พระพุทธศาสนามีลักษณะเป็นวิชาดับความทุกข์ของมนุษย์ และตั้งอยู่บนพื้นฐาน คือความเชื่อมั่นว่า มนุษย์เรารับผิดชอบชีวิตของตนได้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มองมนุษย์ในแง่ดี เป็นศาสนาเดียวในโลกที่ยืนยันอย่างไม่หวั่นไหวว่า มนุษย์สามารถพัฒนาตนให้ถึงจุดสมบูรณ์โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งนอกตัวทั้งสิ้น
เราเองก็มีศักยภาพ มีความสามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้ถึงจุดสูงสุดได้ พุทธศาสนาสอนให้เราเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ความเชื่อมั่นในตัวเองนั้น คือความเชื่อมั่นในธรรม เชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของธรรม เช่น ในพุทธพจน์ ที่ว่า “ต้องเอาตนเป็นที่พึ่ง อย่าพึ่งสิ่งอื่นเลย” คำว่า “ตน” นั้น ไม่ได้หมายถึงอัตตาตัวตน เพราะมันไม่มี แต่หมายถึง “คุณธรรม” เอาคุณธรรมที่มีอยู่ในใจของเราเป็นที่พึ่ง อย่าไปเอากิเลสเป็นที่พึ่ง อย่าเอาทิฐิมานะของตนเป็นที่พึ่ง
เราอาจเปรียบเทียบชีวิตของเราเหมือนภาชนะอันหนึ่ง ภาชนะว่างที่ยังไม่เป็นอะไรเลย ภาชนะที่เรายังไม่ได้ใช้นั้น เราก็ยังไม่ต้องตั้งชื่อให้มัน ภาชนะนั้นจะเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับการใช้
เช่นสิ่งนี้คืออะไร ทุกคนคงจะตอบว่าเป็นกระโถน แต่ถ้าสมมติว่า ซื้อมาจากร้านแล้วเราไม่ได้ใช้เป็นกระโถนเลย ใช้ทำอย่างอื่น มันจะเป็นกระโถนไหม? มันก็น่าคิด
ชีวิตของเราก็เหมือนกับเป็นภาชนะว่าง ถ้าหากเราไม่สนใจ ไม่ตั้งใจในการฝึกฝนอบรมตนในการละบาป บำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้สะอาด ปล่อยให้จิตไหลไปสู่ที่ต่ำอยู่เสมอ เหมือนกับเอาแต่ของไม่สะอาดไปใส่ในกาย วาจา ใจ ของเรา ชีวิตของเราก็เป็นภาชนะว่างที่กลายเป็น “กระโถน” ทำให้ชีวิตเป็นกระโถนที่เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกเหม็นน่าเกลียด
เดิมนั้นภาชนะไม่ใช่กระโถน หากเป็นกระโถนเพราะว่า เราใช้ให้เป็นกระโถน แต่สมมติว่าภาชนะว่าง คือชีวิตของเรานั้น เราฝืนกิเลสของตัวเอง ไม่ทำตามกิเลส สนใจในการที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยธรรม ทำให้ชีวิตเบิกบานโดยคุณธรรม มันก็เหมือนกับว่า เราตั้งภาชนะนี้ไว้ในที่ดี แล้วเอาดินใส่ เอาต้นไม้ใส่ รดน้ำพรวนดิน เสร็จแล้วภาชนะนี้จะเรียกเป็นกระโถนไม่ได้ ต้องเรียกเป็น “กระถาง”
ดังนั้น ภาชนะนี้มันเป็นอะไรกันแน่? เราก็ตอบได้ว่า แล้วแต่.. เป็นกระโถนก็ได้ เป็นกระถางก็ได้ ถ้าทำให้เป็นกระโถน ก็เป็นกระโถนไป ทำให้เป็นกระถาง ก็เป็นกระถางไป
และเมื่อเป็นกระโถนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นกระโถนตลอดไป ถ้าสมมติว่า สิ่งนี้เราใช้เป็นกระโถนนานแล้ว วันใดวันหนึ่งเลิกใช้เป็นกระโถน ทำความสะอาด เอาดินใส่เข้าไป เอาต้นไม้ปลูกเข้าไป ดุแลรักษาให้ดี กระโถนก็กลายเป็นกระถาง
แต่ถ้าเอาไปใช้เป็นกระถาง แล้ววันใดวันหนึ่งเกิดเบื่อหน่าย ดึงต้นไม้ที่สวยงามออกไปทิ้ง เอาดินออกมา ถุยน้ำลายใส่ เอาน้ำ เอาปัสสาวะใส่ เอาอะไรต่ออะไรใส่จนสกปรกเปรอะเปื้อน มันก็กลายเป็นกระโถน
กระถางก็เปลี่ยนเป็นกระโถนได้ กระโถนก็เปลี่ยนเป็นกระถางได้ กลับไปกลับมาแล้วแต่เรา ชีวิตของพวกเราก็เหมือนกัน เราจะนำชีวิตของตนเป็นกระโถนก็ได้ เป็นกระถางก็ได้
แต่เมื่อเราเคยให้ชีวิตของตนเป็นกระโถน ไม่เคารพนับถือตัวเอง ไม่รักตัวเอง ปล่อยให้ชีวิตมั่วสุมกับของสกปรกโสโครก กลายเป็นภาชนะที่เรียกว่ากระโถน อย่านั่งเสียใจระทมขมขื่น อย่าหมดหวัง เพราะกระโถนกลายเป็นกระถางได้
พระพุทธองค์เคยตรัสว่า ผู้ที่เคยประมาทในกาลก่อน ต่อมาได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้นั้นย่อมส่องโลกนี้ให้สว่าง เหมือนพระจันทร์เต็มดวงที่เคยถูกเมฆปิดบังเอาไว้ แล้วก็พ้นจากเมฆ
