“หากคุณอยากบริหารสมองและฝึกความจำละก็ ลุกขึ้นมาเต้นรำกันเถอะ” คำแนะนำจาก ดร.เทอรี กรอสแมน ผู้อำนวยการด้านการแพทย์นานาชาติ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์อินเตอร์แนชั่นแนล ที่ชี้การเต้นรำไม่ว่าจะจังหวะอะไรสไตล์ไหน ทั้งวอลซ์ แทงโก้ รุมบ้า หรือซัลซา เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายสมองและเพิ่มความสามารถของสมอง เพราะต้องทำความเข้าใจกับท่าใหม่ ฟังเพลง ตัดสินใจ ตลอดจนจดจ่อกับจังหวะและท่าเต้น
นอกจากนี้ ดร.เทอรียังแนะนำว่า การเรียนภาษาใหม่เพิ่มก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการออกกำลังกายสมองและให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการทำงานหรือแม้แต่งานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เล่นวิดีโอเกม เล่นดนตรี รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ มากมาย
“สมองมีความสำคัญเช่นเดียวกับหัวใจ สมองเปรียบเสมือนโรงไฟฟ้าของร่างกายที่มีเซลล์ประสาทหรือเซลล์สมองที่ใช้ในการคิดกว่าหนึ่งแสนล้านเซลล์ เซลล์เชื่อมต่อระบบประสาทกว่าหนึ่งล้านล้านเซลล์ ในขณะที่สมองมีสัดส่วนน้ำหนักเพียงแค่ร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกาย แต่สมองมีความต้องการการไหลเวียนของเลือด ออกซิเจน และกลูโคส สูงถึงร้อยละ 20”
เช่นเดียวกับอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ สมองก็ต้องการการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์และเซลล์เชื่อมต่อใหม่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการจำและความคิดที่เฉียบแหลม การออกกำลังกายสมองตลอดช่วงชีวิตจะช่วยป้องกันการสูญเสียความจำ โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมชนิดต่างๆ ในเวลาต่อมาได้
ทั้งนี้ ดร.เทอรีบอกว่า การลดความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการรักษาความจำ เมื่ออายุมากขึ้น คนส่วนใหญ่มักมีอาการหลงๆ ลืมๆ เช่น ลืมชื่อคน ลืมว่าเก็บกุญแจบ้านหรือกุญแจรถยนต์ไว้ที่ไหน คนส่วนใหญ่สูญเสียความทรงจำเพราะความเครียดมากกว่าโรคภัยหรือการเจ็บป่วย นอกจากนี้ ความเครียดเป็นตัวทำลายความจำอันดับหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกต คือ ความเครียดมีทั้งความเครียดที่ดีและไม่ดี ทุกคนควรรักษาความสมดุลของความเครียดทั้งสองส่วน
กิจกรรมเพื่อลดความเครียดแบบง่ายๆ ดร.เทอรีแนะนำว่ามีหลากหลาย ทั้งการเล่นโยคะ การนวด การออกกำลังกาย การรำไท้เก็ก ฟังเพลง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน
"เมื่อคนเราอ่อนล้าหรือเหนื่อยมากๆ ร่างกายจะเกิดความเครียดและความดันเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น ดร.เทอรีกล่าวว่า “การฟังเพลงเบาๆ อาบน้ำอุ่นๆ เป็นวิธีเตรียมตัวสำหรับการนอนหลับที่ดี สิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่งก่อนเข้านอน คือ การมองที่หน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ เนื่องจากแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้จะรบกวนการนอนหลับ เพราะมนุษย์ไม่คุ้นเคยกับแสงสีนี้ในเวลากลางคืน”
ดร.เทอรีกล่าวด้วยว่า สิ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสุขภาพสมองได้ คือ อาหารที่มีคุณค่าและสมดุลทางโภชนาการ กล่าวคือ ควรรับประทานอาหารจำพวกปลา ผักและผลไม้สด หรือการดื่มไวน์ 1 แก้วต่อวัน ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติอย่างแปะก๊วย วิโนซีติน ก็สามารถช่วยบำรุงสมองได้เช่นกัน ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัดและอาหารทอด เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ หรือที่เรียกว่า “โรคเบาหวานของสมอง” นั่นเอง
“ในอนาคตการใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ตที่แพร่หลายจะเปลี่ยนวิธีการใช้สมองของเรา เทคโนโลยีจะมีอิทธิพลต่อวิธีการใช้สมองของเรา และอาจช่วยให้เราสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากขึ้น การวิจัยและพัฒนาสมองอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตจะทำให้การรักษาสมองจากโรคภัยและความเจ็บป่วยเปลี่ยนแปลงไป”
