“ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ” ประโยคนี้ทำให้เรานึกถึงนักร้องหนุ่มวัยเพียงยี่สิบต้นๆอย่าง ภูริกูลกฤษฎ์ ชูศักดิ์สกุลวิบูล เพราะกว่าจะผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายของเวทีประกวดร้องเพลงเดอะสตาร์ 7 (The Star 7) จนกลายเป็น “แอม เดอะสตาร์” ที่ทุกคนรู้จักกันดีในวันนี้
เขาได้ผ่านความผิดหวังจนต้องเสียน้ำตามาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งเวทีประกวด ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย (AF) และเดอะสตาร์ ในครั้งที่ผ่านๆมา
• ยิ้มทั้งน้ำตา
“ท้อมาก เกือบจะไม่แข่งอีกแล้ว อะไรแบบนี้ โทรไปหาพ่อแม่ร้องห่มร้องไห้ แต่พอคิดได้ ว่าเราต้องมีสติ เสียใจให้มันสุดๆจนพอ ก็เลยเริ่มใหม่ กลับไปแข่งใหม่ จนได้เป็นแอมเดอะ สตาร์ ในวันนี้”
อีกทั้งในช่วงเริ่มต้นของการประกวด เดอะสตาร์ 7 ทางบ้านก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนเท่าไหร่ ด้วยเพราะกลัวว่าจะเสียการเรียน ดังที่เราเคยได้ทราบข่าวทำนองว่า
..แอมป์ ตัดสินใจเดินตามความฝันท่ามกลางเสียงทัดทานของครอบครัว โดยครอบครัวไม่ค่อยสนับสนุนการตัดสินใจประกวดของเขาสักเท่าไหร่ เพราะอยากให้ตั้งใจเรียนให้จบ ไม่อยากให้พักการเรียน และกังวลถึงอาชีพในอนาคต
อีกทั้งยังไม่อยากให้ผิดหวังเหมือนปีที่แล้ว แต่ท้ายที่สุด เมื่อแอมป์ตัดสินใจเลือกทางเดินของเขา ด้วยตัวเองแล้ว ทางคุณพ่อและคุณแม่ก็ได้แต่ให้กำลังใจอยู่ห่างๆ พร้อมยังเผยว่า เมื่อแอมป์ติด 1 ใน 8 เดอะสตาร์ ในครั้งที่ 7 นี้ ลึกๆแล้ว พ่อแม่ก็ภูมิใจที่ลูกมุ่งมั่น และทำสำเร็จ...
ดังนั้น หากจะกล่าวถึงสิ่งที่เขารู้สึกชื่นชมตัวเอง ก็คงเป็นเรื่องของการมีความพยายามที่ไม่สิ้นสุดนั่นเอง
“ความพยายามที่จะทำอะไรหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง สำเร็จให้ได้ แม้ว่าบางทีมันจะไม่สำเร็จ ยอมรับนะครับว่า บางครั้งมีท้อบ้าง แต่สุดท้ายมันต้องไปถึงจุดหนึ่งแหละที่เราสามารถคิดได้ว่า เฮ้ย..ไม่ได้แล้วนะ เราต้องเดินต่อไปข้างหน้า ถ้าจะหันหลังกลับไปมันก็คงไม่ใช่เรา เราต้องลุกขึ้น
แอมป์ถามตัวเองตลอดเวลาว่า ชีวิตเราต้องการอะไร อยากจะเป็นอะไร อยากจะทำอะไร พอเราไม่ได้ เราก็ต้องบอกตัวเองว่า ไม่ใช่ครั้งเดียวแล้วจบนะ เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
ความคิดแบบนี้ ไม่ใช่เอามาใช้กับเรื่องของการร้องเพลงได้อย่างเดียว แอมป์เชื่อว่าหลายๆคนที่มีเป้าหมายของตนเอง แล้วอยากจะทำให้สำเร็จ ก็สามารถเอาวิธีคิดแบบนี้ไปใช้ได้ เพราะบางครั้งหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง เราไม่สามารถทำสำเร็จได้ในครั้งเดียว ต้องคอยถามตัวเองว่า ถ้าไม่สำเร็จ เราจะถอยเหรอ เราต้องเดินต่อ และบอกตัวเองบ่อยๆว่า เราต้องสู้”
• เลือดนักสู้ รักความยุติธรรม
เลือดนักสู้ของหนุ่มผู้มีคติประจำใจว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” และ “สักวันต้องเป็นวันของเรา” ได้รับการถ่ายทอดมาโดยตรงจากคุณพ่อ ผู้เคยผ่านการได้รับทั้งชัยชนะและพ่ายแพ้จากสนามการเมืองระดับท้องถิ่นที่บ้านเกิด จังหวัดพะเยา
“คุณพ่อมีอาชีพทำร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า ส่วนคุณแม่รับราชการครู แต่คุณพ่อเขาก็สนใจการเมืองด้วย ที่ผ่านมาเคยได้รับเลือกบ้างและไม่ได้บ้าง แต่เขาก็ไม่เคยท้อ และยังสู้ เขาบอกแอมป์เสมอว่า อยากจะช่วยประชาชน”
