บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 6
อิศร์วิ่งหนีคนร้ายมาถึงบันไดทางขึ้นรถไฟฟ้า เขารีบวิ่งขึ้นไปทันที คนร้ายไล่จี้ตามอิศร์ไม่ลดละ แพรพลอยวิ่งขึ้นมาบน skywalk อีกฝั่ง พยายามสดส่ายสายตามองหาอิศร์ จนกระทั่งเห็นอิศร์วิ่งขึ้นมาจากอีกด้าน
อิศร์เองก็เห็น เขาดีใจมาก “คุณแพร”
แพรพลอยร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง “คุณอิศร์”
อิศร์วิ่งตรงมาหาแพรพลอย คนร้ายที่ตามอิศร์มาชักปืนจะยิง แต่แพรพลอยเห็นก่อน
“คุณอิศร์ ระวัง”
อิศร์หันไปเห็นก่อน เขาพุ่งเข้าไปแย่งปืน ยื้อกันไปมากับคนร้าย แพรพลอยรีบวิ่งเข้าไปช่วย
อิศร์สู้กับคนร้ายจนปืนหลุดกระเด็นไป คนร้ายตีเข่าใส่อิศร์จนทรุด แล้วลากลงไป แพรพลอยวิ่งไปหยิบปืนแล้วรีบวิ่งตาม
อิศร์ถูกคนร้าย 1 ลากลงมาจาก skywalk แพรพลอยวิ่งตามมา ยกปืนเล็ง
“หยุดนะ”
คนร้าย 1 หันไปเห็น แล้วจะลากอิศร์หนี แพรพลอยจะยิงใส่ แต่ถูกคนร้าย 2 ที่ตามมายิงใส่ จนต้องหลบ
แพรพลอยมองอิศร์ที่โดนลากไปเรื่อยๆ จึงยิงใส่คนร้าย 2 จนเสียหลัก แล้ววิ่งไล่ตามอิศร์ไป แพรพลอยวิ่งตามลงมา คนร้าย 2 โผล่มาดักหน้าขวางไว้ แพรพลอยกระโดดเหนี่ยวตัวกับราวบันได เตะขาใส่คนร้าย 2 จนร่างกระเด็น
คนร้าย 1 ตะโกนบอก “ขึ้นรถโว้ย” แล้วลากอิศร์มาที่รถตู้ที่จอดอยู่ ตะโกนเรียกคนร้าย2
ทั้งสองคนจับตัว อิศร์ยัดขึ้นรถแล้วปิดประตูปัง
“คุณอิศร์”
แพรพลอยวิ่งตามไปที่รถตู้ แต่คนร้าย 1 วิ่งขึ้นรถ แล้วรถก็ขับออกไปก่อน แพรพลอยวิ่งมาฉิวเฉียด วิ่งตามตบประตูรถตู้
“คุณอิศร์ ๆ”
“คุณแพร หลบไป”
แพรพลอยหันไปเห็นอนุภัทรปั่นจักรยานเข้ามา วาดปืนเล็ง ขณะกำลังปั่นจักรยานด้วยมือข้างเดียว เล็งปืนที่ล้อรถตู้
เสียงปืนดังเปรี้ยงๆ รถตู้ถูกยิงเจาะเข้าที่ยางหลังจนเสียหลักเซเข้าแผงผลไม้ริมทางกระเจิง
“เทกระจาดเลยนะคะหมวด”
แพรพลอยแซว แล้วรีบวิ่งไปยังรถตู้ที่จอดแน่นิ่ง
คนร้าย 2 คนจากรถตู้รีบลากอิศร์ลงจากรถ แล้วพาวิ่งหายไปในตรอก อนุภัทรมองเหตุการณ์รีบขับจักรยานอ้อมไปอีกทาง พลางสั่งการทางวิทยุ
“กระจายกำลังล้อมตรอก จับเป็นเท่านั้น ระวังตัวประกันด้วย”
อนุภัทรขับจักรยานอ้อมไปอีกทาง
คนร้าย 2 คนลากอิศร์วิ่งเข้ามาตามตรอกข้าง ที่เป็นร้านขายเสื้อผ้า แพรพลอยวิ่งตามมา แต่ไม่ทัน หันไป เจอร้านโชว์สเก็ตบอร์ด แพรพลอยคว้าสเก็ตบอร์ด พลางวางนามบัตร
“ส่งบิลตามนามบัตรค่ะ” หล่อนไถลสเก็ตบอร์ดออกไป
เจ้าของร้าน วิ่งออกมา ดูนามบัตร งงปนทึ่ง
แพรพลอยไถลสเก็ตบอร์ดมาอีกซอย เห็นคนร้ายลากอิศร์อยู่ ก็รีบตามไป คนร้าย 1 ผละจากอิศร์ มาสกัดแพรพลอยด้วยการเหวี่ยงขา แพรพลอยกระโดดลอยตัวหลบขาคนร้าย แล้วก้าวลงสเก็ตได้สวยงามเหมือนเดิม
“คุณอิศร์จัดการมันค่ะ”
“จ...จัดการ ยังไง โอ๊ย”
อิศร์มัวแต่งง เลยถูกชกหน้าหงายไป แพรพลอยเห็นท่าไม่ดี กระโดดลงจากสเก็ตบอร์ด แล้วเตะบอร์ดพุ่งเข้าไปกระแทกกลางหลังคนร้าย 2 อิศร์ฉวยโอกาสกระชากแขนหุ่นโชว์เสื้อ ฟาดใส่คนร้าย 1
แพรพลอยวิ่งเข้ามาสมทบผลักหุ่นใส่คนร้าย2
“คุณอิศร์ จัดการจุดอ่อนมัน”
อิศร์งง “จุดอ่อน”
“จุดอ่อนที่สุดของผู้ชายอยู่ตรงนั้น”
อิศร์งงอยู่ “ตรงไหน”
คนร้าย 1 ได้ยินก็ยิ้มเยาะแล้วหันมาเตะเข้าหว่างขาอิศร์เต็มแรง
“โอ๊ย”
แพรพลอยมัวแต่มองอิศร์อย่างเป็นห่วง คนร้าย 2 หันมาเอาหุ่นตัวเดิมฟาดใส่แพรพลอย แต่ แพรพลอยหลบแล้วถีบหุ่นกระเด็นแล้วหยิบท่อนขาสองข้างออกมา
“เข้ามาสิ”
คนร้าย 2 ตั้งท่า แล้วพุ่งเข้าใส่ แพรพลอยใช้เท้าของหุ่นฟาดอย่างแรงเข้าไปที่กกหูจนสลบ
แพรพลอยหันไปหาอิศร์ เห็นคนร้าย 1 พยายามจะลากตัวอิศร์ไปอีก เลยพุ่งเข้าไปเตะต่อย
“คุณอิศร์ หนีไปก่อน”
“ผม...ผมลุกไม่ไหว”
แพรพลอยพูดไปสู้ไป “ไม่ไหวก็ต้องไหว”
จังหวะที่แพรพลอยหันมามองอิศร์ เลยโดนคนร้าย1เตะล้มไป คนร้าย 1 ชักปืนออกมา
“แกทำให้งานฉันผิดพลาด นังตัวแสบ”
คนร้าย 1 เตรียมจะยิง แต่เสียงกระสุนดังเปรี้ยงมาจากด้านหลัง ร่างคนร้าย 1 ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น
เป็นฝีมืออนุภัทรกับลูกน้องวิ่งตามเข้ามา อนุภัทรวิ่งเข้าไปเช็คชีพจรคนร้าย1 ลูกน้องวิ่งไปดูคนร้าย 2 ที่สลบ หันมาทางสองคน
“อิศร์ คุณแพร โอเคนะครับ”
แพรพลอยพยักหน้าเหนื่อยๆ แต่อิศร์ทรุดลง แพรพลอยกับอนุภัทรรีบเข้าไปประคอง
พออิศร์ฟื้นขึ้นมาอีกที พบว่าตัวเองนอนให้ลูกน้องอนุภัทรปฐมพยาบาลอยู่บนเปลสนาม ร่างฟกช้ำดำเขียว เพราะถูกต่อยถูกซ้อม
รถพยาบาลแล่นเข้ามาจอด อริสราเปิดประตูลงมาพร้อมกับกลุ่มพยาบาล
“อิศร์ เป็นยังไงบ้างคะ” อริสราวิ่งเข้ามาประคองอิศร์จนอนุภัทต้องถอยออกมา
“เจ็บมากไหม” อริสราสั่งกับพยาบาล “เอาตัวขึ้นรถไปเลยค่ะ”
“เอ้อ เดี๋ยวก่อนครับ ผมไม่...”
อิศร์ยังไม่ทันพูดอะไร พวกพยาบาลก็มาพาตัวอิศร์ไป โดยมีอริสราวิ่งตาม
อิศร์ถูกเข็นมาขึ้นรถพยาบาล ทั้งที่ยังงงๆ อยู่ อริสราตามขึ้นมา
“ไปเลยค่ะ ออกรถเลยค่ะ”
“อริส ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“ไปเช็คที่โรงพยาบาลก่อนเถอะค่ะ” อริสราเร่งพยาบาล “ไปเลยค่ะ”
พยาบาลจะปิดประตูรถ อิศร์ห้ามไว้
“ด...เดี๋ยวก่อน แล้วคนอื่นล่ะครับ คุณแพรล่ะ”
“ช่างคนอื่นเถอะค่ะ ตอนนี้คุณสำคัญที่สุด”
พยาบาลจะปิดประตูรถ แต่อิศร์ลุกพรวด
“ไม่ๆ รอก่อน ผมเป็นห่วงคุณแพร”
อิศร์กระโจนลงจากรถแล้ววิ่งออกไป อริสราตะโกน
“อิศร์”
อิศร์วิ่งเข้ามาในซอยที่เกิดเหตุ เห็นอนุภัทรกำลังคุยกับพวกพิสูจน์หลักฐาน
“อ้าว แกมาทำไมอีก ไม่ไปทำแผลวะ”
“คุณแพรล่ะ”
“กลับไปแล้ว”
“กลับไปได้ยังไง บาดเจ็บแบบนั้น”
“ฉันก็บอกให้ไปหาหมอกับแก แต่คุณแพรเธอห่วงเด็กๆ ก็เลยขอกลับไปทำแผลที่บ้าน”
“ไปยังไง ไปทางไหน”
อิศร์วิ่งไปตามถนนที่รถติดแน่นขนัด มองหารถแท็กซี่ทีละคน เพราะเป็นห่วงแพรพลอย
ทั้งหมดนั่งเบียดกันมาในแท็กซี่ แพรพลอยเอามือลูบปากตัวเองที่ระบม
กรณ์มองเห็นจากกระจก “เจ็บมากไหมแพร ไปหาหมอก่อนไหม”
“ไม่ต้องหรอก รีบกลับบ้านเถอะ ป่านนี้แม่คงเป็นห่วงแล้ว”
เปี๊ยกเกาะกระจกมองตามถนนอย่างเบื่อหน่าย แล้วเห็นอิศร์วิ่งตามมา
“อ๊ะ นั่นพี่อิศร์นี่ จะวิ่งไปไหน”
แพรพลอยหันมองตาม แต่ไฟจราจรเขียวพอดี ค่อยๆ เคลื่อนตัวไป
อิศร์วิ่งไป พยายามมองหาแพรพลอยในรถไปด้วย จนสายตาเหลือบไปเห็นเปี๊ยกเกาะกระจกหลัง
“เปี๊ยก”
อิศร์เห็นรถออกวิ่งไป ก็วิ่งตามไม่คิดชีวิต มอเตอร์ไซค์วิ่งซิกแซกมาเกือบชนอิศร์เอา แต่อิศร์ไม่สนใจวิ่งตามรถไป
ขณะที่แท็กซี่กำลังจะขับตามรถคันหน้า แล้วต้องเบรกเอี๊ยด
กรณ์ร้องลั่น “เอ๊ย”
ทุกคนหันไปมอง เห็นอิศร์ยืนขวางหน้ารถ หอบตัวโยน
“คุณอิศร์”
แพรพลอยรีบเปิดรถลงไป
“จะบ้าหรือไงคุณ มาขวางรถไว้ทำไม”
อิศร์วิ่งมาจับตัวแพรพลอย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้าง
“ฉันไม่เป็นอะไร”
“ผมไม่เชื่อ”
เสียงรถที่ต่อท้ายบีบแตรไล่ แท็กซี่ตะโกนเรียก
“คู๊น มาคุยอะไรกันตรงนี้ จะขึ้นไม่ขึ้น”
แพรพลอยเซ็ง รีบลากอิศร์ขึ้นแท็กซี่มาด้วยกัน
อัมพาได้ยินเสียงรถ รีบออกมาดู เห็นกรณ์กับแพรพลอยกลับมาอย่างปลอดภัยก็โล่งอก
“ไม่ได้เป็นอะไรกันใช่ไหมลูก แม่เห็นข่าวแล้วตกใจ”
“ทุกคนปลอดภัยค่ะ”
“ยกเว้นพี่อิศร์” เปี๊ยกบอก
อัมพาแปลกใจ เห็นอิศร์ลงมาเป็นคนสุดท้าย ยิ้มแหยๆ ท่าทางบาดเจ็บ กรณ์เข้าไปประคอง
“ตายจริง เข้าบ้านก่อนค่ะ”
อัมพารีบเข้าไปช่วยประคองอิศร์
กรณ์กับอัมพาประคองอิศร์นั่งที่โซฟาห้องรับแขก แพรพลอยกับเปี๊ยกเดินตาม
“นี่แหละน้า อยากไปบู๊กันแค่สองคน คราวหลังเรียกเปี๊ยก รับรองว่าไม่มีใครเจ็บตัว”
“ขี้คุย ใครวะพอได้ยินเสียงระเบิดแล้ววิ่งมุดใต้โต๊ะเป็นคนแรก”
กรณ์กับเด็กอื่นๆ หัวเราะกันเกรียว เปี๊ยกหน้ามุ่ย
“ก็ตอนนั้นมันตั้งตัวไม่ทัน”
อัมพานึกห่วงอิศร์ “ไปหาหมอไหมคะคุณอิศร์”
“แพรบอกให้ไป แต่เขาดื้อ”
“ก็ทีคุณยังไม่ไปเลย ผมทนได้ครับคุณป้า” อิศร์จะลุก แต่แล้วเจ็บซี่โครง ตัวงอลงไปอีก “อูย...”
“ขอผมดูแผลหน่อยครับ”
กรณ์เข้าไปเปิดเสื้ออิศร์ เห็นรอยเขียวช้ำตามตัว
“ไม่เป็นไรครับ แค่เคล็ดขัดยอกเฉยๆ” อิศร์บอก
“เดี๋ยวป้าไปหายามาให้ค่ะ” อัมพารีบออกไป
แพรพลอยเดินมาหลังบ้าน ช่วยอัมพาดูฉลากยาไปทาให้อิศร์
“เราน่าจะโทรบอกที่บ้านคุณอิศร์นะคะแม่ ป่านนี้คนที่นั่นคงเป็นห่วง”
“เดี๋ยวก่อนก็ได้ ไปทำแผลให้คุณอิศร์ก่อน” แม่ครูยื่นถาดยาให้
“ให้กรณ์ทำสิคะ ผู้ชายเหมือนกัน” แพรพลอยแย้ง
กรณ์ยื่นหน้าเข้ามาพอดี
“ผมพาเด็กๆ ไปเตะบอลที่สนามโรงเรียนนะแม่” แล้วผลุบหายไปทันที
“อ้าว เดี๋ยวสิกรณ์ กลับมาก่อน”
แพรพลอยวิ่งไปเรียก แต่กรณ์หายวับไปแล้ว เลยหันมาจะฟ้องอัมพา
“แม่ดูสิคะ”
“แพรนั่นแหละ ไหนๆ ก็ช่วยคุณอิศร์เขาไว้แล้วนี่”
แพรพลอยหน้ามุ่ย ถือถาดยาออกไป อัมพาอมยิ้มๆ
แพรพลอยเข้ามาในห้องรับแขก เห็นอิศร์นั่งเปลือยท่อนบนเตรียมให้ทำแผลอยู่ก็เก้อๆ เกร็งๆ ทำตัวไม่ถูก อิศร์มองเห็นแพรพลอยมือสั่นๆ จนถาดแทบตกก็อมยิ้ม
“คุณยังเขินผมอยู่อีกเหรอ”
แพรพลอยหลบสายตา “ฉันควรจะไม่เขินหรือไง”
อิศร์ยิ้ม มองดูถาดใส่ยา ผ้าพันแผล แล้วขยับเข้ามาใกล้ๆ
แพรพลอยระแวง “เขยิบมาทำไม นั่งที่เดิมนั่นแหละ”
“เดี๋ยวทำแผลไม่ถนัด”
“ก็ไม่ควรจะต้องลำบากคนอื่นตั้งแต่แรก ตามมาทำไมก็ไม่รู้”
แพรพลอยบ่น ทำเป็นเมินไม่มอง แล้วหยิบแอลกอฮอลล์มาเตรียมจะเช็ดแผลให้อิศร์ แต่อิศร์เอื้อมมือมารั้งไว้
แพรพลอยถดหนีอย่างระแวง “จะทำอะไร”
“ผมทำให้คุณก่อนดีกว่า เห็นสาวๆ หน้าช้ำแล้วมันทนดูไม่ค่อยได้”
อิศร์ยิ้มเย้าแล้วเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์
“ฉันทำเองได้”
“ไม่ต้องกลัวผมจะทวงบุญคุณหรอก ผมปฐมพยาบาลตัวเองได้ ยื่นหน้ามาใกล้ๆ หน่อย”
แพรพลอยขยับเข้ามาใกล้ แล้วเงยหน้าให้อิศร์ทำแผลอย่างเขินๆ
จังหวะนี้แพรพลอยได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักที่หน้าต่าง หันขวับไปมองแล้วสะดุ้ง เพราะเจ็บ
“อยู่เฉยๆ สิครับ อย่าหันไปหันมา”
แพรพลอยแปลกใจที่ไม่เห็นใคร ค่อยๆ หันกลับมาให้อิศร์ทำแผลต่อ
ที่แท้เป็น กรณ์ เปี๊ยก เด็กๆ แอบดูอยู่ตรงหน้าต่างด้านนอก แล้วยื่นหน้าออกมามองดูใหม่ ทั้งหมดเห็นอิศร์ประคองหน้าแพรพลอยทำแผล ก็หัวเราะกันคิกคัก เปี๊ยกหัวเราะเสียงดังกว่าเพื่อน
แพรพลอยหันกลับมามอง แต่กรณ์กับเด็กๆ ก็ก้มลงไปอีก เลยไม่เห็น
“มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันว่าฉันเห็นใครแว่บๆ อยู่ข้างนอก”
อิศร์มองตาม “ไม่เห็นมีใครเลย คุณอยู่นิ่งๆ จะได้ไม่เจ็บ”
จากนั้นอิศร์ก็ทำแผลให้แพรพลอยต่อ นุ่มนวล แผ่วเบา แพรพลอยแอบเคลิ้ม
ทุกคนรุมคาดคั้นป้าดวง
“นี่อิศร์ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอคะป้า” อริสราถามนำ
“ย...ยังค่ะ” ป้าดวงบอก
“แล้วไอ้มิตรคนขับรถของอิศร์ก็หายตัวไปด้วยงั้นเหรอ” อำนวยแปลกใจ
“เอ่อ ก็...ตั้งแต่พาคุณอิศร์ไปงานเมื่อเช้า ก็ยังไม่กลับมาเหมือนกันค่ะ”
“ชัดเลย งั้นก็แปลว่าไอ้มิตรนั่นแหละมันคงร่วมมือกับใครซักคน วางแผนฆ่าเจ้าอิศร์ ป่านนี้มันคงหนีไปแล้ว” ธำรงโวยลั่น
ป้าดวงตกใจ รีบแก้ “อุ้ย คงไม่ใช่หรอกมั้งคะ ป้าว่านายมิตรคงดูแลคุณอิศร์ยิ่งชีพ ไม่ปล่อยให้เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะ”
“แล้วตอนนี้นายอิศร์อยู่ที่ไหน หรือว่ามันตายไปแล้ว ทำไมไม่มีคนรู้เห็นเลย” ธำรงสงสัย
“อริสคิดว่าอริสรู้ค่ะ” อริสรานึกถึงมูลนิธิบ้านโอบรักขึ้นมา
ภายในห้องรับแขกบ้านอัมพา แพรพลอยนั่งมองอิศร์พันแผลรอบเอวที่เขียวช้ำจากการถูกทำร้าย
“ฉันว่าคุณควรจะกลับบ้านนะ”
“ผมกลับไม่ไหวหรอก จะนอนที่นี่ คุณไปจัดที่นอนให้ผมหน่อยสิ”
อิศร์ทำท่าหาว ทิ้งตัวลงนอน แพรพลอยมองหมั่นไส้ หยิบโทรศัพท์ออกมา
“ฉันจะโทร.ให้ผู้กองมารับแล้วกัน”
อิศร์รีบลุกพรวดขึ้นแย่งโทรศัพท์
“ไม่ต้อง ไอ้ภัทรกำลังยุ่งเรื่องวันนี้อยู่ มันเพิ่งโทร.มาบอกว่าจะไม่กลับไปที่บ้าน”
“งั้นคุณก็ต้องยิ่งต้องโทร.บอกป้าดวง เดี๋ยวใครๆ จะเป็นห่วง”
แพรพลอยพยายามจะโทร. แต่อิศร์ไม่ยอม สองคนยื้อแย่งโทรศัพท์กัน
“คุณอิศร์ ปล่อยนะ”
“ขอผมอยู่ที่นี่ซักคืนไม่ได้เหรอ ผมถูกปองร้ายนะ แล้วตอนนี้ก็ไม่มีบอดี้การ์ดแล้วด้วย” อิศร์ใช้ลูกอ้อน
“ไม่ต้องมาอ้าง คุณอิศร์”
อิศร์ไม่ยอม กระชากแพรพลอยล้มลงบนโซฟาด้วยกัน ในท่าโอบกอด ใบหน้าใกล้กันแค่คืบ อริสราพรวดพราดเข้ามาพอดี เห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา
“อิศร์คะ”
อิศร์กับแพรพลอยสะดุ้งตกใจ รีบลุกขึ้น
อริสราหึงจนอยากกรี๊ด แต่พยายามเก็บอารมณ์ไว้ “อริสมารับคุณค่ะ คนที่บ้านเป็นห่วงคุณมาก”
“ผมไม่...”
