โลกยุคอนาคต เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญ เมื่อเอเลี่ยนจากต่างดาว ที่มีชื่อว่า “ฟอร์มิคส์” ซึ่งมีรูปร่างประหลาดคล้ายแมลงปีกแข็งขนาดยักษ์ ส่งทัพยานอวกาศนับหมื่นมาโจมตีโลกมนุษย์ หวังช่วงชิงทรัพยากร
ท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือด กองทัพอากาศกลายเป็นหน่วยหลักในการป้องกัน และต่อสู้กับกองกำลังจากต่างดาว แต่ก็ยังไม่สามารถทะลุทะลวงหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามได้
จนกระทั่งนักบินผู้กล้า นามว่า “เมเซอร์ แร็คแฮม” ขับเครื่องบินเข้าไปถึงยานตัวหลักของฟอร์มิคส์ และพุ่งชนจนระเบิดไปพร้อมกัน ทำให้ยานอวกาศที่เหลือ หมดพลัง พ่ายแพ้ไปในที่สุด
เหตุการณ์ดังกล่าว กลายเป็นประวัติศาสตร์ให้โลกกล่าวขานกันต่อมาอีกหลายสิบปี แม้ว่าฟอร์มิคส์จะไม่มารบกวนมนุษย์โลกอีก แต่มนุษย์รุ่นถัดมา ก็มิได้นิ่งนอนใจ ต่างระดมสรรพกำลัง มาสร้างสรรค์เทคโนโลยีอันล้ำสมัย เพื่อต่อสู้ป้องกันสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต มีการสร้างสถานีอวกาศ ยานอวกาศ ยานเพื่อการรบ สนามจำลองไร้แรงโน้มถ่วงเพื่อการต่อสู้ โรงเรียนฝึกทหารยุคอวกาศ ตลอดจนกองกำลังนักรบรุ่นใหม่ที่จะเข้าไปควบคุมนวัตกรรมชั้นยอด
แต่นักรบรุ่นใหม่นี้ หาใช่ทหารหรือนักรบมืออาชีพอย่างในอดีต กลับกลายเป็น “เด็กวัยรุ่น” ผู้เป็นเยาวชนทั้งหลาย !!
สาเหตุที่โครงการสร้างกองกำลังพิเศษ กลายเป็นเด็กวัยรุ่นนั้น เนื่องจากเทคโนโลยีอวกาศมีความซับซ้อน ตลอดจนการบังคับขับเคลื่อนยานรุ่นใหม่ ได้นำพื้นฐานมาจากเกมส์คอมพิวเตอร์
เด็กๆจากทั่วโลกจึงมีโอกาสเข้ารับการทดสอบ เพื่อคัดเลือกไปทำหน้าที่ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก
“เอนเดอร์ วิกกินส์” เด็กชายที่เพิ่งก้าวสู่วัยรุ่น เป็นหนึ่งในเยาวชนที่เข้าไปอยู่ในโรงเรียนทดสอบ เขาถูกจับตาดูพฤติกรรมและความสามารถต่างๆ จนกระทั่ง “ผู้การ กราฟฟ์” ซึ่งทำหน้าที่คัดเลือก ได้ตัดสินใจเลือกวิกกินส์ เข้าสู่โครงการอวกาศนานาชาติ โดยหมายมั่นปั้นมือว่า เด็กคนนี้จะเป็นผู้นำในสงครามครั้งประวัติศาสตร์
วิกกินส์เป็นเด็กที่เงียบขรึม ฉลาด แก้ปัญหาได้ดี มีความมั่นใจ กล้าหาญ และมีความเป็นผู้นำ ผู้การกราฟฟ์จึงรีบเลื่อนสถานะนักเรียนฝึกของเขา เพราะอยากให้เขารู้จักความเป็นผู้นำ และเติมความแข็งกร้าว และความเด็ดขาดในการเผชิญหน้ากับปัญหา
แต่นั่นกลับเป็นการทำให้เกิดปัญหากับวิกกินส์ เพราะการเลื่อนไปอยู่กับ “บอนโซ่” หัวหน้าหน่วยซาลาแมนเดอร์ ซึ่งมีอายุมากกว่า และไม่ยอมรับวิกกินส์ เพราะมองว่าเป็นเด็กใหม่อ่อนประสบการณ์ จะทำให้การฝึกของทีมต้องย่ำแย่ไปด้วย รวมถึงรู้สึกหมั่นไส้ที่วิกกินส์เก่งเกินวัย
การกระทบกระทั่งระหว่างบอนโซ่กับวิกกินส์ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนในที่สุด วิกกินส์ก็ถูกย้ายไปเป็นหัวหน้าหน่วยดรากอน แต่ปัญหาไม่ได้หมดไป เพราะวันหนึ่ง หน่วยทั้งสองต้องลงสนามจำลองสภาพไร้แรงโน้มถ่วง เพื่อฝึกวางแผนการรบ ผลลัพธ์ คือ หน่วยของบอนโซ่ ซึ่งยังไม่เคยแพ้ใคร กลับต้องพลาดท่าปราชัยอย่างหมดรูป ให้กับหน่วยที่นำโดยวิกกินส์
ความเกลียดชังที่สั่งสมมานานของบอนโซ่ ปะทุขึ้นมาเต็มที่ เขาหาจังหวะเวลาที่วิกกินส์อาบน้ำ ตั้งใจจะไปสั่งสอนให้สาแก่ใจ แต่การต่อสู้ก็ทำให้บอนโซ่หัวกระแทกพื้น กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ถูกถอดออกจากหน่วยรบ และส่งกลับไปยังโลก
เหตุการณ์นี้ทำให้วิกกินส์ทุกข์ใจ เพราะแม้เขาจะเป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครมารังแก แต่ทว่าก็ไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องใครก่อน ขณะเดียวกัน เขาเป็นคนที่มักใช้วิธีเจรจา และหลีกเลี่ยงการปะทะ จนกว่าจะถึงขั้นจำเป็นที่ต้องป้องกันตัว
