xs
xsm
sm
md
lg

โรงงานกฎหมายของนักการเมือง กับนักประชาธิปไตยไร้เดียงสา

เผยแพร่:   โดย: พระบาท นามเมือง

แล้วสภาผู้แทนคนไกลบ้านชุดนี้ก็สร้างความประหลาดใจไม่หยุดหย่อนให้ประชาชนได้เรื่อยๆ หลังจากที่จัดทำ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับยัดไส้มาได้สำเร็จแล้ว ยังใช้เวลาประชุมรวบรัดอัดไปสองวาระรวด คือ วาระสองและวาระสาม ในที่สุดกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับล้างผิดและคืนทรัพย์โกงแผ่นดิน ก็ผ่านสภาผู้แทนฯ อย่างลอยลำไปในเวลาตี 4 เรียกว่า ประชุมกันโต้รุ่ง ไม่เสร็จไม่ให้กลับบ้าน

ตอกย้ำว่านี่แหละคือวาระเร่งด่วนของรัฐบาลนี้ที่กุม ส.ส.เสียงข้างมากในสภาฯ

เร่งด่วนยิ่งกว่ากฎหมายสร้างหนี้สองล้านล้านเสียอีก อันนั้นแม้รัฐบาลจะตั้งชื่อเสียหรูว่า “กฎหมายสร้างอนาคตประเทศ” แต่ก็ไม่ได้เร่งด่วนรวดเดียวอย่างนี้

ก็แหงละ อนาคตประเทศ หรือจะมาเทียบเท่า “อนาคต” ของพี่ชาย - นายใหญ่

กฎหมายล้างผิดนี้ผ่านกันรวดเร็วจนไม่มีใครทัน หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าทุกฉบับของวันนั้นพลาดข่าวใหญ่นี้ แม้แต่สำนักข่าวหรือหนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่ “นอนเร็ว” ไปหน่อยก็ตกข่าวนี้ได้เหมือนกัน

อันนี้ก็น่าเห็นใจ เพราะใครจะไปนึกไปคิดว่าพวกจะเล่นแบบคืนเดียวผ่าน คอการเมืองบางคนเข้านอนไปตอนใกล้เที่ยงคืน เพราะนึกว่า วันนี้คงผ่านไปได้อย่างเก่งก็สองมาตรา ใครจะไปคิดว่า จะดึงดันจนปิดเกมได้ก่อนฟ้าสาง

แถมกระบวนการในสภาฯ ก็เร่งรัดอย่างน่าเกลียด ในแต่ละมาตราแทบไม่มีการได้อภิปราย ก็จะมีคนชิงขอเสียงปิดอภิปรายในแต่ละมาตรา จนแทบไม่มีใครที่แปรญัตติไว้ได้อภิปรายเลย แม้แต่ ส.ส.เพื่อไทยที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม

นี่เห็นว่า ในชั้นวุฒิสภาก็จะรับไม้รับมือว่ากันสามวาระรวดเลย อาจจะจบได้ในวันศุกร์ที่ 8 หรือวันจันทร์ที่ 11 นี้แล้ว

เรียกว่าถ้าอยากดูว่า “เผด็จการเสียงข้างมาก” โดย “สภาฝักถั่ว” นั้น ทำงานกันอย่างไร การผ่านกฎหมายล้างผิดคืนเงินนี่แหละ ที่แสดงสภาพนั้นอย่างชัดเจน ว่าสภาฯ ที่สั่งได้นั้นเป็นอย่างไร ถ้าเขาจะเอาอย่างนี้ จะเอาแบบด่วนๆ สามารถ “ปั๊ม” กฎหมายตามใจชอบออกมาได้ตามใบสั่งที่กำหนดมาแล้ว ไม่มีหรอกการอภิปรายโต้แย้งของเสียงข้างน้อย หรือการอธิบายโน้มน้าวจากเสียงข้างมาก มีแต่ “นิ้ว” ที่เสียบบัตรกดปุ่ม จะมีเสียบมีกดแทนกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

นี่ขนาดว่า ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง ผสมการแต่งตั้งครึ่งๆ สภาฯ แล้ว นี่ถ้า ส.ว.เลือกตั้งอย่างที่แก้รัฐธรรมนูญกันเมื่อไร อยากจะผ่านกฎหมายสักฉบับ อาจจะใช้เวลาแค่สองวัน หรือดีไม่ดี สภาผู้แทนฯ ประชุมเสร็จเช้ามืด วุฒิสภาประชุมต่อตอนสายๆ บ่ายๆ เสร็จ ก็อย่าคิดว่าพวกเขาจะไม่กล้าทำ

อำนาจทุนสามารถเปลี่ยน “รัฐสภา” ที่ควรจะเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทย ให้กลายเป็นโรงงานผลิตหรือโรงพิมพ์กฎหมายได้ด้วยประการฉะนี้ ส.ส.กลายเป็นเหมือนพนักงานบริษัท กระบวนการนิติบัญญัติก็ไม่สำคัญ จะรวบรัดตัดตอน จะแก้เกินกว่าที่รับหลักการไว้ก็ไม่มีใครว่าใครค้าน จะปิดอภิปรายเมื่อไรก็ได้ นั่นก็เพราะสุดท้ายการวินิจฉัยในแต่ละขั้นตอนก็ใช้เสียงข้างมากอยู่ดี

เรียกว่าชนะการเลือกตั้งครั้งเดียว ตีกินประเทศไทยสี่ปี อย่างที่เรียกว่าประชาธิปไตย 3 วินาที