อิศร์ยังพูดไม่จบ ป้าดวงกับอำนวยก็พรวดพราดตามเข้ามา
“อิศร์”
“คุณอิศร์” ป้าดวงโผเข้าหาจับเนื้อจับตัวใหญ่ “คุณอิศร์ของป้า เป็นยังไงบ้างคะ”
อำพลตบหน้าสุนทรสุดแรงด้วยความโกรธ
“แกรับปากกับฉันว่าคนของแกจะไม่พลาด แล้วดูซิเป็นไง ไอ้อิศร์มันรอดไปได้ แถมลูกน้องชั้นเลวของแกก็โดนจับไปได้”
“ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
“แกจะรับผิดชอบยังไงสุนทร ตามไปฆ่าไอ้อิศร์มันตอนนี้หรือไง ไอ้โง่”
สุนทรกดดัน ก้มหน้าตอบ
“ผมจะไม่ยอมให้ตำรวจสาวมาถึงนายครับ”
“ไปทำให้เรียบร้อย ก่อนที่ฉันจะโละแกทิ้ง แล้วหามือขวาคนใหม่”
อำพลพูดจบ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ไอศูรย์ตวาดออกไป “ใคร”
กรองทองค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาอย่างกลัวๆ แล้วมองเห็นสุนทรยืนนิ่งอยู่ในห้อง
“คุณอิศร์กลับมาแล้วค่ะ”
อำพลกับไอศูรย์ดูร้อนใจมากรีบออกไปทันที กรองทองมองตามทั้งสอง แล้วรีบเข้ามาหาสุนทร มองเห็นรอยแดงที่แก้ม
“พ่อ เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ พ่อถูกทำร้ายเหรอ? เรื่องอะไรกัน”
“อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่”
สุนทรดุ แล้วเดินพรวดๆ ออกไปทันที กรองทองไม่เข้าใจ
อำพลกับไอศูรย์รีบตรงไปหาอิศร์ เล่นละครทำทีเป็นห่วง
“อิศร์ ปลอดภัยใช่ไหม ลุงเป็นห่วงแทบแย่”
“ครับ คุณแพรช่วยผมไว้” อิศร์บอก
อำพลกับไอศูรย์อึ้ง นึกไม่ถึงว่าแพรพลอยจะมาเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกจนได้
“แล้วตำรวจรู้เรื่องคนร้ายหรือยัง”
อิศร์ส่ายหน้า ธำรงนึกได้ มองหา
“ฉันว่าไอ้คนขับรถแกนั่นแหละที่เป็นตัวการ หายหัวไปแบบนี้ ชัวร์เลย” ธำรงปากเปราะ
“ไม่ใช่หรอกครับ นายมิตรขอลากลับบ้านล่วงหน้าแล้ว แล้วมันก็ไม่มีเหตุผลจะวางแผนฆ่าผม” อิศร์บอก
“งั้นใครล่ะที่มีเหตุผล ไว้ใจไปเถอะ มันอาจจะรับจ้างใครมาก็ได้” ธำรงว่า
“รอให้ตำรวจสรุปดีกว่าค่ะ อีกไม่นานต้องรู้ตัวคนบงการแน่ๆ เพราะท่านรัฐมนตรีบรรเลง พ่อของคุณเมย์ลงมากำกับด้วยตัวเอง”
ฟังที่ดวงบอก อำพลกับไอศูรย์ต่างหนาวๆ ร้อนๆ
“ให้อิศร์ไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ”
ป้าดวงรีบประคองอิศร์เข้าบ้านไป อริสราเดินตามไปอย่างเป็นห่วง ขณะที่อำพลกับไอศูรย์ยืนนิ่ง ใจไม่ดี
ขณะอริสรากลับมาที่บ้าน เห็นไอศูรย์ยืนรออยู่ ก็ชะงัก แล้วพยายามจะเดินหนี แต่ไอศูรย์เดินมาจับแขน
“จะรีบไปไหน จะขึ้นไปกราบพระแก้บนที่ไอ้อิศร์มันรอดตายหรือไง”
“ใช่ แล้วพรุ่งนี้ฉันคงต้องพาอิศร์ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ด้วย”
ไอศูรย์โมโหหึง “ห่วงมันเหลือเกินนะ”
อริสรายิ้มเยาะ “ไม่เบื่อหรือไงที่พูดประโยคนี้ซ้ำๆ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าฉันจะไม่ปฏิเสธ”
อริสราสะบัด แล้วจะเดินหนีไป ไอศูรย์พูดไล่หลังอย่างเจ็บแค้น
“เสียดายที่มันไม่ตาย ผมอุตส่าห์ภาวนาให้มันตายๆ ไปซะ”
อริสราได้ยินหยุดกึก หันขวับ ย้อนกลับมาหาช้าๆ
“หมายความว่ายังไง”
“คนอย่างมัน อยู่ไปก็รกโลก เป็นกาฝากตระกูลเดชโชดม ไร้ประโยชน์ ถ้าตายไป แผ่นดินบ้านนี้จะได้สูงขึ้น”
“”นี่อย่าบอกนะว่าคุณ” อริสราชี้มือสั่นๆ ยังไม่อยากเชื่อ “คุณเป็นคนสั่งฆ่าเขาเหรอ”
ไอศูรย์ระเบิดหัวเราะลั่น “ถ้าผมทำ จะมายืนบอกคุณตรงๆ อย่างนี้เหรอ ใช้สมองคิดซะบ้างสิ ผมก็แค่หวังให้มีใครซักคนที่เกลียดมันพอที่จะส่งมันลงหลุมแทนผมเท่านั้นแหละ”
“คุณนี่เลวกว่าที่ฉันคิด”
ไอศูรย์หัวเราะเยาะไม่แคร์ อริสราอยากจะด่าต่อ แต่เกิดคลื่นไส้ขึ้นมากะทันหัน รีบเอามือปิดปากแล้ววิ่งออกไป สวนกับอำพลที่เดินเข้ามา
อริสราวิ่งเข้าห้องน้ำ โก่งคออาเจียนออกมาอย่างรุนแรง ท่าทีอ่อนระโหยโรยแรง อริสรามองใบหน้าซีดเซียวของตัวเองในกระจกอย่างแปลกใจ แล้วรีบเปิดน้ำล้างหน้า
อำพลยืนคุยกับไอศูรย์สีหน้าเครียด ไม่พอใจการกระทำของอริสรามากๆ
“เมียแกมันเจ้ากี้เจ้าการเกินไปแล้ว สั่งสอนกันซะบ้างนะ”
ไอศูรย์ถอนใจ “แค่นี้เขาก็เกลียดผมจะแย่แล้ว”
อำพลรู้ว่าไอศูรย์รักอริสรามาก แต่ก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“ระวังมันจะทำเราเสียแผน”
“พ่อจะทำอะไรต่อ”
“ตอนนี้ยัง ลองดูท่าทีไปก่อนว่าตำรวจรู้อะไรบ้าง”
ที่สน.เวลานั้น ร้อยเวรพาหญิงชรากับเด็กชายเดินมาที่ห้องขัง
“นายณัฐวุฒิ มีญาติมาหา”
คนร้าย 2 ลุกขึ้นมอง เห็นหญิงชรากับเด็ก รีบโผไป
“แม่”
หญิงชรายื่นกล่องข้าวให้ สีหน้าเศร้าสลด “เอ็งกินอะไรบ้างหรือยัง แม่เอาข้าวมาให้”
“ขอบใจจ้ะ”
คนร้าย 2 รับกล่องข้าวมาแล้วแง้มดู ก่อนจะชะงักนิดมองหน้าหญิงชราเขม็ง
“รีบๆ กินนะลูกนะ”
หญิงชราจับมือคนร้าย 2 ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย แต่นัยน์ตาบ่งบอกความนัยบางอย่าง
หญิงชราจูงหลานเดินเร็วๆ ออกมาจากโรงพัก หันรีหันขวางก่อนจะหลบเข้ามุมมืด ใครบางคนก้าวออกมา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” หญิงชราบอก
ใครคนนั้น ยื่นเงินให้หญิงชรากับเด็ก “เอาไปใช้ก่อน มันคงไปหาป้าไม่ได้ซักพัก”
หญิงชรากับหลานยกมือไหว้ รับเงินแล้วรีบเดินออกไป
ที่แท้ชายคนนั้นคือสุนทร
คนร้าย 2 ถือกล่องข้าวเข้ามาหลบมุมในห้องขังคนเดียว แล้วค่อยๆ แง้มห่อข้าว เห็นข้าวผัดกระเพราไข่ดาว คนร้าย 2 เปิดไข่ดาวขึ้นมาหยิบไฟแช็คที่ซ่อนอยู่ใต้ไข่ดาว
คืนนี้บรรยากาศในโรงพักเป็นไปตามปกติ มีตำรวจเดินไปมา ชาวบ้านเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์
ส่วนที่ด้านติดกับห้องขัง มีควันค่อยๆ ลอยออกมาเป็นกลุ่มหน้า ตำรวจนายหนึ่งเริ่มได้กลิ่น
“เฮ้ย ควันอะไรวะ”
ชาวบ้านหันไปมอง แล้วลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจ
“ไฟไหม้”
ชาวบ้านและตำรวจบนโรงพักตกใจ วิ่งกันแตกตื่นอลหม่าน ควันก่อตัวหนาทึบ ตามด้วยเปลวไฟสีแดงจากในห้องขังผู้ต้องหา
สุนทรยืนมองจากอีกฟากถนน เห็นคนวิ่งออกมา เห็นควันคละคลุ้ง เปลวไฟโหมไหม้จากในโรงพักอย่างรุนแรง
รถดับเพลิงเปิดไซเรนเสียงดังลั่นวิ่งเข้ามา พวกชาวบ้านเข้ามามุงดูเหตุการณ์ สุนทรมองอย่างพอใจผลงาน แล้วหยิบโทรศัพท์โทร.แจ้งเหตุการณ์
“ไอ้วุฒิมันหาทางหนีได้แล้วครับนาย” สุนทรเดินออกไป
เช้าวันต่อมาอนุภัทรยืนคุยกับลูกน้องที่เข้ามารายงาน ด้านหลังเห็นเจ้าหน้าที่กำลังเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุ
“ว่าไงนะ โรงพักถูกไฟไหม้เหรอ”
“เมื่อคืนนี้ครับ”
“แล้วคนร้ายล่ะ”
“มันทำร้ายร้อยเวรที่พาออกมาจากห้องขังแล้วหนีไปได้ครับ”
“โธ่เอ๊ย ส่งกำลังไปซุ่มดูที่บ้านมันอย่าให้คลาดสายตา”
ลูกน้องรับคำแล้วเดินออกไป อนุภัทรเห็นมายาวีขับรถพาบรรเลงเข้ามา รีบเดินไปหา
“สวัสดีครับท่าน”
“พอจะรู้ตัวผู้ก่อเหตุหรือยังผู้กอง” บรรเลงถาม
“ยังไม่พบหลักฐานที่จะระบุตัวคนบงการได้เลยครับ แต่ผมให้ออกไปสอบปากคำพยานในเหตุการณ์ รวมถึงผู้บาดเจ็บด้วย”
มายาวีขัดขึ้น “แล้วฉันล่ะ ไม่เห็นมีใครมาสอบสวนอะไรเลย”
“เราเห็นอะไรด้วยเหรอยายเมย์ ก็ไหนว่าพอเขายิงกันก็ร้องกรี๊ดๆ เอามือปิดหูปิดตา”
อนุภัทรหัวเราะออกมา มายาวีหันขวับ อนุภัทรรีบกลั้นไว้ แล้วเมินหน้าหนี
“ก็เมย์อยากเป็นพยานบ้าง เคยเห็นในหนังฝรั่งมันดูเท่ดีนี่คะ เผื่อได้ขึ้นศาล”
“เพ้อเจ้อจริงลูกคนนี้ อยู่แถวนี้ก่อนนะ พ่อจะไปดูทางโน้นหน่อย”
บรรเลงเดินไปดูที่เกิดเหตุ
อนุภัทรนั่งคุยกับมายาวีอยู่อีมุม พร้อมกับเอาโทรศัพท์มาอัดเสียง สอบปากคำ
“คุณจ้างพวกนักกีฬาเอ็กซ์ตรีมมาจากไหน”
“ไม่ ฉันมีเพื่อนที่รู้จักกันทำสนามแข่งอยู่ แต่ว่าคนของเพื่อนฉันเป็นคนละชุดกับคนร้ายแน่ๆ ฉันไม่คุ้นหน้าพวกมันเลย”
“แล้วลูกโป่งล่ะ”
“ทางโรงเรียนเป็นฝ่ายจัดการ”
“ระหว่างเตรียมงาน คุณเห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม”
มายาวีนิ่งคิด แล้วส่ายหน้า
“ไม่มีนี่ ฉันมาคุมงานตั้งแต่เช้า ตอนซ้อมคิวโชว์ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ”
“แสดงว่าคนที่วางแผน ต้องรู้รายละเอียดเรื่องงานเป็นอย่างดี”
“คุณคิดว่าเป็นคนในเหรอ”
อนุภัทรยังไม่ตอบ แต่สายตาเหลือบไปเห็นรถของอำพลแล่นเข้ามา
“ซวยแล้ว”
มายาวีเหลียวไปมองตาม “อะไร”
“คุณอำพลมาที่นี่”
อนุภัทรรีบลุกขึ้น แล้ววิ่งออกไป มายาวีเงอะงะ รีบวิ่งตาม
อนุภัทรวิ่งหลบเข้าหลังตึกพร้อมกับมายาวี แอบมอง เห็นอำพล ไอศูรย์ เดินเข้าไปทักทายบรรเลงที่กำลังคุยกับเจ้าหน้าที่ มีสุนทรยืนไกลๆ
มายาวีไม่เข้าใจ “ทำไมคุณต้องหลบพวกเขาด้วยล่ะ”
“ไม่หลบเขาก็รู้น่ะสิว่าผมไม่ใช่ไอ้มิตรคนขับรถ” ผู้กองบ่น “ทำไมจะต้องมาวุ่นวายด้วยวะ”
สุนทรเห็นเจ้านายคุยกับบรรเลง ก็เดินเลี่ยงออกมา
มายาวีตกใจ “นายสุนทรมาทางนี้แล้ว”
อนุภัทรตกใจ รีบหาที่ซ่อนตัวอีก
สุนทรขับรถเข้ามาจอดทางหลังตึก ส่วนอนุภัทรหลบอยู่หลังรถอีกคัน
“ท่าทางจะอยู่ยาวเลยคุณ”
“ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว รถคุณอยู่ไหน”
มายาวีพยักหน้าไปทางรถตัวเองที่จอดอยู่ อนุภัทรมองตาม
อีกด้านสุนทรลงจากรถ แล้วกวาดสายตามองไปทั่วๆ อนุภัทรกับมายาวีรีบก้มหลบ
-สุนทรมองไปเห็นห้องน้ำ เดินตรงไปทางที่อนุภัทรกับมายาวีเดินมาพอดี ทั้งสองต้องก้มคลานไม่ให้สุนทรเห็น
-มายาวีตามหลังอนุภัทร ทำกุญแจรถหล่นใต้ท้องรถ
มายาวี อุ๊ย !
-สุนทรหยุดชะงักหันมอง
อนุภัทรเอามือปิดปากมายาวีได้ทัน มายาวีมองไปที่กุญแจที่อยู่ใกล้เท้าสุนทร กลัวสุนทรก้มลงเก็บแล้วจะเห็นทั้งสอง
สุนทรมองรอบๆ อีกที ก่อนจะเดินไป ไม่ได้สนใจ มายาวีรีบเอื้อมมือหยิบกุญแจรถขึ้นมา แล้วถอนใจโล่งอก อนุภัทรรีบโบกมือให้ตามไป
ตำรวจนัดอิศร์กับอำนวยมาสอบปากคำเพื่อหาคนร้าย
“โธ่ คุณตำรวจครับ พ่อผมจะไปรู้เรื่องอะไร ไอ้งานแจกเครื่องกีฬาให้เด็กเนี่ย มันเป็นกิจกรรมสร้างภาพ เอ้ย กิจกรรมสร้างมิตรภาพของว่าที่เจ้าของบริษัทคนใหม่เขา”
“ธำรง! ถ้าแกไม่รู้อะไรที่เป็นประโยชน์กับคดีล่ะก็ จะทำอะไรก็ไปทำ อย่ามาชักใบให้เรือเสีย” อำนวยบอก
“แทนที่คุณตำรวจจะเสียเวลามาสอบปากคำเรา น่าจะไปสอบปากคำผู้ต้องสงสัยไม่ดีกว่าเหรอครับ”
อิศร์ฉงน “พี่ธำรงสงสัยใครเหรอครับ”
“ก็ถ้าไม่ใช่คู่อริส่วนตัวของแก ก็มีอยู่คนเดียวที่น่าสงสัยที่สุด ไอ้มิสเตอร์ลีนั่น”
อิศร์ทำหน้าแปลกใจ ธำรงหันไปพูดกับตำรวจต่อ
“ไอ้โรเจอร์ ลีมันมาที่งานเมื่อวาน ทำเป็นโอ้อวดเอาของมาร่วมทำบุญ เสร็จแล้วมันก็รีบหนีกลับ เหมือนกับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
อำนวยติง “แกไม่มีหลักฐานนะธำรง”
“โธ่พ่อ ใครๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้นว่าครอบครัวไอ้หมอนี่มันเป็นมาเฟียมาจากฮ่องกง ฉากหน้าทำธุรกิจ แต่เบื้องหลังทำผิดกฎหมาย มันเห็นเราเป็นศัตรูทางธุรกิจมาตั้งกี่ปีแล้ว”
อำนวยเถียงไม่ออก ได้แต่ทำหน้าอึดอัดใจ ขณะที่อิศร์ครุ่นคิด
อิศร์กับอำนวยเดินไปส่งตำรวจที่หน้าบ้าน แล้วหันมาคุยกัน
“เรื่องที่พี่ธำรงพูดเป็นความจริงเหรอครับ”
“รอให้ตำรวจสรุปก่อนดีกว่า เพราะเราไม่มีหลักฐาน” อำนวยบอก
“แสดงว่ามิสเตอร์ลีเป็นศัตรูกับเราจริงๆ” อิศร์พูดเป็นเชิงถามลุง
“ทำธุรกิจมันก็ต้องมีการแข่งขันเป็นธรรมดา เพียงแต่บริษัทของเรากับเขาฟาดฟันกันมาเยอะในโปรเจคท์ใหญ่ๆ ก็เลยเหมือนคู่ปรับที่ยอมแพ้กันไม่ได้”
“แล้วเขาเป็นมาเฟียอย่างที่พี่ธำรงบอกหรือเปล่าครับ”
“มีคนพูดกันว่ามิสเตอร์ลีมีเส้นสายเกี่ยวพันกับผู้มีอิทธิพลในฮ่องกง ตัวเขาเองก็มีธุรกิจมืดหลายอย่าง แต่ลุงก็ไม่เห็นใครมีหลักฐานเล่นงานเขาได้ แม้แต่พ่อของอิศร์ที่รู้จักมิสเตอร์ลีดีก็ยังไม่แน่ใจเรื่องนี้”
“คุณพ่อรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวเหรอครับ”
“พ่ออิศร์กับมิสเตอร์ลีเรียนโทที่อเมริกามาด้วยกัน จะเรียกว่าเป็นเพื่อนสนิทกันก็ได้ แต่พอจบกลับมาทำงาน ธุรกิจมันก็ทำให้ต้องกลายเป็นคู่แข่งกัน”
อิศร์นิ่งคิด อำนวยมองอย่างเข้าใจ
“วงการธุรกิจมันเป็นอย่างนี้แหละอิศร์ มันคือสนามต่อสู้ บางคนสู้แค่อยู่รอด บางคนสู้เพื่อยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนคนที่ไม่คิดจะสู้ก็กลายเป็นเหยื่อที่จะถูกรุมทึ้ง”
“ผมไม่อยากจะสู้กับใครเลย”
“ก็เหมือนลุง แต่ลุงเลือกที่จะเป็นทัพหลัง ถ้าทัพหน้าแข็งแกร่งลุงก็อยู่รอดได้ แต่ตัวอิศร์ถูกคุณปู่กำหนดมาให้เป็นทัพหน้า อิศร์ต้องเริ่มติดเขี้ยวเล็บไว้ปกป้องตัวเอง เพราะจะต้องเจออะไรอีกเยอะ ลุงเห็นด้วยกับหนูอริสว่าอิศร์ควรจะมีบอดี้การ์ดประจำตัว”
อิศร์ถอนใจ ไม่รู้จะทำยังไง ก็แพรพลอยไม่ยอมกลับมาแล้ว
ขณะที่บรรเลงยืนคุยกับอำพลและไอศูรย์ หันมาเห็นมายาวีขับรถผ่านมา แล้วชะลอเปิดกระจกคุย
“อ้าว ยายเมย์ จะไปไหนล่ะลูก”
“เอ่อ คือ...เมย์นึกได้ว่านัดเพื่อนไว้น่ะค่ะ เดี๋ยวเมย์จะโทรบอกให้ลุงอาจมารับคุณพ่อนะคะ” มายาวีไหว้อำพล “สวัสดีค่ะคุณอา พี่ศูรย์”
มายาวีปิดกระจกแล้วขับออกไป บรรเลงงงๆ ที่มายาวีชิ่ง แต่ก็หันมาคุยกับอำพลและไอศูรย์ต่อ
มายาวีขับรถออกมาจากโรงเรียน ท่าทางอารมณ์ดี นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ หล่อนเปิดกระโปรงหลังให้อนุภัทร
“คุณขับรถออกไปถึงซักสี่แยกแล้วค่อยๆ จอดให้ผมลงนะ จะได้ไม่มีใครเห็น”
อนุภัทรสั่งแล้วปีนเข้ากระโปรงหลังไป
มายาวีขับรถไปตามถนน มองเห็นสี่แยกไฟแดงอยู่ข้างหน้า
อนุภัทรนอนนิ่งอยู่ท้ายรถ นึกแปลกใจที่มายาวียังไม่จอด
“ยังไม่ถึงสี่แยกอีกเหรอเนี่ย”
รถมายาวีติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก แล้วได้ยินสียงตึงๆ ดังมาจากท้ายรถ ที่อนุภัทรทุบเรียก
“ให้อยู่ในนั้นอีกซักพักดีกว่า” สาวจอมจุ้นยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วขับรถต่อ
อนุภัทรเห็นมายาวีไม่จอดก็ล้วงโทรศัพท์มาเปิดดู GPS เห็นว่ารถเคลื่อนตัวผ่านสี่แยกไปแล้ว
“เฮ้ย นี่มันเลยแยกแล้วนี่ ยายคุณหนูจะพาเราไปไหน”
อนุภัทรพยายามเอาเท้าถีบฝากระโปรงให้มายาวีได้ยิน แต่มายาวีเปิดเพลงดังลั่น ขับรถไปเรื่อยๆ ไม่สนใจ
แพรพลอยเดินออกมาจากคอนโด ตรงไปที่มอเตอร์ไซค์ในลานจอด แต่เจออิศร์พรวดพราดออกมาก่อน
“ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ให้มาที่นี่อีก”
“โหยคุณแพร ไม่ถามซักคำเหรอว่าผมสบายดีหรือเปล่า”
“คุณต้องสบายดีอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่มาหาเรื่องถึงที่นี่” แพรพลอยร้องตะโกน “รปภ.”
อิศร์รีบยกมือยอม “เดี๋ยวๆๆๆ ผมไม่ได้มาก่อกวน”
“งั้นก็กลับไปสิคะ ฉันจะไปธุระ”
“ที่ไหน”
“ไปพบเจ้านาย”
“งั้นผมไปด้วย เผื่อจะได้บอดี้การ์ดคนใหม่ติดไม้ติดมือกลับมา”
แพรพลอยมองหน้าเขม็ง สงสัยว่าอิศร์จะมาไม้ไหน
อิศร์จ๋อยตีหน้าเศร้า
“ยังไงคุณก็ไม่กลับไปทำงานกับผมแล้วนี่”
อ่านต่อหน้า 2
บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 6 (ต่อ)
แพรพลอยพาอิศร์มาที่ศูนย์ฝึกบอดี้การ์ด ในบริษัทบอดี้การ์ดที่หล่อนทำงานอยู่ ซึ่งบรรยากาศคล้ายๆ โรงเรียนตำรวจ มีนักเรียนวิ่งออกกำลัง ฝึกซ้อมทำกิจกรรม บางส่วนจับกลุ่มอ่านหนังสือ
อิศร์มองอย่างสนใจ “ที่นี่เป็นเหมือนโรงเรียนเลยนะครับ”
“จริงๆ ก็โรงเรียนนั่นแหละค่ะ แต่ไม่ได้เน้นสอนวิชาการ เน้นภาคปฏิบัติ”
แพรพลอยพยักหน้าให้ดูกลุ่มนักเรียนที่ใช่ชุดวอร์มจัดแถวซ้อมออกท่าทางกับปืน ดูเป็นระเบียบ
“คนที่เข้ามารับการฝึกที่นี่ส่วนใหญ่จะผ่านโรงเรียนตำรวจหรือทหารมา”
“แล้วคุณล่ะมาจากทหารหรือตำรวจ”
“ฉันเคยอยากเป็นตำรวจ แต่สุดท้ายก็เบนเข็มมาเป็นบอดี้การ์ด”
อิศร์ฉงน ทำหน้าแปลกใจ “ทำไม”
“มันได้เงินดีกว่า” แพรพลอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แสนขมขื่น “จะเรียกว่าฉันเห็นแก่เงินก็ได้ แต่ถ้าคุณเป็นเด็กกำพร้าที่โตมาด้วยการเห็นแม่บุญธรรมต้องแบกภาระเลี้ยงเด็กยี่สิบกว่าคน คุณก็คงเลือกที่จะเห็นแก่เงิน เพราะมันช่วยให้แม่ของคุณเหนื่อยน้อยลง”
อิศร์ยิ้ม “ผมเข้าใจ”
“ที่นี่มีคนเก่งๆ อยู่เยอะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปรู้จัก”
แพรพลอยพาอิศร์เข้ามาในโรงยิม เห็นกำลังมีการซ้อมศิลปะป้องกันตัวกันอยู่
“นักเรียนที่นี่ต้องฝึกศิลปะป้องกันตัวเกือบทุกอย่าง ทั้งแบบมือเปล่าและการใช้อาวุธ แต่บางคนก็อาจจะถนัดอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างกรุ๊ปนั้น”
แพรพลอยมองไปที่กลุ่ม 5-6 คนที่กำลังฝึกยิวยิทสุ (Jujitsu)
“เก่งด้านไอคิโดกับยิวยิทสุ”
แพรพลอยพาอิศร์เดินไปดู แก๊งยิวยิทสุหันมาเห็นแพรพลอย พากันเข้ามาทัก
“พี่พาคุณอิศร์มาดูน้องๆ เขากำลังหาบอดี้การ์ดคนใหม่อยู่”
“ยินดีครับ” รุ่นน้อง1 ว่า
“โชว์ฝีมือให้เขาดูหน่อย”
รุ่นน้อง 2 ท้วง “แหม เราโชว์กันเองคงไม่มันหรอกพี่ ต้องให้ศิษย์เก่าดีเด่นอย่างพี่แพรร่วมประลองด้วย จริงไหมพวกเรา”
รุ่นน้องคนอื่นๆ ประสานเสียงเห็นด้วย แพรพลอยรีบส่ายหน้า แต่อิศร์นึกสนุก
“เอาสิคุณแพร ผมอยากเห็น ถ้าใครชนะคุณได้ ผมจะเชื่อว่าเขาเก่งจริง”
แพรพลอยมองหน้าอิศร์ อึกอักลังเล
เวลาผ่านไป เห็นแพรพลอยเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ยืนประจันหน้ากับรุ่นน้องหญิง จนเมื่อได้สัญญาณ ทั้งสองก็พุ่งเข้าหากัน ใช้ลีลายิวยิทสุกอดปล้ำต่อสู้กันอย่างเมามัน มีกองเชียร์ส่งเสียงเชียร์ทั้งสองฝั่ง
แพรพลอยโชว์เหนือ เล่นงานรุ่นน้องสาวไปได้ กองเชียร์ปรบมือเกรียว อิศร์มองอย่างทึ่งๆ
คู่ต่อมาคนต่อมาเป็นรุ่นน้องชายที่ขอประลองกับแพรพลอย เจอแพรพลอยใช้ฝีมือซัดจนหมอบอีก กองเชียร์โห่ฮา คนจากกลุ่มอื่นๆ เริ่มเข้ามาดูเยอะขึ้น
แพรพลอยประลองกับรุ่นน้องชายอีกคน อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน อิศร์มองไปรอบๆ เห็นคนเข้ามาดูแพรพลอยโชว์ฝีมือกันแน่นไปหมด ก็ยิ่งทึ่ง
แพรพลอยจัดการปราบรุ่นน้องชายหมอบไปอีกคน รุ่นน้องที่เหลือเข้ามารุมแพรพลอย
รุ่นน้อง1 ยกนิ้วให้ “สุดยอดพี่แพร”
รุ่นน้อง 2 อวย “ฝีมือพี่แพรขนาดนี้ ใครจะไปสู้ จริงไหมครับคุณอิศร์”
แพรพลอยยิ้มเขิน หันไปหาอิศร์
“เป็นไง มีใครโดนใจคุณบ้างไหม”
“คุณไง” อิศร์ยิ้มมองซึ้งๆ “คุณปราบทุกคนราบคาบแล้วผมจะไปมองคนอื่นได้ไง”
พวกรุ่นน้องส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดแหย่ แพรพลอยเขิน ทำกลบเกลื่อน
“เสียใจ ฉันยังยืนยันคำเดิมว่าไม”
แพรพลอยเดินออกไป อิศร์ทำหน้าจ๋อย
แพรพลอยพาอิศร์มาดูการซ้อมมวย ที่สนามมวย
“ถ้าคุณอยากได้บอดี้การ์ดประเภทที่เรื่องหมัดๆ มวยๆ ฉันก็แนะนำให้ได้นะ”
อิศร์มองดูการซ้อมมวยอย่างดุดันบนเวที บางคนต่อยกระสอบทรายดังลั่น
อิศร์มองแล้วหวาดเสียว “อย่างกับจะไปโอลิมปิก”
“คุณจะลองซ้อมกับเขาดูไหมล่ะ” แพรพลอยถาม
“เอ่อ ม...ไม่”
อิศร์จะปฏิเสธ แต่แพรพลอยเดินหายไป แล้วกลับมาพร้อมกับนวมและกางเกงมวย
ครู่ต่อมาอิศร์อยู่ในชุดนักมวย ใส่นวมยืนอยู่บนเวทีกับครูฝึกและบอดี้การ์ดมาดนักมวย อิศร์มองมาทางแพรพลอย่างเกรงๆ แพรพลอยพยักหน้ายิ้มกำลังใจ
ครูฝึกให้สัญญาณ บอดี้การ์ดหนุ่มเดินเข้าหาอิศร์ทันที อิศร์ตกใจกลัวถอยหนีไปชิดเวทีแล้วหงายหลังตึง แพรพลอยและคนอื่นๆ หัวเราะฮา
อิศร์ตั้งหลักใหม่ พยายามฮึดสู้ความอาย แต่พอได้สัญญาณชกกลับกล้าๆ กลัวๆ เลยโดนชกหน้าหงายล้มกระแทกเสาเวที ครูฝึกเข้ามาสอนอิศร์ทำท่าทาง
ต่อมาอิศร์ตั้งหลักอีกครั้ง พยายามชกคู่ต่อสู้ แต่หมัดเบามาก คู่ต่อสู้ไม่เป็นอะไรเลย อิศร์พยายามเข้าคลุกวงใน ถูกถีบกระเด็นอีก
ผ่านไปสักระยะอิศร์เริ่มมัน ตั้งใจชกบ้าง แต่ก็โดนต่อยอีก อิศร์โดนต่อยหลายหมัด สู้ไม่ได้เลย
แพรพลอยมองดูหัวเราะ อิศร์เกิดลูกฮึดพุ่งเข้าใส่คู่ชกอีก
เวลาเดียวกันมายาวีขับรถมาจอดหน้าบ้าน ฮัมเพลงอารมณ์ดี
“เอาล่ะค่าผู้กอง ถึงแล้ว ทีนี้ก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันได้แล้วนะ”
มายาวีดับเครื่องยนต์ แต่ไม่ได้ยินเสียงกึงกังหลังรถอีก
“ฮึ ทำเป็นเงียบ งอนล่ะสิ”
มายาวีเปิดประตูลงจากรถ แล้วเดินอ้อมไปที่ท้ายรถ แต่ยังไม่มีเสียงจากอนุภัทร”
“ผู้กอง ถึงบ้านฉันแล้ว จะออกมาไหมคะ”
ไม่มีเสียงตอบจากอนุภัทร มายาวีเท้าสะเอวใส่
“แหม ต้องให้ง้อ”
มายาวีเปิดกระโปรงท้ายรถ เห็นอนุภัทรนอนคว่ำหน้าอยู่
“อ้าว แล้วทำไมนอนท่านั้น ลุกขึ้นมาได้แล้ว ถึงแล้วค่ะ”
พอเอามือสะกิด แต่อนุภัทรยังนอนนิ่ง
“ลุกสิ เอ๊ะ อีตานี่”
มายาวีเอามือพลิกตัวอนุภัทรหันกลับมา แล้วชะงัก เมื่อเห็นอนุภัทรนอนหลับตานิ่ง โดยไม่รู้ว่าถูกเขาแกล้ง
“เอ๊ะ ผู้กองอนุภัทร เป็นอะไร ง่วงหรือไงคะ”
สาวใช้เดินออกมาจากในบ้านพอดี “คุณเมย์” พอมองเห็นอนุภัทรก็ตกใจ “ว้าย อะไรกันคะนั่น”
“ข...เขาเป็นอะไรไม่รู้ เรียกก็ไม่ตื่น”
สาวใช้กระวีกระวาดเข้ามาดู เอามือแตะๆ แก้มอนุภัทร
“แล้วคุณแกมานอนในนี้ได้ยังไง” สาวใช้เอามืออังจมูก “ว้าย แกไม่หายใจนี่คะ”
มายาวีเอ็ด “พูดอะไรของเธอ จะบ้าเหรอ”
มายาวีเอามืออังจมูกอนุภัทร แล้วตกใจ เพราะอนุภัทรไม่หายจริงๆ
“ตายแล้ว จริงด้วย”
สาวใช้เริ่มกลัว “ไม่หายใจก็แปลว่า...”
