“เฉินหลินฮู” หนุ่มผู้มีบุคลิกอ่อนน้อม แต่ซ่อนความแข็งแกร่งไว้ภายใน ชีวิตของเขาเรียบง่ายเหมือนหนุ่มจีนแผ่นดินใหญ่ชนชั้นแรงงานทั่วไป เขาหาเลี้ยงพ่อกับแม่ด้วยการทำงานเป็นพนักงานขับมอเตอร์ไซค์ส่งของ ขณะเดียวกันเขาก็ได้เรียนวิชาศิลปะการต่อสู้ “ไทเก็ก” จากอาจารย์ผู้เฒ่าในสำนักเก่าแก่หลินกง
วิชาไทเก็กในสายตาคนทั่วไป อาจดูเหมือนการรำมวยจีนของคนเฒ่าคนแก่ แต่ทว่าศาสตร์การต่อสู้ ที่ปรมาจารย์เฒ่าผู้ลุ่มลึก ถ่ายทอดให้แก่ศิษย์เอกคนเดียวนี้ แฝงไว้ด้วยพลังในการต่อสู้ที่งดงาม สุขุม นุ่มลึก ผสมกลมกลืนไปกับความสงบแห่งจิต ที่มีแก่นแท้คือความแข็งแกร่งของร่างกาย ที่ผนวกเข้ากับการควบคุมโดยจิตใจ
นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลลึกๆของเฉิน ที่อยากประกาศให้สังคมรับรู้ว่า วิชาไทเก็กในสำนักที่เสื่อมโทรมและไม่มีใครเหลียวแลนั้น มีคุณค่าและความสำคัญมากเพียงใด เขาจึงสมัครเข้าแข่งขันประลองวิทยายุทธ์ในสังเวียนต่างๆ
ขณะที่บนเกาะฮ่องกง “ซวนจิงซื่อ” ตำรวจสาวสายสืบสวน ต้องปวดหัวกับคดีฆาตกรรมนักสู้รายหนึ่ง ที่เคยมาสารภาพว่า ตกอยู่ในสถานการณ์ไร้ทางออก ต้องอยู่ภายใต้การประลองใต้ดิน ทำผิดกฎหมาย โดยผู้อยู่เบื้องหลังคือ “โดนากะ มาร์ค” นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลบนเกาะฮ่องกง และนิยมสร้างเวทีประลองการต่อสู้อันโหดดิบเถื่อน ตอบสนองความต้องการของผู้ชมที่ซื้อบัตรชมการแสดงสดและชมผ่านจอแบบเรียลลิตี้ แต่แม้ว่าซวนจิงซื่อจะพยายามตามติดคดีนี้ แต่เธอก็คว้าน้ำเหลวทุกครั้ง
เมื่อฆาตกรรมนักต่อสู้ไปรายหนึ่ง นักธุรกิจเถื่อนรายนี้ก็ต้องหานักสู้คนใหม่ เขามีโอกาสได้ชมการประลองศิลปะการต่อสู้ในเมืองจีน ซึ่งแน่นอนว่า “เฉิน” มีคุณสมบัติที่เข้าตาเขาเป็นที่สุด!!
