เรื่องที่มีผู้ประกาศสั่งสอนให้ทั้งพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ฟังอยู่เสมอ คือ เรื่องการบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ธูปเทียน ท่านอธิบายว่า การที่เราบูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ธูปเทียนนั้น เราเอาอะไรบูชาพระพุทธ เอาอะไรบูชาพระธรรม และเอาอะไรบูชาพระสงฆ์
ในบรรดาวัตถุเป็นเครื่องบูชาทั้ง ๓ นั้น ท่านอธิบายว่า บูชาพระพุทธด้วยธูป ๓ ดอก ในความหมายที่ว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณโดยย่อ ๓ อย่าง คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ
สำหรับเทียนนั้นบูชาพระธรรม โดยอธิบายว่า พระธรรมแม้จะมีมากก็จริง มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่เมื่อกล่าวโดยย่อก็มี ๒ คือพระธรรมกับพระวินัย อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“อานนท์... ธรรมใด วินัยใด ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไป”
เพราะว่าสิ่งแทนพระพุทธเจ้าจริงๆ คือพระธรรมและพระวินัย ไม่ใช่พระพุทธรูปด้วยซ้ำไป แต่เอาเถอะ เราถือว่าพระพุทธรูปเป็นรูปเปรียบหรือรูปแทนองค์พระพุทธเจ้า ตามความเชื่อในสังคมไทยของเราและทำกันเป็นการใหญ่
สำหรับพระสงฆ์นั้นก็บูชาด้วยดอกไม้ ในความหมายที่ว่าพระสงฆ์มาจากที่ต่างๆกัน มาจากตระกูลที่ต่างๆกัน เมื่อมาบวชแล้วก็เป็นสมณศากยบุตรด้วยกัน ได้ร้อยด้วยพระธรรมวินัยเหมือนกับดอกไม้ที่เขาจัดให้เรียบร้อยแล้วดูงาม
นี่คือคำอธิบายกันอยู่ สอนกันอยู่ ผมได้ยินมานานแล้ว ตั้งแต่อายุน้อยๆก็ได้ยินเรื่องเหล่านี้ แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ถ้ามีโอกาสก็จะพูดกับลูกศิษย์ลูกหา พูดกับพระภิกษุสามเณรที่ผมไปบรรยายถวายความรู้อยู่ด้วย กับพุทธศาสนิกชนที่ไปเรียนหนังสืออยู่ว่า คำอธิบายอย่างนี้ก็เรียกว่าผู้เป็นต้นคิดก็ช่างคิด แต่ตรงกับความจริงหรือเปล่า? คือความเป็นไปได้นั้น... เป็นไปได้เพียงใด
ทีนี้สมมติว่า เราไม่มีธูป เรามีแต่ดอกไม้กับเทียน แปลว่าในคราวนั้นไม่ได้บูชาพระพุทธใช่ไหมครับ ก็เราต้องการจะบูชาพระพุทธรูปนั่นแหละ เพราะเวลาจะบูชาก็ต้องไปบูชาต่อหน้าพระพุทธรูป ถ้าวันไหนเราไม่มีธูป มีแต่เทียนกับดอกไม้ แปลว่าคราวนั้นไม่ได้บูชาพระพุทธ ถ้าคราวไหนขาดเทียนมีแต่ธูปกับดอกไม้ก็ไม่ได้บูชาพระธรรม ถ้าคราวใดที่ขาดดอกไม้ไป คราวนั้นก็ไม่ได้บูชาพระสงฆ์..?
ที่จริงแล้วเราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งรวมเป็นพระรัตนตรัยนั้น เราบูชารวมกันไปทั้งหมด คือธูปเราก็บูชาทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดอกไม้ก็บูชาทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกันไปทั้งหมด คิดอย่างนี้จะไม่ดีกว่าหรือ? ไม่ดีกว่าคิดแยกบูชาหรือครับ?
แม้เราจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือแม้จะมีอย่างเดียว เราก็บูชาพระรัตนตรัยได้ทั้งหมด โดยที่สุดไม่มีเลยสักอย่างเดียว ดอกไม้ธูปเทียนไม่มีเลย เราก็ยังยกมือไหว้ มือ ๑๐ นิ้วนั่นเอง ยกขึ้นนมัสการบูชาทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เวลาเรากราบพระ เรากราบ ๓ ครั้งนั้น มีความหมายว่ากระไร...
มีความหมายว่า เรากราบพระพุทธครั้งหนึ่ง กราบพระธรรมครั้งหนึ่ง กราบพระสงฆ์ครั้งหนึ่งหรือเปล่า เวลาเรากราบพระสงฆ์ก็กราบ ๓ ครั้งเหมือนกัน เราหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมกันไปหรือเปล่า?