“อย่าพูดบ้าๆ นะ” มายาวีกระวนกระวาย “ช่วยกันอุ้มเขาลงมาเร็วเข้า พาเข้าบ้านก่อน”
สาวใช้รีบทำตามสั่ง ด้วยท่าทีหวาดกลัว
ร่างอนุภัทรนอนยาวอยู่บนโซฟา มายาวีนั่งอยู่ข้างๆ สาวใช้พยายามพัดวี บีบนวดเป็นการใหญ่
“ทำยังไงดีคะ แกไม่ฟื้นเลย คุณเมย์ทำอะไรผู้กองคะเนี่ย”
มายาวีจ๋อย “ฉันก็แค่...แกล้งเขา เอาเขาใส่ท้ายรถมา”
สาวใช้ร้อง “หา”
“ก็ฉันไม่รู้นี่ว่าเขาจะทนไม่ไหว หายใจไม่ออก”
“โธ่คุณเมย์ นี่มันฆาตกรรมชัดๆ เลยนะคะ” สาวใช้มองอนุภัทร “ดูสิคะ หน้าดำขนาดนี้ แกต้องตายไปแล้วแน่ๆ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เธอรีบโทร.ไปเรียกรถพยาบาล ไป๊”
สาวใช้รีบวิ่งออกไป มายาวีบีบนวดอนุภัทรอย่างเป็นห่วง
“ผู้กอง...คุณจะตายจริงๆ เหรอ ไม่ได้นะ คุณตายไม่ได้ ฉันไม่อยากติดคุก โฮๆ”
มายาวีเอามือปิดหน้าอย่างกลัวๆ เลยไม่เห็นว่าอนุภัทรค่อยๆ เหล่ตาขึ้นมามองแล้วยิ้มขำ คิดในใจ
“สมน้ำหน้ายายตัวแสบ ต้องแกล้งให้เข็ด”
มายาวีเอามือลง อนุภัทรรีบแกล้งหลับกลั้นหายใจต่อ
มายาวีนึกได้ “จริงสิ คนไม่หายใจ มันมีวิธีการปฐมพยาบาลนี่”
มายานึกถึงวิธีการที่เคยรู้มา แล้วเอามือกดหน้าอกอนุภัทร กระแทกปั๊มลงไปแรงๆ
“ฟื้นสิ ฟื้น”
อนุภัทรแทบจุกกับแรงที่มายาวีทับลงมา แอบลืมตาขึ้นมอง แต่ยังอดทนไว้
“ผู้กอง ฟื้นสิ อย่าตายนะ”
มายาวีปั๊มหัวใจอีก แล้วมองดูอนุภัทรที่ยังแกล้งนอนไม่ตื่น
“ไม่ได้ผลเหรอ งั้นก็เหลือวิธีสุดท้าย ยังไงฉันก็ไม่ยอมติดคุก”
มายาวีปั๊มกระแทกหน้าอกอนุภัทรอีกสองที แล้วเงยหน้าขึ้นสูดหายใจเต็มปอด ก่อนจะรีบลงมาบีบปากอนุภัทรเพื่อจะผายปอด
อนุภัทรลืมตาขึ้นทันที เห็นมายาวีก้มลงมาก็ร้องลั่น ตกใจ มายาวีก็ตกใจ เลยกรี๊ดประสานกันขึ้นมา
“จะทำอะไรผม”
“คุณยังไม่ตายเหรอ แอร๊ย... คุณหลอกฉัน”
“ก็คุณแกล้งผมก่อน”
“อ๊าย คนบ้า หลอกให้ฉันจูบคุณนี่นา ไอ้ลามก”
มายาวีวิ่งไล่ อนุภัทรกระโดดลงจากโซฟาวิ่งหนีไปรอบๆ
“เปล่าซะหน่อย ผมยังไม่ได้เชื้อเชิญอะไรเลย คุณนั่นแหละพยายามจะจูบผมเอง”
“ก็คุณหลอกฉัน อีตาบ้า”
มายาวีเอาหมอนขว้างใส่ ไล่ตีอนุภัทรที่วิ่งไปรอบๆ ห้อง
ที่เวทีซ้อมมวย วันเดียวกัน อิศร์ฟุบลงบนเวที ครูฝึกเข้ามานับหนึ่งถึงสาม
“ไหวไหมคุณ”
อิศร์เงยมองครู ทุกอย่างตรงหน้าเบลอๆ “ผมยังไม่ตายใช่ไหมครับ”
ครูหัวเราะ ยื่นน้ำให้ “กินน้ำก่อน”
อิศร์ดื่มน้ำอั้กๆๆ แล้วเอาน้ำราดหัว ก่อนจะปีนลงจากเวที แต่เพิ่งสังเกตว่าแพรพลอยหายไปแล้ว
“อ้าว คุณแพร ไปไหนแล้ว”
“อ๋อ แพรฝากบอกคุณอิศร์ว่าเขาต้องไปแล้วครับ มีงานต้องไปทำ” ครูฝึกบอก
อิศร์งง “งาน? งานอะไรครับ?”
“การประชุมนานาชาติที่เขาใหญ่ครับ แพรต้องไปอารักขาภริยาของพวกผู้นำต่างชาติ”
อิศร์งงใหญ่ “เขาใหญ่ ทำไมคุณแพรไม่บอกผม”
อิศร์เดินออกมาจากโรงเรียนด้วยอาการเซ็ง ก่อนจะนึกได้ หยิบโทรศัพท์มากดหาอำนวย
“คุณลุงครับ ผมอยากรู้ว่าเราพอจะมีรีสอร์ทแถวๆ เขาใหญ่บ้างไหมครับ” เขานิ่งฟัง แล้วทำท่าดีใจ “จริงเหรอครับ”
ค่ำคืนนั้นที่รีสอร์ทแห่งนี้ มีการจัดประชุมสัมมนา มีป้ายเขียนต้อนรับ Welcome delegates of DEA Summit 2013 เด่นหราที่ด้านหน้ารีสอร์ท
มีรถผู้เข้าร่วมประชุมแล่นเข้ามาติดๆ กัน ฝ่ายจัดงานเข้ามาต้อนรับ เห็นผู้เข้าประชุมชาวต่างชาติ เดินลงมา มีคู่สมรสติดตาม พร้อมบอดี้การ์ด
แพรพลอยลงมาในรถคันสุดท้าย พร้อมกับปธน.กับภริยาฝรั่งผมทอง พนักงานโรงแรมเข้ามาต้อนรับ นำทั้งหมดไปที่ล็อบบี้
เบลบอยมาไขกุญแจห้องพักให้ แพรพลอยเดินเข้าไปสำรวจ แล้วออกมารายงาน
“Everything is clear, Madame”
“Thank you เธอไปพักผ่อนเถอะ”
มาดามเข้าห้องไป เบลบอยส่งกุญแจให้
“ห้องคุณอยู่ติดกันนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
แพรพลอยลากกระเป๋าไปที่ห้องตัวเอง ให้เบลบอยจัดการกระเป๋าให้แขกไป
แพรพลอยลากกระเป๋าเข้ามาในห้อง แล้วเดินไปเปิดหน้าต่างชมวิว ซักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น แพรพลอยเดินไปเปิด เห็นพนักงานเข็นรถใส่อาหารอยู่หน้าห้อง
“Welcome drink ของโรงแรมครับ”
แพรพลอยมองอาหาร “มีอาหารด้วยเหรอคะ”
“เป็นบริการพิเศษสำหรับแขกพิเศษครับ”
แพรพลอยมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ปล่อยให้พนักงานเข็นรถเข้ามาในห้อง พนักงานจัดอาหารบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วออกไป แพรพลอยเดินเข้าไปดูอย่างมึนๆ งงๆ ไม่รู้มาจากไหน ทันใดนั้นโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้นอีก
แพรพลอยเดินไปรับ “ฮัลโหล”
เสียงอิศร์ดังลอดออกมา “อาหารถูกปากไหมครับ”
แพรพลอยชะงัก แล้วนึกได้ “คุณอิศร์”
อิศร์หัวเราะ “ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมวาดวิมานครับ”
แพรพลอยอึ้ง แล้วได้ยินเสียงหัวเราะไกลๆ เลยเดินไปเปิดประตู เห็นอิศร์ยืนยิ้มอยู่หน้าห้อง
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ผมมาทำงาน”
“ฉันต่างหากที่มาทำงาน! คุณมาวุ่นวายอะไร”
อิศร์ยิ้มกริ่ม “ผมไม่ได้วุ่นวาย”
อิศร์พูดจบพนักงานก็เดินสวนมา พอเห็นอิศร์ก็รีบยกมือไหว้เดินตัวลีบผ่านไป แพรพลอยงง
“แต่มาดูความเรียบร้อยของสถานที่ ในฐานะที่ได้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลกต่างหาก”
“คุณ” แพรพลอยชี้อิศร์งงๆ “เป็นเจ้าภาพ”
อิศร์ค้อมหัว “วาดวิมานเป็นโรงแรมในเครือของบริษัทผม คุณน่าจะบอกล่วงหน้า เราจะได้มาด้วยกัน”
อิศร์ทำหน้าเป็นใส่ แพรพลอยสุดเซ็ง หนียังไงก็หนีไม่พ้น เลยเดินเข้าห้องแล้วปิดประตู
“อ้าว คุณแพร เดี๋ยวก่อนสิครับ ผมสั่งอาหารมาสองที่นะ ให้ผมกินด้วย”
อิศร์เคาะประตูปังๆ แล้วหัวเราะออกมา
ขณะเดียวกันไอศูรย์กับอำพลคุยกัน มีสุนทรยืนสงบเสงี่ยมรอคำสั่งอยู่ห่างๆ
“ไอ้อิศร์มันไปดูเขาใหญ่”
“ใช่ พอมันรู้ว่าโรงแรมเราเป็นเจ้าภาพจัดประชุมนานาชาติ มันก็แล่นไปเลย คงไปเอาหน้าเอาตาตามเคย”
ไอศูรย์ยั๊วจัด “ผมชักจะทนพฤติกรรมของมันไม่ไหวแล้วนะพ่อ”
“พ่อก็ทนไม่ไหว แล้วจะทำยังไงล่ะ แผนกำจัดมันพังไม่เป็นท่าไปซะแล้ว”
อำพลเหลือบมองสุนทรอย่างคาดโทษ
“ผมขอแก้ตัวได้ไหมครับนาย” สุนทรบอก
“ไม่ต้อง! คนของแกมีแต่ไอ้พวกไร้น้ำยา เดี๋ยวทำพลาดก็ถูกตำรวจจับอีก ฉันไม่อยากเดือดร้อน”
“ถ้านายไม่ไว้ใจคนของผม ผมจะหามือดีให้ใหม่ เพียงแต่...อาจจะมีค่าใช้จ่ายสูง”
“เท่าไรฉันก็ยอมจ่าย ถ้ามันทำงานคุ้มราคา ว่าแต่แกหมายถึงใคร” อำพลสนใจ
สุนทรไม่ตอบ แต่มองหน้าอำพลนิ่งๆ เยือกเย็น
งานเลี้ยงต้อนรับผู้เข้าประชุม จัดเป็นค็อกเทลริมสระน้ำ บรรยากาศเก๋กึ่งหรูท่ามกล่งธรรมชาติสวยงาม แขกผู้หญิงสวมใส่ชุดราตรี ส่วนแขกผู้ชายสวมสูท ยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆ
ทิตาสาวสวยในชุดราตรียาวทรงเสน่ห์ เดินตรงมาที่งาน แต่พอจะเข้าไปก็ถูกพนักงานกั้นไว้
“ขอโทษครับ โซนนี้ปิดสำหรับแขกทั่วไปครับ” ทีมงาน 1 บอก
ทิตามองเข้าไป ตาใสซื่อ ดูไม่มีพิษสง
“มีงานอะไรกันเหรอคะ”
“งานเลี้ยงต้อนรับแขกต่างชาติที่มาประชุมครับ” ทีมงาน 1 บอก
ทิตาพยักหน้าแล้วกำลังจะถอยไป แต่ได้ยินเสียงทีมงานคุยกัน
“ท่านถวิลมาแล้ว”
ทิตาพยักหน้ารับรู้แล้วถอยไป ไม่ทันมองถวิลและบอดี้การ์ดที่เดินเข้ามา แต่ซักพักถวิลก็เอะอะ
“เฮ้ย อะไรวะ ทำไมอั๊วจะเข้าไม่ได้ รู้ไหมว่าอั๊วเป็นใคร”
ทิตาหยุดเดินหันไปมอง เห็นถวิลเอะอะใส่ ทีมงาน 1 มีท่าทางหงอๆ เกรงๆ
“ลื้อไปถามได้เลย แถวนี้ไม่มีใครไม่รู้จักนายถวิล! ที่นี่มันถิ่นอั๊ว ลื้อมีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้อั๊วร่วมงาน”
ทีมงานด้านในรีบออกมาแก้สถานการณ์ พินอบพิเทาถวิล ซักพักถวิลกับบอดี้การ์ดก็ได้เข้าไป
ทิตายืนมองถวิลที่เดินเข้าไปในงาน พูดคุยทักทายคนนั้นคนนี้โดยไม่ยอมละสายตา แววตาที่จ้องถวิลดูมีลับลมคมในประหลาด
ท่านปธน.กับมาดามเดินเข้างานมา โดยมีแพรพลอยกับบอดี้การ์ดชายอีกคนเดินตามอารักขา ปธน.กับมาดามเดินทักทายจับมือกับพวกผู้นำอื่นๆ จนมาเจอกับอิศร์ที่ยืนคุยกับ ดนัย ผู้จัดการโรงแรม
“Mister and Madame President, this is Mister It Dechodom, one of our hotel’s MDs.”
ปธน.กับมาดามยิ้มให้อิศร์ จับมือทักทาย มาดามมองหน้าอิศร์คุ้นๆ
“ฉันจำคุณได้” หล่อนบอกสามี “He’s our son’s roommate in college!”
“Yes, madame. How is Bryan”
“สบายดีจ้ะ เขาต้องตื่นเต้นแน่ๆ ที่ฉันเธอคุณที่นี่” มาดามตอบเป็นภาษาไทย
อิศร์ยิ้มรับสองท่าน แล้วมองหน้าแพรพลอยเป็นเชิงเย้ยๆ ว่า เป็นไงเล่า
ถวิลกับบอดี้การ์ดแหวกอิศร์กับผู้จัดการเข้ามา
“ซอรี่ๆๆ” ถวิลพูดด้วยสำเนียงงูๆ ปลาๆ “เฮลโล เพรสซิเดนท์ แอนด์ มาดาม กู๊ดไนท์”
ทุกคนตรงนั้นมองถวิลอย่างงงๆ ถวิลทำท่าตื่นเต้น จับมือปธน.อย่างสนิทสนม
“เวลคัมทูไทยแลนด์ แดนออฟสไมล์ ฮ่าๆๆ ไอแอมอะ ส.ส.” ถวิลหันไปกระซิบถามบอดี้การ์ด “โพลิทิเชี่ยน ไทย โพลิทิเชี่ยน เยส”
ปธน.กับมาดามพยักหน้าหงึกหงัก จับมือถวิลตามมารยาท
อิศร์งุนงง กระซิบถามดนัย “นายคนนี้คือใครคุณดนัย”
ผู้จัดการกระซิบตอบ “ท่านถวิล เงินงาม สส.เขตนี้ครับ”
อิศร์พยักหน้าเข้าใจ ถวิลหันมาพอดี ยิ้มให้อิศร์
“คุณอิศร์ใช่ไหม คุณดนัยบอกผมแล้วว่าคุณจะมาดูแลความเรียบร้อย ไม่ต้องห่วงเลย แถวนี้ผมใหญ่ ผมเป็นแม่งานให้ ฮ่าๆๆๆ”
ถวิลตบไหล่อิศร์แล้วหัวเราะเสียงดังกร่างๆ ก่อนจะหันไปคุยจ้อกับปธน.เหมือนเดิม
แพรพลอยหลบมุมมายืนพัก และตรวจดูความเรียบร้อย สายตามองตามไปที่ปธน.กับมาดามที่เดินทักทายแขก โดยมีถวิลเจ้ากี้เจ้าการนำไป
สายตาแพรพลอยคอยมองสำรวจทุกจุดระแวดระวัง จู่ๆ แก้วเครื่องดื่มก็ถูกยื่นเข้ามาตรงหน้า พอหันไปมองถึงเห็นเป็นอิศร์
“น้ำส้มธรรมดาครับ ไม่ได้ใส่แอลกอฮอล์ ไม่ต้องกลัวประสิทธิภาพการทำงานของคุณจะลดลง
“คุณยังอยู่อีกเหรอ โดนคุณถวิลแย่งซีนเจ้าภาพไปแล้ว ก็น่าจะกลับกรุงเทพได้แล้วนะ”
“ยังไงโรงแรมนี้ก็เป็นของผม แถมมาดามของคุณยังเป็นแม่เพื่อนผมด้วย จะหนีกลับไปได้ยังไง น่าเกลียด”
แพรพลอยหมั่นไส้ “รู้สึกอะไรๆ จะบังเอิญเหลือเกินนะ”
“เขาเรียกว่าพรหมลิขิต” อิศร์ยิ้มร่า ท่าทีน่าหมั่นไส้สุดๆ
แพรพลอยถอนใจอย่างเอือมระอา “นี่ถ้าเป็นเมืองนอก ฉันจะฟ้องศาลให้ห้ามคุณเข้าใกล้”
“โธ่ เห็นใจผมเถอะคุณ ผมเพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมา ก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ คนที่คุ้มครองผมได้ กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีก”
“ฉันพาคุณไปดูตัวบอดี้การ์ดคนใหม่ คุณก็ไม่เอา”
“ผมเป็นคนมั่นคง เลือกแล้วไม่เปลี่ยนใจ ผิดด้วยเหรอ”
อิศร์ทำตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มใส่ จ้องเอาๆ จนแพรพลอยเขิน มาดามเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“แพรพลอย ฉันง่วงแล้วล่ะ กลับห้องกันเถอะ”
“ค่ะ มาดาม”
“ผมไปส่งนะครับ” อิศร์อาสา
“ไม่ต้อง”
“มันเป็นหน้าที่” อิศร์พูดกับมาดาม “I will escort you to the room.”
