xs
xsm
sm
md
lg

ความรู้คู่สุขภาพ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


• อาหารฟาสต์ฟู้ด ต้นตอโรคภูมิแพ้

ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการศึกษาการบริโภคอาหารของเด็กๆ ในประเทศต่างๆ กว่า 100 ประเทศ และพบว่า การบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด อาจมีส่วนทำให้มีผู้ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ นักวิจัยพบว่า เด็กวัยรุ่นที่รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น เบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด พิซซ่า มากกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรงถึง 39 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเด็กที่รับประทานอาหารปรุงสุกตามปกติ ส่วนผู้ที่รับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำนั้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ผิวหนัง และภูมิแพ้ทางเดินหายใจขั้นรุนแรงในระดับสูง

ขณะที่ ทีมวิจัยจาก St George's Hospital Medical School ประเทศอังกฤษ พบว่า การรับประทานอาหารรสเค็ม และอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง (ซึ่งพบได้มากในกลุ่มอาหารฟาสต์ฟู้ด) จะกระทบต่อการเกิดโรคภูมิแพ้

• คนติดหวานเสี่ยงสูงเป็นเบาหวาน

รู้หรือไม่ว่า...น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะมีพลังงานเท่ากับข้าวครึ่งทัพพี หรือเท่ากับ 48 กิโลแคลอรี ดังนั้น คนที่ชอบกินอะไรหวานๆ ต้องระวังไว้ เพราะโรคภัยไข้เจ็บกำลังจะมาเยือน

มหาวิทยาลัย Purdue ในรัฐอินเดียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการศึกษาวิจัยติดตามกลุ่มตัวอย่างคน 4,000 คน เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง 10 ปี โดยสังเกตจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน การศึกษาได้ผลสรุปว่า คนที่ชอบรับประทานหวาน จะเป็นโรคเบาหวานแบบที่ 2 มากกว่าคนที่ไม่กินของหวานถึง 67% และใน 67% นี้ก็อ้วนกว่ากลุ่มที่ไม่ชอบรับประทานหวานด้วย

โรคเบาหวานแบบที่ 2 เกิดจากการที่ตับอ่อนสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้น้อย ฮอร์โมนชนิดนี้มีหน้าที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน แต่เมื่ออินซูลินในร่างกายมีไม่เพียงพอ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ จึงเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือด และอวัยวะต่างๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมากๆ ก็จะถูกไตกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน

• พวงมาลัย-ดอกไม้ ฉีดสารพิษ
สูดดมมากอาจถึงตาย


คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เตือนผู้บริโภค ให้ระวังพวงมาลัย-ดอกไม้สด ฉีดสารพิษ หลังตรวจพบว่า มีร้านขายดอกไม้สดกว่า 17 ตลาด ใช้สารฟอร์มาลีน

ปัจจุบัน ผู้ขายพวงมาลัยดอกไม้สด มักฉีดสารฟอร์มาลีนลงในดอกไม้ ส่งผลให้ผู้ที่ได้กลิ่นเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ทำให้แสบจมูก ไอ เจ็บคอ ปอดอักเสบ ระคายเคืองตา หรือถ้าสูดดมมากเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการน้ำท่วมปอดแน่นหน้าอก และอาจเสียชีวิตได้ โดยมีผู้ซื้อพวงมาลัยที่สี่แยกไฟแดงมาแขวนหน้ารถ และได้สูดดมสารฟอร์มาลีนที่อยู่บนพวงมาลัยดอกไม้เข้าไป จนเกิดอาการดังกล่าว

ดังนั้น จึงขอให้ผู้บริโภคเฝ้าระวัง หากสงสัยว่าพวงมาลัยที่ซื้อมานั้นมีสารฟอร์มาลีนเจือปนหรือไม่ สามารถแจ้ง สคบ.ได้ทันที

• ระวัง! มหันตภัยในเส้นก๋วยเตี๋ยว

เมื่อเร็วๆนี้ ผลการสำรวจวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ออกมาบอกถึงมหันตภัยที่แฝงมากับเส้นก๋วยเตี๋ยวว่า จากการสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเส้นก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่ปี 2549-2551 โดยสำรวจกรรมวิธีการผลิตของโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยว จำนวน 10 แห่งทั่วประเทศ พบว่า

เส้นก๋วยเตี๋ยวที่นำมาประกอบอาหารนั้นมีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเส้นใหญ่ ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าจะใช้น้ำมันที่มาจากการใช้ซ้ำและการผสมน้ำมันจากหลากหลายชนิด การใช้น้ำมันเหล่านี้เป็นจำนวนมาก จะทำให้มีการสะสมของสารประกอบโพลาร์ ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ เป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด

นอกจากนี้ น้ำมันที่นำมาทาเส้นก๋วยเตี๋ยว เพื่อไม่ให้เส้นเกาะติด อาจปนเปื้อนสารอัลฟาท็อกซิน ที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบ มะเร็งตับ รวมไปถึงโรคเรย์ซินโดรม (REYE’s Syndrome) ในเด็กก่อนวัยเรียน โดยจะมีอาการไข้ ปวดท้อง อาเจียน ซัก สมองบวมและเสียชีวิตภายใน 1-2 วัน

นอกจากนี้ เส้นก๋วยเตี๋ยวยังมีการใช้วัตถุกันเสียเป็นจำนวนมาก เพื่อยับยั้งเชื้อราและจุลินทรีย์อื่นๆ รวมทั้งการปนเปื้อนของสารส้มในปริมาณมาก ที่อาจส่งผลต่อระบบประสาท การอักเสบของไตและกรวยไต จนมีผลต่อระบบกระดูกอีกด้วย

• กอดด้วยความรัก เพิ่มภูมิต้านทานโรค

นักจิตวิทยาได้พูดข้อดีของการกอดด้วยความรักไว้ว่า การกอดกันวันละ1-2 ครั้ง เป็นภูมิต้านทานโรคได้ดี เพราะการได้สัมผัสไออุ่นของกันและกัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ลดความดันโลหิต เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการติดเชื้อ และลดความเครียด และที่สำคัญ แค่การกอดผ่านไป 10 วินาที สมองจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขเพิ่มขึ้น และลดฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียด

ส่วนช่วงวัยที่จะได้รับผลดีจากการกอดคือ20-49 ปี ตามผลการศึกษาที่พบว่า การกอดซึ่งเป็นอารมณ์ในด้านบวก ก่อปฏิกิริยาทางชีวเคมีและสรีรวิทยาของคนวัยดังกล่าว โดยฮอร์โมนต่างๆ ของทั้งผู้หญิงและผู้ชายจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

• หยุดใช้เครื่องมือสื่อสาร ช่วยฟื้นพลังสมอง

งานวิจัยล่าสุดจากทีมนักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยยูทาห์ ในสหรัฐฯ พบว่า การหยุดพักผ่อนและไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติ โดยตัดขาดอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แล็บท็อป จะช่วยฟื้นพลังทางสมอง โดยเฉพาะด้านความคิดสร้างสรรค์และการแก้ไขปัญหา ได้ถึงร้อยละ 50

นอกจากนี้ ผลดีจากการหยุดพักการใช้งานอุปกรณ์สื่อสาร ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคร้าย เนื่องจากก่อนหน้านี้ มีการสำรวจพบว่า ผู้คนในอังกฤษส่วนใหญ่มีชีวิตติดกับอุปกรณ์สื่อสาร และใช้เวลาอยู่กับสิ่งนั้นไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงให้เกิดโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ และเบาหวาน

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 147 มีนาคม 2556 โดย ธาราทิพย์)




กำลังโหลดความคิดเห็น