ฉะนั้น เราอย่าไปว่าตัวเองว่า เราเป็นคนอย่างนั้น เราเป็นคนอย่างนี้ เราเป็นคนใช้ไม่ได้ เราเป็นคนบาปหนา เป็นคนไม่มีบุญไม่มีวาสนา นี่คือมาร นี่คือมิจฉาทิฏฐิ ความคิดอย่างนี้คือมารจริงๆ เป็นกิเลสทั้งนั้น
เรายังไม่เป็นอะไรอย่างตายตัว ถึงแม้ชีวิตเราดูเหมือนว่าเป็นกระโถนร้อยเปอร์เซนต์ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเป็นกระถางไม่ได้ เพราะชีวิตของเรามันเป็นภาชนะว่างเท่านั้นเอง เราสามารถล้างของสกปรกออก แล้วใช้ปลูกต้นไม้ได้
ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราเคยทำชีวิตให้เป็นกระถาง พยายามเป็นคนดี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา แต่ต่อมาหลงตัวว่าเก่งว่าดี แล้วก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด คิดปรุงแต่งต่างๆนานา ไปหมกมุ่นในสิ่งที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง ชีวิตที่เคยเป็นกระถาง มีต้นไม้ที่บานสะพรั่งจะเปลี่ยนไปได้ ต้นไม้นั้นอาจจะร่วงโรยเหี่ยวแห้งแล้วตายไป ในที่สุดก็เทดินออกไป ภาชนะนั้นก็กลายเป็นกระโถน
ชีวิตของปุถุชนจึงเป็นชีวิตที่ไม่แน่นอน ตราบใดที่เรายังไม่ได้ปิดประตูต่ออบาย เรารับรองอนาคตของตัวเองไม่ได้
ท่านบอกว่า อานิสงส์ของการบรรลุเป็นพระโสดาบัน คือการปิดประตูต่อโลก ต่อนรก ต่อเปรตวิสัย ต่อการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แสดงว่าใครที่ยังไม่ได้เข้าถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่พ้นอันตราย ถ้าเกิดผิดพลาด เกิดประมาทเมื่อไหร่ กระถางดอกไม้นี้จะเปลี่ยนเป็นกระโถน ความดีที่เราเคยสร้างไว้ก็จะมัวหมอง
เมื่อร่างกายแตกดับไปแล้วรับรองตัวเองไม่ได้หรอก ว่าเราจะไปเกิดที่ไหน ท่านจึงให้เรารีบสร้างคุณงามความดี ตั้งอกตั้งใจในการประพฤติปฏิบัติให้ถึงขั้นที่เสื่อมไม่ได้ เพราะโอกาสนี้เป็นโอกาสที่หายาก...
ฉะนั้น ขอให้ทุกคนเอาภาชนะชีวิตของตนไปใช้เป็นกระถาง อย่าให้เป็นกระโถน
และเมื่อเป็นกระถางแล้ว อย่าไปภาคภูมิใจในความสวยงามของดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในกระถางนั้น ต้องทำให้มันสวยงามยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่ารับรองตัวเองได้ ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวลอีกแล้ว เป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะตั้งเป็นเป้าหมายเอาไว้
ถ้าคิดว่าเป้าหมายนี้สูงเกินไป ไม่ไหวหรอก ใครพูดใครคิดอย่างนั้น ไม่ใช่ตัวกิเลสหรือ อย่าไปเชื่อมันเลย ยังไงเราก็ตั้งเป็นเป้าหมายเอาไว้ก่อน แล้วก็ค่อยๆ เดินไป เดินไม่ได้ คลานเอาก็ยังดี
หากว่าเราขาดเป้าหมายที่ชัดเจน มันง่ายที่จะหันเหออกจากทางที่ถูกต้อง แต่เมื่อเราได้กำหนดเป้าหมายดีแล้ว เรามีเครื่องตัดสินว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้ พูดหรือคิดอยู่ทุกวันนี้ เป็นการก้าวไปสู่เป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ สิ่งนั้นวินิจฉัยได้ว่าถูกแล้ว
แต่หากทำอะไร คิดอะไรหรือพูดอะไรลงไปแล้ว ทำให้รู้สึกว่าถอยหลังจากเป้าหมาย ก็ถือว่าไม่ถูกแล้ว ฉะนั้น เรื่องถูกเรื่องผิดนี้เราก็มีหลักของเราเอง ซึ่งไม่ต้องถามคนอื่นก็ได้ เราเป็นที่พึ่งของตนได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ฉะนั้น ก็อยากจะฝากข้อคิดบ้างเล็กน้อย เรื่องกระโถน กระถาง ไว้กับญาติโยม ขอให้ชีวิตพวกเราเป็นกระถาง อย่าให้เป็นกระโถนเลย ให้มันสะอาด ให้มันสว่าง อย่าให้มันสกปรก อย่าให้มันมืดมน
ขอให้ช่วยกันปลูกต้นไม้แห่งคุณธรรม ให้โลกของเราร่มเย็นและงดงามกว่าที่มันเป็นทุกวันนี้
(เรียบเรียงจากเรื่องกระโถน กระถาง)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 159 มีนาคม 2557 โดย ชยสาโรภิกขุ สถานพำนักสงฆ์บ้านบุญ บ้านไร่ทอสี จ.นครราชสีมา)