การควบคุมอาหารอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกของโรค จะช่วยชะลอความเสื่อมของไตอย่างได้ผลดียิ่งกว่าในระยะที่โรครุนแรง โดยรับประทานอาหารที่มีโปรตีนต่ำ ซึ่งก็จะมีผลให้ของเสีย เช่น ยูเรีย มีปริมาณน้อยลง ไตส่วนที่เหลือก็จะได้ทำงานเบาลง
• พลังงาน
ความเพียงพอในด้านพลังงาน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ร่างกายได้รับพลังงานมาจากอาหารที่รับประทาน อาหารที่ให้พลังงานพอเพียงจะช่วยป้องกันภาวะทุพโภชนาการ และช่วยให้ร่างกายใช้โปรตีนที่ถูกจำกัดจากอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในคนที่อายุต่ำกว่า 60 ปี ควรได้รับพลังงาน 35 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมน้ำหนัก ที่เหมาะสมต่อวัน ส่วนผู้ป่วยที่อายุสูงกว่า 60 ปี ควรได้รับพลังงาน 30-35 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมน้ำหนัก ที่เหมาะสมต่อวัน
• ไขมัน
เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ให้พลังงานสูง ไขมันจากอาหารมีทั้งชนิดที่ดี เช่น ไขมันไม่อิ่มตัว (น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว) และไขมันไม่ดี เช่น ไขมันอิ่มตัว(น้ำมันปาล์ม น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว กะทิ ไขมันวัว หมูสามชั้น เนย ชีส) ถ้ารับประทานไขมันชนิดไม่ดีมากเกิน จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจตามมาได้
อาหารไขมันสูงที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม กะทิ เนื้อสัตว์ติดมัน หมูสามชั้น หนังหมู หนังไก่ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ปลาหมึก ปู กุ้ง หอยนางรม เนย
• โปรตีน
เป็นสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างและซ่อมแซมส่วนสึกหรอของกล้ามเนื้อต่างๆของร่างกาย โปรตีนที่รับประทานเข้าไป นอกจากนำไปใช้แล้ว ยังก่อให้เกิดของเสียหรือขยะตามมาด้วย ซึ่งไตจะทำหน้าที่ในการขจัดของเสียที่เกิดขึ้น
ถ้ารับประทานโปรตีนมากเกินไป ก็จะทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้น สำหรับผู้ที่มีไตเสื่อมก็จะทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น ในทางกลับกัน ถ้ารับประทานน้อยเกินไป ก็จะเกิดภาวะขาดสารอาหาร ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรได้รับอาหารโปรตีนต่ำ เพื่อชะลอการเสื่อมของไต
โดยกำหนดระดับอาหารโปรตีนที่ผู้ป่วยได้รับต่อวัน ดังนี้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 ควรได้รับโปรตีน 0.6-0.8 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัวที่เหมาะสม
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 ควรได้รับโปรตีน 0.6 กรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัวที่เหมาะสม โปรตีนที่ได้รับควรเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง ได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ขาว เป็นต้น อย่างน้อยร้อยละ 60
• โซเดียม
การควบคุมอาหารเค็มเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง(เสื่อม) ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง หรือมีอาการบวม ควรจำกัดปริมาณโซเดียมน้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
เทคนิคการควบคุมอาหารเค็ม ได้แก่ ให้ทำอาหารลดเค็มลงครึ่งหนึ่ง หลีกเลี่ยงการซื้ออาหารปรุงสำเร็จรับประทาน ลดการเติมน้ำปลา ซีอิ๊ว เกลือ เพิ่มลงไปในอาหาร แต่สามารถเพิ่มรสเผ็ดหรือเปรี้ยวมาแทนรสเค็มที่หายไป
ไม่ควรใช้เกลือ ซีอิ๊ว น้ำปลา สูตรโซเดียมต่ำ เนื่องจากมีส่วนประกอบเป็นเกลือโปแตสเซียม ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้
• โปแตสเซียม
แร่ธาตุที่สำคัญที่มีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและหัวใจ เมื่อมีไตเสื่อม การขับโปแตสเซียมจะลดน้อยลง ระดับโปแตสเซียมในเลือดควรน้อยกว่า 5 มิลลิโมลต่อลิตร ถ้าระดับโปแตสเซียมในเลือดสูงมากเกินไป อาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติหรือหยุดเต้นได้
ดังนั้น ในผู้ป่วยที่มีไตเสื่อมระยะ ที่ 4-5 หรือระดับโปแตสเซียมในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงทานอาหารที่มีโปแตสเซียมสูง
• ฟอสฟอรัสหรือฟอสเฟต
เป็นแร่ธาตุที่สำคัญที่มีผลต่อความแข็งแรงของกระดูก ไตที่ปกติจะขับฟอสฟอรัสออกได้ แต่เมื่อมีไตเสื่อม การขับฟอสฟอรัสจะน้อยลง ทำให้ระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูงขึ้น เมื่อระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูงขึ้น จะทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง และแคลเซียมถูกดึงออกมาจากกระดูก ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง
นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสจะจับกับแคลเซียมที่อยู่ในเลือด เกิดเป็นหินปูนอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ข้อ ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจตามมา
ดังนั้น ในผู้ป่วยที่มีไตเสื่อมระยะที่ 3-5 หรือระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูง ได้แก่ นม นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนย คุ้กกี้ ขนมปัง ไอศกรีม กาแฟ ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วต่างๆ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง โกโก้ น้ำอัดลม เบียร์ น้ำแร่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ข้าวโพด งา ทองหยิบ ทองหยอด ไข่แดง เป็นต้น
• ปริมาณโปแตสเซียมในผักและผลไม้
โปแตสเซียมต่ำถึงปานกลาง ควรเลือกรับประทาน
ผัก : ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วแขก แตงกวา ถั่วงอก แตงร้าน บวบ มะระ กะหล่ำปลี ผักกาดหอม ผักกระเฉด ผักบุ้ง ฟัก ฟักแม้ว มะเขือยาว พริกหวาน พริกหยวก หัวไชเท้า เห็ดหูหนู
ผลไม้ : แอปเปิ้ล องุ่น ชมพู่ เงาะ ลองกอง พุทรา มังคุด ส้มโอ ส้มเขียวหวาน สับปะรด มะละกอ พุทรา แตงโม
โปแตสเซียมสูง ควรหลีกเลี่ยง
ผัก : กว้างตุ้ง คะน้า ดอกกะหล่ำ บร็อคโคลี ผักโขม ขึ้นฉ่าย แครอท ฟักทอง มันเทศ มันฝรั่ง เผือก ข้าวโพด หัวปลี น้ำผักและน้ำผลไม้ ถั่วลิสง ถั่วแระ
ผลไม้ : มะม่วง มะปราง มะขามหวาน กล้วย ฝรั่ง ขนุน ทุเรียน น้อยหน่า ลำไย ลูกพลับ น้ำผลไม้ แก้วมังกร ผลไม้แห้ง
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 147 มีนาคม 2556 โดย สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย)