xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมบันเทิง : “All Is Lost” – “127 Hours” 2 เรื่อง 2 ชีวิต ในสถานการณ์คับขัน สติ ปัญญา และความเพียร..ช่วยได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด 2 เรื่อง ได้แก่ All Is Lost กับ 127 Hours จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน เพราะต่างก็มีแก่นเรื่องว่าด้วย “การเอาชีวิตรอด ในสถานการณ์คับขัน” โดยรูปแบบการนำเสนอนั้นเน้นความสมจริง ไม่จำเป็นต้องใช้นักแสดงมาก แต่ถ่ายทอดให้เห็นการใช้สติ ปัญญา ความมานะบากบั่น ในการฟันฝ่าอุปสรรคด้วยตัวเอง

เริ่มที่ “All Is Lost” หนังเรียบง่าย สมจริง ใช้นักแสดงนำเพียงคนเดียว แต่ก็เต็มไปด้วยพลังในการนำเสนอ หนังเปิดฉากด้วย “ชายสูงวัยคนหนึ่ง” สะดุ้งตื่นขึ้นมา ขณะนอนหลับอยู่ในเรือใบส่วนตัว ที่แล่นออกมาเที่ยวกลางทะเลแถบมหาสมุทรอินเดีย สาเหตุที่ตื่น เพราะมีน้ำทะลักเข้ามาในเรือ เนื่องจากมีตู้คอนเทนเนอร์ยักษ์ ลอยมาชนที่กราบขวาเรือ จนเรือมีรอยรั่วขนาดใหญ่

แม้จะไม่ถึงกับทำให้เรือจมหรือพลิกคว่ำ แต่ก็สร้างความลำบากให้ไม่น้อย เพราะน้ำที่ทะลักเข้าไป ทำให้อุปกรณ์สื่อสารต่างๆเสียหายหมด เขาจึงถูกตัดขาดอยู่กลางทะเลกว้างใหญ่

แต่ชายชราไม่ได้แสดงทีท่าตระหนกตกใจ ตรงกันข้าม เขาตั้งสติเรียงลำดับความสำคัญของการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เริ่มจากหาอุปกรณ์ต่างๆที่พอจะใช้ซ่อมแซมบริเวณรอยรั่ว ดัดแปลงอุปกรณ์เพื่อวิดน้ำออกจากเรือ ขณะเดียวกันก็พยายามซ่อมวิทยุสื่อสารให้ใช้การได้อีกครั้ง (แม้สุดท้ายมันจะไม่สำเร็จก็ตาม)

เมื่อการสื่อสารขอความช่วยเหลือไม่ได้ผล เขาจึงต้องล่องเรือไปเรื่อยๆ ฝากอนาคตไว้กับสายลมและกระแสน้ำ แต่ทว่าผืนน้ำของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มีธรรมชาติที่ท้าทายรออยู่ ในค่ำคืนที่ลมพายุโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ทำให้เรือได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้น จนเขาต้องใช้แพชูชีพผูกติดกับเรือแล้วนอนบนแพ เพื่อให้ผ่านพ้นคืนอันโหดร้าย

วันเวลาที่ผ่านไปอีกวัน เรือก็เสียหายเกินกว่าจะทำอะไรได้ น้ำทะเลเข้าไปเต็มลำเรือ เขาหยิบข้าวของที่จำเป็นติดมือออกมาที่แพชูชีพ และมองดูเรือใบคู่ใจค่อยๆจมหายไป

การอยู่ในแพชูชีพนั้น ยากลำบากกว่าบนเรือ เพราะไม่สามารถบังคับทิศทางได้ ต้องอาศัยการล่องลอยไปตามกระแสน้ำ แต่ชายชราผู้เด็ดเดี่ยวก็เปิดแผนที่ และใช้เครื่องมือคำนวณเส้นทางการเดินเรือทุกวัน เพื่อให้รู้ว่า ปัจจุบันตนเองน่าจะอยู่ส่วนไหนของมหาสมุทร

จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่เขตเดินเรือสินค้า ได้เจอเรือสินค้าขนาดมหึมาแล่นผ่านมา เขาพยายามยิงพลุไฟส่งสัญญาณ แต่เรือสินค้ามีขนาดใหญ่ยักษ์เกินกว่าจะมองเห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆด้านล่าง

วันเวลาผ่านไปร่วมอาทิตย์ สถานการณ์ยิ่งคับขันมากขึ้น โชคดีที่เขายังพอมีวิธีแปลงน้ำเค็มมาเป็นน้ำจืด แต่อาหารประทังชีวิตร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ พอๆกับความหวังอันริบหรี่ในการเอาชีวิตรอด

กระทั่งค่ำคืนหนึ่ง เขาตื่นขึ้นมาเห็นแสงไฟลิบๆ ในระยะที่ไม่น่าจะไกลมากนัก ชายชราที่เรี่ยวแรงใกล้หมด เช่นเดียวกับอุปกรณ์ทุกอย่างบนแพ ที่แทบไม่เหลืออะไรอีก ตัดสินใจเผากระดาษบนแพ เพื่อให้เกิดไฟลุกโชน มากพอที่จะให้เรือลำเล็กมองเห็น

