xs
xsm
sm
md
lg

“เฟื่องลดา” นางฟ้าไอที

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เธอคือดาวที่กำลังเปล่งแสงสว่างในวงการไอทีมากที่สุดในขณะนี้ ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากของหญิงสาวตัวเล็กคนนี้ ดึงดูดชวนให้ผู้ชมคล้อยตาม แววตาที่มุ่งมั่น คำพูดที่ฉะฉาน บวกกับข้อมูลที่อัดแน่น ทำให้หลายคนมอบให้เธอเป็น “นางฟ้าไอที” คนใหม่ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้
และนี่คือโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับนางฟ้าในมุมที่มากกว่าเรื่องอัปเดตแก็ดเจ็ต เพราะตัวเธอยังมีออปชั่นที่น่าสนใจอีกหลายมุมเลยทีเดียว




ไฮเปอร์ เน้นกิจกรรม

สนใจด้านไอทีมากน้อยแค่ไหน?
ตอนเด็กๆ จะชอบเรื่องพวกนี้มากค่ะ เคยทำเว็บไซต์ ตั้งแต่ ม.ต้น เขียนโค้ด HTML ง่ายๆ รู้สึกว่าสนุกดี แล้วก็ชอบเล่มเกมค่ะ แต่พอโตมาสักพัก เริ่มไม่ค่อยได้ไปข้องเกี่ยวกับไอทีละ แล้วก็ไม่ได้ทำงานหรือเรียนเกี่ยวกับด้านนี้เลย แต่พอดีได้มาเจอพี่หนุ่ย (พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์) เขาชวนมาเป็นพิธีกรรายการ “แบไต๋ไอที” ก็ลองไปแคสต์ดูค่ะ คือก่อนหน้านี้ เฟื่องก็รับงานพิธีกรอยู่แล้วค่ะ อยู่ช่อง True Inside News อ่านข่าวบันเทิง ทำมาตั้งแต่ตอนเรียนปี 3 แล้ว ตอนนี้เรียนจบแล้วค่ะ เพิ่งรับปริญญาไปเอง

จริงๆ แล้วจะมีทีมเขียนสคริปต์ ช่วยเรื่องข้อมูลด้วยค่ะ แต่พอได้มาทำข่าวตรงนี้ เราก็ได้นั่งอ่านมากขึ้น ทำให้มีความรู้เพิ่มไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เก็บความรู้ไป เรื่องแอปพลิเคชั่น รุ่นมือถือ หรือเทคโนโลยีต่างๆ เฟื่องก็เข้าใจมากขึ้น หรือระบบ 3G และทีวีดิจิตอล ก่อนหน้านี้ถ้าใครมาถามอาจจะตอบไม่ได้ ไม่รู้เรื่องเลย แต่ตอนนี้ เราสามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้แล้วค่ะ (ยิ้ม)

คนอาจจะมองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีไปแล้ว รู้สึกยังไงกับตำแหน่ง “นางฟ้าไอทีคนใหม่”?
(หัวเราะเขินๆ) ถ้าคนจะมองอย่างนั้น เฟื่องก็ดีใจค่ะ แต่คงอีกยาวไกลเพราะเฟื่องก็เพิ่งเริ่มต้น แต่ก็คิดว่าจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ค่ะ
หนุ่ย-พงษ์สุข (เจ้าของรายการ) กับนางฟ้าไอทีคนใหม่
ทำไมถึงเลือกเส้นทางพิธีกร-ผู้ประกาศ?
มันเริ่มจากเฟื่องไปประกวด AF7 กับ AF8 ค่ะ ประกวด 2 ปีเลย (ยิ้ม) แล้วก็ได้เข้า 50 คนสุดท้าย 2 ปีเลย เฟื่องชอบร้องเพลงค่ะ แล้วผู้ใหญ่ที่ช่องคงเห็นมั้งคะ ก็เลยเรียกเรามาแคสต์ดู เฟื่องเองก็รู้สึกว่าเป็นพิธีกรสนุกดี ทำให้มีรายได้เสริมด้วย เลยลองทำแล้วก็ทำมาเรื่อยๆ ค่ะ

จริงๆ แล้วเฟื่องเป็นคนชอบทำกิจกรรมอยู่แล้วค่ะ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลย สมัยอยู่โรงเรียนก็ทำละคร เขียนบทเอง เป็นคณะกรรมการหน้าเสาธง พอมาอยู่จุฬาฯ ก็เป็น อบจ. (องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) มีโอกาสอะไรเข้ามา ส่วนใหญ่เฟื่องก็ทำหมดค่ะ เฟื่องเป็นคนชอบใช้ชีวิตแต่ละวันให้คุ้ม โดยที่จะพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดค่ะ (ในแววตาของเธอฉายประกายความมุ่งมั่นเอาไว้ชัดเจน)

อะไรทำให้ชอบทำกิจกรรม พ่อแม่ส่งเสริมเหรอ?
คงเพราะเราได้โอกาสเยอะด้วยค่ะ อาจจะเพราะตอนเด็กๆ ค่อนข้างเรียนดี และพอเป็นเด็กเรียนดี อาจารย์ก็จะให้ความสำคัญหน่อย (ยิ้ม) ก็เลยได้โอกาสให้ไปประกวดนู่นนี่ เฟื่องจบสาธิตเกษตรฯ เด็กส่วนใหญ่จะเป็นพวกกิจกรรมเยอะค่ะ (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นกิจกรรมใหญ่ๆ ที่เริ่มมาจากตัวเองจริงๆ น่าจะเป็นละคร Musical ภาษาอังกฤษค่ะ เป็นโปรเจกต์งานประจำปี ฟอร์มทีมกับเพื่อนทำละครเวทีชื่อว่า “Disney Fantasia” เพราะตอนนั้นกระแสเอเอฟกำลังมาและส่วนตัวเฟื่องชอบเพลงดิสนีย์มาก ก็เลยเอาเพลงดิสนีย์หลายๆ เรื่องมาผสมกัน แล้วมันก็กลายเป็นงานที่ประสบความสำเร็จ คนดูชอบมาก เลยมีต่อมาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ตกทอดเป็นกิจกรรมถึงรุ่นน้องไปแล้วค่ะ (ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ)