การ “แสดงอำนาจ” ของฝ่ายพลังแม้วในครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ดีให้หลายฝ่าย ทั้งฝ่าย “ไทยเฉย” ที่ไม่สนใจอะไรนอกจากเรื่องปากท้องหรือการทำมาหากิน รังเกียจความขัดแย้งทางการเมือง สนใจแต่เรื่องของตัวเองว่ารถจะติดหรือเปล่า จะไปจองไอโฟนรุ่นใหม่ได้หรือเปล่า วันนี้ก็ได้เห็นแล้วว่า การ “ดูดาย” นั้นทำให้พวกนักการเมืองนั้นกำเริบเสิบสานได้อย่างไร

เพราะยิ่งการดูดายนั้นเป็นเหมือนการทิ้งมวลชนผู้เสียสละต่อสู้ทางการเมืองให้เหลือจำนวนน้อยลง เพียงเพราะการไปม็อบเดี๋ยวนี้มันไม่เท่ ไม่ใช่แนวแล้ว ทั้งยังทำรังเกียจว่าคนที่ไปต่อสู้ทางการเมืองเพื่อกู้ชาตินั้นเป็นคนบ้าเสียงข้างน้อยขี้ตื่นโวยวาย ก็เท่ากับเป็นการสร้างความเข้มแข็งจนฝ่ายการเมืองกล้ากระทำการเหยียดหยามประชาชนขนาดนี้ นั่นเพราะมวลชนข้างหนึ่งก็เป็นกองกำลังของเขาแล้ว

คนอีกจำพวกที่ควรได้รับบทเรียนจากกรณีกฎหมายล้างผิดนี้ คือ บรรดานักวิชาการ หรือปัญญาชนร้อนวิชา ที่ท่องตำรา “ประชาธิปไตย” และ “เสียงของประชาชน” แบบแผ่นเสียงตกร่อง มองว่าประชาธิปไตยคือมีการเลือกตั้งและมีผู้แทนเท่านั้น ยิ่งเลือกตั้งมากๆยิ่งดี คนกลุ่มที่ไม่ยอมรับอำนาจรัฐประหารว่าได้อำนาจมาโดยไม่ชอบ เป็นผลไม้พิษ แต่ก็เชื่อแบบไร้เดียงสาบ้าง หรือมีวาระแอบแฝงบ้าง ว่าถ้าเพียงผลไม้นั้นมาจากการต้นแห่ง “การเลือกตั้ง” แล้วก็จะเป็นผลไม้ดีที่ไม่ต้องไปกังขา ไม่ต้องสงสัย คนพวกที่อยากให้มีการเลือกตั้งทุกระดับประทับใจ ไม่ว่า ส.ส., ส.ว.หรือแม้แต่ศาลก็จะให้มาจากการเลือกตั้ง หรือ “โยงยึด” กับประชาชนนั่นแหละครับ

อันนี้พูดถึงเฉพาะ “แดงปัญญาชนไร้เดียงสา” ที่เชื่ออย่างบริสุทธิ์เพียงเท่านั้น ไม่รวมไปถึงพวกมีวาระซ่อนเร้น เช่น พวกกะขายตัวให้ฝ่ายการเมืองเรียกไปใช้งาน หรือพวกอยากได้ระบอบประชาธิปไตยแบบไม่มีคำต่อท้าย ซึ่งสองพวกนั้นใช่ว่าไม่รู้ถึงความฉ้อฉลของเครือข่ายอำนาจนักการเมือง แต่เพื่อจุดมุ่งหมายเขาเลยท่องคาถาประชาธิปไตยเพื่อหวัง “ขายของ” ที่ตัวหมายไว้ในใจ ซึ่งฝ่ายแรกเห็นว่าได้ดิบได้ดีกันไป จากอาจารย์โนเนมผู้นำ
ม็อบข้างถนน เดี๋ยวก็จวนจะได้ปูนบำเหน็จแล้ว ส่วนพวกที่หวังขาย “ประชาธิปไตยไม่มีสร้อย” ให้ฝ่ายการเมือง ก็รู้สึกว่าเขาจะไม่ซื้อ ... ซื้อได้อย่างไรละ ถ้ายังอยากอยู่อาศัยหากินบนแผ่นดินไทยแห่งนี้ จะกล้าเป็นศัตรูกับคนเกือบทั้งประเทศหรือ?

ปรากฏการณ์ “พิมพ์ด่วน” กฎหมายล้างผิดคืนเงินครั้งนี้ น่าจะเป็นบทเรียนให้ผู้คลั่งประชาธิปไตยไร้เดียงสาได้รับรู้ไว้ว่า หลักการเรื่องประชาธิปไตยจากเสียงข้างมาก เรื่องเสียงของประชาชน เรื่องอำนาจอธิปไตยโดยแท้นั้น มันเป็นเพียง “ทฤษฎี” ที่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในภาวะที่เหมาะสม

เพราะหากอยู่ในสถานการณ์ของคนโกงและอำนาจเงิน เสียงข้างมากนั้นก็คือ “ทุน” ข้างมากที่จ้างพนักงานเข้าไป “ใช้อำนาจรัฐ” ให้เจ้าของทุนเพียงเท่านั้นเอง

ว่าแต่เห็นภาพของกฎหมายคืนเดียวแบบนี้แล้ว คุณยังอยากให้เลือกตั้งกันในทุกระดับไหม หรือยังได้ฝ่ายตุลาการหรือศาลที่ “มีที่มาจากประชาชน” ให้ฝ่ายการเมืองเห็นชอบ แบบประชาธิปไตยจ๋าอยู่หรือเปล่า?
กำลังโหลดความคิดเห็น