มีพุทธศาสนสุภาษิตกล่าวไว้ว่า “ปจฺฉา ตปฺปติ ทุกฺกฏํ” แปลว่า ความชั่วย่อมเผาผลาญในภายหลัง
เพราะขึ้นชื่อว่าความชั่วนั้น เมื่อทำแล้ว ย่อมต้องให้ผลชั่วตอบแทนแก่ผู้ทำแน่นอน อย่าคิดว่าทำกรรมชั่วเล็กๆน้อยๆเลย เพราะถ้าทำบ่อยๆ ก็จะสั่งสมมากขึ้นได้ และเมื่อนั้นกรรมชั่วก็จะได้โอกาสสนองแก่ผู้กระทำให้ประสบภัยพิบัติเคราะห์กรรมนานาประการ เพราะฉะนั้นจงอย่าเข้าใจว่ากรรมชั่วนั้นไม่ให้ผล ทำแล้วก็แล้วกันไป กรรมชั่วจะต้องให้ผลแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่งในภายหลัง
ดังเรื่องราวของครูวันชัย ครูใหญ่โรงเรียนแห่งหนึ่งในโคราช ที่ต้องรับผลแห่งการกระทำชั่วของตัวเอง
วันชัยจัดอยู่ในฐานะมีอันจะกิน เพราะพ่อแม่ทิ้งสมบัติไว้ให้จำนวนหนึ่ง ดังนั้น นอกเหนือจากอาชีพเป็นครูสอนหนังสือแล้ว เขายังทำมาหากินด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับชาวบ้านด้วย ถือเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีทีเดียว เพราะดอกเบี้ยที่ได้รับในแต่ละเดือนนั้น มากกว่าเงินเดือนครูเกือบสองเท่า
ทำให้วันชัยมีเงินจับจ่ายใช้สอยอย่างคล่องมือ และเข้าสังคมกับคนรวยๆได้อย่างสบาย ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจแต่งงานกับ “โสภา” สาวคนรักที่ทำงานบัญชีในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอก็ได้เข้ามาช่วยสามีทำบัญชีกู้ยืมเงิน
ไม่นานทั้งสองก็มีทายาทคนโตเป็นเด็กผู้ชายอ้วนจ้ำม่ำ กินจุ วันชัยเห็นว่าเมื่อมีลูก ก็มีค่าใช้จ่ายตามมามาก ประกอบกับภรรยาก็ต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก ความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกอยู่กับเขาเพียงผู้เดียว
วันหนึ่งวันชัยนำเอกสารการกู้ยืมทั้งหมดมานั่งดูในห้องรับแขก แล้วก็พูดคุยกับ “โสภา” ผู้เป็นภรรยา ว่า
“ช่วงนี้ดอกเบี้ยจากเงินกู้ลดลง เพราะคนไม่ค่อยมากู้ ถ้าหากคนที่กู้ชุดนี้ใช้ต้นใช้ดอกหมด เราก็จะแย่ เพราะลูกโตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายในบ้านก็เยอะขึ้น”
“ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงบ้างก็ได้นะี่คุณ อย่างการไปกินอาหารนอกบ้าน หรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆที่ซื้อให้ตัวเอง ให้ฉัน ให้ลูกทุกเดือนจนเต็มตู้ไปหมด แล้วก็เล่นกอล์ฟ เข้าสังคมกับคนรวยๆน่ะ ลดลงหน่อยก็พอช่วยได้”
วันชัยได้ยินภรรยาเสนอเช่นนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจ
“โอ๊ย..จะลดได้ไง พวกนี้เป็นหน้าตาศักดิ์ศรีของผม ไม่งั้นคนเขาจะนินทาว่า สงสัยครูวันชัยย่ำแย่ คงหมดเงินแล้วล่ะซิ...ไม่ได้ๆ เดี๋ยวจะไม่มีใครมากู้เงินเรา”
โสภาได้ยินสามีพูดดังนั้น เธอก็เงียบไป ขณะที่วันชัยก็นั่งมองเอกสารเงินกู้ เริ่มครุ่นคิดถึงวิธีที่จะหาเงินมาให้ได้มากขึ้น แล้วในที่สุดเขาก็มองเห็นช่องทาง
“ผมรู้แล้วว่าทำยังไง ที่จะได้เงินมากขึ้น” แล้วเขาก็อธิบายให้ภรรยาฟังถึงวิธีการที่ตัวเองคิดขึ้นมา
โสภาฟังแล้วไม่เห็นด้วยกับสามี เพราะเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงเตือนสติสามีว่า
“ฉันว่าอย่าทำเลย มันไม่ดีหรอกแล้วฉันก็ไม่อยากทำด้วย เพราะมันบาป”
“โอ๊ย..มันจะบาปตรงไหนกัน ฉันไม่ได้ไปฆ่าใครสักหน่อย เธอนี่โง่ไปได้ ถ้าเธอกลัวบาปมากนัก ก็ไม่ต้องทำ ฉันจะทำเอง”
แล้ววันชัยก็ลุกขึ้นหอบเอกสารทั้งหมดไปที่โต๊ะทำงาน เขาค่อยๆเลือกเอกสารที่ต้องการแยกออกมาไว้กองหนึ่ง จากนั้นก็ลงมือปรับเปลี่ยนแก้ไขบางสิ่งบางอย่างจนเสร็จทั้งหมด วันชัยตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะเก็บเอกสารใส่ลิ้นชัก
เช้าวันรุ่งขึ้น นายเด่น พ่อค้าขายผักในตลาด ได้มาที่บ้านครูวันชัย