แสดงว่าเป็นเด็กเรียน เนิร์ดมากมั้ย?
เฟื่องรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกชอบทำทุกๆ อย่างให้ดีที่สุดน่ะค่ะ กับเรื่องเรียน เฟื่องให้ความสำคัญมาเป็นอันดับแรกเลย ถ้ายังเรียนอยู่ ยังไงก็ต้องคะแนนดี ก็เป็นเด็กตั้งใจเรียน เพราะคุณแม่เป็นอาจารย์ด้วยค่ะ ก็เลยเรียนเป็นหลัก แต่เนื่องจากเป็นคนไฮเปอร์ก็เลยต้องทำกิจกรรมไปด้วย (ยิ้ม) บางทีก็ทำให้เราติดนิสัยชอบพกหนังสือไปไหนมาไหนด้วยตลอดเลย โดยเฉพาะตอนที่ยังเรียนอยู่ เพราะเรียนคณะอักษร (จุฬาฯ) ก็เรียนหนัก ต้องอ่านหนังสือนอกเหนือจากในห้องเรียนเยอะมาก แล้วเราก็ต้องเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ว่างปั๊บเลยจะอ่านหนังสือตลอด ขึ้นรถไฟฟ้าก็อ่าน ถามว่าเนิร์ดมั้ย ก็เนิร์ดนะ (ยิ้ม) แต่อาจจะเป็นเนิร์ดที่ยังพูดรู้เรื่องอยู่ค่ะ




หลงใหลในเสียงดนตรี

บอกว่าเคยประกวด AF ตั้งสองปี แสดงว่าชอบร้องเพลง?
ใช่ค่ะ เพราะที่บ้านชอบร้องเพลงหมดเลย คุณพ่อ คุณแม่ ร้องกันทั้งตระกูล เวลาไปเช็งเม้งจะเปิดคาราโอเกะแล้วแย่งกันร้อง (หัวเราะ) คุณแม่จะได้รางวัลเสียงรวงทองตลอด (หัวเราะ) พี่สาวก็ชอบฟังเพลงเหมือนกันค่ะ เฟื่องมีพี่สาว 1 คน อายุห่างกัน 2 ปีครึ่ง แต่พี่สาวจะเป็นอีกแนวนึง เรียบร้อยกว่า แล้วก็ทำกิจกรรมน้อยกว่าเฟื่อง แต่ที่ชอบเหมือนกันคือเรื่องเพลง ชอบเอาเพลงมาเปิดฟังด้วยกัน ส่วนใหญ่เป็นเพลงดิสนีย์หรือแนวบรอดเวย์ค่ะ ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขกับเสียงดนตรี

อะไรทำให้ชอบร้องเพลง?
ร้องเพลงครั้งแรกๆ เท่าที่จำความได้ ประมาณ 7 ขวบค่ะ ชอบมาจากหนังเรื่อง “The Sound of Music” คุณแม่จะเปิดอัลบั้มนี้ฟังตลอด แล้วบ้านเราก็ไกลจากที่เรียนมาก ก็จะได้ฟังอัลบั้มนี้จบทั้งอัลบั้มตลอด (หัวเราะเบาๆ)
เคยประกวดร้องเพลงครั้งแรก ตอนนั้นอยู่ ป.5 เองค่ะ ไม่เคยเรียนร้องเพลงเลย แต่ก็คิดว่าลองดู ไหนๆ เราก็ชอบ คุณแม่ก็สนับสนุน ส่งเดโม่ไปแล้วก็ได้เข้ารอบจริง ประกวดจนผ่านเข้าไป 2 รอบ แต่แล้วก็ตกรอบมา ตกรอบตลอดเลยค่ะเรื่องประกวดร้องเพลง (ยิ้ม) แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ ก็ร้องไปเรื่อยๆ ประกวดเท่าที่มีโอกาส

แสดงว่าเป็นคนกล้าแสดงออก
ตอนเด็กๆ ขี้อายมากนะ อายถึงขนาดไม่กล้าสั่งก๋วยเตี๋ยวเองเลยค่ะ เป็นคนเรียบร้อยมาก (เน้นเสียง) แต่ตอนเด็กๆ ชอบร้องเพลงมาก เลยคิดว่าถ้าจะร้องเพลงก็ต้องฝึกความกล้าแสดงออก พอได้ทำกิจกรรมบ่อยๆ ได้ฝึกบนเวทีเรื่อยๆ ได้พัฒนาตัวเอง ก็เลยกล้าแสดงออกมากขึ้น แต่ธรรมชาติของเรา ลึกๆ แล้วเป็นคนขี้อายนะ แต่ตอนนี้ก็กล้ามากขึ้น พูดเยอะขึ้นแล้ว

เห็นว่าตอนเรียนเป็นนักร้องสากลประจำวง CU Band ด้วย คัดเลือกยากมั้ย?
คัดโหดมากค่ะ แต่เราตั้งใจไว้แล้ว (ยิ้ม) จริงๆ แล้ว ความฝันของเฟื่องก่อนได้เข้าเรียนที่จุฬาฯ มีอยู่ 2 อย่างคือ ได้ขึ้นเวทีประกวด CU Singing Contest เพราะมันจะจัดที่หอประชุมจุฬาฯ ยิ่งใหญ่มาก เคยมาดูรุ่นพี่ที่โรงเรียน เขาเคยเข้ารอบ มาดูตั้งแต่ตอนมัธยม ก็รู้สึกว่าเจ๋งมาก เลยคิดว่าถ้าได้ขึ้นคงดี แล้ววันนึงเราก็ได้ขึ้น ก็เลยดีใจมากค่ะ รู้สึกว่าเป็นเวทีอันทรงเกียรติ