มาดามพยักหน้าพอใจ เดินตามอิศร์ไป
อิศร์กับแพรพลอยส่งมาดามที่หน้าห้อง
“ขอบคุณนะมิสเตอร์อิศร์ กู้ดไนท์”
มาดามเข้าห้องไป แพรพลอยตรวจดูความเรียบร้อยแล้วเปิดประตูจะเข้าห้อง
“อย่าบอกนะว่าคุณก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”
“พรุ่งนี้ฉันต้องติดตามมาดามกับคณะไปดูงานข้างนอก”
“อ๋อ ผมก็ต้องไปสิ”
“ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ผมก็ต้องไป เอางี้ดีกว่า” อิศร์หยิบโทรศัพท์มากด “คุณดนัย ช่วยติดต่อฟรอนท์ให้เปิดห้อง” เขามองหาเลขห้องข้างๆ แพรพลอย “ให้ผมหน่อย...ใช่ผมจะพักคืนนี้ ขอบคุณมาก” แล้ววางสายไป
แพรพลอยงง “คุณจะทำอะไร”
“ผมจะนอนห้องข้างๆ นี่ ตอนเช้าคุณจะได้ปลุกผมด้วย”
“ทำไมฉันจะต้องปลุกคุณ ถ้าคุณจะไปด้วยคุณก็ต้องตื่นเอง ไม่งั้นก็โทร.บอกให้พนักงานโรงแรมปลุกสิ”
“คุณก็รู้ว่าผมปลุกยาก ต้องคนคุ้นเคยกันเท่านั้นถึงจะเอาผมตื่นได้ ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณไม่ปลุก ผมก็จะนอนห้องนี้เลย”
อิศร์ทำท่าจะเดินเข้าห้อง แพรพลอยยกมือข้างหนึ่งขวางประตูไว้ แล้วเอามืออีกข้างกุมหมับที่เอว
“แน่ใจเหรอ อย่าลืมนะว่าฉันไม่ได้นอนคนเดียว”
แพรพลอยเลื่อนมืออีกข้างกุมที่เอว อิศร์ไล่สายตามองตามเห็นปืนที่เหน็บอยู่ แพรพลอยยิ้มเย้ย
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
แพรพลอยเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าอิศร์
อิศร์เดินยิ้มอารมณ์ดีเข้ามาบริเวณล็อบบี้ เห็นผู้จัดการดนัยกับพนักงานต้อนรับยืนคุยกันสีหน้าไม่สบายใจ
“นี่กระเป๋าผมใช่ไหม ผมเอาไปเอง”
อิศร์จะหยิบกระเป๋าบนรถเข็นที่เบลบอยเตรียมเข็นไปให้ แต่ผจก.รีบขัดขึ้น
ดนัยเกรงใจ “คุณอิศร์ครับ เรื่องห้องที่คุณอิศร์จะพักน่ะครับ คือ...ท่านถวิลแกจองเอาไว้ แล้ว”
“อ้าวเหรอ”
“คุณอิศร์สนใจห้องอื่นไหมครับ ห้องสวีทชั้นบนสุดยังว่าง สบายกว่าด้วย”
“งั้นคุณก็อัพเกรดให้ท่านถวิลอะไรนั่นขึ้นไปพักข้างบนแทน ผมจะนอนห้องนี้เอง ถ้าแกไม่ยอมก็ลดแลกแจกแถมไป พอดีผมมีเพื่อนมาด้วย ผมอยากนอนใกล้ๆ เพื่อนผม โอเค.มั้ย”
“เอ่อ ครับ”
ดนัยรับคำงงๆ แล้วหันไปสั่งพนักงานต้อนรับ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เบลบอยตามอิศร์ไป
แพรพลอยเปิดดูอาหารรูมเซอร์วิส หยิบผลไม้มากิน แล้วมองไวน์ในถัง
“เวลคัมดริงค์เหรอ”
แพรพลอยรินไวน์ใส่แก้ว ยกขึ้นจิบครึ้มๆ แล้วเดินเข้าไปเปิดน้ำในอ่าง เปิดเพลงคลอเบาๆ
อิศร์ให้ทิปเบลบอยแล้วรับการ์ดมาเปิดประตู ได้ยินเสียงเพลงแว่วมา
“โรแมนติกจริงแม่คุณ”
อิศร์อมยิ้ม เดินไปเคาะประตูห้อง ถามแหย่
“ไม่อยากได้เพื่อนดื่มซักคนเหรอคร้าบ อภินันทนาการฟรีจากโรงแรม ไม่มีชาร์จเพิ่มนะคร้าบ”
แพรพลอยกำลังจิบไวน์ชิล หมดอารมณ์ ตะโกนกลับอย่างเอือมระอา “ไปให้พ้น”
อิศร์ยิ้มขำ ไม่วุ่นวายต่อ เดินมาไขห้องตัวเอง เปิดเข้าไป
สักพักอิศร์ลากกระเป๋าเข้าห้อง มองหาสวิทช์ไฟ ส่วนที่ตู้เสื้อผ้าเห็นบานตู้แง้มออกมานิดๆ ตู้ๆ ค่อยแง้มบานตู้ออกมามองอิศร์ ความมืดทำให้เห็นไม่เห็นว่าใครเป็นใคร
“ไฟอยู่ไหนวะเนี่ย”
อิศร์เดินวนไปรอบๆ ห้องมองหาสวิทช์ไฟ ไม่ทันเห็นว่ามีคนใส่ชุดดำรัดรูปใส่โม่งทั้งตัวโผล่ออกมาจากตู้เสื้อผ้า
อิศร์กำลังมองๆ จู่ๆ ก็โดนจู่โจมจากด้านหลังเอามือปิดปาก อีกข้างรัดคอไว้
อิศร์ตกใจดิ้นสะบัด เหลือบมองเห็นมีดวาบวับใกล้ๆ คอตัวเอง พยายามสะบัด
แรงอิศร์มีมากกว่าที่คาด ทำให้ร่างทิตากระเด็นโครมไป
“แกเป็นใคร”
ทิตาไม่ตอบตั้งหลักได้กระโจนเงื้อมีดใส่อิศร์อีก อิศร์เอี้ยวตัวหลบ คว้าเก้าอี้จะฟาด แต่พลาดเป้า เก้าอี้กระแทกผนังโครม
แพรพลอยนอนแช่อ่างจิบไวน์ชิลๆ ได้ยินเสียงโครมคราม ก็ชะงัก แต่ก็ไม่สนใจหลับตาต่อ
ส่วนที่ห้องอิศร์ ทิตาพยายามพุ่งเข้าเล่นงานอิศร์ อิศร์ยกหมอนขึ้นบัง มีดปราดเข้ากลางหมอน นุ่นปลิวกระจาย
“อยู่ไม่ได้แล้วโว้ย”
อิศร์ถลาจะไปที่ประตู ทิตาตามไป กระชากแล้วจะเอามีดแทง อิศร์ยกมือขึ้นปัด เลยโดนมีด
“โอ๊ย!”
แพรพลอยได้ยินเสียงอิศร์ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“นายอิศร์” แพรพลอยหวั่นใจ นึกเป็นห่วง ซักพักก็ส่ายหน้า “เรียกร้องความสนใจอีกล่ะสิ”
แพรพลอยหลับตานอนชิลต่อ ทำเป็นไม่สนใจ
ฟากอิศร์เอามือกุมเลือดมองทิตาอย่างตกใจ ทิตาเริ่มสังหรณ์ว่านี่ไม่ใช่เหยื่อของตน อิศร์ได้สติ คว้ากระเป๋าเดินทาง เหวี่ยงฟาดใส่ทิตาจนหงายหลังล้มไปที่เตียง แล้วตามไปจะฟาดซ้ำ
ทิตากลิ้งหมุนข้ามไปอีกฝั่งของเตียง แล้วทิ้งตัวลงจากเตียงไป อิศร์คว้าโทรศัพท์ออกมาเปิดโหมดไฟฉาย ส่องกราดไปที่ทิตา
“ฉันจะให้โอกาสแก ออกมาเดี๋ยวนี้”
ทิตาแนบตัวอยู่กับพื้น ได้ยินเสียงอิศร์ เพิ่งฉุกใจคิดพึมพำ
“ไม่ใช่ไอ้ถวิล”
“ว่าไง ฉันบอกให้ออกมา”
อิศร์ถือไฟฉายเดินเข้ามาใกล้ แต่ไม่ทันระวัง ทิตาดีดตัวขึ้น ใช้หมัดสอยอิศร์หน้าหงายไป ทิตาพบว่าไม่ใช่เป้าหมาย จึงไม่ใช้อาวุธลงมือ เพราะไม่อยากจะฆ่า
แพรพลอยได้ยินเสียงโครมครามอีก ก็สะดุ้ง
“อะไรนักหนานะนายอิศร์” แพรพลอยลุกขึ้น
อิศร์ล้มอยู่ที่พื้น เอามือกุมจมูกตัวเองอย่างเจ็บปวด มือถือกระเด็นไป เท้าทิตา เดินไปใกล้มือถือ หยิบมาส่องดูหน้าอิศร์ พอเห็นใกล้ๆ ก็ตกใจ
อิศร์เงยหน้ามองกลัวๆ “แก...แกตามฉันมาจากกรุงเทพใช่ไหม แกต้องการอะไร”
ทิตาแน่ใจแล้วว่าผิดคนก็ถอยหนี ฉับพลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นรัวๆ
“คุณอิศร์! เป็นอะไรของคุณ เลิกรบกวนฉันซักทีได้ไหม”
ทั้งสองผงะไปพร้อมกัน ทิตาได้จังหวะพุ่งตัวออกไปที่ระเบียงทันที อิศร์หันมาเห็น
“เฮ้ย จะไปไหน”
อิศร์กระโจนจะคว้าตัวทิตาไว้ ทิตาหันมาถีบอิศร์กระเด็น ล้มชนอะไรซักอย่างที่ดังโครมคราม
แพรพลอยได้ยินเสียงของแตกก็เริ่มใจไม่ดี
“คุณอิศร์! เปิดเดี๋ยวนี้นะ ทำอะไรอยู่”
“คุณแพร ผม...เฮ้ย”
แพรพลอยว้าวุ่นใจ พยายามจะผลักประตูเข้าไป
ทิตาได้ยินเสียงแพรพลอยกระโจนไปที่หน้าต่าง แล้วคว้าเชือกทิ้งตัวลงไป โดยเชือกผูกเตรียมไว้สำหรับหนีอยู่แล้ว อิศร์ถลาตามไปจะจับไว้แต่ไม่ทัน
เสียงแพรพลอยยังเคาะประตูเรียกอย่างร้อนใจ อิศร์เลยเปลี่ยนใจวิ่งไปเปิดประตู
แพรพลอยเข้ามาในห้อง ถลันไปเปิดไฟแล้วแทบช็อก
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เพิ่งเห็นหน้าช้ำๆ ของอิศร์ “ตายแล้ว”
อิศร์เอามือลูบหน้าตัวเอง ยังเจ็บไม่หาย
แพรพลอยทำแผลที่โดนมีดเฉือนแขนให้อิศร์ที่ร้องโอดโอย ดนัยพร้อมรปภ.เข้ามารายงาน
“ผมให้รปภ.ตรวจสอบการเข้าออกทุกจุดในโรงแรมแล้ว ถ้าพบผู้ต้องสงสัยจะเขารีบรายงานให้เราทราบทันทีครับ ส่วนตำรวจ...”
“อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลยคุณดนัย เรากำลังรับรองแขกสำคัญ เดี๋ยวจะแตกตื่นไปกันใหญ่”
“แต่ผมก็ยังห่วงเรื่องความปลอดภัยของแขกสำคัญพวกนี้แหละครับ” ดนัยบอก
“แขกทุกคนมีหน่วยรักษาความปลอดภัยประจำตัวค่ะ ทุกคนสื่อสารกันตลอดเวลา”
“คนร้ายมันต้องการฆ่าผมนี่แหละ ไม่เกี่ยวกับแขกหรอก มันคงตามผมมา” อิศร์มั่นใจ
“คุณก็ไม่น่าจะมาให้วุ่นวายนี่นา” แพรพลอยตำหนิ
อิศร์หน้ามุ่ย น้อยใจ รปภ.ที่ตรวจห้องถือเชือกเดินเข้ามา
“ไม่เจอร่องรอยอะไรเลยครับ มีแต่เชือกเส้นนี้ที่ผูกอยู่ตรงระเบียง”
“ผมกลัวว่ามันจะกลับมาอีกครับ เพราะ เอ้อ งานมันไม่สำเร็จ เอางี้ไหมครับคุณอิศร์กลับกรุงเทพไปก่อน ผมจะให้รถไปส่ง” ดนัยบอก
อิศร์ดุ “คุณดนัยก็อีกคนนึง ผมไม่ได้มาเที่ยวเล่นจริงๆ นะครับ ผมอยากมาช่วยดูแลความเรียบร้อยในการจัดการประชุมจริงๆ ถ้าเราทำได้ดี โรงแรมก็จะได้หน้าตาไปด้วย คุณไม่เห็นด้วยเหรอ”
อิศร์มองดนัย ดนัยเงียบไป หันไปมองแพรพลอย อีกฝ่ายก็จนมุม
“งั้นก็ต้องจับคนร้ายให้ได้” แพรพลอยลุกขึ้น “ฉันจะลงไปช่วยรปภ.ดูร่องรอยคนร้าย”
แพรพลอยลุกเดินออกไป
แพรพลอยเดินเข้ามาในสวน มีอิศร์ทำแผลแล้วเดินตาม
“คุณ รอด้วยสิ”
“จะตามฉันมาทำไม เดี๋ยวก็เจ็บตัวอีกหรอก”
“ก็ผมกลัว...กลัวคุณจะเป็นอันตราย”
แพรพลอยนิ่งอึ้ง สบตากับอิศร์ เห็นสายตาห่วงอาทรก็แอบใจหวิว
“ไอ้คนนี้ฝีมือมันดีมากนะ มันลงมือคนเดียว ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ผมกลัวว่าจะเป็นแผนล่อคุณลงมาจัดการ เป็นห่วงนะเนี่ย” อิศร์ส่งสายตาเว้าวอน
แพรพลอยเขิน “ทำอย่างกับคุณจะช่วยอะไรฉันได้
“โธ่ คุณไม่เห็นตอนผมบู๊กับมันบนห้องโน้น เกือบจะเล่นงานมันได้อยู่แล้ว ถ้า...”
“ถ้าไม่โดนแทงซะก่อน” แพรพลอยต่อให้
อิศร์หน้าจ๋อย เอามือกุมแผล แพรพลอยเห็นแล้วขำ แต่พยายามเก๊กไว้
แพรพลอยเสียงอ่อนลง “คุณขึ้นห้องไปเถอะ ฉันไมเป็นไรหรอก ถ้าคนร้ายซุ่มอยู่จริง คุณนั่นแหละจะเป็นเป้าหมาย”
อิศร์ทำท่าจะว่าตาม แต่เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ตกใจ
“เฮ้ย งูที่พื้น”
“ไหน”
แพรพลอยร้องอย่างตกใจ แล้วกระโจนเข้าอ้อมกอดอิศร์ทันที
“อ้าว ไม่ใช่นี่หว่า”
“คุณอิศร์” หล่อนโมโหผลักอิศร์ออก
“ผมไม่ได้แกล้ง ผมแค่ตาฝาดเห็นไอ้นี่”
อิศร์เดินเข้าไปดูใกล้ๆ หยิบขึ้นมา เห็นว่าเป็นเข็มขัดสีดำของทิตา
แพรพลอยรับเข็มขัดมาดู แล้วสงสัย เดินไปใกล้ที่พุ่มไม้ เอามือคุ้ยๆ ดู
“คุณจำได้ไหมว่าคนร้ายแต่งตัวยังไง”
อิศร์นิ่งคิด “ชุดสีดำทั้งตัว ใช่สีแบบนี้เลย”
อิศร์พูดจบ แพรพลอยก็ล้วงหยิบเสื้อผ้าสีดำที่ทิตาทิ้งเอาไว้ในพุ่มไม้ขึ้นมาให้อิศร์ดู
อ่านต่อหน้า 3
บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 6 (ต่อ)
ทางด้านทิตากระหืดกระหอบเข้ามา ในชุดราตรีเหมือนเดิม ตรงปากมีรอยแตก เห็นที่ล็อบบี้มีคนขวักไขว่ก็ชะงัก พยายามตั้งสติให้นิ่ง
ทิตาเห็นคนมองมาก็พยายามเก็บอาการ เอามือบังรอยปากแตก แล้วพยายามเดินให้ผ่านตรงนั้นโดยไม่มีพิรุธ
ทิตารีบเข้าห้องปิดประตูล็อกอย่างโล่งอก โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น
“ฮัลโหล” ทิตานิ่งฟัง รีบบอก “ยัง! ไอ้ถวิลมันยังอยู่ ใครก็ไม่รู้ไปพักที่ห้องแทนมัน ฉันเลยยังจัดการไม่สำเร็จ” หล่อนบอกสีหน้าเครียด “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า คนอย่างทิตาไม่เคยพลาด ขอแค่อีกวันเดียว”
ทิตากดตัดสาย แล้วลุกมาเปิดกระเป๋าเดินทาง เห็นว่าข้างในบรรจุเสื้อผ้าหลายแบบ รวมถึงยูนิฟอร์มต่างๆ ของโรงแรม รวมทั้งวิกผม และอุปกรณ์ปลอมตัวมากมาย
ทิตาล้วงเข้าไปหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาเปิดให้เห็นว่าภายในมีอาวุธ ทั้งมีดหลายแบบ ปืน สนับมือ รวมทั้งหลอดยาพิษเล็กๆ
ตอนเช้าวันต่อมากรณ์กำลังช่วยอัมพาเตรียมอาหารกลางวันให้เด็กๆ มูลนิธิ เปี๊ยกวิ่งกระหืดกระหอบออกมา
“แม่ พี่กรณ์! มาดูอะไรนี่เร็ว”
“อะไรเปี๊ยก แม่ทำกับข้าวอยู่”
“มีคนเอาของมาส่งครับ เพียบเลย มีจักรยานเปี๊ยกด้วย”
อัมพากับกรณ์ตามเปี๊ยกออกมา เห็นคนงานกำลังลำเลียงเครื่องกีฬาลงจากรถบรรทุก มีเด็กๆ เข้าไปมะรุมมะตุ้มแย่งกันดู หัวหน้าคนงานเห็นอัมพาก็เดินเข้าไปหา
“คุณอัมพาใช่ไหมครับ เซ็นรับของด้วยครับ”
อัมพางงไม่หาย “อะไรกันจ๊ะเนี่ย”
กรณ์อ่านเอกสาร “ของบริจาคงานของคุณอิศร์ไงครับแม่ แต่ทำไมมันเยอะจัง”
“นั่นสิคุณ ที่มูลนิธิเรามีเด็กแค่สิบกว่าคน นี่มันเยอะเกินความจำเป็นนะ”
“ผมไม่ทราบหรอกครับ เจ้านายให้มาส่งผม รบกวนเซ็นรับด้วยครับ”
อัมพาจำต้องเซ็นรับอย่างงงๆ เปี๊ยกเข้าไปลูบๆ คลำๆ จักรยานอย่างตื่นเต้น
“พี่กรณ์ ตกลงของพวกนี้ของเราใช่ไหม”
กรณ์พยักหน้า เปี๊ยกนำเด็กๆ เฮลั่น เข้าไปแย่งกันคนละอย่างสองอย่าง
“เดี๋ยวๆๆ อย่าเพิ่งแย่งกัน พี่สอนไว้ว่าไง” กรณ์เข้าไปห้าม
มายาวีคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานอิศร์
“ใช่ค่ะคุณป้า เมย์ให้คนเอาไปส่งเอง”
คู่สายคืออัมพาที่คุยโทรศัพท์อยู่ในมูลนิธิ ด้วยสีหน้าเกรงใจ
“แต่มันเยอะเกินความจำเป็นค่ะคุณเมย์ จะเอามาวางทิ้งซะเปล่าๆ ให้คุณอิศร์มาเอากลับไปเถอะค่ะ”
“คุณอิศร์ไม่อยู่ค่ะ ตามคุณแพรไปเขาใหญ่”
“อ้าว” อัมพาแปลกใจ
“ท่าทางเพื่อนเมย์จะติดลูกสาวคุณป้าเป็นตังเมแล้วล่ะค่ะ” มายาวีหัวเราะชอบใจ
“งั้นคุณเมย์ให้คนที่บริษัทขนกลับไปได้ไหมคะ”
“อย่าเลยค่ะ เมย์แบ่งส่งของไปครบทุกมูลนิธิแล้ว คุณป้าเอาไปแจกเด็กๆ ในละแวกนั้นก็ได้นะคะ” มายาวีจะพูดต่อ แต่เห็นประตูห้องทำงานเปิดเข้ามา “แค่นี้ก่อนนะคะคุณป้า”
มายาวีวางสาย อริสราก็เดินเชิดเข้ามาพอดี
“คุณอริส สวัสดีค่ะ”
“ฉันมาพบอิศร์ค่ะ”
“ไม่ต้องบอกก็รู้” มายาวียิ้มยั่ว “อิศร์ไม่อยู่ค่ะ”
“ไปไหนคะ”
“คุณอิศร์ไม่ได้สั่งให้เปิดเผยค่ะ”
มายาวีมองหน้าอริสราอย่างท้าทาย มายาวีมองตอบท้าทายไม่แพ้กัน เดินไปนั่งรอที่เก้าอี้
“งั้นฉันจะรอ”
“เชิญค่ะ ถ้าคุณอริสไม่มีอะไรทำ” มายาวีจะทำงานต่อ แต่ทำนึกได้ “อ้อ ถ้าอยากทานกาแฟอะไรก็โทรบอกแม่บ้านเองนะคะ เมย์กำลังยุ่ง”
มายาวีก้มหน้าทำงาน อริสรามองอย่างไม่พอใจ
ขณะเดียวกันอิศร์ค่อยๆ ลืมตาตื่น เมื่อห้องสว่างขึ้น ดนัยที่เดินไปรูดม่านหันมาถามไถ่
“เป็นไงบ้างครับคุณอิศร์ ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า”
อิศร์เอามือลูบแผลแล้วส่ายหน้า จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ ตะกายหานาฬิกา
“นี่กี่โมงแล้วครับ”
“สิบเอ็ดโมงครับ”
อิศร์ตกใจลุกพรวด “ตายล่ะ แล้วนี่พวกแก๊งภริยาผู้นำอยู่ที่ไหนกัน”
“ไปดูงานกันตั้งแต่แปดโมงแล้วครับ”
อิศร์โวย “แล้วคุณไม่ปลุกผม โธ่”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณอิศร์ ท่านถวิลแกรับหน้าที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ไปแล้ว คุณอิศร์คอยดูแลความเรียบร้อยทางนี้ดีกว่า เดี๋ยวจะมีผู้สื่อข่าวมาทำข่าวการประชุม พร้อมแล้วพบกันข้างล่างนะครับ”
ดนัยรูดม่านเสร็จแล้วเดินออกไป อิศร์ถอนใจเสียดายที่ไม่ได้ตามแพรพลอยไป
ทางด้านเปี๊ยกกับเด็กแก๊งจักรยาน ขี่กรูกันออกมาจากมูลนิธิ กรณ์วิ่งตาม
“เปี๊ยกๆ อย่าขี่ไวนะ แล้วก็อย่าไปไกลกันด้วย เดี๋ยวจะกลับมากินข้าวไม่ทัน”
“รู้แล้วน่าพี่กรณ์” เปี๊ยกตะโกนบอกเพื่อนๆ “ไปโว้ย ไอ้พวกเสือหมอบ”
เปี๊ยกเป็นจ่าฝูงปั่นจักรยานนำไป อย่างซุกซน
ไม่นานต่อมาเปี๊ยกกับพวกปั่นจักรยานลัดเลาะไปตามซอยอย่างซุกซน คุยแหย่เล่นกันตลอดทาง
“เฮ้ยพวกเรา ใครไปถึงท้ายซอยก่อนชนะโว้ย”
เปี๊ยกกับเพื่อนๆ แข่งกันปั่นไปด้วยความเร็ว รถคุณนายบ้านท้ายซอยเข้าของที่แล่นออกมาจากซอยเล็กๆ เห็นแก๊งจักรยานพุ่งมาด้วยความเร็วสูง