ไฟเริ่มเผาผลาญทุกสิ่ง แรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไหม้แพชูชีพ เกิดเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ ทำให้เขาหมดที่ยึดเกาะ ร่างจึงค่อยๆจมลงสู่ท้องทะเล สายตาของเขาที่มองจากใต้น้ำ เห็นไฟกำลังลุกไหม้ซากแพชูชีพอย่างช้าๆ แต่แล้ว... ความสว่างนั้นก็ฉายให้เห็นความเคลื่อนไหวจากเรือลำหนึ่งที่เคลื่อนเข้ามาหา และนั่นก็ทำให้ชายชราใช้กำลังเฮือกสุดท้าย แหวกว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตได้อีกครั้ง

ส่วนภาพยนตร์อีกเรื่อง คือ “127 Hours” เป็นหนังแนวเดียวกัน ที่เพิ่มความสมจริงมากกว่าเดิม ในแง่ของการนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง นั่นคือ ชีวิตของ “Aron Ralston” นักผจญภัยผู้หลงใหลในการใช้ชีวิตโลดโผนกลางแจ้ง

ชีวิต Ralston เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อวันที่เขาออกไปปีนผาในรัฐยูทาห์คนเดียว ความสนุกสนานในช่วงวันแรกๆนั้น กลับกลายเป็นวิกฤตชีวิต เมื่อเขาพลาดตกลงไปในเหว และมือหักติดอยู่กับก้อนหินขนาดยักษ์ ไม่สามารถจะสลัดหลุดออกมาได้

127 ชั่วโมง หรือเวลาประมาณ 5 วัน คือ ช่วงเวลาที่นักผจญภัยหนุ่มมือติดอยู่กับซอกหินโดยไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน เขาใช้เวลาไปกับการยืนนิ่งๆ คิด ควบคุมสติ และพยายามทำสารพัดวิธีในการต่อลมหายใจของตัวเอง

จนกระทั่งสุดท้าย Aron ตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยว ขอรักษาชีวิตไว้ก่อน ด้วยการตัดแขนของตัวเอง เพื่อให้กลับขึ้นมาจากหุบเหวที่เกือบจะกลายเป็นสุสานของตัวเอง

เมื่อนำเหตุการณ์วิกฤตดังกล่าวของภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง มาพิจารณาประยุกต์กับหลักธรรมทางพุทธศาสนา ข้อแรกที่ปรากฏชัดในการเอาชนะอุปสรรคก็คือ หลักธรรมเรื่อง “ความเพียร” ซึ่งหมายถึง ความพยายาม อุตสาหะ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง

ความเพียรเป็นธรรมที่มีคุณสมบัติกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว เพียงแต่ว่าหากความเพียรนั้น ถูกนำไปใช้ในทางสุจริต ก็เป็นธรรมะที่ก่อให้เกิดประโยชน์

ดังนั้น หลักธรรมเรื่องความเพียร จึงมักใช้ควบคู่กับ “ปัญญา” ซึ่งเป็นธรรมที่ช่วยขีดเส้นทางให้ความเพียรพยายามนั้น เกิดเป็นประโยชน์ และไม่สูญเปล่า

ตัวเอกของหนังทั้งสองเรื่อง ใช้ความเพียรคู่กับปัญญา ในการเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง เช่น การที่ชายชราพยายามนำน้ำทะเลมาแปลงเป็นน้ำจืด หรือการพยายามตัดแขนตนเองของชายหนุ่ม โดยที่เขาพอมีความรู้เรื่องการห้ามเลือดและปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ข้อคิดอีกประการ ที่หนังประเภทนี้มักฝากเป็นสาระสำคัญไว้ให้ผู้ชม คือเรื่อง “ความไม่ประมาท” พุทธศาสนานั้น มีพุทธสุภาษิต สอนเตือนเรื่องความประมาทเอาไว้ เช่น “ผู้ประมาท เหมือนคนตายแล้ว” “คนประมาท ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน”

ความไม่ประมาทจึงเป็นข้อคิดที่สำคัญ เชื่อมโยงถึงความมีสติ หรือการรู้ตัวว่า ปัจจุบันกำลังทำอะไร ทำแล้วจะเกิดผลดีหรือผลเสียเช่นไร ทำให้เกิดความรอบคอบ ระมัดระวังในการใช้ชีวิต

ตัวเอกในเรื่อง All Is Lost แสดงให้เราเห็นได้ดีว่า เขาเป็นบุคคลที่ไม่ตกอยู่ในความประมาท เพราะเมื่อต้องออกเดินทางไปในทะเล เขามีอุปกรณ์หลากหลายในการดำรงชีพ รวมถึงความรู้พื้นฐานต่างๆ ความไม่ประมาทของเขาจึงสามารถยื้อเวลา และแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์อันเลวร้ายได้

ส่วน Aron Ralston ค่อนข้างใช้ชีวิตโลดโผน ตกอยู่ในความประมาท โดยในช่วงต้นเรื่อง มีฉากที่เห็นว่า เขาไม่ใส่ใจในการหยิบโทรศัพท์มือถือติดตัวไป ดังนั้น จึงเรียกได้ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับหนุ่มนักผจญภัย มีพื้นฐานมาจากความประมาท ชะล่าใจของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุด Ralston ก็ยังพอมีความไม่ประมาทอยู่บ้างในอีกด้าน นั่นคือ การพกพาอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการเดินทางแนวผจญภัยไว้พร้อมสรรพ รวมถึงทักษะในการเอาตัวรอดที่เป็นความรู้ติดตัวก่อนตัดสินใจเดินทางไปคนเดียว ซึ่งท้ายสุด เขาก็สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 160 เมษายน 2557 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)







กำลังโหลดความคิดเห็น