นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า ประชากรโลกได้เปลี่ยนผ่านสู่สังคมสูงวัยแล้ว โดยในปี พ.ศ. 2555 โลกมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป ประมาณร้อยละ 8 ของประชากรโลกทั้งหมด 7,000 ล้านคน ซึ่งในระดับอาเซียนมีเพียงไทยและสิงคโปร์เท่านั้น ที่เข้าสู่สังคมสูงวัย โดยประเทศไทยเป็นอันดับ 2 รองจากสิงคโปร์
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรสูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ซึ่งล่าสุด ข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ กรมการปกครอง ณ วันที่ 31 ธ.ค.2556 มีจำนวนผู้สูงวัย 8,970,740 คน หรือ ประมาณร้อยละ 14 ของประชากรทั้งหมด เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
และจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553-2583 ภายใต้ข้อสมมติภาวะเจริญพันธุ์ลดลงตามปกติ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) 2556 ก็ได้ชี้ให้เห็นว่า ในอีก 7 ปีข้างหน้า (ปี พ.ศ. 2564) ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีจำนวนผู้สูงวัยมากกว่า 13 ล้านคน คิดเป็นประมาณ ร้อยละ 20 หรือประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศ
กล่าวได้ว่า ประชากรทุก 5 คน จะเป็นผู้สูงวัย 1 คน และจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ในปี พ.ศ.2574 โดยในราวปี พ.ศ. 2561จะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่จะมีประชากรสูงวัยมากกว่าประชากรวัยเด็ก
อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวอีกว่า การจัดบริการสุขภาพได้แบ่งผู้สูงอายุเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มติดสังคม พบประมาณ ร้อยละ 78 ของประชากรผู้สูงอายุทั้งหมด เป็นกลุ่มที่สุขภาพทั่วไปดี ช่วยเหลือตัวเองได้ มีโรคเรื้อรังที่ควบคุมได้ 1-2 โรค กลุ่มติดบ้าน พบประมาณ ร้อยละ 20 เป็นกลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือบางส่วน มีโรคเรื้อรังหลายโรค และกลุ่มติดเตียง พบประมาณ ร้อยละ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ มีภาวะแทรกซ้อน เปราะบาง ชราภาพ
ข้อแนะนำ สำหรับผู้สูงอายุที่ติดบ้าน ติดเตียง คือ ต้องมีกิจกรรมประจำวันที่ได้ใช้การพูด การคิด ความจำ การแก้ไขปัญหา ทำกิจกรรมต่างๆเท่าที่ทำได้ เช่น สวดมนต์ พูดคุยกับลูกหลาน ทำสวน งานช่าง งานอดิเรก งานที่ทำให้เพลิดเพลิน ติดตามเหตุการณ์ข่าวสารรอบตัว การออกไปท่องเที่ยวนอกบ้าน ซึ่งบางกิจกรรมต้องอาศัยการสนับสนุนช่วยเหลือจากลูกหลาน ผู้ดูแล เพื่อให้ทำกิจกรรมต่างๆได้
ประกอบกับควรมีการเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการสนับสนุนทางสังคม เช่น การสนับสนุนส่วนที่ครอบครัวหรือผู้สูงอายุขาดหรือมีความจำเป็น พาผู้สูงอายุที่ติดบ้านไปซื้อของ ไปท่องเที่ยว หรือปฏิบัติธรรม ก็จะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน สังคม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
นอกจากลูกหลานต้องเอาใจใส่ดูแลผู้สูงอายุ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจแล้ว ผู้สูงอายุเองก็จำเป็นต้องเอาใจใส่ดูแลตนเองให้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะการสร้างคุณค่าให้กับตนเอง สามารถพึ่งพาตนเองได้ จะได้ดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ เกิดความสุขในชีวิต เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับลูกหลาน เปลี่ยนจากภาระเป็นพลังของสังคม
ผู้สูงอายุสามารถสร้างความสุขให้กับตนเองได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
1. กิจกรรมเสริมพลัง ประกอบด้วย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลสูง รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์ หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่จะทำให้เกิดอันตรายแก่สมอง เช่น การดื่มเหล้าจัด หรือการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น เป็นต้น