“เฮ้ย ไอ้พวกเด็กบ้า” คนขับรถโมโห
คุณนายตกใจร้อง “ว้าย”
คนขับรถเบรกตัวโก่ง คุณนายหน้าคะมำ รีบลุกขึ้นมาจัดผมอย่างยัวะๆ
คุณนายเด็กที่ไหนกัน
คนรถมองตาม “เด็กกำพร้ามูลนิธิครูอัมพาครับคุณนาย”
“นี่มีเงินซื้อจักรยานขี่เล่นกัน แต่ไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าฉันเหรอ”
คุณนายมองตามตาวาววับ
เวลานั้นบรรดาผู้นำรวมตัวจับมือเรียงหน้ากระดานที่หน้าโรงแรม นักข่าวถ่ายรูป อิศร์เดินเลี่ยงออกมากดโทรศัพท์ ขณะแพรพลอยเดินตามมาดามและคณะเที่ยวชมการเรียนการสอนของนักเรียน ถวิลเจ้ากี้เจ้าการ เข้าไปคุยกับครูใหญ่ เห็นอิศร์โทรเข้ามา กดตัดสายทิ้ง
อิศร์เซ็งดนัยมาตามไปให้สัมภาษณ์ นักข่าวกรูมาสัมภาษณ์ในฐานะเจ้าของสถานที่จัดงาน
ถวิลนำคณะมาดามเข้าชมลานเกษตร เรือนเพาะชำ การปลูกต้นไม้ของเด็กๆ แพรพลอยยืนคุม โทรศัพท์ดังอีก พอหยิบมาเห็นเบอร์อิศร์ก็ตัดสายทิ้ง
นางรำบนเวทีรำอวยพรโชว์ โปรยดอกไม้ แขกฝรั่งปรบมือเกรียว หันมาชื่นชมกับอิศร์ อิศร์ยิ้มปลื้ม
คณะมาดามแจกทุนการศึกษาเด็กๆ ที่หน้าเสาธง แพรพลอยยิ้มดีใจกับเด็กๆ แล้วเผลอหยิบโทรศัพท์มามอง แต่อิศร์ไม่โทรมาแล้ว แอบคิดถึง
รอนานแล้วแต่ไม่มีวี่แววของอิศร์ อริสรามองนาฬิกา แล้วลุกขึ้นอย่างหมดความอดทน
“ฉันรอนานแล้วนะคะ เมื่อไรอิศร์จะกลับมาซักที”
มายาวีก้มหน้าทำงาน “คุณอริสกลับไปก่อนก็ได้นี่คะ”
อริสราทนไม่ไหว เดินเข้ามาใกล้ อารมณ์เสียขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันอยากรู้ว่าเมื่อไรเขาจะกลับ” พอเห็นมายาวีนิ่ง ก็ดึงปากกามายาวีออก “คุณมายาวี”
มายาวีจำต้องหยุดทำงาน เงยหน้าขึ้นมอง
“วันนี้คุณอิศร์คงไม่เข้าออฟฟิศหรอกค่ะ พอใจยังคะ”
อริสรายั๊ว “แล้วทำไมคุณไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”
“ก็คุณไม่ได้ถามนี่คะ”
อริสราโกรธจนตัวสั่น พยายามควบคุมอารมณ์ไว้
“เขาไปไหน”
“บอกแล้วไงคะว่าฉันไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผย”
“คุณ...คุณเมย์”
อริสราหายใจหอบอย่างแรง เพราะโกรธมาก แต่แล้วก็หน้ามืดเป็นลมไปตรงนั้น
“อ้าว คุณอริส”
มายาวีรีบลุกมาดูอริสราที่เป็นลมเป็นแล้งไป
ครู่ต่อมาอริสรานอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาในห้องทำงานอิศร์ มายาวีรับยาดมจากแม่บ้านมาอังจมูก เรียกสติ
“คุณอริสคะ คุณอริส”
อริสค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมา เห็นมายาวีดูแลอยู่
“เป็นยังไงบ้าง อยู่ๆ คุณก็เป็นลมไป”
อริสราทำหน้าพะอืดพะอม เอามือปิดปาก
“จะอาเจียนเหรอคะ”
มายาวีหันไปเลิ่กลั่กใส่แม่บ้านให้หยิบถังขยะเล็กๆ มา อริสราอาเจียนใส่หมดไส้หมดพุง
“ไปหาหมอดีไหมคะคุณอริส” มายาวีส่งทิชชู่ให้
อริสรารับทิชชู่มาเช็ดปาก ไอศูรย์เปิดประตูพรวดเข้ามา
“อริส คุณไม่สบายเหรอ เป็นอะไรไปครับ” เขาถลาเข้ามาประคอง จับเนื้อจับตัวอย่างเป็นห่วง “ลุกไหวไหม ผมจะพาคุณไปหาหมอ”
อริสราสะบัดเบาๆ “ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไรแล้ว ฉันจะกลับบ้าน”
ไอศูรย์พยักหน้า ไม่ขัดใจ แล้วประคองอริสราที่อ่อนระโหยออกจากห้องไป
อัมพาตักผัดไทยในหม้อใหญ่แจกเด็กๆ ยกไปนั่งกินบนโต๊ะอย่างเรียบร้อย
“แม่ไปทานกับเด็กๆ เถอะครับ เดี๋ยวผมเก็บล้างเอง”
“กรณ์มากินด้วยกันก่อนสิลูก”
กรณ์รับคำ แล้วยกจานสองใบมาจะนั่งกับเด็กๆ คุณนายเจ้าของที่และบ้านเช่าเดินเข้ามา
“กำลังกินข้าวกันอยู่เหรอ”
กรณ์กับอัมพาเห็นคุณนายแล้วตกใจ อัมพาได้สติ รีบเข้าไปไหว้ พินอบพิเทา
“สวัสดีค่ะคุณนาย รับประทานด้วยกันไหมคะ ฉันจะจัดให้”
คุณนายมองอาหารในจานท่าทางเหยียดๆ แล้วกวาดตามองเด็กๆ
“ท่าทางสมบูรณ์พูนสุขกันดีนี่ มีทั้งอาหารการกิน แถมเงินยังเหลือเฟือซื้อจักรยานให้เด็กๆ ขี่เล่น แล้วค่าเช่าที่ค้างไว้สามเดือนเมื่อไรจะให้ฉันยะ”
อัมพาผงะหน้าเสีย กรณ์สงสาร รีบตอบแทน
“คุณนายเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ ค่าอาหารทุกมื้อก็มีคนให้เงินทำบุญมา ส่วนจักรยานนั่นก็ของเป็นรับบริจาค”
“แต่ก็เที่ยวรับบริจาคไปทั่วกรุงเทพฯ ทำไมถึงยังไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ใจคอจะติดค้างจนแก่ตายหรือไง”
“คือ...เงินทุกบาทที่มา เราก็ต้องจ่ายค่าขนมให้เด็กๆ ไปโรงเรียนด้วยค่ะคุณนาย” อัมพาแจง
“ฉันไม่สนใจครูอัมพา ครูมาเช่าที่ฉันสร้างมูลนิธิก็ต้องจ่ายค่าเช่า ถ้าไม่มีปัญญาจ่ายก็เลิกทำ ปล่อยไอ้เด็กเหลือขอพวกนี้มันออกไปดิ้นรนเอง อย่าให้ฉันต้องมาเดือดร้อนด้วย”
คุณนายชี้กราด พวกเด็กๆ สะอึก กลัวจนหงอ
“ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะคุณนาย พวกแกไม่มีที่ไป”
“งั้นก็ต้องหาวิธีเอาเงินมาจ่ายฉัน ฉันให้เวลาแค่พรุ่งนี้นะ ถ้ายังไม่ได้เงินก็ไม่ต้องอยู่ออกไปให้หมดเลย”
คุณนายประกาศกร้าว แล้วเดินเชิดออกไป
อัมพานั่งจมอยู่ที่เก้าอี้ มือก่ายหน้าผากปวดหัว เปี๊ยกเดินเข้ามาด้อมๆ มองๆ
“แม่เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
อัมพาเหลือบมองเปี๊ยก น้ำตาคลอๆ เอามือลูบหัวเอ็นดู
“ไม่เป็นไรลูก”
อัมพาพยายามกลั้นน้ำตา ไม่อยากให้เปี๊ยกกังวล กรณ์เดินเข้ามา
“ออกไปเล่นข้างนอกก่อนไปเปี๊ยก”
เปี๊ยกรับคำว่าง่าย เดินเข้าไป กรณ์ถอนใจแล้วเข้ามาคุกเข่าจับมือแม่ครู
“ผมจะไปคุยกับหัวหน้า เผื่อจะขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้ามาจ่ายยายคุณนายเนื้อเค็มก่อนได้”
“แล้วกรณ์จะเอาที่ไหนใช้ เงินมันไม่ใช่น้อยนะลูก”
กรณ์นิ่งงัน กลุ้มมาก “งั้นเราโทร.บอกแพรดีไหมครับ เผื่อแพรจะช่วยได้”
“ไม่ๆๆ แพรทำงานอยู่ อย่าไปกวนเขาเลย แม่จะหาทางออกเอง”
“ยังไงล่ะครับแม่”
อัมพานิ่ง มองหน้ากรณ์อย่างสิ้นหวัง เพราะไม่รู้เหมือนกัน
เวลาเดียวกันนั้น รถโค้ชของโรงแรมแล่นมาจอดหน้าด้านหน้า ถวิลเดินนำคณะภริยาลงมาจากรถ แพรพลอยกับบอดี้การ์ดคนอื่นๆ ตามลงมาทีหลัง ดนัยรีบเดินออกมาต้อนรับ
“สนุกไหมครับ คงจะเหนื่อยกันแย่เลย”
“โฮ้ย เหนื่อยสิคุณ พูดกันจนคอแหบคอแห้ง แหม่มแก่ๆ พูดนี้ก็หูตึง พูดอะไรไปก็ฟังไม่เข้าใจ ถามย้ำอยู่นั่นแหละ เหนื่อย”
แพรพลอยมองตาขวาง นึกหมั่นไส้ถวิล เพราะถวิลต่างหากที่พูดกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง
“ฉันขอพาทุกคนขึ้นไปพักผ่อนนะคะ” แพรพลอยขอตัว
“โอ๊ะ เดี๋ยวๆ ก่อนครับคุณแพร คือคุณอิศร์สั่งผมไว้แล้วครับว่าให้พาทุกท่านไปผ่อนคลายที่สปาก่อน เพราะรู้ว่าคงจะเหนื่อยกันกลับมาแน่ๆ” ดนัยบอก
“สปาเหรอ ดีสิ ตกลง” ถวิลทำท่ากระเหี้ยนกระหือรือ
“งั้นฉันขอถามความสมัครใจของแต่ละคนก่อนะคะ”
แพรพลอยเดินไปที่คณะมาดาม หันไปพูดคุยกัน หลายคนมีสีหน้าสนใจ พยักเพยิดตกลง
ดนัยยิ้มโล่ง “งั้นเชิญเลยครับ”
พวกมาดามเข้าไปในสปาอย่างตื่นเต้น พนักงานออกมาต้อนรับ ให้ดูโบรชัวร์คอร์สต่างๆ แพรพลอยยืนคุยอยู่กับดนัย ดนัยส่งโบรชัวร์ให้ดู
“สปาของเราได้รับรางวัลระดับโลกครับ มีทั้งการนวดแบบผ่อนคลาย ทรีทเมนท์ผิวพรรณ คุณแพรสนใจแบบไหน”
“ไม่สนใจหรอกค่ะ แพรไม่ค่อยถนัดแบบนี้”
“ไม่ได้ครับ คุณอิศร์สั่งผมไว้ว่าให้ดูแลคุณแพรด้วย ไม่งั้นผมโดนเล่นงานตายเลย”
“แล้วเขาไปไหนล่ะคะ หายเงียบไปเลย” เมื่อไม่เห็นหน้าแพรพลอยก็อดคิดถึงไม่ได้
“คุณอิศร์แกยุ่งตั้งแต่เช้าแล้วครับ ตอนนี้คงแอบไปพักผ่อนอยู่ คุณแพรเลือกซักคอร์สดีกว่า เดี๋ยวนวดเสร็จคุณอิศร์คงแวะลงมาดูพอดี”
แพรพลอยมองดูคอร์สต่างๆ ในโบรชัวร์ เลือกๆ อย่างเสียมิได้
ขณะเดียวกันทิตาสวมชุดแม่บ้าน ปิดจมูก เข็นรถทำความสะอาดผ่านมาทางหน้าสปา หยุดมองเมื่อเห็นถวิลเอะอะใส่พนักงาน
“อะไรกัน ไม่มีพนักงานแล้วเหรอ”
“วันนี้พนักงานนวดไม่พอค่ะท่าน รบกวนท่านรอนิดนึงนะคะ” พนักงานบอก ท่าทีนอบน้อม
“ทำไมผมต้องรอ คุณไม่รู้เหรอว่าผมคือใคร ผมชื่อถวิลนะโว้ย” ถวิลเบ่งเต็มที่
“ทราบค่ะท่าน แต่ว่า...”
ถวิลพูดสวนออกมา “ไม่รู้ ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ! ในเมื่อคุณบริการแหม่มพวกนั้น คุณก็ต้องบริการผมด้วย ผมเป็นไกด์ให้พวกมัน ผมก็เหนื่อยเหมือนกัน ไปหาหมอนวดมาให้ผมเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นผมจะเอาเรื่องถึงผู้บริหาร”
“ค่ะๆ ดิฉันจะรีบตามพนักงานให้นะคะ”
พนักงานกลัวลนลาน รีบหายเข้าไปด้านใน ถวิลยืนหงุดหงิด ไม่ทันมองทิตาที่เข็นรถเข้ามา
“ขอโทษค่ะ”
ถวิลชะงักมองทิตาที่เข็นรถผ่านไป แต่ไม่ได้สนใจอะไร
ส่วนแพรพลอยสวมชุดคลุมเปิดประตูเข้ามา แล้วนอนลงบนเตียงนวด ซักพักอิศร์ในคราบพนักงานนวด สวมผ้าปิดปาก ใส่หมวกคลุมผม เดินเข้ามาในห้อง บีบเสียงสูง
“สวัสดีค่ะ ถอดเสื้อคลุมสิคะ”
แพรพลอยทำหน้างง เอามือกระชับเสื้อคลุมเหมือนเดิม
“ฉันทำทรีทเมนท์หน้าเฉยๆ นะคะ ต้องถอดด้วยเหรอ”
“อ้าว เหรอคะ เอ่อ แหะๆ งั้นนอนได้เลยค่ะ”
แพรพลอยงงๆ แต่ก็ล้มตัวลงนอน อิศร์เอาผ้าห่มมาห่มให้ จะเอามือป้ายครีม
“ไม่ต้องใส่ถุงมือเหรอคะ” แพรพลอยท้วง
อิศร์นึกได้ หัวเราะกลบเกลื่อน “อุ๊ย จริงสิคะ แหม คุณน้องนี่เชี่ยวชาญ ฮิๆๆ”
แพรพลอยยิ่งรู้สึกแปลกๆ กับพนักงานนวดคนนี้
ฟากถวิลนั่งหงุดหงิดรอ พนักงานต้อนรับพาพนักงานนวดอีกคนรีบเดินเข้ามา
“น้องพนักงานมาแล้วค่ะท่าน เชิญเลยนะคะ”
ถวิลมองหมอนวดสาวอย่างโลมเลีย หมอนวดสาวทำท่ากลัวๆ แต่ก็ต้องทำงาน
“เชิญค่ะ” หมอนวดเดินนำถวิลเข้าไปด้านใน
ส่วนทิตาดูดฝุ่นอยู่ที่ทางเดิน มองเห็นหมอนวดเดินนำถวิลไปที่ห้อง หยิบเสื้อคลุมกับผ้าเช็ดตัวให้
“เชิญท่านอาบน้ำล้างตัวก่อนนะคะ” หมอนวดบอก
“ขอบใจจ้ะ” ถวิลจับมือแต๊ะอั๋ง หมอนวดรีบดึงมือออก แล้วหลบไป ถวิลเดินเข้าห้องน้ำ
ทิตามองตามถวิลแล้วมองไปทางหมอนวด ก่อนจะปิดเครื่องดูดฝุ่น แล้วค่อยๆ เข็นรถตามหมอนวดไป
แพรพลอยนอนหลับตาบนเตียง ให้อิศร์นวดหน้า
“แหม หน้าคุณน้องนี่สวยจังเลยนะคะ ปากนิดจมูกหน่อย จิ้มลิ้ม”
อิศร์หยิกแก้มแพรพลอยอย่างเอ็นดู แพรพลอยลืมตามอง
แพรพลอยเริ่มสงสัย “ทำไมนวดแต่ที่แก้มล่ะคะ นวดหน้านี่ต้องนวดทั่วๆ ไม่ใช่เหรอ”
อิศร์นึกได้ “อุ้ย ล...ลืมไปค่ะ แหะๆ งั้นเดี๋ยวลงครีมแล้วจะนวดใหม่นะคะ เอาให้ทั่วๆ เลย”
จากนั้นอิศร์หันไปหยิบตลับครีมป้ายๆ ใส่มือ แพรพลอมองอย่างสงสัย แล้วลุกขึ้น
“ฉันถามจริงๆ เถอะคุณนวดเป็นแน่เหรอคะ”
อิศร์หันมาเห็น ตกใจ “เป็นค่ะ นอนสิคะ”
อิศร์จะผลักแพรพลอยให้นอนลง
“ถึงฉันจะไม่ค่อยได้นวดหน้า แต่ฉันจำได้ว่าเขาต้องวอร์มครีม แต่นี่คุณทำเหมือนจะประแป้งสงกรานต์ฉันอย่างงั้นแหละ ฉันไม่นวดแล้วดีกว่า”
แพรพลอยจะลุกขึ้นให้ได้ อิศร์รีบจับไว้
“จะรีบไปไหนล่ะคุณน้องขา เดี๋ยวไม่สวยนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
อิศร์จับไว้ “เป็นสิคะ”
“เอ๊ะ ปล่อยฉันนะคะ”
แพรพลอยฉุน สะบัดมือเต็มแรงจนไปเกี่ยวผ้าปิดปากของอิศร์หลุดลงมา
อิศร์รีบตะครุบ “ว้าย”
แพรพลอยคาดไม่ถึง “คุณอิศร์”
อิศร์ถดตัวถอยหนี แพรพลอยตรงเข้าไปกระชากหน้ากากออกมา
“ค...คุณแพร ผมหวังดีนะ”
“หวังดียังไง ถึงมาหลอกแต๊ะอั๋งฉันแบบนี้”
“ก็อยากให้คุณสวย” อิศร์แถ
“ฉันสวยพอแล้ว แต่คุณกำลังจะซวย”
แพรพลอยเงื้อหมัดชกหน้าอิศร์จังๆ อิศร์เผลอร้อง “ว้าย” สาวแตกมาก แล้วล้มลงไป
แพรพลอยเดินออกมาอย่างฉุนเฉียว
“บ้าจริง คนฉวยโอกาส”
แพรพลอยหงุดหงิดเดินไปจะเข้าห้องน้ำ เห็นรถแม่บ้านจอดอยู่มุมใกล้ๆ กำลังจะเดินผ่านไป แต่สายตาเหลือบไปเห็นรถสั่นน้อยๆ
แพรพลอยรู้สึกแปลกใจ เดินเข้าไปใกล้ แหวกใต้รถเข็นดู ท่าทีตกใจเมื่อเห็นหมอนวดหญิงคนหนึ่งถูกมัดปิดปาก ในสภาพเหลือแต่ชุดชั้นใน ดูเหมือนคนถูกลอกคราบเอายูนิฟอร์มไป
ฟากถวิลนอนรออยู่บนเตียงสีหน้าครึ้มอกครึ้มใจ ทิตาในชุดหมอนวด มีผ้าปิดปากเดินเข้ามา
“ทำไมมาช้าจังล่ะหนู ฉันรอตั้งนาน”
“ขอโทษค่ะ”
ทิตารีบเข้าไปเตรียมน้ำมันนวด ถวิลไล่สายตาตามทรวดทรงองค์เอวอย่างหื่นๆ พอทิตาหันกลับมาอีกที ถวิลก็กระตุกผ้าที่ห่มออก เผยร่างเปลือยยั่ว
“จะนวดตรงไหนก่อนดีจ๊ะ”
แพรพลอยแก้ผ้าปิดปากหมอนวดออก
หมอนวดรีบบอก “ค...คนร้าย มีคนร้ายเข้ามา...”
แพรพลอยตกใจรีบถาม “คนร้ายที่ไหน มันอยู่ไหน”
ทิตาย้ายไปนวดที่ส่วนหัวของถวิล
“นวดหัวให้ท่านก่อนดีกว่านะคะ จะได้สบาย”
“เอาเลยจ้ะ”
ทิตาใช้มือค่อยๆ คลึงไปตามขมับของถวิลที่หลับตาสบาย
“อือ สบายจริงๆ”
ทิตานวดไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าถวิลเพลินก็ล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบหลอดฉีดยาออกมา ถวิลนอนยิ้มสบาย แล้วสะดุ้งเฮือก ผวาตัวขึ้นมา เหลือบมองเห็นเข็มฉีดยาปักที่คอ
“เฉยไว้ไอ้แก่ จะได้ไม่ทรมาน”
ถวิลตกใจ แต่ขยับตัวไม่ได้ ได้แต่กลอกตามองมือทิตาที่กดให้ยาฉีดเข้าที่เส้นเลือด
“นายจ้างฉันไม่อยากทำบาปกับแกมากไปกว่านี้ เลยสั่งให้ฉันจัดการให้แกไปสบายที่สุด”
ถวิลตัวสั่นสะท้าน พยายามกำหมัดเรียกกำลังฮึดสู้ แต่ร่างกายอ่อนแรง
ทิตามองมือถวิล “คิดจะสู้เหรอ หึ ไม่มีประโยชน์หรอก”
ทิตาสบตากับถวิลอย่างเย้ยหยัน ถวิลทั้งกลัวทั้งแค้น พยายามออกแรงพลิกตัวสะบัดให้เข็มหลุด แต่ทิตาตะปบมือเข้าที่เข็ม กดให้แน่นเข้าปีอก ถวิลสีหน้าเจ็บปวด แต่แล้วทันใดนั้นประตูก็ถูกถีบเข้ามา แพรพลอยยืนจังก้า ยกปืนขึ้นเล็ง
“ถอยออกมาจากผู้ชายคนนั้นเดี๋ยวนี้”
ทิตามองแพรพลอย ท่าทางหลุกหลิกหาทางหนีทีไล่ แล้วตัดสินใจกระชากถวิลขึ้นมาบังตัวเองไว้
“ยิงเลยสิ”
“ฉันบอกให้ถอยออกมา”
ทิตาไม่ทำตาม แล้วแอบล้วงมือเข้ากระเป๋า หยิบมีดพกออกมา ปาใส่ แพรพลอยรีบเอี้ยวตัวหลบ ทิตาฉวยโอกาสผลักถวิลล้มไป แล้วจะหนีออก
แพรพลอยกระชากแขนไว้ได้ แล้วจะใช้ปืนตบ แต่ทิตายกมือกัน สองสาวสู้กันอย่างสูสี
ทิตาพยายามแย่งปืนจากแพรพลอยมา แต่แพรพลอยไม่ให้ ยื้อปืนไปมา ปืนลั่นขึ้นเพดานดังเปรี้ยง
อิศร์ที่ยังนั่งน็อคเห็นดาวอยู่ได้ยินเสียงปืนก็ได้สติ
“ใครยิงกันแถวนี้วะ”
อิศร์รีบลุกเปิดประตูออกไป เห็นพวกพนักงานกับบรรดาภริยาร้องวี๊ดว้ายแล้ววิ่งกรูหนีกันออกไป
ส่วนแพรพลอยกับทิตาแย่งปืนกัน ทิตากระชากมาได้ แล้วใช้ด้ามปืนตบแพรพลอยคว่ำไป ทิตายกปืนขึ้นจะยิง แต่แพรพลอยเอาเท้าถีบจนเซ กระสุนพลาดไป ทิตาตั้งหลักได้จะยิงแพรพลอยอีก แต่แพรพลอยกระโจนเอาตัวกระแทกทิตาล้มลง แล้วต่อสู้กันต่อ
แพรพลอยพยายามจะดึงหน้ากากของทิตาออก แต่ทิตาเอาเท้าถีบออกไป อิศร์พรวดพราดเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรปภ.
