราะแม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะไม่ใช่สื่อล่อฟ้า แต่ฟ้าผ่าจะเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าเข้ามาในมือถือ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือมีส่วนประกอบที่เป็นแผ่นโลหะ สายอากาศและแบตเตอรีที่เป็นตัวล่อฟ้า จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า และยังทำให้แบตเตอรี่ลัดวงจรจนเกิดระเบิด ส่งผลให้ผู้ถูกฟ้าผ่าได้รับบาดเจ็บมากขึ้น
5. ห้ามใช้โทรศัพท์บ้านหรือเล่นอินเทอร์เน็ตในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เพราะฟ้าอาจผ่าลงมาที่เสาสัญญาณหรือเสาอากาศที่อยู่นอกบ้าน และกระแสไฟจากฟ้าผ่าจะวิ่งมาตามสายโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ทำให้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ รวมทั้งผู้ใช้งานได้รับอันตราย
6. ควรถอดอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าออกให้หมด เพราะฟ้าอาจผ่าลงที่เสาไฟฟ้าหรือสายไฟฟ้า ทำให้กระแสไฟฟ้ากระชากเครื่องใช้ไฟฟ้า อาจทำให้เสียได้ และควรดึงเสาอากาศของโทรทัศน์ออก เพราะหากฟ้าผ่าที่เสาอากาศบนหลังคาบ้าน อาจวิ่งเข้าสู่โทรทัศน์ได้
7. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับโลหะทุกชนิด เนื่องจากโลหะเป็นตัวนำไฟฟ้าและอย่าอยู่ใกล้สายไฟ
8. หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ เพราะเป็นตัวนำไฟฟ้า
9. ควรเตรียมไฟฉายไว้ส่องดูทาง เพราะอาจเกิดไฟดับหรือไฟไหม้ได้
• จับสัญญาณความเสี่ยงของการเกิดฟ้าผ่า
วิธีการสังเกตสัญญาณความเสี่ยงของการเกิดฟ้าผ่า โดยหากมีเมฆฝนฟ้าคะนองอยู่บนเหนือศีรษะ แล้วปรากฏว่าเส้นขนบนผิวหนังลุกชันขึ้น หรือเส้นผมบนศีรษะลุกตั้งขึ้น แสดงว่ากำลังเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า หรือหากเกิดพายุฝนฟ้าคะนองใกล้ตัวในระยะประมาณ 16 กิโลเมตร แล้วมีฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า และได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังฟ้าแลบน้อยกว่า 30 วินาที แสดงว่าอยู่ใกล้เขตเสี่ยงฟ้าผ่า ต้องเพิ่มความระมัดระวัง
• วิธีปฐมพยาบาลผู้ถูกฟ้าผ่า
สำหรับวิธีปฐมพยาบาลผู้ถูกฟ้าผ่า ให้สังเกตก่อนว่า ในบริเวณที่เกิดเหตุยังมีความเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่าหรือไม่ ถ้ามีให้เคลื่อนย้ายผู้ถูกฟ้าผ่าไปยังตำแหน่งที่ปลอดภัย เพื่อป้องกันตัวเราเองจากการถูกฟ้าผ่า และสามารถแตะต้องตัวผู้ถูกฟ้าผ่าได้ทันที เนื่องจากคนที่ถูกฟ้าผ่าจะไม่มีกระแสไฟฟ้าหลงเหลืออยู่ในตัว ซึ่งต่างจากผู้ที่ถูกไฟฟ้าดูด หรือไฟฟ้าช็อต ดังนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่าเราจะถูกไฟฟ้าดูด
โดยการปฐมพยาบาลผู้ถูกฟ้าผ่าจะใช้วิธีเดียวกับผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อต กล่าวคือหากหมดสติ ไม่รู้ตัว หัวใจหยุดเต้น และไม่หายใจ ซึ่งสังเกตได้จากอาการที่เกิดขึ้นคือ ริมผีปากเขียว สีหน้าซีดเขียวคล้ำ ทรวงอกเคลื่อนไหวน้อยมากหรือไม่เคลื่อนไหว ชีพจรบริเวณคอเต้นช้าและเบามาก
ถ้าหัวใจหยุดเต้นจะคลำชีพจรไม่ได้ หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ขอให้ช่วยผายปอดทันทีก่อนนำส่งโรงพยาบาล ด้วยการให้ลมทางปากหรือที่เรียกว่า “การเป่าปาก” ร่วมกับนวดหัวใจเพื่อให้ปอดและหัวใจทำงาน โดยให้วางมือตรงกึ่งกลางลิ้นปี่เล็กน้อย กรณีทำการปฐมพยาบาลคนเดียวให้นวดหัวใจ 15 ครั้ง สลับกับการเป่าปาก 2 ครั้ง ถ้าทำการปฐมพยาบาลสองคน ให้นวดหัวใจ 5 ครั้งสลับกับการเป่าปาก 1 ครั้ง ก่อนนำผู้ป่วยส่งแพทย์ต่อไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 163 กรกฎาคม 2557 โดย กองบรรณาธิการ)