ด้วยปรัชญาแนวคิดของ “เสือ สุขวาณิชย์ดำรง” ผู้เป็นพ่อ และเป็นเจ้าของ หจก.ซิน อกรีฟู้ดส์ ผู้นำด้านการผลิตเครื่องดื่มธัญพืชแท้ปรุงสำเร็จ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเห็นว่าสุขภาพดีเป็นเรื่องสำคัญ และ “เพราะอยากให้คนไทยมีสุขภาพดี...ถ้าสุขภาพดี ก็ทำอะไรได้อีกตั้งเยอะ” จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ให้กับผู้บริโภคมาตลอด
“ธีรพงษ์ สุขวาณิชย์ดำรง” ผู้เป็นลูกชายได้เข้ามาสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อ โดยหลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะการบัญชีและบริหาร หลักสูตรบริหารการจัดการทั่วไป เขาได้เข้าทำงานด้านการตลาดในบริษัทใหญ่หลายแห่ง เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และนำกลับมาใช้ในการบริหารกิจการของครอบครัว
“หลังจากตัดสินใจกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว ผมเริ่มต้นด้วยการจัดระบบงานใหม่ทั้งหมด มีการวางแผนการตลาดรายปี และจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จัก อาทิ การออกบูธในงานต่างๆ จัดกิจกรรมชิมฟรี ทำโปรโมชั่นในแต่ละเดือนหรือตามเทศกาล จัดโรดโชว์ เป็นต้น แต่ก็ยังอยู่บนพื้นฐานเดิม คือการทำงานในระบบครอบครัว ไม่ได้ทำจนเกินตัวหรือเกินความสามารถที่เรามี” ธีรพงษ์เล่า
• จุดเริ่มต้นของธุรกิจครอบครัว
ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงเล่าถึงความเป็นมาของ ซิน อกรีฟู้ดส์ ผู้นำผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มธัญพืชว่า เมื่อ พ.ศ. 2541 คุณพ่อได้ร่วมกับนางสาวอมรรัตน์ พิทักษ์พลรัตน์ จัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด ซิน อกรีฟู้ดส์ ขึ้นที่ปทุมธานี โดยในช่วง 2 ปีแรก ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการส่งออกอาหารแห้งและเครื่องกระป๋องสู่ประเทศเบลเยี่ยม กระทั่งปี 2544 ได้มีแนวคิดที่จะผลิตสินค้าเป็นของตนเอง กอปรกับคุณพ่อมีความชอบในการทำอาหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงได้ทดลองผลิต “ผงข้าวกล้องสำเร็จรูป” เนื่องจากที่บ้านรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ
จากการลองผิดลองถูกกันหลายครั้ง จนทุกอย่างลงตัว จึงตั้งชื่อสินค้าและจดทะเบียนภายใต้แบรนด์โกเด้นท์ (Godent) และนำไปฝากขายตามร้านค้า ร้านสะดวกซื้อต่างๆ จนวันหนึ่งได้รับเลือกให้ไปขายในงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับการแปรรูปข้าวของกรมส่งเสริมการเกษตรตามแนวพระราชดำริ ซึ่งในตอนนั้นมีข้าวกล้อง 4 รส ได้แก่ ช็อกโกแลต วานิลลา กาแฟ และรสธรรมชาติ ปรากฏว่าได้รับความสนใจอย่างมาก และทุกคนแปลกใจว่า ข้าวกล้องสามารถเอามาชงได้อย่างไร เพราะตอนนั้นการแปรรูปข้าวเพื่อมาเป็นเครื่องดื่ม ถือว่าเป็นเรื่องใหม่
“เราถือเป็นเจ้าแรกที่ทำตรงนี้ คนจึงเริ่มรู้จัก จากนั้นก็มีร้านค้าเริ่มติดต่อให้นำสินค้าไปวางขาย ผ่านไปประมาณ 1 ปี ผงข้าวกล้องสำเร็จรูปเริ่มขายได้และเป็นที่รู้จักมากขึ้น จึงเริ่มมองหาสินค้าอื่นๆ ที่พอจะเพิ่มเติมได้ เช่น ลูกเดือย ข้าวโพด งาดำ และถั่ว เป็นต้น
ส่วนมากจะผลิตสินค้าตามคำแนะนำของลูกค้า และคิดค้นสูตรเองและมีพัฒนาการมาเรื่อยๆ พอมีเครื่องจักรเพิ่มมากขึ้น เราก็ทำง่ายขึ้น จนในปัจจุบันสินค้าที่ถือว่าได้รับความนิยมจะเป็น ลูกเดือย และถั่ว 5 สี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุดที่เราได้ผลิตออกมา
ความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ทุกตัว คือ เหลือเนื้อของวัตถุดิบให้ทาน ซึ่งในตอนแรกลูกค้ารับไม่ได้ แต่พอลองทานแล้ว ก็เข้าใจว่าเนื้อข้าวนั้นมีประโยชน์ มีไฟเบอร์และสามารถให้หลังงานต่อร่างกายได้”
• คำสอนของพ่อ
หลักคิดในการทำธุรกิจให้ก้าวหน้า
ธีรพงษ์เล่าว่า สิ่งแรกคือจะต้องเชื่อในตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ ว่ามันสามารถโตได้ ต่อมาคือการมองโลกในแง่บวก ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร เพียงแค่ทำผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ดีที่สุด รักษาไว้ซึ่งคุณภาพ
"ถ้าเราเชื่อว่าตลาดมันจะโต สักวันมันก็จะโต คือ พยายามคิดบวกในทุกๆด้าน และสุดท้ายคือ มีความตั้งใจจริง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องมีความพยายามและทุ่มเทให้กับสิ่งๆนั้นและทำมันอย่างเต็มที่ รักในสิ่งที่ทำให้มาก
พ่อจะสอนเสมอว่า ส้มหนึ่งลัง ถ้าคุณเทมันออกมาทีเดียว มันก็จะช้ำและเน่าเสียหมด แต่ถ้าคุณค่อยๆจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ส้มก็จะยังสดใหม่และเก็บไว้ได้นาน เช่นเดียวกับปัญหา ถ้าเราเอาปัญหาทั้งหมดมารวมกัน ตัวเราเองก็จะแย่ ฉะนั้นต้องค่อยๆจัดแจง และแก้ปัญหาทีละอย่าง
ผมโชคดีที่มีคุณพ่อคอยเป็นแบบอย่างในการทำงาน พ่อเป็นคนใจเย็นและมีเหตุผล เขาจะเคารพในการตัดสินใจของลูก และปล่อยให้มีอิสระทางความคิดเพื่อเกิดสิ่งใหม่ๆ และเชื่อว่าถ้าเราคิดแล้ว ทำแล้ว ไม่ว่าจะได้ผลบวกหรือลบ ก็ให้ถือเป็นประสบการณ์"
• การตลาดแนวใหม่
ต้องอาศัยคนรุ่นใหม่
เสือเล่าถึงเหตุผลที่ไว้วางใจให้ลูกชายกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว เพราะอยากได้คนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจจริง มีความภักดี และทำงานแบบร่วมเป็นร่วมตาย มากกว่าการทำงานเพื่อค่าตอบแทน
"หลังๆ การแข่งขันทางการตลาดค่อนข้างแรง ไม่ว่าจะเป็นด้านของบรรจุภัณฑ์ และสินค้าภายใน ตั้งแต่ลูกชายเข้ามาช่วยดูแล ก็จะมีแนวคิดของคนรุ่นใหม่เพิ่มเข้ามา แต่ก็ต้องสมานกับคนรุ่นเก่า นั่นคือต้องรักษาส่วนที่ดีไว้ ต้องคิดถึงผู้บริโภคให้มาก เพราะผมมองว่าทุกอย่างก็เหมือนบูมเมอแรง เราทำออกไปแบบไหน ผลก็ต้องกลับมาแบบนั้น
ข้อดีคือ เขาจะคุยกับลูกค้าโดยตรงด้วยตัวเอง เช่น ส่วนมากจะเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ผ่านการทำคีโม ซึ่งไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ก็จะโทรมาขอบคุณว่าสามารถชงข้าวกล้องดื่มได้ และอาการก็ดีขึ้น เราก็ดีใจและภูมิใจที่ได้ทำประโยชน์เพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง"
• รักษาคุณภาพ ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค
การคิดดีในสิ่งที่ทำอยู่
ด้วยความซื่อสัตย์ที่มีต่อผู้บริโภคมาตลอด 10 ปี ผู้บริหารหนุ่มจึงมั่นใจว่า จะสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โกเด้นท์ (Godent) ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
“ปัจจุบันมีผู้สูงอายุมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่อายุยืนมากขึ้นจากการดูแลรักษาสุขภาพ ดังนั้น ในอนาคต กลุ่มลูกค้าก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ และถ้าผลิตภัณฑ์ของเรายังคงรักษาไว้ซึ่งคุณภาพ ก็จะสามารถอยู่ในตลาดได้อีกนาน
ในเรื่องของคุณภาพนั้น วัตถุดิบที่นำมาผลิตสินค้าทั้งหมดซื้อมาจากเกษตรกรโดยตรง เช่น ข้าวกล้องหอมมะลิจากปทุมธานี ซึ่งเป็นข้าวกล้องหอมมะลิแท้ คัดข้าวกล้องที่คุณภาพดี เต็มเมล็ด ซึ่งมีจมูกข้าวที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย
ส่วนลูกเดือยและวัตถุดิบอื่นก็ต้องคัดคุณภาพ เพราะเราเชื่อว่าถ้านำวัตถุดิบที่เก่า หรือเกรดไม่ดีมาใช้ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาก็จะมีคุณภาพที่ไม่ดีตามไปด้วย ถึงแม้บางช่วงต้นทุนอาจจะสูงไปบ้าง แต่เราก็ต้องยอมรับเพื่อรักษาคุณภาพผลิตภัณฑ์ของเราเอาไว้
นอกจากนั้นยังสามารถเชื่อมั่นได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของเราผลิตโดยวิธีธรรมชาติ ปลอดสารกันบูด หรือสารที่ใช้ตกแต่งรสชาติ กลิ่นสีใดๆ ถึงแม้สมัยนี้จะมีเทคโนโลยีที่สามารถทำได้โดยที่ผู้บริโภคไม่รู้ แต่เราไม่สบายใจที่จะทำ เรายังคงทำแบบเดิมๆ ที่เคยทำมาตลอด อบแบบเดิม ใช้อุณหภูมิเท่าเดิม ถึงจะต้องเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า แต่ส่วนดีๆ เราอยากจะรักษาเอาไว้
การทำบุญด้วยเงินหลายล้านบาท หรือทำกิจกรรมช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมต่างๆ แต่หากการผลิตสินค้าไม่ซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค สิ่งที่ทำเหล่านั้นมันก็ไม่มีประโยชน์ ควรเริ่มต้นจากการคิดดีในสิ่งที่เราทำอยู่แล้วจะดีกว่า”
• คืนกำไรสู่สังคม
เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร
ธีรพงษ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปกติเราจะซื้อวัตถุดิบจากเกษตรกรโดยตรง ซึ่งทางสำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานี เห็นว่าสามารถเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ผลิตภัณฑ์ของเราจึงเป็นสินค้า OTOP ห้าดาวเรื่อยมา อีกทั้งคนงานในโรงงานก็เป็นคนในชุมชนทั้งหมด
นอกจากนี้ทุกครั้งที่ลูกค้าโทรมาชื่นชมในตัวสินค้าว่ารับประทานแล้วดี เราก็รู้สึกมีกำลังใจ เพราะเราทำและยึดมั่นในความหวังของลูกค้า และเพื่อสุขภาพของลูกค้าจริงๆ โดยส่วนตัวผมมองว่าการทำสิ่งเหล่านี้เชื่อว่าได้บุญ และมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค”
• ก้าวต่อไปในเส้นทางธุรกิจ
นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงเล่าถึงแผนการตลาดในปีหน้าว่า จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ป่วย
“จากยอดขายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มคนที่ดูแลสุขภาพยังคงเป็นพื้นที่ในเมือง โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนในต่างจังหวัดมีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องค่อยๆเดินไป สุดท้ายคนทั้งประเทศไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไหน ต้องรู้จักผลิตภัณฑ์ของเรา”
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์โกเด้นท์จัดจำหน่ายผ่านทางห้างสรรพสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ยังเน้นไปที่ร้านค้าขายปลีกทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เช่น ร้านโครงการหลวง เป็นต้น
"เรายังถือว่าเราอยู่กันแบบพอเพียง ใช้ชีวิตและทำธุรกิจแบบพอเพียง คือ ทำตามที่กำลังกาย กำลังทรัพย์ที่มี เรารู้ว่าทำได้แค่ไหน เราก็ทำแค่นั้น ไม่ได้ทะเยอทะยาน เพื่อแข่งขันมากมาย
สิ่งที่เราคิดว่าทำแล้วมีความสุข เราก็ทำ ความสบายใจก็จะเกิดขึ้น ทุกคนก็ทำงานตามความสบายใจของตัวเอง เพราะทำแล้วมีความสุขทุกอย่างก็จะออกมาดี" ธีรพงษ์กล่าวย้ำ
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย ภาวิณี)