แต่เวลาแห่งความเสียใจมีไม่มาก เมื่อผู้การกราฟฟ์ย้ำถึงภารกิจที่สำคัญกว่า โดยหลังจากนั้นไม่นาน วิกกินส์ก็ถูกส่งไปยังแนวหน้า ฐานทัพสำคัญของมนุษย์ ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ที่เหล่าเอเลี่ยนฟอร์มิคส์ เคยยึดครองมาก่อน
ที่ฐานทัพแห่งนี้ วิกกินส์พบกับ “เรคแฮม” วีรบุรุษในตำนาน ผู้ปราบฟอร์มิคส์ ซึ่งหลายคนคิดว่าเขาได้ตายแล้วพร้อมระเบิดคราวนั้น
วิกกินส์ใช้เวลาศึกษาเรียนรู้วิธีการของเรคแฮม เพื่อใช้ต่อสู้กับฟอร์มิคส์ รวมทั้งทดสอบระบบจำลองของสงคราม โดยได้ทีมเพื่อนเก่าสมัยที่เรียนในศูนย์อวกาศ มาช่วยเป็นลูกมือ
จนกระทั่งวันสำคัญมาถึง เมื่อผู้การกราฟฟ์, เรคแฮม พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาทหารระดับสูง มาพร้อมหน้า และบอกว่า วันนี้คือวันซ้อมใหญ่ โดยเด็กหนุ่มกับเพื่อนๆ จะได้ทดสอบเกมส์จำลองสถานการณ์การรบที่สมจริง
ทำให้บรรดานักรบเยาวชน ซึ่งนำโดยวิกกินส์ ต่างมุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจของเกมส์จำลอง จนกระทั่งสามารถยิงระเบิดลงบนดาวที่ฟอร์มิคส์อาศัยอยู่ จนแหลกสลายในพริบตา
แต่ความดีใจเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เพราะสุดท้าย วิกกินส์ก็รู้ความจริงว่า เกมส์จำลองที่บอกว่าเป็นการซ้อมใหญ่นั้น ที่แท้แล้วเป็นการปฏิบัติการในสมรภูมิจริง และเขากับเพื่อนๆ ก็ชนะสงครามของจริง ซึ่งขัดแย้งกับความตั้งใจจริงของวิกกินส์ ที่อยากเปิดการเจรจาหรือสื่อสารถึงความต้องการของศัตรูเสียก่อน ดังนั้น สงครามเกมส์จำลองครั้งนี้จึงกลายเป็นสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยที่ผู้ใหญ่ทั้งหลาย ใช้เด็กผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือ
Ender’s Game มีสาระที่สอดแทรกมาตั้งแต่ต้นไปจนบทสรุปท้ายเรื่อง ในแง่มุมของการมอง “ศัตรู” ด้วยความไม่อาฆาต จองเวร ผ่านสายตาของวิกกินส์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้สงครามครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน ได้จบลงแล้ว แต่ใจที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอาฆาต ของผู้บังคับบัญชาระดับผู้ใหญ่ ได้สั่งสมเป็นเวรกรรมที่ไม่อาจหลุดพ้นไปจากความสูญเสีย ซ้ำร้ายยังถ่ายทอดไปสู่เด็กๆที่มีจิตใจบริสุทธิ์อีกด้วย
มีคำสอนในพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนจดจำกันได้ดี ก็คือ “เวรย่อมระงับได้ ด้วยการไม่จองเวร” สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า
“ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย
ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร ธรรมข้อนี้เป็นของเก่า”
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ทรงสอนไว้ว่า
ความจริงที่ว่า "เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร" จะพูดยังไงๆ ผู้มิใช่บัณฑิตย่อมไม่รู้ความจริงนี้
ดังนั้น เมื่อผู้ไม่ใช่บัณฑิตถูกล่วงเกิน ถูกด่าว่า ถูกทำร้าย ถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงผูกใจโกรธ จึงเป็นผู้จองเวร สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเดือดร้อนจากการวิวาท
ส่วนบัณฑิตรู้ดีว่าเวร การจองเวร มีผลร้าย จึงไม่ก่อการทะเลาะวิวาท ประกอบกรรมให้ย่อยยับ จึงควรสร้างความเป็นบัณฑิตขึ้นในตนด้วยการคิดดี ทำดี พูดดี ทำใจให้ดีขึ้นด้วยสติ ระลึกรู้เถิดว่าเวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร เวรจักระงับด้วยการไม่จองเวรเท่านั้น
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 157 มกราคม 2557 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)