พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
แต่ทำอย่างไรที่จะได้ลาภอันประเสริฐนั้นมาครอบครอง แพทย์ทั้งแผนปัจจุบัน แผนโบราณ การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือกฯลฯ ได้สอนหลักการวิธีการมากมายในการดูแลป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดโรค
และการแพทย์วิถีธรรม โดย หมอเขียว หรือ “ใจเพชร กล้าจน” ก็เป็นอีกหนึ่งหลักการที่ให้ข้อคิดมุมมองในการดูแลรักษาตัวเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะเรื่องหลักสมดุลร้อน-เย็น
หมอเขียวได้พูดถึงเรื่องการแพทย์วิถีธรรม บนเวทีเสวนาการดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาไทย ในงานพระอาทิตย์แฟร์ บ้านเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2555 ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก นิตยสารธรรมลีลา จึงได้นำบางส่วนมาเผยแพร่ไว้ ณ ที่นี้
หมอเขียวบอกว่าจริงๆ แล้วเราควรจะรู้ว่าชีวิตนั้นมาได้อย่างไร กลไกอะไรที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วย กลไกอะไรที่ทำให้หายเจ็บป่วย
กลไกที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยเริ่มต้นจากว่า ชีวิตนั้นสังเคราะห์มาได้อย่างไร อยู่เย็นเป็นสุขมาได้อย่างไร
ชีวิตจะอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างไร แล้วชีวิตจะเป็นทุกข์ได้อย่างไร พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในอรรถกถาแปลเล่มที่ 76 หน้าที่ 81 ในนิยาม 5 อย่างคือ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ
ในขณะเดียวกันพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ในหลักปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะอวิชชาคือความไม่รู้ จึงเกิดสังขาร เพราะสังขารจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะจึงเกิดผัสสะ เพราะมีผัสสะจึงเกิดเวทนา เพราะมีเวทนาจึงเกิดตัณหา เพราะมีตัณหาจึงเกิดอุปาทาน เพราะมีอุปาทานจึงเกิดภพ เพราะมีภพจึงเกิดชาติ เพราะมีชาติจึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่านี่คือต้นเหตุของกองทุกข์ทั้งปวง
ผมจะอธิบายหลักปฏิจจสมุปบาท สังเคราะห์กับนิยาม 5 ให้เข้าใจว่า ชีวิตเกิดมาอย่างไร แล้วจะแข็งแรงได้อย่างไร และจะป่วยได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะทำให้เรารู้ต้นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บทั้งหมด
เริ่มจากอุตุ คือพลังงานความร้อนความเย็น แม่เหล็กไฟฟ้า แสง สี เสียง คลื่น ดิน น้ำ ลม ไฟ มันจะสังเคราะห์กันด้วยหลักร้อนเย็น เช่น ลมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ เกิดจากอากาศร้อนอากาศเย็นที่ต่างขั้วกัน เคลื่อนเข้าหากัน
ความร้อนความเย็นจะเคลื่อนเข้าหากันและผสมผสานกันตลอดเวลา ดังนั้น อากาศร้อนกับอากาศเย็นจึงต้องเคลื่อนเข้าหากันเพื่อผสมผสานกัน มันเป็นธรรมชาติ เป็นสัจจะโดยธรรมชาติ เมื่อเคลื่อนสังเคราะห์กันปุ๊บมันก็จะเกิดลม