อีกอย่างหนึ่งที่อยากทำมากๆ คือการได้เป็นนักร้อง CU Band (ชมรมดนตรีสากล สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ค่ะ เฟื่องเคยพูดกับเพื่อนสนิทเอาไว้เลยตั้งแต่ตอนก่อนเอนท์ฯ บอกว่าจะเป็นนักร้องของวงให้ได้เลย เพื่อนก็บอกว่าคงไม่ได้หรอกแก เพราะปีนึงเขารับน้อยนะ เฟื่องก็รู้สึกว่าทำไมล่ะ (ยึดอกสู้) ก็เลยลองไปออดิชั่นดูแล้วก็ได้

เรื่องร้องเพลง มีความฝันมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะ รู้สึกว่าอยากเป็นนักร้องบรอดเวย์ (ยิ้ม) อยากเล่นละครเวที เพราะรู้สึกว่าร้องเพลงแนวอื่น ก็ร้องได้เรื่อยๆ แต่แนวนี้แหละค่ะที่รู้สึกว่ามันใช่ที่สุด แต่เพลงแนวนี้ในประเทศไทยก็หาโอกาสร้องได้น้อยมาก พอโตขึ้นยิ่งรู้สึกว่าความฝันกับความจริง มันคงไปด้วยกันได้ยาก แต่ถ้ามีโอกาสเข้ามาก็ยังอยากทำอยู่นะคะ แต่พอเราได้มาทำงานสายพิธีกร ก็รู้สึกว่ามันเป็นความจริงที่ทำได้และเราก็รู้สึกสนุกที่จะเรียนรู้ค่ะ


อยากให้มองวงการเพลงไทย ในฐานะคนที่ชอบเพลงเฉพาะกลุ่มอย่างบรอดเวย์
เฟื่องว่าหลักๆ แล้วคนฟังมี 2 กลุ่มนะ คือกลุ่มที่ฟังเพลงที่ยังติดตลาดมากๆ อยู่ก็ต้องเป็นเพลงป็อป อาจจะฟังเพลงไทยส่วนใหญ่ แล้วก็มีอีกกลุ่มนึงที่หันไปฟังเพลงฝรั่งเลยค่ะ อย่างเพื่อนเฟื่องหลายคนก็ฟังเพลงสากลกันหมดแล้ว เพราะดนตรีมันกว้างกว่า แต่โดยรวมแล้วเฟื่องว่าคนไทยก็เปิดรับเพลงหลายแนวมากขึ้นนะ หรืออย่างตลาดเพลงบรอดเวย์ก็เริ่มมีเข้ามาแล้วนะคะ หลังจากคุณบอย (ถกลเกียรติ) เอาละครเวทีเข้ามาแล้วก็ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

แต่จะให้มาออกเทปแล้วร้องโอเปร่า คนก็คงยังไม่ฟังกันขนาดนั้นค่ะ มันเป็นธรรมชาติการฟังเพลงของคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่นิยมแบบนี้เท่าไหร่ แต่เท่าที่รับมาตอนนี้ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีแล้วนะ ถึงจะยังไม่ได้มีบรอดเวย์แล้วสร้างเป็นเทศกาลทุกๆ ปีเหมือนในต่างประเทศ แต่ก็ถือว่ายังดีค่ะ


เรื่องศิลปะการละครมันพูดยากค่ะ เฟื่องว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังเน้นบริโภคอะไรที่เข้าใจง่าย บริโภคเพื่อความตลก สนุก เป็นการดูเพื่อหลบหนีจากความเป็นจริงมากกว่า ไม่ใช่ดูเพื่อประเทืองปัญญาเป็นหลัก อาจจะเพราะรู้สึกว่าชีวิตเครียดพออยู่แล้ว ไม่อยากเครียดเพิ่มขึ้นอีก อย่างละครไทย ก็ต้องเบาสมอง คนที่จะมาเสพศิลปะและสนใจในความงดงามจริงๆ ยังมีน้อยมากค่ะ





ไม่ต้องคว้าชัย แค่คว้าความสุข

ในฐานะคนเคยผ่านเวทีการประกวดมา คิดเรื่องการล็อกคนชนะยังไงบ้าง?
เมื่อก่อนก็เคยได้ยินมาเหมือนกันค่ะว่ามีเรื่องเส้น เรื่องล็อกคนไว้ แต่พอเฟื่องก้าวเข้ามาอีกจุดหนึ่งที่ได้มารู้กระบวนการบ้างบางทีว่าเขาคัดเลือกยังไง เฟื่องก็เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องเคมีของคณะกรรมการที่ตรงกับผู้เข้าประกวดคนนั้นมากกว่า ความชอบแต่ละคนมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เฟื่องเลยคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องล็อกคนหรืออะไรขนาดนั้นค่ะ น่าจะเป็นเรื่องของความสามารถ แล้วก็เรื่องของดวงด้วย เขาคงไม่สามารถล็อกให้กับคนที่ไม่มีความสามารถเลยให้เข้ามาได้หรอก แต่อาจจะมีที่ได้เข้ามาเพราะรู้จักกันมาก่อน เป็นใบเบิกทางนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ต้องมีความสามารถอยู่ดีค่ะ