และพ่อยังมีส่วนทำให้แอมป์เลือกสอบเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ด้านกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากที่เรียนจบจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ รุ่นที่ 35
“ตอนแรกเลือกไว้หลายคณะอยู่เหมือนกัน แต่แอมป์คิดว่า เรื่องของกฎหมายมีความรู้เอาไว้บ้าง คงเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะมีความสำคัญกับบ้านเมืองเรา พอคุณพ่อสนใจการเมืองด้วย ก็เลยทำให้อยากรู้ว่ามีกฎหมายอะไรที่น่าสนใจบ้าง
แอมป์เป็นคนที่ชอบความยุติธรรม ไม่ชอบเห็นใครเสียเปรียบ ทั้งๆที่รู้ดีว่า โลกนี้มันไม่มีอะไรที่มีความยุติธรรมเสมอไป แต่พอเห็นใครถูกเอาเปรียบทีไรมันจะขัดตา”
• ปีใหม่ ประสบการณ์ใหม่
ด้วยความสามารถและความสนใจในเรื่องของการร้องเพลง ทำให้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของแอมป์ ต้องแบ่งไปเพื่อการทำกิจกรรม ในฐานะนักร้องประจำวงดนตรีของมหาวิทยาลัยที่รู้จักกันในนาม CU Band จนกระทั่งพาตัวเข้าประกวดร้องเพลง ในเวทีประกวดที่คนทั่วประเทศรู้จักกันดี
ชื่อเสียงที่ได้รับและความสามารถที่มี แม้จะไม่ได้ถูกการันตีด้วยอันดับ 1 แต่หนุ่มคนนี้ก็มีงานหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งงานร้องเพลง งานละคร งานโฆษณา และงานอีเว้นต์โชว์ตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อเวลาที่ควรจะมีให้กับครอบครัวอันอบอุ่นที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะในช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองอย่างเทศกาลปีใหม่ ที่ควรจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
“ในช่วงปีใหม่ ที่บ้านจะมีงานเฉลิมฉลองเหมือนครอบครัวทั่วไป ตอนเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ ถึงปีใหม่ทีไรก็ต้องกลับบ้าน ไปเฉลิมฉลองกับคุณพ่อคุณแม่และญาติๆที่พะเยา
แต่ตอนนี้แอมป์อยู่กรุงเทพ ต้องเดินสายร้องเพลง(ในนามเดอะสตาร์) และมีงานอีเว้นต์มาก ทำให้ไม่มีเวลา อย่างเมื่อปีใหม่ของปี 55 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่ได้เป็นเดอะสตาร์แล้ว ก็ต้องไปร้องเพลงที่ท่าแพ จ.เชียงใหม่ พ่อแม่ก็เดินทางไปดูด้วย พอเสร็จจากร้องเพลงในอีกวัน พ่อแม่จึงรับกลับไปอยู่ที่บ้านต่อประมาณ 2-3 วัน ถ้าเลือกได้ อยากกลับไปบ้านบ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล เพราะเชื่อว่าพ่อแม่ก็อยากจะอยู่กับเราด้วย”
นอกจากนี้ แอมป์ยังหวังที่จะได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ผ่านการเดินทางท่องเที่ยว ในปีใหม่ปีนี้ด้วย
“อยากไปเคาท์ดาวน์ที่ต่างประเทศ เพราะยังไม่เคยไปเคาท์ดาวน์ที่ต่างประเทศเลย อยากรู้ว่าบรรยากาศที่ต่างประเทศ แตกต่างจากที่เมืองไทยยังไงบ้าง เผื่อว่าจะเกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมาในชีวิตด้วย
ถ้าเลือกได้ อยากไปอิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ แต่แค่คิดไว้เฉยๆนะครับ เพราะจริงๆแล้ว หลายๆที่ในประเทศไทย ก็ยังไปไม่หมดเลย”
• สวดมนต์ทุกอาทิตย์ ทำบุญ 9 วัด
เราพบกับหนุ่มน้อยคนนี้ในระหว่างที่ถูกเชิญไปร้องเพลงและร่วมกิจกรรมด้านธรรมะ หลายคนสงสัยว่าวัยรุ่นเช่นเขามีความสนใจในด้านนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
“แอมป์เคยบวชเณรตอนเด็ก ตอนนั้นเหมือนพระจะทักว่า บวชเถอะ พอพ่อแม่ถามว่าบวชไหม แอมป์ก็เลยโอเค.. บวชครับ เพราะพ่อแม่อยากจะให้บวชด้วย บวช 7 วัน เป็นการบวชภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติ”
