xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ปีศาจกินความโกรธ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปัญหาของความโกรธอยู่ที่ว่า พวกเรามักพอใจที่จะโกรธ มันมีความเพลิดเพลินยินดีที่น่าหลงติด และมีอำนาจเกี่ยวข้องกับการแสดงอาการโกรธ แล้วเราก็ไม่อยากจะละสิ่งที่เราชอบนั้น

อย่างไรก็ตาม ความโกรธก็มีโทษด้วยเช่นกัน และผลที่ตามมาจะมีน้ำหนักมากกว่าความพอใจใดๆ เพียงถ้าเราตระหนักถึงผลพวงของความโกรธ ระลึกได้ถึงผลต่อเนื่องจากความโกรธ เมื่อนั้นแหละ เราจะรู้สึกเต็มใจที่จะละความโกรธเสีย

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรแห่งหนึ่ง มีปีศาจตนหนึ่งเดินเข้ามาในวังขณะที่พระราชาไม่อยู่ ปีศาจตนนี้น่าเกลียดมาก แถมยังเหม็นอย่างร้ายกาจ สิ่งที่มันสำรอกออกมาก็น่าขยะแขยง จนทหารยามและเจ้าหน้าที่ในวังทุกคนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว

นั่นทำให้ปีศาจเดินผ่านห้องต่างๆด้านนอก จนเข้าไปถึงท้องพระโรงชั้นในได้อย่างสบายๆ แถมยังนั่งลงบนบัลลังก์ของพระราชาอีกด้วย ทหารยามและคนอื่นๆพลันได้สติ เมื่อเห็นปีศาจบนบัลลังก์ของพระราชา

เขาตะโกนว่า “ออกไปจากที่นี่ซะ นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้านะ! ถ้าเจ้าไม่ย้ายก้นของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ละก็ เราจะแล่เนื้อเจ้าเป็นชิ้นๆด้วยดาบของเรา”

ด้วยคำพูดอย่างโกรธๆไม่กี่คำนี้ ตัวเจ้าปีศาจก็โตขึ้นอีกสองสามนิ้ว หน้าตาก็น่าเกลียดขึ้น กลิ่นเหม็นๆก็รุนแรงขึ้น และคำพูดก็ลามกยิ่งขึ้น

ดาบถูกชักออกกวัดแกว่งไปมา กริชถูกดึงออกมา พร้อมกับเสียงข่มขู่ต่างๆ ทุกๆคำพูดที่ออกอาการโกรธ ทุกๆการกระทำด้วยความโกรธ หรือแม้แต่ทุกๆความคิดโกรธ ทำให้ตัวเจ้าปีศาจโตขึ้นทีละนิ้ว..ทีละนิ้ว.. น่าเกลียดยิ่งขึ้น เหม็นยิ่งขึ้น และใช้ภาษาสกปรกยิ่งขึ้น

การเผชิญหน้ากันยังคงดำเนินต่อไปสักพัก จนกระทั่งพระราชากลับมาถึงวัง ท่านเห็นเจ้าปีศาจร่างยักษ์บนบัลลังก์ของท่าน ท่านไม่เคยเห็นอะไรที่น่าเกลียดสุดๆอย่างนี้มาก่อนเลย แม้แต่ในหนังภาพยนตร์ก็เถอะ..

กลิ่นเหม็นฉุนที่ออกมาจากกายเจ้าปีศาจนั้น แม้แต่หนอนก็อาจจะคลื่นไส้ได้ ภาษาที่ใช้ก็น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าจะได้ยินได้ฟังจากบาร์เถื่อนๆกลางเมืองที่เต็มไปด้วยคนเมาในคืนวันเสาร์

พระราชาทรงใช้สติปัญญา ก็ด้วยเหตุนี้แหละท่านจึงเป็นถึงพระราชา ท่านทรงทราบว่าจะทรงจัดการอย่างไร

ท่านกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ยินดีต้อนรับท่าน ยินดีต้อนรับสู่วังของข้าพเจ้า มีผู้ใดนำเครื่องดื่มและอาหารมาให้ท่านหรือยัง?”

ด้วยกิริยาท่าทางที่สุภาพเช่นนี้ ตัวของเจ้าปีศาจก็หดเล็กลงสักสองสามนิ้ว น่าเกลียดน้อยลง เหม็นน้อยลง และน่ารังเกียจน้อยลง...

เจ้าหน้าที่ประจำวังเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว คนหนึ่งถามปีศาจว่า “อยากดื่มชาสักถ้วยไหม เรามีชาดาร์จีลิง อิงลิชเบรกฟาสต์ หรือเอิร์ลเกรย์ หรือท่านจะชอบชาเป็ปเปอร์มินท์ที่แสนอร่อยและมีผลดีต่อสุขภาพ”

อีกคนโทรศัพท์สั่งพิซซ่าขนาดครอบครัว ซึ่งเหมาะสำหรับปีศาจร่างยักษ์เช่นนี้ ขณะที่อีกคนนวดเกล็ดที่คอของมัน เจ้าปีศาจคิดในใจว่า “อืม! สบายจัง”

ทุกๆคำพูดที่สุภาพ การกระทำที่เอื้อเฟื้อ ตลอดจนความคิดที่ดี ตัวเจ้าปีศาจก็ค่อยๆหดลง..หดลง.. น่าเกลียดน้อยลง เหม็นน้อยลง และน่ารังเกียจน้อยลง

ก่อนที่เด็กส่งพิซซ่าจะมาถึง ร่างของเจ้าปีศาจก็หดลงจนมีขนาดเท่ากับตอนที่มันนั่งลงบนบัลลังก์ในครั้งแรก แต่เขาก็ยังไม่หยุดที่จะทำดีต่อมัน ในไม่ช้าเจ้าปีศาจก็เล็กลง จนเกือบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว และหลังจากการแสดงน้ำใจอีกเพียงครั้งเดียว เจ้าปีศาจก็หายวับไปเลย...

เราเรียกเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ว่า ‘ปีศาจกินความโกรธ’

บางเวลาคู่ชีวิตของเราอาจจะเป็น ‘ปีศาจกินความโกรธ’ ได้ ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะเลวลง น่าเกลียดขึ้น พูดจาน่ารำคาญยิ่งขึ้น ปัญหาจะบานปลายขึ้น ทุกครั้งที่เราโกรธเขา แม้แต่คิดโกรธในใจก็เถอะ บางทีตอนนี้ เราจะได้เห็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเรา และรู้เสียทีว่าเราจะทำอะไรต่อไป

ความเจ็บปวดเป็น ‘ปีศาจกินความโกรธ’ ตัวหนึ่ง เมื่อเราคิดโกรธ ‘เจ้าความเจ็บปวด จงไปให้พ้น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า!’ มันจะกลับรุนแรงขึ้น และเลวร้ายลงในหลายๆด้าน

มันยากนักที่จะใจดีต่อสิ่งที่ทั้งน่าเกลียดและน่ารังเกียจเช่นเจ้าความเจ็บปวดนี้ แต่หลายๆครั้งในชีวิตที่เราไม่มีทางเลือกอื่นใด อย่างเรื่องปวดฟันของอาตมา เมื่อเราสามารถทำใจยอมรับความเจ็บปวดอย่างจริงใจ มันกลับเจ็บน้อยลง ก่อปัญหาน้อยลง และบางครั้งก็หายวับไปเลย

มะเร็งบางชนิดก็เป็น ‘ปีศาจกินความโกรธ’ เป็นตัวร้ายที่ทั้งน่าเกลียดและน่ากลัวอยู่ในตัวเรา บน ’บัลลังก์’ ของเรา มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เราอยากจะสั่งมันว่า “เจ้าจงออกไปให้พ้น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า!”

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล้มเหลวแล้ว หรืออาจจะก่อนหน้านั้นก็ได้ เราอาจจะบอกมันว่า “ยินดีต้อนรับ”

มะเร็งบางตัวได้รับการบำรุงเลี้ยงดูจากความเครียด ดังนั้น เราจึงเรียกมันว่า ‘ปีศาจกินความโกรธ’

มะเร็งพวกนั้นตอบสนองเป็นอย่างดีต่อ ‘พระราชาเจ้าของวัง’ ที่จะกล่าวกับมันอย่างกล้าหาญว่า “เจ้ามะเร็งเอ๋ย! ประตูใจของฉันเปิดรับเจ้าอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรฉันก็ตาม เจ้าจงเข้ามาเถอะ!”

(จากหนังสือ ชวนม่วนชื่น)

อะไรใหญ่ที่สุดในโลก

ลูกสาวของเพื่อนสมัยอาตมาเป็นนักศึกษา เรียนอยู่ชั้นประถมหนึ่ง ครูถามเด็กนักเรียนในชั้นซึ่งอายุประมาณห้าขวบว่า “อะไรใหญ่ที่สุดในโลก?”

เด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งตอบว่า “คุณพ่อของหนูค่ะ”

เด็กชายคนหนึ่งที่เพิ่งไปเที่ยวสวนสัตว์มาเมื่อไม่นานนี้ ตอบว่า “ช้าง”

เด็กอีกคนบอกว่า “ภูเขาค่ะ”

ลูกสาวของเพื่อนอาตมาตอบว่า “ตาของหนูใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ”

ทั้งชั้นเงียบกริบ พยายามที่จะทำความเข้าใจกับคำตอบของเธอ ครูซึ่งก็งงพอๆกับเด็กคนอื่นๆ ถามว่า “หนูหมายความว่าอย่างไรจ๊ะ”

ก็อย่างนี้นะคะ”
นักปรัชญารุ่นจิ๋วเริ่มอธิบาย "ตาของหนูเห็นพ่อของเพื่อน เห็นช้าง เห็นภูเขา แล้วก็เห็นอะไรๆอีกตั้งเยอะ ก็ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมาอยู่ในตาของหนูได้ ตาของหนูก็ต้องใหญ่ที่สุดในโลกสิคะ”

ปัญญาไม่ใช่การเรียนรู้ แต่เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่สอนกันไม่ได้

ลูกสาวเพื่อนตอบได้ดีมาก แต่อาตมาจะขอเสริมว่า จิตของเราใหญ่กว่าดวงตาเสียอีก ฉะนั้นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ จิต

จิตสามารถเห็นทุกสิ่งที่ดวงตาเราเห็นได้ แล้วยังเห็นมากไปกว่านั้นอีกโดยอาศัยจินตนาการของเรา มันสามารถรับรู้สัมผัสทั้งของจริงและสิ่งที่ฝันถึง

นอกจากนี้ จิตยังสามารถรับรู้สิ่งที่อยู่นอกเหนือสัมผัสทั้งห้า เพราะเหตุว่าจิตสามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะรู้จะเห็นได้ จิตจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จิตของเราครอบคลุมทุกสิ่ง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 155 พฤศจิกายน 2556 พระวิสุทธิสังวรเถร (พรหมวังโสภิกฺขุ) วัดโพธิญาณ ประเทศออสเตรเลีย)


กำลังโหลดความคิดเห็น