มองเรื่องการประกวดยังไงบ้าง?
เดี๋ยวนี้ก็มีเยอะมากๆ เลยค่ะ เฟื่องรู้สึกว่ามันเป็นช่องทางที่จะทำให้คนเราเป็นที่รู้จักหรือแจ้งเกิดได้นิดๆ หน่อยๆ แต่ที่เหลือจากนั้น มันขึ้นอยู่กับว่า ตัวผู้ประกวดเขามีศักยภาพแค่ไหน วางตัวเป็นมั้ย หรือนิสัยเป็นยังไง เป็นส่วนหนึ่งที่จะชี้ทางเลยว่าเขาจะสามารถไปต่อได้อีกหรือเปล่า ต่อยอดความสามารถตัวเองหลังจากประกวดแล้วได้มั้ย ไม่อย่างนั้น พอจบซีซั่นก็จะหายไปเลย อย่างที่เห็นหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็น AF, The Star หรือเวทีอื่น ถ้าทำตัวไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบ หรือโชคไม่ดี ไม่ได้รับโอกาส ก็อาจจะค่อยๆ หายไป

แล้วเรายังอยากเป็นนักร้องอยู่อีกมั้ย?
ที่เฟื่องยังร้องเพลงอยู่เพราะเฟื่องมีความสุขที่ได้ทำมากกว่าค่ะ ไม่ได้อยากโด่งดังหรือมีเพลงของตัวเองแล้วมีคนร้องตามอะไรขนาดนั้น เฟื่องว่าการจะเป็นนักร้องที่ดังๆ มันยากมากเลยค่ะ เพราะทิศทางสื่อสมัยนี้ก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว ไม่ได้เหมือนเดิมที่ออกมาแค่ไม่กี่เบอร์แล้วก็ดัง คนก็ฟังเพลงหลากหลายกันมากขึ้น กลุ่มคนฟังแตกต่างกันมาก มีทั้งชอบเกาหลี เพลงฝรั่ง ยุคที่คนจะเป็นซูเปอร์สตาร์ได้แบบพี่เบิร์ด พี่บี้ มันหมดยุคแบบนั้นไปแล้ว เฟื่องรู้สึกอย่างนั้นนะ

แต่ถ้าวันนึงมีโอกาสร้องเพลง เฟื่องก็ทำค่ะ เฟื่องยังชอบร้องเพลง ยังอยากไปดูคนเก่งๆ ล่าสุดเพิ่งไปเป็นกรรมการ CU Singing Contest มาด้วยค่ะ ได้เห็นคนที่เขาร้องมันออกมาจากใจจริงๆ เราก็มีความสุขแล้ว ไปเห็นคนร้องเต็มที่ เหมือนกับว่าเราอยู่กับดนตรีแล้วเรามีความสุขอ่ะค่ะ หรือแค่ได้ร้องอยู่คนเดียวก็มีความสุขแล้ว

นอกจากฝันอยากเป็นนักร้องตอนเด็กๆ มีฝันอะไรอีกมั้ย?
(กวาดตานึก) โอ๊ย... มีหลายอย่างค่ะ (พูดไปยิ้มไป) ตอนเด็กๆ เป็นเด็กสับสน คิดไว้เยอะค่ะ ถ้าไม่ใช่สายบันเทิง ไม่ใช่นักร้อง เคยอยากเป็นแอร์ฯ ด้วยนะ (หัวเราะ) เพราะตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินค่ะ คิดว่าถ้าได้เป็นแอร์ฯ เผื่อจะได้ไปเที่ยว
มีคิดไว้ว่าอยากเป็นทูต UN ด้วยค่ะ เพราะชอบภาษาอังกฤษมาก แล้วก็รู้สึกว่าถ้าได้ทำอะไรที่ติดต่อสื่อสารกับผู้คน ได้ช่วยเหลือผู้คนก็น่าจะดี เห็นว่ามีความไม่เท่าเทียมกันในโลกใบนี้เยอะ (ยิ้ม) ก็คิดไว้ค่ะ แต่รู้มาว่าทำงานตรงนี้ต้องมีความรู้หลายอย่างเหมือนกัน มากกว่าเก่งภาษาอังกฤษ ตอนนี้ก็เลยขอพักโครงการไว้ก่อนแป๊บนึง

หลักการของเฟื่องก็คือ ถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามา เฟื่องทำหมด แล้วก็ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นคนมีความฝันเยอะ แต่ถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามา ก็จะทำโอกาสที่มีอยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด และเฟื่องเชื่อว่าทุกอย่างที่อยู่ข้างหลังมันจะดีเอง อย่างสมมติเรายังเรียนอยู่ ก็มีหน้าที่เรียนให้ดีที่สุด ถึงจะมีกิจกรรมอย่างอื่น แต่เราก็ต้องไม่ละทิ้งหน้าที่นักเรียนของเรา ยิ่งเราไปทำกิจกรรมอย่างอื่น ยิ่งต้องรักษามาตรฐานการเรียนเอาไว้ให้ได้

เฟื่องเป็นคนแบบนี้แหละค่ะ (ยิ้ม) เรื่อยๆ มีอะไรเข้ามาก็ทำ สนุกดี ชอบลองอะไรใหม่ๆ ชอบผจญภัย รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์ต้องค้นหาไปเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าฉันต้องเป็นแบบนี้ตอนอายุเท่านี้ๆ ไม่มีเลยค่ะ มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ก็พอ แล้วก็ enjoy กับการค้นหาไปเรื่อยๆ

แล้วตอนนี้ ค้นเจอบ้างหรือยังว่าชอบอะไร?
ค้นเจอว่า จริงๆ แล้วงานสายพิธีกรเฟื่องก็ชอบนะ รายการไอทีที่ทำอยู่ก็สนุกดี เพราะยุคนี้มันก็เป็นยุคไอที ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้ เราก็จะล้ำกว่าคนอื่น ได้ใช้ประโยชน์มากกว่า มีข้อได้เปรียบต่างๆ อาจจะทันข่าวสารไอทีที่อัปเดตอย่างรวดเร็ว แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากทำอีกรูปแบบนึงค่ะ เป็นรายการพาชิม-พาเที่ยว อยากทำรายการแนวไลฟ์สไตล์ แล้วก็อยากทำงานที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษด้วย อาจจะเป็นรายการสอนภาษาอังกฤษ หรือเป็นดีเจในคลื่นที่พูดภาษาอังกฤษ เฟื่องเพิ่งจบไม่นาน ตอนนี้เป็นช่วงสั่งสมประสบการณ์แล้วก็ค่อยๆ ดูค่ะว่าจะไปต่อยอดด้านไหนดี