แม้จะเป็นการใกล้ชิดธรรมะในระยะเวลาสั้นๆ แต่เขาจดจำได้ดีว่า เป็นช่วงเวลาของการมีสติ และอยู่กับตัวเอง
“ตอนที่นั่งสมาธิ หรือปฏิบัติธรรม ได้รู้ถึงการมีสติ การปล่อยวาง ทำให้เราไม่ต้องคิดอะไรมากในช่วงเวลาหนึ่ง และทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์มาก
และตอนที่ต้องออกไปออกบิณฑบาต ทำให้เราได้รู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายกับการได้มาซึ่งอาหาร เพื่อจะนำมาใส่ท้องเพื่อประทังชีวิต เพราะเราต้องใช้เวลาในการเดินทางไปและกลับ กว่าจะได้กิน”
ส่งผลให้เขาในทุกวันนี้ มีนิสัยที่รักการทำบุญและสวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ
“แอมป์เป็นคนหนึ่งที่ถือว่าทำบุญบ่อย แล้วก็สวดมนต์ด้วย จะสวดมนต์ทุกอาทิตย์ เพื่อทำให้จิตใจบริสุทธิ์ผ่องใส ยิ่งพอมีคอนโดเป็นของตัวเองแล้ว และมีการเชิญพระพุทธรูปเข้ามา ยิ่งทำให้รู้สึกว่า เราต้องบูชา เพราะเชื่อว่าพระท่านมาอยู่เพื่อช่วยดูแลเรา พ่อแม่ก็สนับสนุนว่าควรทำ ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากอะไร
บางทีถ้ามีเวลาว่างมากก็ไปทำบุญ 9 วัด พอไปได้ครบทุกวัด ตามความตั้งใจของเรา ทำให้รู้สึกสบายใจ ถ้าว่าง ส่วนใหญ่แอมป์จะไปคนเดียว หรือบางทีมีใครมาชวนให้ไปทำกับเขา ก็จะไปด้วย
ถ้ามีโอกาสอยากจะศึกษาธรรมะให้มากขึ้น เพราะเราผูกพันกับสิ่งนี้อยู่แล้ว นอกจากการสวดมนต์ไหว้พระที่บ้าน น่าจะทำได้มากกว่านี้”
• ฝันให้ไกล ไปให้ถึง
นักร้องหนุ่มเห็นว่า ดารานักร้องสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีได้ โดยเฉพาะในด้านธรรมะ
“เวลาเห็นดาราหรือนักร้องหลายๆคนที่เขาไปปฏิบัติธรรมบ่อยๆ แอมป์รู้สึกว่าดีมากเลยครับ อย่างน้อยคือดีกับตัวเขาเอง แล้วอีกอย่างคือ พวกเขาเป็นต้นแบบของใครหลายๆคนอยู่แล้ว
การที่เขาชอบที่จะไปปฏิบัติอะไรแบบนั้น ทำให้เด็กรุ่นใหม่หรือว่าใครหลายๆคนที่รู้จักเขา หันมาให้ความสำคัญกับตรงนี้มากขึ้น เห็นว่าสิ่งนี้น่าสนใจ น่าจะปฏิบัติ เพราะหลายคนอาจจะคิดว่า คนรุ่นใหม่เริ่มจะหลงลืม ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ไปแล้ว”
และเขาก็เป็นคนหนึ่งที่จะขอเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านธรรมะ และในด้านที่มุ่งมั่นในสิ่งที่ตัวเองฝัน บนเส้นทางของการเป็นนักร้อง
“แอมป์เคยได้ยินคำว่า ฝันให้ไกล ไปให้ถึง ดังนั้นเราต้องฝันไปให้ไกลๆเลย ทั้งที่ก็รู้ว่า เส้นทางนี้ไม่เสถียร เป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง ใครจะขึ้นไปเมื่อไหร่ก็ได้ หรือตกลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีอะไรแน่นอน
แต่ว่าแอมป์อยากจะฝันไปให้ไกลมากที่สุด เพื่อที่เราจะได้มีเป้าหมาย และสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่จะไปให้ถึงนั้น”
เพราะเขาเชื่อด้วยว่า มันเป็นเส้นทางที่สามารถส่งความสุขไปถึงคนจำนวนมากได้ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นต้องรอคอยให้เทศกาลสำคัญมาถึง
“นอกเหนือจากการร้องเพลง ยังมีงานที่เป็นการกุศล หรือแม้แต่หลายๆรายการ ที่ติดต่อเข้ามาให้เราไปช่วยเขา ถ้าเราสามารถช่วยได้ เช่นไปช่วยปลูกป่า เพื่อให้ธรรมชาติและอะไรหลายๆอย่าง กลับคืนสู่สภาพ รวมถึงการไปบริจาคเงิน ไปมอบสิ่งของให้กับคนที่เขาไม่มีตรงนั้น แอมป์คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราให้ได้และเต็มใจที่จะให้”
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 145 มกราคม 2556 โดย พรสิริ)