ลูกน้องของโดนากะตามสืบชีวิตของเฉิน และฝากนามบัตรไว้ มีรายละเอียดบอกว่า หากต้องการทำงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งมีรายได้ดีมาก ก็ให้ติดต่อไป
เฉินไม่สนใจและยังคงใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้ววันหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตก็มาถึง เมื่อสำนักพัฒนาที่ดินเชิงธุรกิจ เข้ามาตรวจพื้นที่ภายในวัดเก่าแก่ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักหลินกง แล้วระบุว่า วัดแห่งนี้ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย สมควรทุบทิ้ง
แม้อาจารย์ผู้เฒ่าจะนิ่งสงบกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เฉินทุกข์ใจมาก จึงไปปรึกษากับเพื่อนสาวที่ทำงานด้านกฎหมาย ซึ่งได้รับคำตอบว่า ทางออกที่จะรักษาวัดไว้ได้คือ การซ่อมแซมให้ตรงตามมาตรฐาน เพื่อยื่นเรื่องคุ้มครองวัดเก่าแก่แห่งนี้ ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม แต่การซ่อมแซมย่อมหมายถึงงบประมาณที่ต้องใช้จ่าย
เฉินจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปตามนามบัตร และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางไปเกาะฮ่องกง เพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่เขาไม่อาจคาดคิดมาก่อน
เมื่อเดินทางไปถึงบริษัทของโดนากะ เฉินโดนทดสอบชนิดไม่ทันตั้งตัว เมื่อนักสู้รายหนึ่งจู่โจมทำร้ายเขา แต่เฉินก็ใช้วิชาของตนตอบโต้จนได้ชัยชนะ เฉินคิดว่านี่คงเป็นการทดสอบเกี่ยวกับตำแหน่งงาน แต่เขาคิดผิด เพราะโดนากะบอกว่า ถ้าสนใจอยากจะสู้อีก ก็จะมีค่าตอบแทนอย่างงามให้
เฉินรับค่าตอบแทนมาแบบงงๆ และไม่เต็มใจนัก แต่เพราะห่วงเรื่องค่าซ่อมแซมวัด จึงตัดสินใจรับเงินก้อนใหญ่มา ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า กำลังทำผิดหลักการของสำนักและตนเอง นั่นคือการใช้วิชาไทเก็กไปต่อสู้ เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ท้ายที่สุดแล้ว เฉินก็เข้าสู่สังเวียนการต่อสู้ใต้ดิน การต่อสู้แต่ละครั้ง โดนากะเริ่มหาคู่ต่อสู้ที่โหดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เฉินงัดเอาความรุนแรงภายในจิตใต้สำนึก สำแดงพลังสัญชาตญาณดิบออกมา
ค่าตอบแทนจำนวนมากที่ได้รับ ทำให้เขามีเงินไปจ่ายค่าซ่อมแซมวัดได้ทั้งหมด และซื้อข้าวของเครื่องใช้ใหม่ๆให้พ่อแม่
แต่ความเปลี่ยนแปลงของเฉิน ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเริ่มเห็นจากการฝึกซ้อมก็คือ “พลังชี่” หรือ “พลังชีวิตในร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์” ซึ่งควรควบคุมให้เกิดความสมดุลนั้น มันผิดเพี้ยน พลุ่งพล่าน กลายเป็นความรุนแรงภายในจิตใจ ที่พร้อมจะปะทุออกมาได้ตลอดเวลา เพราะในการฝึกซ้อมครั้งล่าสุด เฉินถึงขั้นพลาดพลั้งลงมือทำร้ายอาจารย์ เนื่องจากควบคุมพลังของตนไม่อยู่
และในการประลองยุทธ์ครั้งล่าสุดของเขานั้น ปราศจากศาสตร์แห่งไทเก็กอันงดงามสงบเยือกเย็นอีกต่อไป เขาใช้ความโหดที่คุ้นชินมาจากสังเวียนใต้ดิน ต่อยเตะจนคู่ต่อสู้ขาหัก และเขาถูกปรับแพ้ในที่สุด ซึ่งนั่นกลายเป็นผลร้ายที่ทำลายตัวเอง เพราะแม้ว่าวัดที่ซ่อมแซมจะเสร็จและผ่านการพิจารณาแล้ว แต่ความโหดร้ายจากการประลองยุทธ์ทำให้คณะกรรมการเห็นพ้องว่า สำนักหลินกงไร้ซึ่งศาสตร์ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์