Speak English กันดีกว่า
 

อะไรทำให้ชอบภาษาอังกฤษมากขนาดนี้?
ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ชอบมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลย อาจจะเพราะคุณแม่ด้วยมั้งคะที่ซื้อเกมภาษาอังกฤษมาให้เล่นในคอมพ์ หรืออย่างตอนที่เรียนร้องเพลง คุณแม่ก็จะบอกคุณครูเลยค่ะว่าขอให้เลือกแต่เพลงภาษาอังกฤษให้เราร้องนะ เหมือนเขาอยากให้เราได้ความรู้ไปด้วย แล้วเวลาเฟื่องพูดภาษาอังกฤษ เฟื่องรู้สึกว่ามีความสุข ตอนเด็กๆ ชอบเอาเนื้อภาษาไทยมานั่งแปลเป็นอังกฤษแล้วก็ร้องไปตามทำนองเดิม (หัวเราะเขินตัวเอง) รู้สึกว่ามันสนุกดีค่ะ มีความสุขกับการทำอะไรแบบนี้มาก ร้องไปแบบงงๆ แต่ก็สนุกดี

คิดยังไงกับการที่คนไทยแก้ปัญหาเรื่องภาษาด้วยการไปเมืองนอก?
ถ้ามีโอกาส มีทุนทรัพย์ส่งตัวเองได้ พ่อแม่ส่งลูกๆ ได้ ก็ไปเถอะค่ะ ไปแล้วก็น่าจะได้อะไรบ้าง อันนี้พูดถึงกรณีที่ไปแล้วต้องไม่ไปอยู่กับคนไทยด้วยกันเองนะคะ ต้องไปใช้ชีวิตกับคนที่นั่นจริงๆ ก็น่าจะพูดได้ขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าไปมาแล้วไม่มาต่อยอด เฟื่องรู้สึกว่าให้เด็กอยู่ที่ไทยแล้วคลุกคลีกับภาษาอังกฤษทุกวัน มันสำคัญมากกว่าอีก เพราะถึงแม้เราจะไม่ได้ไป เราฝึกเองได้จากความชอบของตัวเอง มันก็ได้นะ

แต่เพื่อนเฟื่องบางคน ไปตั้งแต่ตอนเด็กๆ ไป summer 3 เดือน กลับมาก็ได้ความรู้นิดหน่อย แต่สุดท้ายไม่ได้กลับมาต่อยอด ไม่สนใจ กลับมาก็ใช้ภาษาไทยเหมือนเดิม แล้วบางทีเด็กที่ไปมาจะคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่นด้วย เพราะคิดว่าตัวเองได้ภาษาแล้ว พอไม่ขวนขวายเองต่อ เขาก็จะหยุดอยู่แค่นั้น เฟื่องว่ามันอยู่ที่การพัฒนาของตัวเราเองมากกว่า

หรืออย่างเฟื่องเอง เฟื่องก็ไม่เคยไปเมืองนอกเลยสักครั้งเดียว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยไป (ยิ้ม) เฟื่องรู้สึกว่าจะพูดได้-ไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการคลุกคลีอยู่กับภาษาอังกฤษน่ะค่ะ แต่ที่คนไทยส่วนหนึ่งพูดไม่ได้ อาจจะเพราะลักษณะภาษาที่มันต่างกัน เรื่องการออกเสียง ยิ่งถ้าไม่ได้ฝึก ยิ่งปล่อยให้อายุเยอะขึ้น ลิ้น อวัยวะส่วนที่ต้องใช้ออกเสียงมันจะยิ่งแข็งค่ะ ร่างกายก็จะไม่ชิน มันจะดัดยากแล้ว การออกเสียงก็จะไม่ใช่

ทางที่ดี ลองเริ่มจากการฟังเพลงภาษาอังกฤษก่อนก็ได้ค่ะ หรือดูหนังฝรั่งแล้วก็เปิด subtitle เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็อ่านตามนั้นก่อน เดี๋ยวก็จะฟังได้มากขึ้นไปเอง แล้วก็มีอีกวิธีหนึ่งค่ะ ตอนเด็กๆ เฟื่องชอบทำแบบนี้ค่ะ ในครอบครัวจะตั้งกฎว่าให้พูดภาษาอังกฤษกัน เป็น English Session นะ คุยกันเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่าเราต้องฝึกน่ะค่ะ ถ้าใช้บ่อยๆ เราก็จะสามารถคิดเป็นภาษาอังกฤษและพูดอังกฤษได้เลย แล้วก็ต้องกล้าค่ะ ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหรอก พูดไปเลย ยิ่งสมัยนี้จะเข้า AEC แล้วนะคะ (ยิ้ม) เราต้องเร่งด่วนในการใช้ภาษาอังกฤษกันหน่อย

เดี๋ยวนี้สื่อไทยก็มีรายการดีๆ ให้เลือกดูเยอะ รายการสอนภาษาอังกฤษดีๆ หรือตลอดทั้งรายการมี Subtitle ให้อ่าน คอนเทนต์ก็น่าสนใจด้วย เลยคิดว่ามันง่ายมากเลยที่จะเข้าสู่สื่อการเรียนรู้พวกนี้ อินเทอร์เน็ตก็มีเยอะนะคะถ้าจะฝึกภาษา แต่ก็อยู่ที่ว่าจะเลือกดูอะไรในนั้น

ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไม่กล้าพูด เพราะถูกจับผิดเรื่องสำเนียงหรือด่าว่าดัดจริตด้วยหรือเปล่า?
(หัวเราะถูกใจ) เคยโดนแซวเหมือนกันค่ะ เพิ่งไปอ่านข่าวที่ True Inside มา แล้วมันมีคำว่า “Harry Potter” (ทำสำเนียงอังกฤษ) เราก็ออกเสียงแบบนี้ เพื่อนก็มาล้อว่าแกเป็นอะไรเนี่ย (หัวเราะ) เฟื่องรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องนะที่จะออกเสียงตามนั้น คือบางทีเราพูดภาษาไทยแล้วออกเสียงเป็นภาษาไทย มีบริบทชื่อที่พูดเป็นสำเนียงไทยได้ อันนี้เข้าใจค่ะ แต่ถ้าพูดในประโยคภาษาอังกฤษแล้วมาติดสำเนียงไทย ฝรั่งเขาจะฟังไม่ออกนะ

เฟื่องว่าถึงจะถูกใครล้อก็ตาม เราก็ต้องพูดไทยชัดด้วย พูดอังกฤษถูกต้องตามสำเนียงด้วย เฟื่องว่ามีเสน่ห์ดีออกค่ะ อย่างดีเจพีเคหรือพี่วู้ดดี้ เฟื่องชอบมากเลย เขาพูดไทยชัดและภาษาอังกฤษก็เป๊ะ เฟื่องรู้สึกว่า อื้ม... ดูดีจัง




เทคโนโลยี “ใช้ให้เป็น”

อยู่กับวงการไอทีแล้ว มองเห็นโลกที่หมุนไปกับโซเชียลมีเดียทุกวันนี้ยังไงบ้าง?
มันเป็นโลกที่ก้าวไปเร็วมากค่ะ อัปอะไรผิดไปแค่ครึ่งวินาทีก็ไม่ทันแล้ว โดยเฉพาะคนที่มีคนตามในทวิตเตอร์ อินสตาแกรม หรือเฟซบุ๊กเพจเยอะๆ ลงผิดไปแป๊บเดียว คน capture หน้าจอเอาไว้เป็นหลักฐานแล้วก็มีค่ะ หลายคนอาจจะบอกว่านี่มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้ เฟื่องก็เคยคิดแบบนั้น คิดอะไรก็จะทวิตทันที แต่หลังๆ ไม่เป็นอย่างนั้นแล้วค่ะ เพราะคิดว่ามันไม่ได้ส่งผลดีกับเรา บางทีเรื่องของเรา เราไม่ต้องบอกทุกคนบนโลกใบนี้ก็ได้

ก็เข้าใจนะว่าบางคนก็มองว่าโซเชียลมีเดียคือที่ระบาย โดยเฉพาะคนมีปัญหา แต่บางทียิ่งระบายบนโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็ยิ่งทำให้เกิดปัญหาค่ะ คนเป็นแฟนกัน เห็นมีปัญหาเพราะโซเชียลเน็ตเวิร์กบ่อยมาก โพสต์สเตตัสลงเฟซบุ๊ก อัปรูปคู่อีกคนนึง หรือมีปัญหาไป follow ใคร (ยิ้ม) เฟื่องว่ามันเยอะมาก (ลากเสียง) รู้สึกว่าเทคโนโลยีมันดีนะ เป็นสื่อที่กว้างขวาง รวดเร็ว ทำให้คนติดต่อกันง่าย แต่มันก็เป็นดาบสองคม กลับมาทำร้ายเราได้ง่ายเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องเลือกใช้ให้เป็น

เคยเจอปัญหาบ้างมั้ย?
เคยเหมือนกันค่ะ ช่วงก่อนหน้านี้เฟื่องจะทวิตเยอะมาก บางทีไปเจออะไรมาก็จะมาตกตะกอนความคิด อยากแชร์ความคิด คนที่ follow เราเขาก็มาถามว่าเราเป็นอะไร คิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรา เลยกลายเป็นประเด็นดราม่าไป หลังๆ เฟื่องก็เลยไม่ค่อยทวิตแล้วค่ะ เซฟๆ ดีกว่า โดยเฉพาะคนที่เป็นที่รู้จัก เป็นคนสาธารณะ เฟื่องว่ายิ่งอาจจะต้องระวังให้มากๆ หน่อย

จะโพสต์แต่ละที ทวิตแต่ละครั้ง อาจจะต้องนั่งอ่านก่อนค่ะว่า มันตีความได้หลายแบบมั้ยนะ พาดพิงถึงใครมั้ย (ยิ้ม) ต้องคิดก่อนค่ะ ก่อนจะโพสต์ลงไป เพราะบางทีแค่คลิกเดียวเนี่ย มันอาจจะเปลี่ยนชีวิตไปเลยนะ เห็นจากที่ดาราเป็นข่าวหลายคนก็ทั้งนั้นเลย ดราม่าเยอะมาก ก็ต้องใช้ให้เป็นค่ะ

อะไรคือ “ใช้ให้เป็น” สำหรับเรา?
ใช้ให้เกิดประโยชน์ แล้วก็อย่าให้มันเป็นทุกอย่างของชีวิตค่ะ คือจริงๆ แล้ว เฟื่องก็เคยติดนะโซเชียลเน็ตเวิร์ก ว่างๆ ก็เอาขึ้นมาดู แต่ก็อย่าไปอิงโลกในโซเชียลมากเลยค่ะ บางคนอินมากจนเริ่มแยกไม่ออกระหว่างโลกโซเชียลกับชีวิตจริง แล้วจะเอามาปะปนกัน บางคนมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมด้วยนะ เจอหน้ากัน พูดไม่ได้แล้ว ต้องรอให้พิมพ์เอาถึงจะสื่อสารได้