ที่จริงเวลาที่เรากราบพระสงฆ์ เรากราบพระธรรมไปด้วย คือกราบพระธรรมที่มีอยู่ในตัวท่าน ในตัวพระสงฆ์ ถ้าพระสงฆ์ไม่มีพระธรรมใครเขาจะกราบ ก็เพราะคิดว่า ท่านมีพระธรรมอยู่จึงกราบพระสงฆ์ มีบาลีที่กล่าวถึง แม้เป็นบาลีที่แต่งภายหลัง แต่ก็แต่งอย่างเข้าใจเรื่องนี้ อย่างที่ว่า
พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ จาติ นานาโหนฺตมฺปิ วตฺตุโต คำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม้จะต่างกันโดยวัตถุก็จริง
อญฺญมญฺญาวิโยคาว เอกีถูตมฺปนตฺถโต แต่โดยใจความแล้วเป็นอย่างเดียวกัน เพราะไม่อาจจะแยกจากกันได้
ทีนี้ทำไมจึงบอกว่า ไม่อาจจะแยกจากกันได้ ท่านนึกดูอย่างนี้นะครับ
คือ พระรัตนตรัย แก้วเป็นรัตนะ แก้วในที่นี้หมายถึงสิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่ดี พระพุทธเจ้านั้นท่านบวช การบวชของท่านเป็นพระสงฆ์ ต่อมาท่านได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บรรลุธรรม ท่านก็จะมีพระธรรมอยู่ในพระองค์ โดยนัยหนึ่ง โดยปริยายหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นพระรูปหนึ่ง แต่เราเรียกว่าเป็นพระพุทธเจ้าในฐานะเป็นต้นแบบ พระธรรมก็มีอยู่ในพระองค์ รวมกันอยู่ในบุคคลเดียวนั้นคือพุทธะ
ยิ่งในความหมายส่วนลึกเข้าไปอีก พุทธะคือความเป็นผู้รู้ มีธาตุรู้อยู่ มีภาวะแห่งการรู้อยู่ ความรู้เป็นพุทธะ ผู้รู้นั้นเป็นพุทธะ สิ่งที่รู้นั้นคือธรรมะ รูปกายนั้นคือสังฆะ อยู่ในบุคคลเดียวกัน คือพุทธะ, ธรรมะ, สังฆะ อยู่ในบุคคลเดียวกันได้
แต่ทีนี้เราแยกออกมาให้เห็นชัดขึ้นว่า นี่คือพระพุทธ นี่คือพระธรรม นี่คือพระสงฆ์ เวลานี้พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้ว ถ้าถือตามพระพุทธเจ้าโดยรูปกายก็ไม่มีแล้ว แต่พระพุทธเจ้าโดยนามธรรมก็ยังมีอยู่คือพระธรรม พระวินัย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “ดูก่อน อานนท์ ธรรมอันใด วินัยอันใด ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว อันนั้นแหละจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย หลังจากที่เรานิพพานไปแล้ว”
เป็นอันว่าพระธรรมวินัยยังอยู่ ก็คือพระพุทธเจ้ายังอยู่ พระธรรมวินัยนั่นก็เป็นทั้งพระพุทธเจ้าและเป็นพระธรรม พระสงฆ์ก็คือผู้ทรงธรรมวินัยเอาไว้ เพราะฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกกันไม่ได้
พระรัตนตรัยก็เหมือนเพชรสามเหลี่ยมหรือแก้วสามเหลี่ยม ไม่ใช่ดวงแก้ว ๓ ดวง เป็นแก้วดวงเดียวแต่มี ๓ เหลี่ยม พระรัตนตรัยเป็นแก้ว ๓ เหลี่ยม อยู่ในแท่งเดียวกันหรือก้อนเดียวกัน อยู่ในดวงเดียวกัน แต่มีสามเหลี่ยม จับเข้าเหลี่ยมนี้ก็เป็นพระพุทธ จับเข้าเหลี่ยมนั้นก็เป็นพระธรรม จับเข้าเหลี่ยมนี้ก็เป็นพระสงฆ์
ผมขอเรียนท่านผู้ฟังอีกครั้งหนึ่งว่า พระสงฆ์ที่อยู่ในพระรัตนตรัยนั้นเป็นพระอริยสงฆ์ ดูสังฆคุณก็ทราบ
สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดี อุชุปฏิปนฺโน ปฏิบัติตรง ญายปฏิปนฺโน ปฏิบัติเพื่อนิพพาน สามีจิปฏิปนฺโน ปฏิบัติสมควร
ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฺฐ ปุริสปุคฺคลา นี้คือใครเล่า คือบุคคล ๔ คู่ ๘ จำพวก พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์
เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
สำหรับภิกษุที่เป็นสมมติสงฆ์นั้นใช้คำว่า “ภิกฺขุสงฺโฆ” เวลาถวายสังฆทานท่านใช้คำว่า ภิกฺขุสงฺฆสฺส โอโนชยาม ขอน้อมถวายแก่ภิกษุสงฆ์ ไม่ใช้คำว่า สาวกสงฺฆสฺส
สาวกสงฺโฆ ใช้กับพระอริยสงฆ์ในสังฆคุณ
ผมขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม้จะต่างกันโดยวัตถุหรือโดยชื่อก็จริง แต่โดยใจความแล้วเป็นอันเดียวกัน เพราะไม่แยกจากกัน แต่ต้องหมายถึงพระอริยสงฆ์
(จากหนังสือ สิ่งที่ควรทำความเข้าใจกันใหม่ เพื่อความถูกต้อง)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 151 กรกฎาคม 2556 โดย อ.วศิน อินทสระ)