การบริหารสมอง โดยการฝึกทักษะการใช้มือ เท้า และประสาทสัมผัสทั้ง 5ให้สามารถรับรู้และเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ให้ระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาทและสมองส่วนต่างๆ ทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เช่น เต้นรำ เล่นหมากรุก หมากล้อม โยคะ รำมวยจีน ต่อจิ๊กซอว์ อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ทำงานบ้าน หรืองานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น
การรักษาร่างกาย โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งจากการวิจัย พบว่า การออกกำลังกายรูปแบบต่างๆ หรือรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในระดับปานกลางอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจในชีวิตให้กับผู้สูงอายุ รวมทั้งการตรวจสุขภาพประจำปี
หรือถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิม ก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ตลอดจนหัวเราะ สร้างอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ดำรงชีวิตอยู่กับความพอเพียง ทำตัวผ่อนคลาย ไม่เครียด
นอกจากนี้ ควรหางาน/กิจกรรมทำ ซึ่งจากการสำรวจสุขภาพจิตของคนไทย พบว่า ผู้สูงอายุที่มีงานทำ จะมีคะแนนสุขภาพจิตสูงกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงาน แม้ว่าสภาพร่างกายจะเสื่อมถอยลง ไม่เอื้อต่อการทำงานก็ตาม
ทั้งนี้ เป็นเพราะการทำงานทำให้รู้สึกว่า ตนเองยังเป็นประโยชน์และมีคุณค่า โดยผู้สูงอายุอาจกำหนดขอบเขตของงาน หรือกิจกรรมที่ต้องการทำจากความสนใจ ถามตัวเองว่าชอบทำหรือสนใจที่จะทำอะไร หรือกำหนดจากสิ่งแวดล้อม เช่น อยากทำงานในบ้าน หรือกิจกรรมในชมรม กำหนดจากช่วงเวลา ว่าอยากทำงาน/กิจกรรมนานเท่าใด กำหนดจากทักษะหรือความสามารถ หรืออาจกำหนดจากแหล่งงาน/กิจกรรมที่สนใจว่าอยู่ที่ไหน จะสมัครหรือติดต่อได้อย่างไร เป็นต้น
2. กิจกรรมทางสังคม/ชุมชน เช่น การเข้าชมรม/การรวมกลุ่มตามความสนใจ หรือการทำจิตอาสา ซึ่งพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่ทำกิจกรรมทางสังคม และมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน จะมีอายุยืนกว่าผู้สูงอายุกลุ่มอื่นๆ ตลอดจนจะมีความภาคภูมิใจในตนเอง ควบคุมตนเองได้ ส่งผลให้มีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงจากโรคเรื้อรังต่างๆ ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ทำกิจกรรม
และที่สำคัญ มีส่วนช่วยรักษาการทำงานของสมอง หรือความสามารถทางสติปัญญาไว้ให้ยาวนาน ป้องกันโรคสมองเสื่อม ที่เมื่อเป็นแล้วจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นอย่างมาก
3. กิจกรรมทางศาสนา ซึ่งพบว่า ศาสนาเข้ามามีส่วนในการดูแลสุขภาพจิตในด้านอารมณ์และสังคมของผู้สูงอายุ การได้พบปะกับกลุ่มคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน ได้พูดคุยถึงความรู้สึกต่างๆ แนวทางการปฏิบัติที่ฝึกจิตใจ และการนำคำสอนทางศาสนามาใช้ในการดูแลจิตใจ ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี
การฝึกสมาธิ การสวดมนต์ หันเข้าหาศาสนาที่นับถือ จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย แจ่มใส อารมณ์คงเส้นคงวา เช่นเดียวกับการศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พบว่า การฝึกสติมีผลต่อยีนภูมิคุ้มกันที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ ซึ่งมีผลต่อปัญหาสุขภาพ รวมทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และหลอดเลือด และความเสื่อมของระบบประสาท
นอกจากนี้ ยังพบว่า การปฏิบัติธรรม เข้าถึงธรรมะ เป็นปัจจัยความสุขที่สำคัญของผู้สูงอายุ ที่ทุกคนควรเข้าถึงตั้งแต่วัยทำงานด้วยเช่นกัน
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 161 พฤษภาคม 2557 โดย กองบรรณาธิการ)