เฟื่องว่ามันต้องแยกแยะให้ออก เพราะบางทีบางคน ตัวตนในโซเชียลกับตัวจริงก็ไม่เหมือนกัน ใช้ให้เป็น ใช้แต่พอดี อย่าใช้เยอะไป อย่าให้เป็นทุกอย่างของชีวิต

แล้วเรื่องสินค้าไอทีล่ะ เป็นคนอัปเดตเทรนด์ให้ตลอด ส่วนตัวแล้ว เปลี่ยนตามเทรนด์บ่อยมั้ย?
ถ้าเป็นตัวเฟื่องเอง เฟื่องเปลี่ยนไม่บ่อยนะคะ รู้สึกว่าถ้าจะซื้อก็ต้องคิดก่อนว่าเราได้ใช้ประโยชน์จริงมั้ย เพราะถ้าจะตามกระแส ตามยังไงก็ตามไม่ทันหรอก ตังค์หมดด้วย (ยิ้ม) เอาตังค์ไปใช้อย่างอื่นดีกว่า ต้องเลือกตัวที่คิดว่าจะอยู่กับเราไประยะหนึ่งจนหมดอายุการใช้งานมันได้น่ะค่ะ อย่าไปเปลี่ยนเพราะว่ารุ่นนี้ออกมาใหม่นะ มี feature เพิ่มขึ้นมานิดหนึ่ง กล้องชัดขึ้น อย่าไปอยากได้ ใช้แต่พอตัวก็พอ เฟื่องเชื่อว่าหลายคนซื้อมาแพงๆ แต่ใช้ option มันยังไม่ครบด้วยซ้ำ เอาที่เรารับได้แล้วก็ใช้แบบทะนุถนอมไปดีกว่าค่ะ

แต่เด็กสมัยนี้ก็มีไอแพดเป็นของตัวเองแล้ว พ่อแม่สนับสนุนเต็มที่
(พยักหน้าหงึกหงัก) ใช่ค่ะ เฟื่องรู้สึกว่าจริงๆ แล้วไม่ควรปลูกฝังให้น้องมีอะไรอย่างนี้มากไปตั้งแต่เด็กๆ นะ มันอาจจะได้ใช้ประโยชน์แหละ แต่บางทีเขาก็เด็กไปที่จะใช้ และถ้าเราเริ่มจากอะไรที่มันแพงแล้ว มันก็อาจจะต้องอัปเลเวลขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ถ้าเริ่มซื้อเทคโนโลยีให้เด็กตั้งแต่เล็กๆ มันก็จะบานปลายไปเรื่อยๆ ใช้ตามกำลังดีกว่าค่ะ
หรืออย่างไอโฟน บางคนเห็นเพื่อนมีก็อยากมี อยากจะบอกว่าซื้อมาแล้วใช้คุ้ม เก็บเงินได้เอง อันนี้เฟื่องสนับสนุน แต่ถ้าไปตื๊อพ่อแม่ มันก็อีกเรื่องนึง

สินค้าไอทีบางอย่างไม่ได้ซื้อมาเพื่อใช้งาน แต่เพื่อฐานะทางสังคมด้วย เรามองยังไงกับเรื่องนี้?
เรื่องซื้อมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์น่ะเหรอคะ ถามว่าจำเป็นมั้ย? อาจจะจำเป็นสำหรับบางสังคมค่ะ เหมือนแบรนด์เนมที่บางคนก็ต้องซื้อเพื่อเอามาถือ แต่มันก็อาจจะไม่ใช่เหตุผลนี้เหตุผลเดียวก็ได้นะคะ อาจจะมีความจำเป็นในเรื่องของการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มเพื่อนด้วยค่ะ คือถ้าเพื่อนใช้ไอโฟนหรือมีมือถือที่เล่นไลน์ได้ แล้วเราเล่นไม่ได้ มันก็จะขาดช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารกับเพื่อนไปเลยค่ะ มันอาจจะไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่มาก แต่ก็จะขาดช่องทางที่สามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว

แต่ยังไงเฟื่องก็คิดว่ามันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น เพราะอาจจะยังมีช่องทางอื่นให้สื่อสารอีกก็ได้ เอาเป็นว่าเลือกอะไรที่เหมาะกับเรา เหมาะกับตังค์ที่เรามี อย่าไปพยายามเกินตัว หรือถ้าอยากได้จริงๆ ก็เต็มตังค์เองดีกว่าค่ะ เฟื่องเองก็เป็นคนนึงที่ไม่อยากกวนเงินพ่อแม่ค่ะ ก็เลยชอบทำนู่นทำนี่ ชอบหาตังค์ เคยคิดอยากทำธุรกิจเองด้วยนะ อยากเปิดร้านน้ำ คิดตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ก่อนหน้าที่จะมีโอกาสได้ทำงานวงการบันเทิงก็เคยรับสอนพิเศษค่ะ หาจ็อบเสริมตลอด ตอนนี้ที่ทำงานอยู่ตรงนี้ก็ผ่อนรถเอง ซื้อเองได้แล้ว เลิกขอเงินพ่อแม่มา 2 ปีแล้วค่ะ เฟื่องรู้สึกว่าอะไรที่เราทำด้วยมือของเราเอง เราภูมิใจกว่าเยอะเลย

ถูกสอนมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะ คุณพ่อจะเป็นคนเคร่งเรื่องกฎระเบียบมาก เป็นคนเป๊ะมาก สมมติว่ามีการบ้านปิดเทอม อาจารย์ให้การบ้านมาเป็นปึ๊งๆ ให้ทำช่วงซัมเมอร์ 3 เดือน แต่คุณพ่อจะให้ทำให้เสร็จภายใน 3 วันค่ะ (ยิ้ม) ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้ออกไปเล่นกับเพื่อนบ้าน จะเป็นแบบนี้ตลอด สอนให้เราต้องมีความรับผิดชอบ ถูกปลูกฝังให้ทรหดค่ะ (หัวเราะ) ถูกปลูกฝังว่าถ้ามีหน้าที่อะไรต้องเคลียร์ให้เสร็จก่อน แล้วค่อยไปมีความสุขของตัวเอง









---ล้อมกรอบ---
“แอ่งน้ำทางใจ” ของสาวไอที

อันดับแรกต้องบอกข่าวดีก่อนว่าเธอคนนี้ครองสถานะ “โสด” อยู่ แต่หนุ่มๆ ก็อย่าเพิ่งผลีผลามก้าวเข้าไป เพราะเฟื่องย้ำนักย้ำหนาว่าเธออยู่คนเดียวได้!