ขณะที่ชีวิตอีกด้านในฐานะนักสู้ใต้ดินของเฉินที่ยังดำเนินอยู่ เพราะได้เงินมาก ก็เริ่มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เมื่อโดนากะต้องการให้เขา “ปลิดชีพ” คู่ต่อสู้ เฉินจึงได้รู้ความจริงว่า ชีวิตของเขาถูกติดตามไม่ต่างจากเรียลลิตี้โชว์ โดยความน่าสนใจเรื่องการต่อสู้นั้น เป็นเพียงเรื่องรอง เพราะเรื่องหลักที่คนดูติดตาม คือพัฒนาการความโหดเหี้ยม การเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจที่บริสุทธิ์ของคนคนหนึ่ง มาเป็นเพชฌฆาตบนสังเวียนอย่างเต็มตัว
เฉินจึงตัดสินใจแจ้งข่าวไปยังตำรวจสาว ที่เคยมาติดต่อขอเบาะแสคดี และในที่สุดตำรวจก็ปิดฉากธุรกิจเถื่อนการต่อสู้ผิดกฎหมายได้ แต่โดนากะหนีรอดไปได้หวุดหวิด และหวนมาล้างแค้นเฉิน ซึ่งท้ายที่สุด หนังก็จบลงในแบบที่คาดเดาได้ไม่ยาก
ความสนุกของ Man of Tai Chi อาจเป็นเรื่องราวแบบหนังแอ็คชั่นผสมศิลปะการต่อสู้ แต่แก่นสำคัญที่ผู้กำกับ “คีอานูรีฟส์” ได้แฝงไว้ในการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกก็คือ “การควบคุมจิตใจมิให้ตกไปกับความโลภ”
ความโลภของเฉินที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ อาจยกตัวอย่างหลักทางพุทธศาสนาในเรื่องกิเลส มาประยุกต์เป็นข้อคิด โดยกิเลสนั้นแบ่งออกเป็น 10 ประเภทได้แก่
อโนตตัปปะ ความไม่รู้สึกตื่นกลัวต่อการทุจริต โทสะ ความโมโห โกรธ ความไม่พอใจ โมหะ ความหลงใหล ความโง่ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา ทิฏฐิ ความเห็นผิดเป็นชอบ วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงใจ สงสัย ไม่แน่ใจ ลังเลใจในสิ่งที่ควรเชื่อ โลภะ ความพอใจ ชอบพอ เต็มใจในโลกียอารมณ์ต่างๆ ถีนะ ความหดหู่เงียบเหงา อหิริกะ ความไม่ละอายต่อการกระทำผิดทุจริต มานะ ความทะนงตน ถือตัว เย่อหยิ่ง
ผู้ชมคงแยกแยะได้ไม่ยากว่า เฉินโดนกิเลสประเภทใดครอบงำจิตใจบ้าง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เมื่อเขาเกิดกิเลสในใจ มันก็นำชีวิตไปสู่หายนะ ดังคำที่อาจารย์เฒ่าตักเตือนตลอดเวลา
ทั้งนี้ หากมองในเรื่องการแก้ไขปัญหา หากเฉินไม่พลั้งเผลอหลงไปกับกิเลส เขาย่อมใช้ศาสตร์ไทเก็กโบราณ เอาชนะการประลองยุทธ์ไปได้เรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการประชาสัมพันธ์ให้สังคมยอมรับและรับรู้ถึงคุณค่าของวิชาจากสำนักเก่าแก่ และย่อมนำไปสู่ความช่วยเหลือยอมรับจากองค์กรต่างๆ โดยมิต้องพึ่งพาเงินผิดกฎหมาย
เราทุกคนก็เช่นกัน หากเกิดปัญหาใดๆในชีวิต ก็จงใช้สติปัญญาตรึกตรองอย่างรอบคอบก่อน อย่าให้กิเลสมาครอบงำทำลายพลังบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในใจ แล้วนำไปสู่การแก้ปัญหาแบบผิดๆ เพราะผลร้ายที่เกิดขึ้นอาจมากเกินกว่าที่จะคาดคิด
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 153 กันยายน 2556 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)