“คุณแพร อยู่ในนี้หรือเปล่า”
ทิตาหันไปยกปืนเล็งใส่ แพรพลอยเตะทิตาจนปืนกระเด็นหลุดมือ
“คุณอิศร์ หลบไป”
อิศร์ละล้าละลัง แพรพลอยตะโกนซ้ำ
“หลบไปสิ”
ทิตาล้มกลิ้งไปทางถวิลที่นอนตายแน่นิ่ง กระชากเข็มที่ปักคอออกมาแล้วพุ่งจะปักใส่แพรพลอย c9jแพรพลอยยื้อมือไว้ ถีบทิตาเข้าที่ท้อง กระเด็นไป เข็มฉีดยาตกแตก
“คุณถวิล! คุณถวิลได้ยินฉันหรือเปล่า”
แพรพลอยมัวแต่เขย่าตัวถวิล พยุงให้ลุกขึ้น แต่ถวิลร่วงไป ทิตาลุกขึ้นมา เอาผ้าขนหนูพุ่งเข้าคล้องคอแพรพลอยแล้วบิด
“มันตายแล้ว แกก็ต้องตายเหมือนกัน”
แพรพลอยพยายามแกะผ้าขนหนู หายใจไม่ออก ทิตาบิดแรง แล้วเหวี่ยงแพรพลอยไปกระแทกผนังห้อง
ร่างแพรพลอยทรุดลง หายใจหอบ แล้วเอื้อมมือคว้าปืนที่ตกอยู่ใกล้ๆ ยกขึ้นเล็ง
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ”
ทิตาชะงัก มองปืนในมือแพรพลอย ออกแรงผลักเตียงนวด ให้ล้มมาทางแพรพลอย
แพรพลอยกลิ้งหลบ หันมาอีกทีมองเห็นทิตาวิ่งหนีออกไป
“หยุดนะ”
แพรพลอยถือปืนไล่ตามออกไป
ทิตาวิ่งออกมาทางด้านหลังสปา
“ฉันบอกให้หยุด”
ทิตาไม่ฟัง หันไปผลักรถเข็นทำความสะอาดใส่แพรลพลอย แล้วถีบประตูด้านหลังสปาออกไป แพรพลอยกระโจนตามออกไป กราดปืนจะยิง แต่ไม่เห็นทิตาแล้ว อิศร์วิ่งตามทั้งสองออกมา
“คุณแพร เป็นอะไรหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่ตำรวจกั้นบริเวณสปาเป็นที่เกิดเหตุ เห็นไทยมุงอยู่รอบๆ ดนัยเดินไปเดินมา คอยประสานงานตำรวจกับพนักงานของสปา
หน่วยพิสูจน์หลักฐานเอาเทปมากั้น ไม่ให้นักข่าวกับไทยมุงเข้า แพรพลอยเข้ามากับอิศร์ ดนัยกับตำรวจเห็นเข้ารีบเข้าไปหา
“ฉันตามคนร้ายไม่ทัน มันหนีไปทางสวนป่าด้านหลัง”
“คุณดนัยสั่งปิดทางเข้าออกโรงแรม” อิศร์สั่งการ
ดนัยรีบออกไป แพรพลอยมองไปที่กลุ่มไทยมุงกับนักข่าว ก่อจะถามตำรวจ
“คุณถวิลเป็นยังไงบ้างคะ”
ตำรวจส่ายหน้า “เสียชีวิตแล้วครับ คาดว่าเพราะถูกฉีดอะไรบางอย่างเข้าไปในเส้นเลือด นิติเวทย์กำลังจะนำศพไปชันสูตร”
เสียงฮือฮาและเสียงลั่นชัตเตอร์ดังขึ้น แพรพลอยกับอิศร์หันไปมอง ศพถวิลที่มีผ้าคลุมถูกเข็นออกมาด้านนอก พวกนักข่าวรีบตามออกมาถ่ายรูป
ในจอทีวีมีรายงานข่าวการสังหารถวิล ที่บ้านอำพลดูข่าวนี้อยู่พร้อมหน้าในห้องโถงกลาง
“การประชุมสุดยอดระดับนานาชาติที่เขาใหญ่ต้องถูกยกเลิกอย่างกะทันหันด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย หลังจากเกิดเหตุลอบสังหารนายถวิล เงินงาม สส.ท้องถิ่นอย่างอุกอาจภายในโรงแรมวาดวิมาน”
“ตายแล้ว นั่นมันโรงแรมเรานี่คะคุณพ่อ” ไอริณตกใจ
อำพลพยักหน้า “ไอ้อิศร์ก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“คุณพระช่วย” เรณูตกใจอีกคน
ไอศูรย์พูดอย่างเหยียดหยัน “ไอ้อิศร์นี่มันตัวซวยแท้ๆ ไปที่ไหนก็พาเรื่องไปด้วย ขนาดเขาประชุมกันดีๆ ยังเกิดฆ่ากันตายเฉย กาลกิณีจริงๆ”
“ศูรย์ พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ เกี่ยวกับตาอิศร์ที่ไหนกัน” เรณูหันมาทางไอริณ “โทร.หาพี่เขาหน่อยยายริณ เป็นยังไงบ้าง แม่เป็นห่วง”
ไอริณหยิบโทรศัพท์มาโทร.อย่างว่าง่าย ส่วนไอศูรย์สบตากับอำพลอย่างเซ็งๆ ที่เรณูห่วงอิศร์เหลือเกิน
อำพลให้ไอศูรย์ไปเรียกสุนทรเข้ามาคุยในห้อง
“นายถวิลนั่นใช่ไหม ผลงานของคนที่แกจะหามาทำงานให้ฉัน”
“ครับ”
“ไม่เลวเหมือนกันนะ เสียดายที่ไม่รู้ก่อนว่าอยู่ใกล้ไอ้อิศร์แค่นั้น จะได้ให้ลงมือเลย”
“ทิตาไม่รับงานซ้อนหรอกครับ”
อำพลสะดุดหู “ชื่ออะไรนะ”
“ทิตาครับ”
ไอศูรย์หัวเราะเยาะ “ชื่อประหลาด อย่างกับผู้หญิง”
“ทิตา...เป็นผู้หญิงครับ”
ไอศูรย์กับอำพลทำหน้าประหลาดใจ
“อ้าว จะดีเหรอครับพ่อ โธ่เอ๊ย” ไอศูรย์ ขัดใจ
“เป็นไรไปล่ะ ใช้ผู้ชายจัดการไอ้อิศร์มาตั้งกี่คน ก็เสร็จนังบอดี้การ์ดนั่นหมด ลองส่งผู้หญิงไปบ้างก็ดี”
อำพลหมายมั่นปั้นมือมาก
ส่วนอริสรานอนซมอยู่บนเตียง ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงเคาะประตู เป็นกรองทองถือถาดข้าวต้มเข้ามาในห้อง
“ทานข้าวต้มหน่อยนะคะคุณอริส”
อริสรารู้สึกหิว เลยพยายามลุกขึ้น กรองทองเข้าไปช่วยประคอง แต่พอเอาข้าวต้มมาใกล้ ก็เบ้หน้าจะอาเจียน
“พาฉันไปห้องน้ำหน่อย”
กรองทองรีบประคองอริสราไป
อริสราโอ้กอ้ากในห้องน้ำ มีกรองทองลูบหลังให้พลางถาม
“คุณอริสเป็นมากี่วันแล้วคะเนี่ย”
“2-3 วัน”
“น่าจะไปหาหมอนะคะ จะได้รู้ว่าเกิดจากอะไร กรองว่าบางทีคุณอริสอาจจะกำลังท้องก็ได้”
“เธอว่าไงนะ”
กรองทองบอกอย่างเกรงๆ “คืออาการคุณอริสคล้ายๆ คนท้องน่ะค่ะ”
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ เหลวไหล” ปากร้องโวยวายแต่อริสราใจไม่ดี
กรองทองก้มหน้าท่าทีกลัวๆ อริสราอ่อนลง
“อย่าพูดอย่างนี้ให้ใครได้ยิน ฉันไม่มีวันท้องหรอก กรองทองไปทำอย่างอื่นเถอะ เดี๋ยวฉันทานข้าวเอง”
กรองทองรับคำแล้วค่อยๆ ออกไปอย่างจ๋อยๆ อริสราเซซังกลับมานั่ง หยิบชามข้าวต้มมาใกล้แล้วเบ้หน้า
สีหน้าหล่อนกังวลหรือว่าจะท้องจริงๆ
ส่วนที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด หมอตรวจอาการแพรพลอย โดยมีอิศร์นั่งอยู่ด้วย
“เดี๋ยวหมอให้ยากลับไปทานที่บ้านนะครับ” หมอบอก
“จะดีเหรอครับหมอ น่าจะให้นอนพักที่โรงพยาบาลอีกคืนนะครับ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” แพรพลอยรีบลุกขึ้น “ขอบคุณนะคะหมอ”
แพรพลอยรีบลุกขึ้น กลัวโดนกักตัวไว้อยู่ แล้วเดินออกไป อิศร์รีบไหว้หมอแล้วตามออกมา
แพรพลอยมารับยาที่เคาน์เตอร์ อิศร์รีบเข็นรถเข็นมาดัก
“เอามาทำไม”
อิศร์รีบเข็นรถเข็นมาดักหน้า “เดี๋ยวผมเข็นคุณไปที่รถเอง”
“จะบ้าหรือไง ฉันเดินไปเองได้” แพรพลอยโวย
“คุณยังบาดเจ็บอยู่ อย่าเพิ่งใช้ร่างกายหนักเลย เดี๋ยวพิการขึ้นมาจะยุ่ง”
“ปากเหรอน่ะ”
อิศร์ยิ้ม “นั่งเถอะน่า เดี๋ยวผมบริการให้”
“เอาไว้ให้ฉันเดินไม่ได้จริงๆ ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ฉันยังเดินได้”
แพรพลอยจะไป อิศร์ดันรถไปขวางไว้อีก
“คุณจะนั่งรถไป หรือจะให้ผมอุ้มไปให้อายคน”
แพรพลอยหันไปมองรอบๆ เห็นคนในโรงพยาบาลมองมา กลัวเป็นเป้าสายตา
“เอาไหม ผมอุ้มไหวนะ”
อิศร์ทำท่าจะขยับเข้ามาอุ้ม แพรพลอยรีบลงนั่งรถเข็น อิศร์ยิ้มชอบใจแล้วเข็นแพรพลอยออกไป
อิศร์เข็นพาแพรพลอยออกมา
“ผมคุยกับเจ้านายคุณแล้วว่าจะพาคุณกลับกรุงเทพฯเอง ไปกันเลยนะ”
“คนเจ้ากี้เจ้าการ”
“คุณจะได้ไม่ต้องนั่งรถตู้หลังขดหลังแข็ง แล้วถ้าอยากจะแวะซื้อของฝากไปให้น้องๆ ก็แวะได้เลย”
แพรพลอยถอนใจ อิศร์ยิ้มสู้
“ไปกันเลยนะ เดี๋ยวจะถึงบ้านเย็น”
อิศร์จะเข็นรถไปต่อ แต่อนุภัทรพรวดพราดเข้ามา
“คุณแพร”
“อ้าวผู้กอง มายังไงคะ”
“ผมได้รับคำสั่งให้มาร่วมสอบสวนคดีคุณถวิลด้วยน่ะครับ พอรู้ว่าคุณแพรมาแอดมิทที่โรงพยาบาล ก็เลยตามมา”
“แพรไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณอิศร์บังคับให้มา” พลางหล่อนมองค้อนอิศร์
“ก็มาเช็คร่างกายนิดนึง แล้วก็เพื่อความปลอดภัยด้วย ยังจับคนร้ายไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
อนุภัทรส่ายหน้า “กำลังประชุมสืบสวนกันอยู่ จริงๆ ก็มีคุณแพรคนเดียวที่เห็นคนร้ายชัดเจน ถ้าคุณแพรไม่มีธุระอะไร ผมอยากจะเชิญไปคุยกันก่อน”
“ไม่หรอกค่ะ ยินดี”
“ไม่ชัดหรอกค่ะ มันใส่ผ้าปิดหน้า แต่ฉันมั่นใจว่าเป็นผู้หญิง”
“ผู้หญิงเหรอ” อิศร์ทำท่านึก “คนร้ายที่ปีนเข้าห้องฉันวันก่อนก็ผู้หญิง”
“แกแน่ใจเหรอ”
อิศร์นิ่งคิด ส่ายหน้า “ก็ไม่เชิง แต่ฉันรู้สึกว่ามันเอวบางร่างยังไงก็ไม่รู้ จำได้ไหมคุณแพร ที่เราเจอเสื้อผ้ามันในสวนของโรงแรม ผมสั่งให้คุณดนัยเก็บไว้”
แพรพลอยคิดตาม เริ่มพบข้อมูลอะไรมากขึ้น “ห้องพักที่คุณถูกทำร้ายมันก็เป็นห้องที่นายถวิลจองไว้” หล่อนรีบบอกอนุภัทร “ฉันว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันแน่ๆ ค่ะ
“งั้นดีเลย พวกคุณอย่าเพิ่งกลับกรุงเทพนะ หน่วยของผมคงต้องขอความช่วยเหลือก่อน”
อิศร์กับแพรพลอยพยักหน้า
ทิตาสวมหมวกสะพายเป้ สวมแว่นดำเดินเข้ามาในล็อบบี้ ตรงไปที่ลิฟต์ เดินเข้าลิฟต์ไป มัวแต่ก้มหน้ามองพื้น แต่เห็นใครบางคนวิ่งตามเข้าลิฟต์มาไม่ได้สนใจ
ลิฟต์เลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ มีแค่ทิตากับใครคนนั้นอยู่ลำพัง
จนพอลิฟต์เลื่อนขึ้นไปจนเกือบสุด จู่ๆ ทิตาก็เอื้อมมือกดล็อกลิฟต์ แล้วหันมาเผชิญหน้า
“ไม่ได้เจอกันนานนะ คุณสุนทร”
ชายคนนั้นคือสุนทร ซึ่งค่อยๆ เปิดหมวกแก็ปที่พรางหน้าขึ้นมามองสบตา
ทิตากับสุนทรยืนคุยกันบนดาดฟ้าตึก
“ฉันพยายามติดต่อเธอหลายวันแล้ว ลืมไปว่าเธอไม่ชอบให้ใครรบกวนเวลาทำงาน”
“เข้าใจถูกแล้ว”
“แต่ตอนนี้งานเสร็จเรียบร้อย คงจะคุยกันได้ นายฉันชอบผลงานของเธอ ก็เลยอยากจะใช้บริการบ้าง มีเวลาจะไปคุยกันไหม”
“ฉันไม่ชอบเสียเวลาพูดคุย ถ้าจ้างฉันก็สั่งมาเลย ไม่ต้องมีพิธีรีตอง”
สุนทรยิ้มนิดๆ แล้วล้วงเข้าไปในเสื้อ ส่งซองสีน้ำตาลให้ ทิตารับมาแหวกดูนิดๆ ยังไม่ได้สนใจมาก
“รายละเอียดทุกอย่างอยู่ในนั้น ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มเติมก็ถามมาได้”
“ไม่จำเป็น ฉันชอบศึกษาเหยื่อของฉันเอง มันท้าทายกว่า”
ทิตาพูดนัยน์ตาเป็นประกายถือดี
ส่วนอัมพาดูข่าวถวิลในจอทีวี ท่าทางกังวลใจ พอเห็นกรณ์เดินเข้ามาก็รีบลุกไปหา
“ติดต่อแพรได้ไหมกรณ์”
“แพรติดประชุมอยู่ครับ แต่ผมเช็คกับเพื่อนที่เป็นนักข่าวบอกว่าไม่มีใครเป็นอะไรนอกจากนายถวิล แพรคงสบายดีแหละครับ”
“เฮ้อ งั้นก็แล้วไป แม่เห็นข่าวพวกนี้ทีไร ต้องเกี่ยวกับแพรทุกที ใจคอไม่ดีเลย”
อัมพาทรุดนั่งอย่างโล่งอก แล้วหันไปมองหน้าบ้านเพราะได้ยินเสียงรถแล่นมา
กรณ์รีบเดินออกไปดูที่หน้าต่าง
“คุณนายเนื้อทองมาครับแม่”
อัมพามีสีหน้าตกใจ
คุณนายเนื้อทองลงมาจากรถตู้พร้อมกับลูกน้อง เดินตรงมาหาอัมพาที่ออกมารับหน้าบ้าน
“ฉันมารับค่าเช่าตามสัญญา”
อัมพากับกรณ์มองหน้ากันจ๋อยๆ ก่อนที่อัมพาจะเข้าไปยกมือไหว้
“คุณนายคะ คือ...ฉันกำลังพยายามรวบรวมเงินอยู่ คุณนายรอหน่อยนะคะ”
คุณนายโมโหขึ้นมาทันที “ก็บอกแล้วไงว่าให้เวลาถึงวันนี้”
“แต่ตอนนี้เรายังมีไม่พอนะครับ อย่างน้อยก็รอให้พี่สาวผมกลับมาก่อนได้ไหม”
คุณนายตัดบทไม่แยแส “ไม่! ฉันรอพวกเธอมานานพอแล้ว ในเมื่อไม่มีเงิน ก็ไสหัวไป”
“คุณนายขา ขอร้องเถอะนะคะ ฉันกราบล่ะ”
อัมพาแทบจะทรุดลงกราบที่ขา คุณนายถอยหนีอย่างรังเกียจแล้วหันไปสั่งลูกน้อง
“พาพวกมันออกไป แล้วก็เอาไม้มาตอกประตูปิดบ้าน ล้อมรั้วลวดหนามด้วย”
อัมพาทั้งตกใจทั้งเสียใจ ปล่อยโฮออกมา กรณ์รีบเข้าประคอง
“คุณนาย เห็นใจพวกเราเถอะนะครับ”
“ไม่ต้องพูดมาก จะออกไปดีๆ หรือจะให้คนของฉันโยนออกไปก็เลือกเอา”
“คุณนายขา ได้โปรดเถอะค่ะ”
อัมพาถลาไปกอดเข่า คุณนายเตะขาออกไปจนอัมพาล้ม เปี๊ยกวิ่งเข้ามาพอดี
“แม่” เปี๊ยกชี้หน้า “ยายคุณนายเนื้อเค็ม แกทำอะไรแม่ฉัน” เด็กชายหันไปตะโกนบอกเพื่อนๆ “เฮ้ย พวกเรา ไอ้พวกนี้มันทำร้ายแม่กับพี่กรณ์ ไล่มันไปเร็ว”
เปี๊ยกวิ่งนำจ่าฝูงเข้ามา ผลักคุณนาย ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ เข้าไปทุบตีลูกน้องพัลวัน
“ว้าย ไอ้เด็กบ้า อย่าทำอะไรฉันนะ”
คุณนายเนื้อทองตบเปี๊ยกล้มไป แล้วหันไปสั่งลูกน้อง
“เอามันออกไปให้หมด เดี๋ยวนี้เลย”
ลูกน้องช่วยกันจับคอเสื้อเด็กๆ ลากออกไป กรณ์กับอัมพาพยายามจะเข้าไปห้าม แต่ถูกจับตัวไว้
ฟากอนุภัทรยื่นกระดาษให้แพรพลอยกับอิศร์ดู
“ผลการตรวจลายนิ้วมือบนเสื้อผ้าที่คนร้ายทิ้งไว้ และอาวุธที่ทำร้ายนายถวิลตรงกัน”
“แสดงว่าเป็นคนเดียวกัน” แพรพลอยว่า
“ครับ แต่ว่าลายนิ้วมือของคนร้ายไม่มีในระบบอาชญากรที่เราทำแฟ้มประวัติไว้เลย” อนุภัทรบอก
“แปลว่ามันเพิ่งเริ่มเข้าสู่วงการเหรอวะ” อิศร์ฉงน
“ก็เป็นไปได้ หรือไม่ก็เก่งซะจนไม่เคยทิ้งร่องรอยให้ตำรวจสาวถึงมาก่อน” ผู้กองบอกอีก
“แล้วทางตำรวจจะทำยังไงต่อคะ”
“เรากำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ขัดแย้งกับนายถวิล ซึ่งก็คงต้องสอบปากคำกันอีกเป็นสิบคน เพราะผู้ตายค่อนข้างมีศัตรูเยอะทั้งเรื่องผลประโยชน์และเรื่องส่วนตัว” ผู้กองหันมาทางอิศร์ “หน่วยฉันคงต้องขอให้นายปิดโรงแรมต่ออีกซัก 2-3 วัน ไม่ว่ากันนะอิศร์”
“ตามสบายเลยเพื่อน เฮ้อ เห็นอย่างนี้ฉันก็โล่งใจ แปลว่าฉันไม่ใช่เป้าหมาย เราก็กลับกรุงเทพฯกันได้ซักทีนะคุณ”
แพรพลอยกำลังจะตอบ แต่โทรศัพท์ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะคุณเมย์” หล่อนนิ่งฟัง แล้วออกอาการตกใจ “อะไรนะคะ”
อ่านต่อหน้า 4
บอดี้การ์ดสาว ตอนที่ 6 (ต่อ)
เวลาผ่านไปสักระยะ อัมพากับกรณ์ รีบออกมาจากในบ้าน เมื่อเห็นแพรพลอย อิศร์ มายาวี และอนุภัทร
“แม่” แพรพลอยตรงเข้ามากอด “เกิดเรื่องขนาดนี้ทำไมไม่บอกแพร”
“อย่าว่ากรณ์เลยลูก แม่ห้ามไว้เอง ไม่อยากจะกวนแพรตอนทำงาน”
“แล้วเด็กๆ ล่ะคะ”
“ดูทีวีอยู่ในบ้านค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ เมย์ให้คนจัดที่พักให้เรียบร้อยแล้ว ยังไงคืนนี้ทุกคนก็พักที่นี่ไปก่อน”
“คุณนายเนื้อทองไม่ยอมให้เราเอาข้าวของอะไรออกมาเลย แม้แต่เสื้อผ้า”
“ทำไมถึงได้ใจร้ายใจดำขนาดนี้ ผมว่ามันเกินไปหน่อยนะ” อิศร์โมโห
“ป้าผิดเองค่ะ ที่ผิดนัดจ่ายค่าเช่าคุณนายมาหลายเดือนแล้ว แต่ถูกไล่ออกมาแบบนี้ เป็นห่วงเด็กๆ ไม่รู้ว่าจะไปเรียนหนังสือกันยังไง เสื้อผ้าเครื่องเรียนก็ไม่มี”
“แพรจะไปคุยกับคุณนายเองค่ะ”
คุณนายเนื้อทองนั่งเต๊ะท่าไม่สนใจฟัง
“ฉันมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้เพราะทุกบ้านในซอยนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน”
“ฉันทราบค่ะ แต่อยากให้คุณนายเห็นใจพวกเราบ้าง แม่ของฉันไม่ได้ทำธุรกิจการค้า เปิดบ้านที่นั่นเป็นมูลนิธิเพื่อช่วยเด็กๆ เราไม่ได้มีเงินมากพอที่...”
“ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าถ้าไม่มีปัญญาจ่ายค่าเช่าก็ย้ายไปอยู่ที่นี่อื่นซะ ฉันให้เวลาเก็บของอีกสองวัน ไม่งั้นจะเผาทิ้งให้หมด”
อิศร์ลุกพรวดหมดความอดทน “มากไปแล้วมั้งคุณนาย”
อนุภัทรกับมายาวีตกใจ พยายามดึงอิศร์ไว้ คุณนายแหวกลับ
“แล้วจะทำไม อ๋อ ที่แห่กันมาที่บ้านฉันเนี่ย คิดจะข่มขู่กันใช่ไหม ได้ฉันจะเรียกตำรวจมาจัดการเดี๋ยวนี้เลย” พลางหยิบโทรศัพท์
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ผมเป็นตำรวจ”
“งั้นก็พาพวกของคุณออกไป! ฉันไม่เจรจาด้วยแล้ว”
อิศร์หงุดหงิด “คุณป้าค้างค่าเช่าไว้เท่าไรครับ”
อัมพางง มองหน้าแพรพลอย ไม่แน่ใจว่าจะตอบดีไหม
คุณนายบอกแทน “สามเดือน บวกดอกเบี้ยด้วยก็สองแสนห้า”
“สองแสนห้า! เป็นไปได้ยังไง” กรณ์ตกใจ
“ดอกเบี้ยมันก็ทบต้นไปตามเวลาที่พวกแกเบี้ยวฉันน่ะสิ”
อิศร์มองคุณนายอย่างหมั่นไส้ แล้วหันไปถามมายาวี
“ผมจะเขียนเช็คให้ห้าแสน ถือเป็นค่าเช่าล่วงหน้าตลอดทั้งปีนี้ด้วย”
ทุกคนตกใจ คุณนายอ้าปากหวอ
“แล้วหวังว่าคุณป้ากับเด็กๆ ในมูลนิธิจะไม่มีคนไปรบกวนอีก”
อัมพากะกรณ์ตกใจ “คุณอิศร์”
เปี๊ยกกับเด็กๆ วิ่งมาไปในมูลนิธิอย่างดีใจที่ได้กลับบ้าน อัมพาหันมายิ้มกับอิศร์อย่างซาบซึ้ง
“พวกเราทำให้คุณอิศร์ลำบากอีกแล้ว”
“อย่าคิดมากสิครับ เรื่องแค่นี้ผมช่วยได้สบายมาก”
“ถ้ามีอะไรที่พวกเราจะช่วยคุณอิศร์ได้บ้าง ก็บอกมาได้ตรงๆ เลยนะครับ ผมยินดี”
อิศร์พยักหน้ายิ้มๆ กรณ์สะกิดแพรพลอยให้พูดอะไรบ้าง
แพรพลอยซึ้งน้ำใจ แต่ฟอร์มจัดเช่นเคย “ขอบคุณนะคะ รบกวนคุณเมย์ช่วยร่างสัญญากู้ยืมให้แพรด้วยนะคะ”
มายาวีงง “ร่างสัญญา ร่างทำไมคะ”
“เงินก้อนนี้แพรจะขอกู้จากคุณอิศร์แล้วจะทยอยใช้ให้ค่ะ”
อิศร์นึกน้อยใจ “เฮ้อ คุณก็ยังรังเกียจน้ำใจผมเหมือนเดิม ทำไมวะไอ้ภัทร ฉันมันดูเป็นคนทำบุญหวังผลมากนักเหรอวะ”
อนุภัทรอึกอักตอบไม่ถูก พยายามปลอบอิศร์
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าคุณจะถือว่าเป็นการกู้ยืมก็ตามใจ แต่ไม่ต้องถึงขนาดทำสัญญาหรอก เพราะผมจำทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างเราสองคนได้”
แพรพลอยอึ้งไป รู้สึกว่าอิศร์เหมือนงอนจริง ทุกคนเหวอไปกันหมด
อนุภัทรพยายามแก้สถานการณ์ “ไม่เอาน่าอิศร์ แกอย่าดราม่า คุณแพรก็แค่ขำๆ”
“ฉันเหนื่อย เลยไม่ค่อยขำว่ะ” อิศร์ฝืนยิ้มให้อัมพา “ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ”
อัมพากับกรณ์รับไหว้อิศร์อย่างงงๆ ที่เห็นอิศร์หันหลังกลับไปดื้อๆ มายาวีกับอนุภัทรก็งง รีบตามไป ส่วนแพรพลอยก็อึ้งไปเหมือนที่เห็นอิศร์งอนมากขนาดนี้
ทุกคนที่นั่งรอฟังข่าวอยู่ กรองทองเห็นอิศร์เดินเข้ามาก็รีบบอก
“คุณอิศร์มาแล้วค่ะ”
“อิศร์ เป็นยังไงบ้างลูก ป้าเป็นห่วงแทบแย่” เรณูดีใจ
“ริณกำลังคิดว่าจะชวนคุณแม่ไปเขาใหญ่อยู่เชียว พี่อิศร์โอเคนะคะ”
“พี่ไม่เป็นอะไร แค่วุ่นวายนิดหน่อย” อิศร์บอก
อำนวยถามขึ้น “แล้วที่โรงแรมเป็นยังไงบ้าง”
“ตำรวจขอเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุครับ เลยต้องปิดโรงแรมไปอีกสองวัน”
ธำรงโวย “สองวัน ก็ขาดทุนเป็นสิบล้านน่ะสิ แกนี่มันตัวซวยแท้ๆ ไอ้อิศร์เอ๊ย ไปที่ไหนก็ทำให้เกิดเรื่องที่นั่น อย่างนี้เหรอจะมาเป็นซีอีโอ”
ไอริณเถียงเสียงขุ่น “ความผิดของพี่อิศร์ที่ไหนกัน อ่านข่าวบ้างไหมเนี่ยพี่ธำรง พูดจาเพ้อเจ้อ”
ธำรงเตรียมจะสวน แต่เรณูตัดบทขึ้นเสียก่อน
“พูดกับพี่เขาดีๆ หน่อยสิริณ” แล้วหันมาทางอิศร์ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วนะลูก เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงแรมน่ะช่างมันเถอะ มันเป็นเหตุสุดวิสัย”
อิศร์พยักหน้า “ผมจะเรียกประชุมฝ่ายการตลาดพรุ่งนี้ หาวิธีเรียกความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในโรงแรมกลับมาครับ”
“ดี ลุงชอบ ต้องอย่างนี้สิ มีปัญหาก็ต้องคิดหาทางแก้ ไม่ใช่ตีโพยตีพายเป็นเจ๊กตื่นไฟ”
ธำรงชักสีหน้าหมั่นไส้อิศร์เต็มแก่ กรองทองเห็นบรรยากาศอึมครึม รีบเปลี่ยนเรื่อง
“คุณอิศร์หิวไหมคะ ป้าดวงสั่งให้กรองเตรียมอาหารไว้ในแล้ว ทานเลยไหมคะ”
อิศร์พยักหน้า กรองทองรีบพาอิศร์ออกไปจากตรงนั้น
สุนทรเสิร์ฟกาแฟให้อำพลอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน ขณะไอศูรย์เดินเข้ามา
“ยายริณบอกว่าไอ้อิศร์มันกลับมาแล้วครับ”
“งั้นก็ได้เวลาแล้ว คนของแกพร้อมหรือยัง”
“ทิตาคงกำลังรวบรวมข้อมูล เพื่อวางแผนจัดการกับคุณอิศร์อยู่ครับ”
“ฮึ ท่าทางจะลีลาเยอะนะ อย่าให้ฉันกับพ่อผิดหวังซ้ำซากก็แล้วกัน” ไอศูรย์แขวะ
ทิตานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ค่อยๆ เปิดซองน้ำตาล หยิบเอกสารออกมา เป็นกระดาษพิมพ์ประวัติคร่าวๆ ของอิศร์ แผ่นหลังสุดมีรูปขนาดใหญ่แปะอยู่ ทิตาพลิกรูปขึ้นมาดูแล้วชะงัก
“ผู้ชายคนนี้...” ภาพเหตุการณ์ตอนที่ทิตาสู้กับอิศร์ แล้วมีจังหวะที่เห็นหน้าอิศร์เต็มๆ ถึงรู้วาไม่ใช่ถวิลผุดขึ้นมา
“ทำไมถึงบังเอิญขนาดนี้” ทิตาพลิกมาอ่านเอกสารด้านหน้ามีชื่อปรากฏอยู่
“อิศร์ เดชโชดม”
เวลานั้นอัมพานั่งรื้อกล่องใส่ของหยิบกรอบรูปเก่าๆ ออกมาเช็ด แพรพลอยเปิดประตูเข้ามาอัมพาเงยหน้าขึ้นทัก
“ยังไม่กลับคอนโดอีกเหรอจ๊ะ วันนี้แพรเหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะ”
แพรพลอยเดินไปใกล้ นั่งลงพิงประจบอัมพา
“แพรว่าจะค้างกับแม่ซักคืน นี่แม่ทำอะไรคะเนี่ย”
“คนงานของคุณนายปลดเอารูปเก่าๆ ลงมาหมด แม่ก็เลยถือโอกาสทำความสะอาดก่อนแล้วค่อยเอากลับไปแขวน”
แพรพลอยหยิบรูปมาดู มีภาพถ่ายอัมพาตอนสาวๆ รูปอัมพากับเด็กๆ รูปเด็กรับรางวัลดีเด่นต่างๆ แพรพลอยค้นเจอรูปหมู่ที่ถ่ายหน้ามูลนิธิสมัยตัวเองยังเด็ก มีอัมพา กรณ์และเด็กอื่นๆ รวมทั้งเด็กหญิงคนหนึ่ง
“เห็นรูปพวกนี้แล้วชื่นใจนะคะ แม่มีลูกๆ เยอะมากจริงๆ เราน่าจะจัดงานรวมญาติกัน”
“หลายคนที่เขาออกจากบ้านไปประสบความสำเร็จ คงไม่มีใครอยากกลับมามองอดีตที่ขมขื่นหรอก”
“แพรไม่เห็นว่าการอยู่ที่นี่จะขมขื่นตรงไหน ทุกคนที่เข้ามาเป็นลูกแม่โชคดีมากที่ได้แสงสว่างอย่างครูอัมพานำทาง”
“บางคนเขาก็ไม่ได้ซาบซึ้งกับสิ่งที่แม่ทำหรอก แม่มีลูกหลายคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่เพราะจำใจ แล้วสุดท้ายก็หนีเตลิดออกไป เพราะเขาไม่คิดว่าที่นี่คือบ้าน ไม่คิดว่าแม่เป็นคนที่พร้อมจะเป็นแม่ที่ให้ความอบอุ่นกับเขาได้”
อัมพาหยิบรูปถ่ายหมู่ในมือแพรพลอยมาดู เหมือนจะรำลึกถึงอะไรบางอย่าง
“ถ้าแม่มีโอกาสได้พบลูกๆ ทุกคนที่เคยเลี้ยงมากับมือ พวกเขาซะอีกที่แม่อยากพบ อยากรู้ว่าเป็นยังไงกันบ้าง สุขสบายดีกันหรือเปล่า”
อัมพาจ้องรูปหมู่นั้น เพ่งมองเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในรูปที่ยืนหน้าบึ้งท่ามกลางเพื่อนๆ เป็นคนเดียวในรูปที่ไม่ยิ้ม
ทิตานั่งเปิดคอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลอิศร์ เจอเว็บไซต์ข่าวอิศร์แข่งรถได้รางวัล เปิดมาอีกเว็บเป็นข่าวแนะนำอิศร์ในฐานะนักธุรกิจหนุ่มหล่อ ใส่สูทเท่
ทิตาอ่าน “อิศร์ เดชโชดม ทายาทรุ่นใหม่ของเดชโชดมกรุ๊ป ไฮโซหนุ่มผู้รักความเร็ว กำลังจะแขวนหมวกกันน็อคชั่วคราว เพื่อหันมาสานต่อธุรกิจพันล้านของคุณปู่...”