“เฟื่องรู้สึกว่าอยู่คนเดียวให้เป็นเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ เพราะถ้าเราอยู่คนเดียวไม่เป็นแล้วไปเกาะคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดหรอก ไม่มีใครอยากดูแลคนที่พึ่งพิงตัวเองไม่ได้เลย เขาต้องมาติดกับเราตลอดเหรอ มันก็ไม่ใช่ ต่างคนก็คงต้องต่างมีชีวิตกันไป

ความรักต้องทำให้ชีวิตเราดีขึ้นค่ะ เหมือนต้องเป็นคนมา support เรามากกว่า พร้อมฝ่าฟันไปด้วยกัน ความรักน่าจะเป็นที่พึ่งได้ เวลาเราเหนื่อยจากที่อื่น เคยอ่านหนังสือของพี่นิ้วกลม เขาเปรียบไว้ว่าความรักเหมือนเป็นแอ่งน้ำกลางทะเลทราย (ยิ้ม) ชอบมากเลยค่ะ เพราะชีวิตเราเหมือนทะเลทรายอยู่แล้ว ต้องต่อสู้กับอะไรเยอะแยะ แต่พอหันมาข้างๆ แล้วเจอแอ่งน้ำ เราก็จะอุ่นใจ ถ้าความรักของเฟื่อง เฟื่องอยากได้แบบนั้นค่ะ เราเองก็เป็นแอ่งน้ำให้เขาได้ เป็นแอ่งน้ำให้กันและกัน โรแมนติกเนอะ (ยิ้ม)”

เห็นโรแมนติกขนาดนี้ แต่ที่ผ่านมาเธอกลับโชคไม่ค่อยจะดีเรื่องความรักเท่าไหร่ “ผิดหวังเรื่องความรักบ่อยๆ ค่ะ (ยิ้มน้อยๆ) เป็นคนมีความรักไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ เป็นคนชอบคนยากค่ะ เลือกยาก คือถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ไปต่อ ถ้ารู้สึกว่าความรักแบบนี้จะไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น ก็จะคิดว่าอย่าเลยดีกว่า อยู่คนเดียวดีกว่า”

แต่ถ้าเลือกได้ อยู่สองคนอาจจะดีกว่า เพราะเธอเองก็มีสเปกตั้งเอาไว้เบาๆ เหมือนกัน “ชอบคนยิ้มสวยค่ะ ชอบคนร่าเริง คนที่ทำให้เราหายเครียดได้ เพราะบางทีเราเป็นคนเครียดง่าย เฟื่องเป็นคนสนุก แต่ก็เป็นคนจริงจังด้วยเหมือนกัน” เอาล่ะ หนุ่มอารมณ์ดี-มีความรับผิดชอบ ฟังเอาไว้



คำคมบนโต๊ะอาหาร
ครอบครัวร่วมยินดี เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง อักษร จุฬาฯ
ส่วนผสมที่กลายมาเป็น “เฟื่องลดา” ทุกวันนี้ ถามว่าเอนเอียงไปทางไหนมากกว่ากัน ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ คนถูกถามนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “น่าจะผสมทั้งสองอย่างมาจากสองคนค่ะ คุณแม่เฟื่องจบด็อกเตอร์ เรียนอย่างเดียว จะเป็นสายวิชาการค่ะ ไม่ค่อยชอบทำกิจกรรม แต่คุณพ่อจะเป็นอีกแนวนึงเลยค่ะ คุณพ่อจบรัฐศาสตร์มา เป็นนักกิจกรรม”

และคุณพ่อนักกิจกรรมคนนี้เองที่มักจะมีคำคมมาสอนลูกสาวหน้าหมวยคนนี้เสมอ โดยเฉพาะช่วงเวลาบนโต๊ะอาหาร “บางทีมาเป็นกลอนเลยค่ะ พูดกับเราว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) คุณพ่อชอบมีสาระค่ะ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ จะชอบถามความรู้รอบตัว แล้วก็ชอบมีประโยคเด็ดๆ อะไรออกมาจากเขาตลอด”




ประวัติส่วนตัว

ชื่อ-สกุล: เฟื่องลดา-สรานี สงวนเรือง
วันเกิด: 4 ต.ค.2534
การศึกษา: เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง อักษรศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกภาษาอังกฤษ โทศิลปะการละคร
ผลงาน: มิวสิกวิดีโอเพลง "บรรยากาศชวนเพลี่ยงพล้ำ" (ดิว-พงศธร สุภิญโญ), พิธีกรรายการ "แบไต๋ไอที", "Healthy Home" ช่อง TNN2, ผู้ประกาศข่าวบันเทิง ช่อง True Inside News 68 และ นักร้องสากลประจำวง CU Band (ชมรมดนตรีสากล สโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
รางวัลที่ได้รับ: รางวัลศิษย์เก่าดีเด่นสาธิตเกษตร ประจำปี 2556, Seventeen Most Talented/ Pan Cosmetic's Rising Girl ประจำปี 2554

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LITE
ภาพโดย ปวริศร์ แพงราช
ขอบคุณภาพ (คลิก): แฟนเพจ Faunglada เฟื่องลดา สรานี สงวนเรือง


กำลังโหลดความคิดเห็น