“สวัสดีครับครู ผมเอาดอกเบี้ยงวดแรกมาจ่าย นี่ครับ 275 บาท”
“คุณกู้ผมไป 8,500 บาท ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน มันก็ต้อง 425 บาท”
“อะไรกันครู ผมกู้ไปแค่ 5,500 บาทเท่านั้นนะครับ”
“แน่ใจนะ”
“แน่ซิครับ”
วันชัยจึงเดินไปหยิบเอกสารกู้ยืมมายื่นให้ดู “เอ้า..ดูซะ นี่ไง เงินกู้ 8,500 บาท วันที่คุณมากู้น่ะ คุณรีบร้อนมาก แล้วดูเบลอๆชอบกล เหมือนคนคิดหนัก ผมบอกให้นับเงิน คุณก็บอกไม่เป็นไร แล้วก็รีบไป”
เด่นนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่ครูวันชัยบอก แต่เขาก็ยังยืนยันว่ากู้ไปเพียง 5,000 บาท วันชัยจึงย้ำว่า
“คุณก็ลงลายมือไว้เป็นหลักฐานกู้ยืมแล้วนี่ ถ้าไม่ใช่ 8,500 บาท คุณจะเซ็นทำไม ผมเป็นครู ไม่เคยโกงใคร คุณเคยได้ยินว่าผมโกงใครรึเปล่า ไปถามคนที่ตลาดดูก็ได้ มีคนกู้ผมหลายคน เพราะถ้าผมโกงใคร คุณคงไม่มาขอกู้ผมหรอก ใช่มั้ย”
คำพูดของวันชัย ทำให้เด่นนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วก็บอกว่า
“ไม่เป็นไรครับครู ผมจะจ่ายดอกเบี้ยให้ตามที่ครูบอก เอาเป็นว่าผมผิดเองก็แล้วกัน” เด่นพูดจบก็ควักเงินเพิ่มให้กับวันชัย แล้วเดินจากไป
วันชัยยิ้มด้วยความดีใจที่วิธีการของเขาเป็นผลสำเร็จ และไม่ใช่เพียงนายเด่น พ่อค้าผักเท่านั้นที่มีปัญหาเช่นนี้ คนอื่นๆอีกนับสิบคนก็เป็นเหมือนกัน และทุกคนก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล
ด้วยกลโกงในการแก้ไขปรับเปลี่ยนตัวเลขเงินกู้อย่างแนบเนียน ทำให้วันชัยเริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำเข้ามาเหมือนเดิม และเขาก็ใช้วิธีการนี้กับคนใหม่ๆที่หลงมากู้เงิน และหากเขารู้ว่าคนไหนที่อ่านหนังสือไม่ออก เขาก็จะทำสัญญาฉบับพิเศษด้วยการยึดที่ยึดบ้าน หากไม่ใช้เงินต้นคืนตามกำหนด ซึ่งมีหลายรายที่ต้องสูญเสียที่ดินไป
วันชัยมีความสุขได้ไม่นาน กรรมก็ติดจรวดมาถึงบ้าน ช่วงนั้นเป็นปลายฝนต้นหนาว แต่อากาศกลับหนาวๆร้อนๆผิดปกติ วันชัยรู้สึกคันทั่วร่างกาย และจามอยู่ตลอด หมอบอกว่าเขาเป็นโรคภูมิแพ้ จึงให้ยากินและยาทา แต่อาการไม่ทุเลาลงเลย ตรงข้ามกลับเป็นหนักกว่าเก่า
ทั่วตัวของวันชัยเต็มไปด้วยรอยผื่นคัน เขาเกาๆๆๆจนเลือกออกซิบๆ แต่ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน คันจนกระทั่งบางครั้งต้องใช้ฝาจุกน้ำอัดลมมาช่วยเกา ซึ่งก็ยิ่งทำให้ทั่วร่างเต็มไปด้วยแผลถลอก เลือดไหลซึม อยู่ตลอดเวลา
แม้ภรรยาจะพาไปหาหมอหลายแห่ง ใครบอกว่าหมอคนไหนเก่งก็พาสามีไป ทั้งกินยาและทายาหลายขนาน หมดเงินค่ารักษาไปมากมาย แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย เนื้อตัวของวันชัยตกอยู่ในสภาพเน่าเฟะจากเลือดและน้ำเหลืองที่ไหลออกมาจากแผลที่เกา และติดเชื้อ จนกระทั่งต้องส่งโรงพยาบาล
วันชัยใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลราว 2 สัปดาห์ก็สิ้นใจ เพราะติดเชื้ออย่างหนักจากแผลถลอก ซึ่งเขาไม่ยอมหยุดเกา เพราะรู้สึกว่าคันจนทนไม่ได้ หากได้เกาก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้าง แม้กระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนตายเขาก็ยังเกาไม่หยุด และตายในสภาพที่มือยังเกาหน้าอก ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวดทรมาน
ในงานศพของวันชัย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะกรรมที่เกิดจากการขูดรีดขูดเนื้อคนอื่น ทำให้ต้องมาขูดรีดขูดเนื้อตัวเองจนกระทั่งตาย
ขณะเดียวกัน โสภากับลูกซึ่งมีส่วนในการใช้เงินบาปที่ได้มาจากการคดโกงขูดรีดคนอื่น ก็ต้องพลอยรับกรรม ตกระกำลำบากในที่สุด
ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 144 ธันวาคม 2555 โดย บัว บุษรา)