ทิตาคลิกไล่อ่านลงมาเรื่อยๆ เก็บข้อมูล
“ส่วนเรื่องหัวใจ...”
แพรพลอยเดินเข้ามาดูเด็กๆ เห็นกรณ์อ่านนิทานให้เปี๊ยกับเพื่อนๆ ฟังจบพอดี
“เอาล่ะ นอนได้แล้วนะ เดี๋ยวจะตื่นไม่ทันโรงเรียน”
กรณ์ลุกไปห่มผ้าให้ เด็กหญิงคนหนึ่งเอามือจับกรณ์
“พี่กรณ์ พรุ่งนี้เราต้องย้ายบ้านอีกไหม”
“พวกเราไม่อยากย้ายเลยพี่กรณ์”
เด็กๆ ประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน แพรพลอยแอบฟัง
“ก็ใครว่าจะย้ายเล่า พี่อิศร์จัดการยายคุณนายให้พวกเราแล้ว ต่อไปนี้เราจะไม่ต้องโดนไล่อีก จริงไหมพี่กรณ์” เปี๊ยกบอก
กรณ์ขยี้หัวเปี๊ยก พยักหน้าให้เด็กๆ
“ใช่ พี่อิศร์ช่วยพวกเราไว้ ถ้าเจอกันคราวหน้าอย่าลืมขอบคุณเขานะ”
“งั้นเรามารวบรวมเงินซื้อขนมเลี้ยงพี่อิศร์กันดีไหมพวกเรา”
พวกเด็กๆ ส่งเสียงเห็นด้วยเซ็งแซ่ กรณ์ยิ้มเอ็นดูเด็กๆ
แพรพลอยที่ยังแอบดูอยู่ด้านนอกอ นึกถึงตัวเองที่ไม่คิดจะตอบแทนอะไรอิศร์บ้างเลย
อำนวยเดินออกมาตรวจผลงานตัดแต่งพุ่มไม้หน้าบ้าน แล้วพยักหน้าพอใจ
“ดีๆ เรียบร้อยสวยงามดี นายนี่มันเก่งจริงๆ นะนายมิตร”
อนุภัทรถามด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม “คุณอำนวยมีอะไรจะให้ผมทำอีกไหมครับ”
“ไม่มีแล้วล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ” อำนวยนึกได้ ควักเงินในกระเป๋าให้ “เอ้านี่ ฉันให้พิเศษ”
อนุภัทรไหว้รับเงิน แล้วจะเดินไป แต่สังเกตเห็นรถธำรงจอดอยู่ สีหน้าครุ่นคิดบางอย่าง
“คุณธำรงไม่ได้ออกไปทำงานเหรอครับ”
“ยังนอนไม่ตื่นเลย ไอ้เจ้านี่มันกลับดึก ทำไมเหรอ”
“คือ...ผมเห็นรถคุณธำรงไม่ได้ล้างมาหลายวัน เลยจะขออนุญาตทำให้”
“ถ้ายังไม่เหนื่อยก็เอาสิ เจ้าธำรงมันคงจะชอบล่ะ รถสกปรกเหลือเกิน”
อนุภัทรยิ้มดีใจ มองที่รถอย่างหมายมาด
วันต่อมาอำพลกับไอศูรย์กินอาหารเช้าก่อนออกไปทำงาน ไอศูรย์เปิดหนังสือพิมพ์อ่านแล้วติดใจบางอย่าง
“คุณพ่ออ่านข่าวนายถวิลสิครับ แหล่งข่าวในโรงแรมเราบอกว่าก่อนนายถวิลจะโดนฆ่าวันนึง ไอ้อิศร์มันถูกทำร้ายที่ห้องพัก” ไอศูรย์เลื่อนหนังสือพิมพ์ให้อำพล
อำพลท่าทางสนใจ รีบรับมาอ่าน
“ทำไมอิศร์มันไม่บอกพวกเรา”
“จะอะไรซะอีกล่ะครับ มันก็เห็นเราเป็นหัวหลักหัวตอน่ะสิ ตอนนี้มันคงคิดว่าตัวมันคือเจ้าของทุกอย่างไปหมดแล้ว คุณพ่อต้องเตือนสติมันซะบ้าง”
อำพลยังอ่านหนังสือพิมพ์นิ่ง ใจเย็น สุขุม ไอศูรย์ฮึดฮัดไม่หยุด
“หรือจะให้ผมเตือน”
“ไม่ต้อง! แกโทรไปถามดนัยก่อนว่าเรื่องจริงหรือเปล่า ฉันว่าเราใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้”
อำพลยิ้มในสีหน้า เหมือนมีแผนร้ายในใจ
อนุภัทรลงมือล้างรถให้ธำรงอย่างแข็งขัน ทุกซอกทุกมุม แล้วเหลือบเห็นอำนวยเดินชมสวน อนุภัทรรอจนกระทั่งอำนวยหายไป ก็หันรีหันขวาง ย่องมาเปิดท้ายรถ ค้นดูข้าวของของธำรง
ที่กระโปรงท้าย มีแต่รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ไม้กอล์ฟ ไม่มีแฟ้มเอกสารเกี่ยวกับเรื่องงานของธำรง
อนุภัทรปิดท้ายรถลงอย่างผิดหวัง แล้วแอบย่องมาเปิดประตูหน้า ค้นหาของในลิ้นชัก อนุภัทรค้นเจอแฟ้มกระดาษในลิ้นชัก หยิบออกมาเปิด เห็นเอกสารใบเสนอราคา รายละเอียดการก่อสร้างโครงการ
ธำรงเดินออกมาจากในบ้าน เห็นอนุภัทรเปิดประตูรถก้มลงขยุกขยิก ก็ตรงเข้ามา
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ”
อนุภัทรสะดุ้งรีบโผล่หัวออกมา ถือถังขยะในรถติดมือมาด้วย ทำหน้าเหรอหรา
“คือ...คุณอำนวยให้ผมทำความสะอาดรถให้คุณธำรงน่ะครับ”
ธำรงมองอย่างไม่ไว้ใจ ตรงไปชะโงกหน้าดูภายในรถ แต่ก็เห็นทุกอย่างเอี่ยมอ่องดี
“ทีหลังขออนุญาตฉันก่อน ไม่ใช่ทำสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ครับ”
อนุภัทรทำท่าจ๋อยๆ แล้วหยิบถังขยะออกไปเท ธำรงมองตาม แล้วรีบเปิดดูลิ้นชักอย่างระแวง แม้ไม่ได้สงสัยอนุภัทร แต่เพราะเป็นวัวสันหลังหวะนั่นเอง แต่พอเห็นแฟ้มอยู่ที่เดิมก็โล่งใจ
ฝ่ายอนุภัทรรีบเข้ามาในห้องพักเรือนคนใช้ แล้วเปิดที่นอน หยิบคอมพิวเตอร์แลปทอปออกมาเปิด หยิบโทรศัพท์มือถือเอาสาย USB มาต่อ เพื่อถ่ายโอนรูป
ภาพในจอ เห็นรูปเอกสารใบเสนอราคาและรายละเอียดต่างๆ ที่อนุภัทรแอบถ่ายไว้ ขึ้นมาเป็นแผ่นๆ อนุภัทรจัดการเซฟรูปไว้ในเครื่อง เตรียมส่งอีเมล แล้วรีบโทรศัพท์ไปที่หน่วยของตัวเอง
“ฮัลโหล นี่ผมเองนะ ผมมีเอกสารชุดหนึ่งของนายธำรง คิดว่าอาจจะเกี่ยวกับคดีของเรา กำลังจะส่งไปให้ดูนะครับ”
อนุภัทรรีบคลิกเข้าอีเมล์ เตรียมส่งไฟล์ทั้งหมดไป
ภาพจอมอนิเตอร์ใหญ่ที่ห้องประชุมใหญ่ในบริษัทเดชโชดม เป็นการสัมภาษณ์โรเจอร์ ลี รายการคุยข่าวยามเช้า บรรยากาศทั้งห้องตึงเครียดมาก
“ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงแรมวาดวิมานถือเป็นความล้มเหลวด้านการรักษาความปลอดภัย ทั้งที่ได้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลกแท้ๆ ยังเกิดเหตุร้ายขึ้นได้ แบบนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับแขกที่เข้าพักได้ยังไง” โรเจอร์ว่า
พิธีกรซักท้วง “แต่จริงๆ แล้วในทุกโรงแรม ก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้เสมอไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่คงไม่ใช่สองวันติด” โรเจอร์ยิ้มอมภูมิ “ผมทราบมาว่าคืนก่อนหน้านี้คุณอิศร์ เดชโชดม ผู้บริหารของวาดวิมานก็ถูกทำร้ายปางตายในห้องพักเหมือนกัน”
พิธีกรทำหน้าตกใจ ไอศูรย์ปิดทีวี แล้วหันมาพูดกับที่ประชุม
“หลังจากรายการสัมภาษณ์นี้ออกอากาศไป มีแขกของโรงแรมขอยกเลิกการจองห้องพักเพิ่มเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย”
อิศร์หน้าถอดสี มายาวีมองอิศร์อย่างตกใจ เพราะไม่รู้เหมือนกัน
“ทำไมนายไม่รายงานเรื่องนี้ให้พวกเรารู้ก่อนวะอิศร์” ไอศูรย์ถาม
“เอ่อ ผม...ผมคิดว่าไม่คิดว่ามันสำคัญน่ะครับ เพราะว่าผมก็ไม่ได้เป็นอะไร”
อำพลเอ่ยขึ้นด้วยเสียงออ่อนโยน แต่ตำหนิเต็มๆ “จะคิดเอาแต่ตัวเองคนเดียวได้ยังไงล่ะอิศร์ ที่นี่เราทำงานกันเป็นครอบครัวใหญ่นะ เห็นไหมว่ามันมีผลกระทบยังไงบ้าง”
อิศร์รู้สึกผิด “ผมขอโทษครับ ผมไม่คิดว่า...จะมีคนนอกรู้เรื่องนี้”
“มิสเตอร์ลีมันรู้ทุกเรื่องที่ทำประโยชน์ให้มันได้นั่นแหละ ยิ่งถ้าเรื่องไหนทำให้เราเสียหายได้ มันไม่รอช้าที่จะป่าวประกาศหรอก” อำพลบอก
อิศร์ก้มหน้ารู้สึกผิด อำพลกับไอศูรย์แกล้งทำหน้าเหนื่อย แล้วมองไปทางคนอื่น ทุกคนลอบถอนใจ
มายาวีมองทุกคนแล้วสงสารอิศร์ รีบพูดขึ้นมา
“แต่เราหาทางออกได้นะคะ เดี๋ยวคุณอิศร์จะเรียกประชุมทีมมาร์เก็ตติ้ง ใช่ไหมอิศร์” มายาวีพยักพเยิดให้กำลังใจอิศร์
สองพ่อลูกจอมวายร้ายคุยกันอย่างสะอกสะใจ
“เห็นหน้าไอ้อิศร์เหลือสองนิ้วแล้วมันสะใจจริงๆ”
“คราวนี้มันคงเสียเครดิตในสายตาบอร์ดบริหารไปเยอะ”
“คุณพ่อเข้าใจคิดนะครับ แกล้งปล่อยข่าวให้มิสเตอร์ลีรู้ มันจะได้เอากลับมาโจมตีเรา แค่นี้ไอ้อิศร์ก็กลายเป็นคนสร้างปัญหา แถมมันกับไอ้มิสเตอร์ลีก็ยิ่งมองหน้ากันไม่ติดด้วย”
“ใช่ แล้วต่อไปเราจะเสี้ยมให้มันชนกันยังไงก็ได้”
ไอศูรย์กับอำพลหัวเราะกันอย่างสะใจ
อิศร์กับมายาวีเดินออกมาจากห้องประชุม
“อิศร์ เรื่องบอดี้การ์ด ฉันว่านายควรจะคิดดูใหม่นะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ต้องการ”
“แต่มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งมาสมัคร ฉันอยากให้นายของสัมภาษณ์ดู”
“ยายเมย์ ! นี่เธอชักจะทำเกินหน้าที่ไปแล้วนะ อยากให้ฉันหาเลขาใหม่หรือไง”
อิศร์ส่ายหัวเซ็งแล้วจะเดินออกไป แต่มายาวีรีบวิ่งไปขวาง
“น่า ลองเจอตัวดูก่อน ชอบไม่ชอบค่อยว่ากัน รออยู่ในห้องน่ะ” มายาวีคะยั้นคะยอ
อิศร์มองไปที่ห้อง แล้วเมินหนี “ไม่! เสียเวลา ยังไงฉันก็ไม่จ้างบอดี้การ์ดคนใหม่”
อิศร์เดินหนีไปดื้อ มายาวีละล้าละลัง
“ด...เดี๋ยวก่อนสิอิศร์”
อิศร์ขับรถออกจากบริษัทมุ่งหน้าไปตรวจไซต์งาน เหมือนสายตาคู่หนึ่งมองตามอิศร์ออกไป เห็นแค่มือที่จับมอเตอร์ไซค์ ใส่ถุงมือ บิดแฮนด์ออกรถตามไป
ขณะเดียวกันอริสราร่วมโต๊ะอาหารอยู่กับไอริณและเรณูที่บ้าน
เรณูตักอาหารให้อริสรา “ทานเยอะๆ นะจ๊ะหนูอริส ช่วงนี้แม่เห็นหนูดูเซียวๆ ไป”
อริสรามองอาหารบนโต๊ะอย่างพะอืดพะอม เหม็นไปหมด เรณูหันไปเห็นไอริณเดินลงมาพอดี
“อ้าวริณ จะออกไปไหนล่ะลูก มากินข้าวด้วยกันก่อน”
“จะดีเหรอคะ” ไอริณมองอริสรา “เดี๋ยวจะทำให้คนไม่เจริญอาหารเสียเปล่าๆ ได้ข่าวว่าพักนี้ยิ่งกินอะไรไม่ค่อยลงอยู่ด้วย”
อริสราก้มหน้าเงียบไม่ตอบโต เรณูคะยั้นคะยอ
“มาเถอะ” เรณูพยักหน้าให้กรองทองตักข้าว
ไอริณเดินมานั่งข้างอริสรา แอบทิ้งค้อนนิดๆ แล้วไม่สนใจอีก เรณูกับไอริณเริ่มกินข้าว แต่อริสรายังคงนั่งก้มหน้านิ่ง
“อ้าว ไม่ทานล่ะคะพี่อริส หรือว่าเห็นหน้าริณแล้วกินไม่ลงจริงๆ”
“อย่าแหย่พี่เขาน่า” เรณูหมุนอาหารให้อริสรา “ทานสิลูก ซุปนี้ก็บำรุงร่างกายดีนะ เพื่อนแม่บอกว่าดีสำหรับผู้หญิงสาวๆ ที่กำลังจะมีลูกด้วย แม่อยากอุ้มหลานเต็มที”
อริสรายิ่งสะอึก กินไม่ลงเข้าไปใหญ่ ร้อนตัว
“อริสไม่ได้ท้องนี่คะ”
“ก็จะรออะไรอยู่ล่ะคะ พวกเราเองก็อยากมีหลาน หรือว่ายังหวังจะเปลี่ยนพ่อของเด็กเป็นคนอื่นอยู่” ไอริณกัดแรง
“ยายริณ พูดจาน่าเกลียด”
อริสราถือโอกาสรวบช้อนแล้วลุกขึ้นทันที
“อริสยังไม่ค่อยหิว ขอตัวนะคะ”
อริสราลุกเดินออกไป ไอริณทิ้งค้อนตามอย่างหมั่นไส้
อริสราโผเผเข้ามาในห้อง แล้วทิ้งตัวลงบนเตียง เอามือลูบท้องตัวเอง นึกถึงคำพูดไอริณ
“ก็จะรออะไรอยู่ล่ะคะ พวกเราเองก็อยากมีหลาน หรือว่ายังหวังจะเปลี่ยนพ่อของเด็กเป็นคนอื่นอยู่”
แล้วนึกย้อนถึงคำพูดของกรองทอง
“น่าจะไปหาหมอนะคะ จะได้รู้ว่าเกิดจากอะไร กรองว่าบางทีคุณอริสอาจจะกำลังท้องก็ได้”
อริสราฟุบหน้าลงกับหมอนอย่างว้าวุ่นใจ
ที่ไซต์งานหัวหน้าคนงานรีบเดินเข้ามาต้อนรับอิศร์กับมายาวี
“สวัสดีครับคุณอิศร์”
“ผมได้ยินว่ามีรอยร้าวที่ตัวอาคาร”
“ใช่ครับ ทางนี้ครับ”
หัวหน้ารีบนำอิศร์ไป มายาวีหันไปมองด้านหลังเหมือนมองหาใครซักคน แล้วรีบตามไป
หัวหน้าพามายังด้านหลังตึกที่กำลังสร้างชี้ให้ดูจุดรอยราวในอาคารที่ยังสร้างไม่เสร็จ อิศร์เข้าไปตรวจ
“ตอนนี้พวกวิศวกรกำลังประชุมกันอยู่ครับ ผมกลัวว่าจะทรุดลงมา เลยไม่กล้าให้ใครเข้ามาในบริเวณนี้”
“ดีแล้ว ให้หยุดงานไปก่อน”
มายาวีเข้าไปถ่ายรูปไว้ อิศร์มองสำรวจไปรอบๆ เห็นเพิงพักคนงานอยู่ไม่ไกลนัก
“พวกคนงานพักกันตรงนี้จะเป็นอันตราย ต้องย้ายออกไปด้วย”
“คงจะรื้อกันไม่ทันหรอกครับ เพราะงานส่วนอื่นก็ต้องทำอยู่” หัวหน้าบอก
อิศร์มีสีหน้าเคร่งเครียด “งั้นก็หยุดงานทุกส่วน ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้น เสียงานไม่เท่าไร แต่ถ้าเสียคนทำงานมันจะเป็นเรื่องใหญ่”
หัวหน้างานพยักหน้ารับ
“ผมขอเดินสำรวจรอบๆ นี่หน่อยนะ”
อิศร์เดินออกไป หัวหน้างานหันมายิ้มแหยๆ กับมายาวี
“วันนี้ท่านดุจังนะครับ”
“นานๆ จะสวมบทโหด พี่อย่าถือนะคะ” มายาวียิ้มปลอบใจแล้วถ่ายรูปต่อ โดยมีหัวหน้าคอยชี้จุดให้ดู
อิศร์เดินสำรวจส่วนก่อสร้างอื่นๆ พูดคุยทักทายกับคนงาน โดยมีสายตาคนลึกลับ คอยมองตามอย่างน่าสงสัย แต่เขาไม่รู้ตัว
อิศร์เดินสำรวจเข้ามาในตัวอาคาร ที่ไม่มีคนทำงานอยู่ เดินมาถึงมุมหนึ่งเห็นกองขวดเหล้ากับเศษบุหรี่ทิ้งไว้ อิศร์ถอนใจ รู้ว่าพวกคนงานแอบมากินเหล้าในตึก เลยจะก้มลงเก็บ แล้วได้ยินเสียงลั่นเบาๆ มาจากเหนือหัว
อิศร์เงยหน้ามองตกใจ เพราะคานกำลังจะหล่นลงมา แต่ขณะที่งงๆ อยู่ ก็ถูกใครบางคนกระโจนเข้าใส่อย่างแรงจนล้มกลิ้งไปด้วยกัน
“โอ๊ย” อิศร์กลิ้งพ้นไป แล้วเห็นคานหล่นโครมลงมาอย่างแรงตรงที่นั่งอยู่เมื่อกี้พอดี
อิศร์เงยหน้ามองแล้วตกใจ “คุณแพร”
แพรพลอยกอดอิศร์ไว้ แล้วรีบผละออก
“คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่”
แพรพลอยยังไม่ทันตอบ มายาวีกับหัวหน้าก็รีบวิ่งเข้ามา
“อิศร์ เป็นอะไรหรือเปล่า”
อิศร์ยังมึนงง เพราะไม่รู้ว่าแพรพลอยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ที่ออฟฟิศของไซต์งาน คนงานเอาน้ำมาให้ทั้งสามแล้วออกไป มายาวีมองอิศร์อย่างเป็นห่วง
“ฉันว่านี่มันไม่ปกติแล้วนะ โปรเจคท์นี้มีปัญหาเยอะมาก ไอ้โน่นแตก ไอ้นี่พัง เหมือนวัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน”
“น่าจะลองเช็คดูนะคะว่าเป็นความรับผิดชอบของใคร” แพรพลอยทัก
มายาวีพยักหน้าเห็นด้วย อิศร์หันมองเขม็ง
“คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่ามาที่นี่ได้ยังไง”
แพรพลอยนิ่งไปท่าทีเก้อเขิน เพราะจริงๆ ตั้งใจจะมาง้ออิศร์ และอยากตอบแทนบุญคุณ
“หรือว่าจะมาคุยเรื่องสัญญากู้ยืมอะไรนั่น” อิศร์ทำงอนต่อ “น่าจะแวะไปที่ออฟฟิศมากกว่านะ”
“ฉันไปที่ออฟฟิศแล้วแต่ไม่เจอคุณ ก็เลยตามมาสัมภาษณ์งานที่นี่”
“สัมภาษณ์งาน อะไร” อิศร์เง็ง
มายาวีอมยิ้ม มีเลศนัย “ก็งานบอดี้การ์ดที่ฉันบอกไง”
อิศร์ยิ่งงงหนัก แพรพลอยแอบเขินหน่อยๆ ที่ต้องเป็นฝ่ายเสนอตัวมาทำงานกับอิศร์เอง
“ฉันมาจะสมัครเป็นบอดี้การ์ดคุณ” แพรพลอยออกอาการอายๆ “ถ้าคุณยังรับตำแหน่งนี้อยู่”
อิศร์ยังเหวอๆ อยู่ แพรพลอยรีบออกตัวพูดต่อ
“แต่ถ้าคุณ...ยังยืนยันไม่อยากได้บอดี้การ์ดแล้วฉันก็...”