ทั้งนี้ ดร.เทอรีกล่าวว่า หากญาติ คู่รัก เพื่อน หรือคนที่คุณรักไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันอย่างการขับรถ แต่งตัว ทำอาหาร หรือกิจวัตรประจำวันอื่นๆ ได้ ควรทำแบบประเมินกิจวัตรประจำวันเพื่อดูว่าต้องรับการรักษาหรือไม่
นอกจากนี้ ดร.เทอรียังแนะนำว่า การเรียนภาษาใหม่เพิ่มก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งในการออกกำลังกายสมองและให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากการทำงานหรือแม้แต่งานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เล่นวิดีโอเกม เล่นดนตรี รวมทั้งกิจกรรมอื่นๆ มากมาย
“สมองมีความสำคัญเช่นเดียวกับหัวใจ สมองเปรียบเสมือนโรงไฟฟ้าของร่างกายที่มีเซลล์ประสาทหรือเซลล์สมองที่ใช้ในการคิดกว่าหนึ่งแสนล้านเซลล์ เซลล์เชื่อมต่อระบบประสาทกว่าหนึ่งล้านล้านเซลล์ ในขณะที่สมองมีสัดส่วนน้ำหนักเพียงแค่ร้อยละ 2 ของน้ำหนักร่างกาย แต่สมองมีความต้องการการไหลเวียนของเลือด ออกซิเจน และกลูโคส สูงถึงร้อยละ 20”
เช่นเดียวกับอวัยวะที่สำคัญอื่นๆ สมองก็ต้องการการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์และเซลล์เชื่อมต่อใหม่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการจำและความคิดที่เฉียบแหลม การออกกำลังกายสมองตลอดช่วงชีวิตจะช่วยป้องกันการสูญเสียความจำ โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมชนิดต่างๆ ในเวลาต่อมาได้
ทั้งนี้ ดร.เทอรีบอกว่า การลดความเครียดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการรักษาความจำ เมื่ออายุมากขึ้น คนส่วนใหญ่มักมีอาการหลงๆ ลืมๆ เช่น ลืมชื่อคน ลืมว่าเก็บกุญแจบ้านหรือกุญแจรถยนต์ไว้ที่ไหน คนส่วนใหญ่สูญเสียความทรงจำเพราะความเครียดมากกว่าโรคภัยหรือการเจ็บป่วย นอกจากนี้ ความเครียดเป็นตัวทำลายความจำอันดับหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกต คือ ความเครียดมีทั้งความเครียดที่ดีและไม่ดี ทุกคนควรรักษาความสมดุลของความเครียดทั้งสองส่วน
กิจกรรมเพื่อลดความเครียดแบบง่ายๆ ดร.เทอรีแนะนำว่ามีหลากหลาย ทั้งการเล่นโยคะ การนวด การออกกำลังกาย การรำไท้เก็ก ฟังเพลง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การนอนหลับสนิทในตอนกลางคืน
"เมื่อคนเราอ่อนล้าหรือเหนื่อยมากๆ ร่างกายจะเกิดความเครียดและความดันเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น ดร.เทอรีกล่าวว่า “การฟังเพลงเบาๆ อาบน้ำอุ่นๆ เป็นวิธีเตรียมตัวสำหรับการนอนหลับที่ดี สิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่งก่อนเข้านอน คือ การมองที่หน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ เนื่องจากแสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้จะรบกวนการนอนหลับ เพราะมนุษย์ไม่คุ้นเคยกับแสงสีนี้ในเวลากลางคืน”
ดร.เทอรีกล่าวด้วยว่า สิ่งที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสุขภาพสมองได้ คือ อาหารที่มีคุณค่าและสมดุลทางโภชนาการ กล่าวคือ ควรรับประทานอาหารจำพวกปลา ผักและผลไม้สด หรือการดื่มไวน์ 1 แก้วต่อวัน ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติอย่างแปะก๊วย วิโนซีติน ก็สามารถช่วยบำรุงสมองได้เช่นกัน ควรหลีกเลี่ยงผลไม้รสหวานจัดและอาหารทอด เนื่องจากเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์ หรือที่เรียกว่า “โรคเบาหวานของสมอง” นั่นเอง
“ในอนาคตการใช้สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ตที่แพร่หลายจะเปลี่ยนวิธีการใช้สมองของเรา เทคโนโลยีจะมีอิทธิพลต่อวิธีการใช้สมองของเรา และอาจช่วยให้เราสามารถประมวลผลข้อมูลได้มากขึ้น การวิจัยและพัฒนาสมองอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคตจะทำให้การรักษาสมองจากโรคภัยและความเจ็บป่วยเปลี่ยนแปลงไป”
ทั้งนี้ ดร.เทอรีกล่าวว่า หากญาติ คู่รัก เพื่อน หรือคนที่คุณรักไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันอย่างการขับรถ แต่งตัว ทำอาหาร หรือกิจวัตรประจำวันอื่นๆ ได้ ควรทำแบบประเมินกิจวัตรประจำวันเพื่อดูว่าต้องรับการรักษาหรือไม่