อิศร์สวนออกมาทันควัน “ไม่ๆ ผมเปลี่ยนใจแล้ว! ผมรับ! ไม่ต้องสัมภาษณ์อะไรทั้งนั้น คุณต่างหากที่ห้ามเปลี่ยนใจ”
แพรพลอยยิ้มเขินๆ นิดๆ อิศร์หันไปโวยมายาวี
“ยายเมย์ ทำไมเธอไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าคุณแพรไปรอฉันที่ออฟฟิศ”
“ก็นายวีนเหวี่ยงแล้วก็เผ่นออกมา ฉันจะกล้าบอกได้ยังไงเล่า นึกว่าอาการวัยทองยังไม่หาย”
“เดี๊ยะเหอะ”
“เคลียร์กันเองแล้วกัน ฉันจะไปนั่งตากแอร์ในรถล่ะ”
มายาวีรีบเผ่นออกไป
สองคนเดินคุยกันมาตามลำพัง แพรพลอยแซวเขินๆ
“คุณเลิกทำตัววัยทองอย่างที่คุณเมย์ว่าแล้วใช่ไหม”
“ผมก็แค่น้อยใจที่คุณไม่ค่อยเห็นความดีของผม”
“ฉันเห็น แต่ฉันผิดเองที่คิดในมุมของผู้รับมากเกินไป จนไม่เห็นว่าน้ำใจของคุณมันสมควรได้รับการตอบแทนมากกว่าการใช้หนี้ ฉันถึงอยากกลับมาทำงานให้คุณ”
อิศร์ยิ้มกว้าง “คุณสัญญาแล้วนะ ผมดีใจจัง”
“แต่ฉันมีเงื่อนไขนะคะ”
“ได้ทุกอย่าง”
“เงินเดือนครึ่งหนึ่งของฉัน คุณหักลบไปกับค่าเช่าที่ที่คุณจ่ายให้คุณนายเนื้อทองไปได้เลย”
อิศร์หุบยิ้มแทบไม่ทัน “แสดงว่าถ้าหมดหนี้สินกันเมื่อไร คุณก็จะลาออก”
“อันนั้นฉันจะดูความประพฤติคุณทีหลัง”
“ก็ยังดี เดี๋ยวพอใกล้ๆ ผมค่อยหาวิธีเอาตัวคุณไว้”
“ยังไม่เข็ดนะ”
“อะย้อเย่นนนน”
อิศร์ทำท่าหยอกเย้าแล้วหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ
ไม่นานต่อมาทั้งสามเดินออกมาด้านหน้า ไหว้ลาหัวหน้าไซต์งานที่มาส่ง
“คุณแพรเอารถมาหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ คุณเมย์ให้รถตู้ของบริษัทมาส่งฉัน”
“งั้นก็กลับไปด้วยกันนะ ถือว่าผมให้เริ่มงานเลย”
“แหม แบบนี้ฉันจะเป็นส่วนเกินไหมเนี่ย” มายาวีเย้า
“เธอจะอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะให้ไอ้ภัทรมารับ”
“จะบ้าเหรอ ไม่เอาหรอก ร้อนก็ร้อน แถมยังมีแต่หนุ่มฉกรรจ์”
“อ้าว นึกว่าชอบแนวนี้”
มายาวีหยิกอิศร์อย่างหมั่นไส้ แล้วหนีขึ้นรถปิดประตู แพรพลอยขำๆ ทั้งคู่ แล้วแบมือขอกุญแจ
“วันนี้นายมิตรของคุณไม่อยู่ ฉันขับให้เอง”
อิศร์ส่งกุญแจให้ แล้วเปิดประตูฝั่งคนขับให้
รถแล่นออกไปจากไซต์งาน โดยไม่เห็นว่าที่ใต้ต้นไม้ริมถนนมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดซุ่มอยู่นานแล้ว
ทิตากับลูกน้องในชุดดำออกมาจากหลังต้นไม้ มองตามรถอิศร์ไปแล้วรีบกระโจนขึ้นมอเตอร์ไซค์
แพรพลอยขับรถออกจากไซต์งาน เตรียมกลับออฟฟิศ มองกระจกหลังเห็นมอเตอร์ไซค์ตามมา แพรพลอยสงสัยบางอย่าง แกล้งปัดไฟเลี้ยวเตรียมจะเลี้ยวตรงแยกข้างหน้า เห็นมอเตอร์ไซค์เปิดไฟเลี้ยวตาม แต่พอใกล้แยกแพรพลอยก็เปลี่ยนใจขับตรงต่อไป
แพรพลอยมองกระจก เห็นมอเตอร์ไซค์เลี้ยวผิดไป ก็ไม่ได้สนใจอีก
รถของอิศร์แล่นต่อมาเรื่อยๆ แต่แล้วมอเตอร์ไซค์คันเดิมกลับวิ่งมาโผล่ที่แยกต่อมา แล้วตามหลังรถของอิศร์อีก แพรพลอยเริ่มเอะใจ
“ฉันว่ามีคนตามเรามา”
“หา อะไรนะคะ” มายาวีเลิ่กลั่ก หันไปมอง
“แน่ใจเหรอคุณ ผมเพิ่งกลับมากรุงเทพฯ ได้วันเดียวเองนะ”
“ถ้าคุณเป็นเป้าหมายจริง มันไม่หยุดง่ายๆ หรอก”
“โทร.แจ้งตำรวจดีไหมคะ”
แพรพลอยขับรถไปก็มองกระจกไป
“อย่าเพิ่งเลยค่ะ ให้ฉันแน่ใจกว่านี้ก่อน”
แพรพลอยขับรถต่อไปอีก เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาแบบกระชั้น แต่มอเตอร์ไซค์ยังคงตามติด
แพรพลอยเริ่มแน่ใจขึ้นเรื่อยๆ มองไปที่ทางรถไฟข้างหน้า เห็นเจ้าหน้าที่กำลังสั่นกระดิ่ง แพรพลอยเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งทะยานข้ามทางรถไฟไปก่อนที่จะถูกกั้น มอเตอร์ไซค์ตามมาไม่ทัน ต้องจอดชะงักเพราะรถไฟกำลังมา
ลูกน้องทิตาชะเง้อมอง กระวนกระวาย กลัวคลาดสายตา แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมากดหาทิตา
แพรพลอยขับมาตามถนนลูกรัง มองดูต้นไม้ข้างทางทีเป็นสวน
“รถคุณมีประกันหรือเปล่า”
“มีสิ”
ขาดคำแพรพลอยก็หักพวงมาลัยลงไหล่ทางพุ่งไปทางต้นไม้ริมทาง อิศร์กับมายาวีตกใจร้องลั่น
รถยุดกึกที่ต้นไม้ ชนโครม
“คุณทำอะไรเนี่ย” อิศร์โวย
“คุณวิ่งข้ามทางรถไฟ มองหาถนนใหญ่ แล้วโทรให้ผู้กองภัทรมารับนะ”
มายาวีงง “คุณแพรจะทำอะไรคะ”
“ถ้ามันตามเรามา ฉันจะจับมันให้ได้ แต่คุณอยู่จะเป็นอันตราย”
แพรพลอยรีบลงจากรถ อิศร์กับมายาวีเดินตามมาอ้อมดูด้านหน้า
“เยินหมดเลย” อิศร์บ่น
“ไม่ใช่เวลามาเสียดาย รีบไปสิ”
เสียงบิดมอเตอร์ไซค์ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ แพรพลอยมองไปทางเสียง แล้วหันมาเร่งสองคน
“ไปเร็วๆ”
มายาวีได้สติรีบดึงอิศร์วิ่งข้ามถนน ลุยเข้าไปในสวนทึบเบื้องหน้า แพรพลอยมองตามทั้งคู่
มายาวีกับอิศร์วิ่งไปในสวน เสียงแว่วๆ ของมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อยู่อิศร์ก็หยุด
“อิศร์ หยุดทำไม”
“ฉันเป็นห่วงคุณแพร จะตามไปช่วยเขา”
อิศร์จะวิ่งย้อนไป มายาวีรีบดึงไว้
“แต่คุณแพรให้เราหนีไปก่อน ไม่งั้นจะเป็นอันตรายนะ”
“ฉันทิ้งคุณแพรไม่ได้หรอก” อิศร์จะไป
มายาวียื้อไว้ “คุณแพรเป็นคนเก่ง เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเรากลับไป จะยิ่งทำให้คุณแพรละล้าละลัง จะเอาอย่างนั้นเหรอ”
อิศร์ชะงัก ท่าทีอ่อนลง
“คุณแพรบอกให้เราออกไปที่ถนนใหญ่ จะได้รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน แล้วเราค่อยตามผู้กองมาช่วย
อิศร์คล้อยตามพยักหน้า แล้วตัดสินใจวิ่งต่อไป มายาวีวิ่งตาม
คนร้ายลูกน้องทิตาขี่มอเตอร์ไซค์มา แล้วชะลอความเร็วเมื่อเห็นรถของอิศร์จอดหัวปักกับต้นไม้อยู่ ลูกน้องค่อยๆ จอดรถมองให้แน่ใจ แล้วรีบกดโทรศัพท์
“ฮัลโหลพี่ ผมเจอรถมันชนต้นไม้อยู่แถวๆ ทางรถไฟ เอาไงต่อครับ”
คนร้ายบิดกุญแจดับเครื่อง แล้วมองซ้ายมองขวา ค่อยๆ ก้าวลงจากรถ
“ไม่เห็นใครเลย แต่คิดว่ามันคงไปหาคนมาช่วย จะให้ผมตามต่อหรือกลับ”
ลูกน้องคุยโทรศัพท์กับทิตาพลางสำรวจรอบๆ รถ พอหันมาอีกทีก็โดนไม้ฟาดโครม โทรศัพท์หล่น
“โอ๊ย”
ลูกน้องกุมหัวอย่างตกใจ แพรพลอยเงื้อไม้ชี้หน้า
“แกเป็นใคร ตามพวกฉันมาทำไม”
ลูกน้องไม่ตอบ พยายามจะหนี แพรพลอยเงื้อไม้จะฟาดลงไปอีก แต่มันเอามือยันไว้ แล้วกระแทกปลายอีกด้านใส่ตัวแพรพลอย หงายไปกระแทกรถ
คนร้ายได้ทีดีดตัวขึ้น เงื้อไม้ที่แย่งมาได้จะฟาดแพรพลอย แพรพลอยพลิกตัวหนี เตะต่อยใส่ ลูกน้องไล่จะฟาดแพรพลอย แต่ฟาดไปโดนต้นไม้ใหญ่ ไม้หักสองท่อน แพรพลอยถีบกระเด็นหงายไป แล้วตามไปเค้นคอ
“ใครส่งแกมา”
ลูกน้องมองแพรพลอยดุๆ แล้วเอื้อมมือกระชากคอเสื้อแพรพลอยเหวี่ยงตีลังกาหงายไป
แพรพลอยนอนกุมหัวเจ็บเพราะหัวฟาดพื้นอย่างแรง ลูกน้องลุกขึ้นวิ่งไปที่รถ
“หยุดนะ” ลูกน้องทิตาพยายามจะลุก แต่ยังมึนอยู่
มันติดเครื่องเตรียมจะหนี แต่เปลี่ยนใจเพราะเห็นแพรพลอยยังลุกไม่ขึ้น เลยบิดแฮนด์แรงจะพุ่งใส่ แพรพลอยมองอย่างตกใจ เห็นมอเตอร์ไซค์พุ่งมาล้วงเอาปืนที่พกข้างเอว ตัดสินใจยิงใส่
มอเตอร์ไซค์เบี่ยงหนีกระสุน แล้วไถลกลิ้ง ร่างคนร้ายลูกน้องทิตากระเด็นตกลงไปกลางทุ่งนาข้างทาง
ลูกน้องนอนโอดโอยปากแตกอยู่กลางทุ่ง แพรพลอยกระโดดตามลงไปถึงตัว
“ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้ายว่าใครส่งแกมา”
แพรพลอยกระชากหัวลูกน้องคืนมา เอาปืนขู่ ลูกน้องเริ่มกลัว เพราะกำลังเสียงเปรียบ
แพรพลอยกระชากเขย่า “ใคร”
ลูกน้องทิตายังไม่ทันตอบ ก็ถูกยิงเปรี้ยงมาจากทางด้านหลังขาดใจตายทันที แพรพลอยตกใจ เหลียวขวับไปทางวิถีกระสุน เห็นทิตาขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาสวมหมวกกันน็อค ยืนอยู่บนถนน
ทิตายิงใส่อีก 2-3 นัด แพรพลอยรีบกระโจนหลบ ชักปืนจะยิงโต้ตอบกลับไป แต่ทิตาขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรวดเร็ว แพรพลอยหันไปมองศพลูกน้อง แล้วรีบวิ่งขึ้นไป
แพรพลอยเห็นทิตาขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปไกล ตัดสินใจตาม รีบวิ่งไปยกมอเตอร์ไซค์ลูกน้องขึ้นมา แล้วบิดตามไปทันที
ทิตาขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในชุมชน เสียงแว้นดังลั่น แพรพลอยขี่ตามมา ชาวบ้านที่เดินอยู่ วิ่งหลบรถกันวุ่นวาย อลหม่าน
ต่อมาทิตาขี่มอเตอร์ไซค์หนีไปทางตลาด แล้วหันมามองแพรพลอยที่ตามมาติดๆ ทิตาหันไปอีกที เห็นเด็กวิ่งตัดหน้ารถ เด็กร้องวี๊ดลั่น ทิตาตกใจหักหลบ มอเตอร์ไซค์พุ่งไปทางเข่งผักสดที่วางรวมๆ กันอยู่ ทิตาล้มเข้าไปในตลาด แพรพลอยขี่มอเตอร์ไซค์ตามมา แล้วรีบลงไปดู
ทิตาโผล่ขึ้นมาจากหลังเข่งผัก แล้วเล็งปืนใส่เปรี้ยงๆ เสียงคนในตลาดวี๊ดลั่น แพรพลอยหลบหาที่กำบัง ไม่กล้าใช้ปืนยิง เพราะกลัวโดนลูกหลง
ทิตาฉวยโอกาสหนี ผลักชาวบ้านทีเข้ามาขวางทาง วิ่งซิกแซก พรวดพราดเข้ามาในบ้านที่พ่อแม่ลูกกินข้าวกันอยู่ ทั้งสามร้องอย่างตกใจ
ทิตาเล็งปืนใส่ “เงียบ”
ทั้งสามคนกอดกันกลมอย่างกลัวๆ ทิตากราดปืนขู่ๆ แล้วมองหาทางออก
ด้านแพรพลอยวิ่งมาถึงกลางซอย สอดส่ายสายตาหาตรงบริเวณหน้าบ้านหลังนั้นพอดี ทิตาโผล่ขึ้นมาจากชั้นสองของบ้าน ยกปืนเล็งใส่แพรพลอยทันที แพรพลอยหันไปเห็น รีบหลบ แล้วตัดสินใจยิงสวน พวกชาวบ้านแตกตื่นวุ่นวาย
ทิตาเห็นแพรพลอยรอดไปได้ก็หายเข้าไปในบ้านอีก แพรพลอยรีบวิ่งตามเข้าไปในบ้าน เห็นพ่อแม่ลูกกอดกัน หวาดกลัว
พ่อแม่ลูกชี้กลัวไป ทางหลังบ้านที่เปิดประตูอ้าอยู่ แพรพลอยรีบวิ่งตามไป
ครู่ต่อมาแพรพลอยออกมาทางหลังบ้าน เห็นสระบัวขนาดใหญ่ก็ชะงัก และเห็นความเคลื่อนไหวใต้กอบัว จึงตัดสินใจตามลงน้ำไป
รถอิศร์ชนต้นไม้อยู่ริมถนน อนุภัทรขับรถมาถึงอิศร์รีบลงจากรถ
“คุณแพร ! ผมมาช่วยแล้ว”
อนุภัทรกับมายาวีช่วยร้องเรียก แล้วมองหา “คุณแพร คุณอยู่ไหน”
อนุภัทรมองสำรวจ แล้วเห็นรอยยางรถมอเตอร์ไซค์เบียดกับพื้นถนน เดินตามดู เห็นรอยรถล้ำ คราบน้ำมันเครื่อง
“แกบอกว่าคนร้ายมันขี่มอเตอร์ไซค์ตามมาใช่ไหม”
“ใช่”
ขาดคำของอิศร์ก็มีเสียงมายาวีวี๊ดขึ้นมาดังลั่น ทั้งสองหันไปมอง เห็นมายาวียืนอยู่กลางทุ่ง ใกล้ๆ กับศพของลูกน้อง
อิศร์กับอนุภัทรรีบวิ่งตามมายาวีเข้ามา มองไปที่ศพที่นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอยู่
มายาวีเสียงสั่น “อิศร์...มันคือคนที่ตามเรามาหรือเปล่า”
อิศร์มองอย่างไม่แน่ใจ อนุภัทรขยับเข้าไปใกล้ หยิบผ้าเช็ดหน้ามารองมือไว้ แล้วดึงหัวไหล่ศพให้พลิกหน้าหงายมา
“คงตายแล้วล่ะ” อนุภัทรว่า
“ฉันว่าไอ้คนนี้แหละ จำการแต่งตัวมันได้” อิศร์มองไปรอบๆ “แต่มอเตอร์ไซค์มันหายไป”
“หรือว่าคุณแพรจะเอาไป”
“ผู้กอง นี่จะบอกว่าคุณแพรฆ่ามันเหรอ” มายาวีตกใจ
อนุภัทรทำหน้าอึดอัดใจ แต่สงสัยว่าจะเป็นอย่างนั้น
“เราต้องแจ้งตำรวจ”
แพรพลอยลุยน้ำลัดเลาะไปตามกอบัว พยายามมองหาทิตา ทุกเงียบสงัด มีเพียงเสียงแหวกน้ำ แพรพลอยแหวกกอบัวไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย จนกระทั่งพ้นกอบัวใหญ่ แพรพลอยเห็นหญิงคนหนึ่งใส่งอบลอยเรือเก็บบัวอยู่
“ป้าคะ”
หญิงคนนั้นยังหันหลังเก็บบัวไม่สนใจ แพรพลอยลอยคอเข้าไปใกล้เรือ แตะกาบเรือเบาๆ เพื่อเรียกให้ผู้หญิงคนนั้นหันมา
“ป้าเห็น...” แพรพลอยผงะ
ทิตาใส่งอบกับเสื้อคลุมชุดชาวบ้าน คว้าไม้พายที่ซ่อนไว้ฟาดใส่แพรพลอยทันที แพรพลอยจมลงไปในน้ำ ทำให้เห็นหน้าทิตาไม่ชัด
ทิตากระหน่ำฟาดแพรพลอย แล้วเอาพายกระทุ้งๆ กะจะให้ตายในสระบัว
อิศร์กระวนกระวายมาก พยายามกดโทรศัพท์หาแพรพลอย
“ติดต่อคุณแพรยังไม่ได้เลย โทร.ไปที่บ้านป้าดวงก็บอกยังไม่กลับ”
“หรือคุณแพรจะกลัวความผิด” มายาวีว่า
“คนอย่างคุณแพรคงไม่กลัวความผิดหรอก แต่คงจะมีอะไรซักอย่าง”
อิศร์ใจไม่ดี “แล้วถ้าคนที่ฆ่าไอ้คนร้ายไม่ใช่คุณแพร และตอนนี้คุณแพรกำลังโดนมันตามล่าล่ะ”
ทั้งสามสบตากันอย่างกลุ้มๆ
ประตูเปิดออกพอดี ตำรวจเดินเข้ามา อนุภัทรรีบลุกขึ้นทำความเคารพ
“มีชาวบ้านแจ้งเหตุยิงกันที่ตลาดสดใกล้ๆ เราเลยเข้าไปตรวจสอบ เจอรถของผู้ตายกับมอเตอร์ไซค์กับมอเตอร์ไซค์อีกคันที่นั่น พยานบอกว่าก่อนเกิดเหตุมีการขี่ไล่ตามกันมา คนขับเป็นผู้หญิงทั้งคู่”
“ต้องใช่คุณแพรแน่ๆ แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนครับ”
ตำรวจทำหน้าอึดอัดใจ
อิศร์ อนุภัทร มายาวีเข้าไปในห้องที่แพรพลอยนอนพักฟื้นอยู่
“ชาวบ้านบอกว่าคุณแพรตามคนร้ายออกไปที่สระบัวแล้วหายเงียบไป เลยแอบตามไปดู จนคนร้ายมันพายเรือหายไปถึงกล้าลงไปช่วย” อนุภัทรว่า
“โธ่ คุณแพร ผมผิดเอง...ผมไม่ควรทิ้งคุณ”
อิศร์ลูบหัวแพรพลอยเบาๆ อย่างรู้สึกผิด แพรพลอยเหมือนค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น กะพริบตาถี่ๆ ทุกคนตื่นเต้น
อิศร์ดีใจ “แพรพลอย! คุณแพร ได้ยินผมไหม” เขาจับมือหล่อนบีบ
แพรพลอยขยับตัวน้อยๆ พยายามลืมตาขึ้น ภาพตอนที่ถูกทิตาทำร้ายในสระบัวผุดขึ้นมาอีก
แพรพลอยถามเสียงแผ่วเบา “ฉันอยู่ที่ไหน”
“โรงพยาบาลครับ”
อนุภัทรกับมายาวีเข้ามาจับมือแพรพลอยอีกข้าง
“ตอนนี้คุณแพรไม่เป็นไรแล้วนะคะ”
แพรพลอยกระสับกระส่ายน้อยๆ แล้วหลับลงไปอีก
“หมอให้ยานอนหลับกับคนไข้ไป ให้แกพักให้เต็มทีก่อนนะครับ” หมอบอก
อิศร์ออกมาปรึกษากับมายาวีและอนุภัทรข้างนอก
“เดี๋ยวฉันจะพาคุณเมย์ไปดูศพกับให้ปากคำตำรวจอีกที เผื่อตำรวจจะตามตัวคนที่ทำได้”
“งั้นฉันขออยู่ที่นี่นะ เป็นเพื่อนคุณแพร” อิศร์ว่า
“แล้วทางบ้านคุณแพรล่ะ ต้องรีบบอกไหม”
“อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวจะตกใจกันไปหมด” อิศร์บอกอนุภัทร “แกกลับไปบอกป้าดวงคนเดียวก็พอว่าให้เตรียมเสื้อผ้ามาให้ฉันด้วย ฉันจะค้างที่นี่”
อนุภัทรพยักหน้า พามายาวีออกไป
คืนนั้นทิตากลับเข้าห้อง ทันทีที่ปิดประตูลง หล่อนก็นึกถึงภาพที่ไล่ล่าจัดการกับแพรพลอยตั้งแต่ที่เขาใหญ่ จนถึงจังหวะที่แพรพลอยเพลี่ยงพล้ำ
“ผู้หญิงคนนั้น มันมาเกี่ยวกับนายอิศร์ได้ยังไง”
ทิตามีสีหน้าทิตาครุ่นคิด รู้สึกว่าแพรพลอยไม่ธรรมดา รีบเปิดคอมพิวเตอร์ search รูปอิศร์ ทิตาหยุดดูที่รูปขนาดใหญ่ เป็นภาพอิศร์ลงมาจากรถ เห็นแพรพลอยยืนประกบ
ทิตาขยายภาพจนเห็นหน้าแพรพลอยชัดเจน และค่อยๆ ไล่สายตาลงมาด้านล่าง เห็นคำบรรยาย
“อิศร์ เดชโชดมกับบอดี้การ์ดสาวประจำตัว...บอดี้การ์ดสาวงั้นเหรอ”
ทิตาทวนคำแล้วมองดูรูปแพรพลอยเขม็ง คล้ายกับใครบางคนเธอเคยรู้จัก
เช้าวันต่อมาแพรพลอยค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการมึนๆ เพลียๆ อิศร์หันมาเห็นพอดี รีบลุกมาหา
“คุณแพร รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ เป็นยังไงบ้าง ยังปวดหัวอยู่ไหม”
อิศร์เอามืออังหน้าผาก แพรพลอยกะพริบตามองอิศร์
“ฉันมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อคืนไงครับ”
แพรพลอยทำหน้าสงสัย พยายามจับต้นชนปลาย
“คุณจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
แพรพลอยคิด เห็นภาพแว้บๆ ตอนถูกทำร้ายผุดขึ้นมาราวกับสายน้ำไหลเร็วแรง
ส่วนทิตาเดินเข้ามา เห็นสุนทรยืนรออยู่
“ได้ข่าวว่าบอดี้การ์ดคุณอิศร์บาดเจ็บ ผลงานเธอเหรอ”
ทิตาพยักหน้า “ใช่ ฉันเคยเจอผู้หญิงคนนี้มาแล้ว ตอนงานที่เขาใหญ่ ฝีมือดีนี่”
“ทำไมไม่ฆ่ามันให้ตายไปซะ” สุนทรคาใจ
“ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เป้าหมายไม่ใช่เหรอ”
“แต่มันก็จะเป็นตัวขัดขวางที่สำคัญ”
“ฉันเคยเจอเขามาแล้วที่เขาใหญ่ ฝีมือใช้ได้ แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดที่เป็นปัญหาของฉัน”
“ฝีมือแพรพลอยไม่ธรรมดา เธออย่าประมาท” สุนทรกำชับเตือน
ทิตาสะดุดหู “ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะ”
“แพรพลอย”
ทิตานิ่งงันไป แต่ในหัวมีคำถามบางอย่างวาบขึ้นมา เพราะคุ้นกับชื่อนี้
ตรงมุมนั่งเล่นในโรงพยาบาล แพรพลอยเองก็พยายามนึกทบทวน คิ้วขมวด
“มันมีคนร้ายสองคน คนนึงฉันจับได้ และพยายามคาดคั้นว่ามันเป็นคนของใคร แต่จู่ๆ มันก็ถูกพวกเดียวกันยิงตาย...ฉันไล่ตามอีกคนไป แล้วก็...”
“คุณถูกทำร้าย แต่มีชาวบ้านไปช่วยคุณไว้”
“มันเอาไม้พายฟาดหัวฉัน” แพรพลอยเอามือจับหัวตัวเอง
“หมอบอกว่าคุณไม่น่าได้รับความกระทบกระเทือนอะไรมาก ช่วงนี้อาจจะยังมึนๆ งงๆ เพราะหลับไปนาน ว่าแต่คุณหิวหรือยัง”
แพรพลอยพยักหน้า อิศร์รีบลุกไปหยิบข้าวต้มมา เป่าจะป้อน
“ฉันกินเอง”
แพรพลอยรีบแย่งมาถือไว้ แล้วตักกิน แต่เห็นอิศร์ยังจ้องตาแป๋ว
“มองอะไรคะ มีอะไรก็ไปทำสิ”
“ผมเฝ้าคุณทั้งคืน ยังไม่ได้กินอะไรเลย ขอกินบ้างสิ”
“นี่มันของคนป่วยนะ”
“ก็ผมหิว นะๆ กินหน่อยนะ”
แพรพลอยกินข้าวต้มไปอีกคำ แล้วมองอิศร์อย่างลังเลแล้วยื่นชามให้
“คุณไม่ให้ผมป้อน ก็ป้อนผมสิ ผมกินไม่เยอะหรอก”
“เรื่องมาก” แพรพลอยตักกินต่อไม่สนใจ
“โอ๊ย ปวดท้อง ท้องร้อง”
อิศร์แกล้งตัวงอ ชักดิ้นชักงอ แพรพลอยมองขำๆ รู้ว่าแกล้ง
“อย่าเวอร์น่า ลุกขึ้นมา จะกินไม่กิน
อิศร์รีบลุกพรวด ทำท่ากระตือรือร้นแบบหมาน้อย ลิ้นห้อยหอบแฮ่กๆ แพรพลอยยิ้มขำ แล้วตักข้าวต้มป้อน อิศร์กินแล้วแกล้งทำเสียงหอนแบบน้องหมา
แพรพลอยหัวเราะขำแล้วตักกินเองบ้าง สลับกับป้อนอิศร์ไปเรื่อยๆ กินไปยิ้มให้กันไปสองคนอย่างสุขซึ้ง
อ่านต่อตอนที่ 7