ในอากาศมีธาตุต่างๆอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอนต่างๆ มันจะเคลื่อนเข้าหากัน อย่างเช่น ไฮโดรเจน 2 ตัว เคลื่อนรวมกับอ๊อกซิเจน 1 ตัว มันจะเป็นน้ำ สังเกตง่ายๆ หากขับรถไม่เปิดแอร์ แต่ข้างนอกอากาศเย็น ดังนั้น ข้างในมันจะร้อน ส่วนข้างนอกมันจะเย็นกว่า เพราะฉะนั้น อีกสักพักมันจะเกิดฝ้าขึ้นที่กระจก นี่คือกลไกการเกิดน้ำ
ทีนี้ถ้ามันเคลื่อนไปเอาไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม แคลเซียม สังกะสีอะไรต่างๆมารวมกัน มันจะเป็นปุ๋ยเป็นดิน เกิดหินเกิดอะไรต่างๆขึ้นมา นี่คือ ดิน น้ำ ลม เกิดจากไฟ
จากร้อนเย็นพัฒนาสังเคราะห์กันเป็นน้ำ เป็นลม เป็นดิน เสร็จแล้วก็สังเคราะห์เป็นพืช เป็นสัตว์
พืชได้รับความเย็นมากเกินไปก็ตาย ได้รับความร้อนมากเกินไปก็ตาย ถ้าร้อนเย็นที่พอดีๆ ได้น้ำที่พอดี ได้ร้อนเย็นที่พอดี จะรอด เพราะว่าแข็งแรง เพราะฉะนั้น พืชก็อยู่ได้ด้วยสมดุลร้อนเย็น
เมื่อพืชพัฒนาเป็นสัตว์ จะมีคุณสมบัติมากขึ้น โดยมีคุณสมบัติ 5 ประการ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เกิด..ตาย..เกิด..ตาย.. สังเคราะห์ด้วยร้อนเย็นไปจนเป็นคน
เมื่อมาเป็นคน ก็อยู่ด้วยสมดุลร้อนเย็นเช่นเดียวกัน เช่น ถ้าอากาศหนาวมากๆ ก็ป่วยได้ ถ้าไม่ทำให้อุ่น อากาศร้อนมากๆ ไม่ทำให้เย็น ก็ป่วยได้เหมือนกัน
ดังนั้น คนเราอยู่สุขสบายได้ด้วยสมดุลร้อนเย็น ถ้าไม่สมดุลร้อนเย็น ก็ไม่สุขสบาย ถ้าเย็นไปร้อนไปจะไม่สุขสบาย และจะเกิดความเจ็บป่วยได้
นี่แหละทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสเอาไว้ ในพระไตรปิฏกสังคีติสูตรว่า เป็นผู้มีโรคน้อยมีทุกข์น้อย ประกอบด้วยเตโชธาตุ ก็คือความร้อนในร่างกายอันมีวิบากก็คือผลเสมอกัน ไม่เย็นนักไม่ร้อนนัก เป็นอย่างกลางๆ ควรแก่ความเพียร
นั่นก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า การปรับสมดุลร้อนเย็นจะทำให้มีโรคน้อย มีทุกข์น้อย ส่งผลให้มีร่างกายแข็งแรง พร้อมที่จะประกอบความเพียร
หลักสมดุลร้อนเย็นที่พระพุทธเจ้าได้พบ ถือว่าเป็นหลักการที่ยิ่งใหญ่มาก พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า เพราะสังขารจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปจึงเกิดสฬายตนะ ก็คือตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ นี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดจากวิญญาณดูดเอาธาตุต่างๆมาสังเคราะห์ให้เกิด รวมทั้งเกิดเป็นเซลล์ของมนุษย์ด้วย
เมื่อเรากินอาหาร กินสมุนไพรที่ถูกกันเข้าไป หรือเอาอาหาร เอาสมุนไพร เอาพลังงานต่างๆ ที่มันถูกกันกับชีวิตของเรามาสัมผัสกับเรา เอามากินหรือเอามาสัมผัส จิตวิญญาณของเราก็จะดูดเอาธาตุที่ต้องการนั้นเข้าไปในร่างกาย แล้วก็ไปสังเคราะห์ธาตุและพลังงานมาเป็นร่างกายและสั่งให้ร่างกายทำงาน ร่างกายของเราทุกส่วนเป็นเครื่องมือทำงานของจิตวิญญาณ ถ้าเราไม่มีจิตวิญญาณปุ๊บ เราจะตาย ร่างกายไม่ทำงานทันทีเลย
ดังนั้น ผู้ที่สังเคราะห์ความรู้สึกสุข ทุกข์ ให้เราก็คือจิตวิญญาณของเรานั่นเอง ตัวที่จะทำให้คนเราป่วยหรือไม่ป่วยอยู่ที่จิตวิญญาณทั้งหมด แล้วผ่าตัดยังไงก็ไม่เจอจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นวงการแพทย์ทั่วโลกไม่ว่าแพทย์แผนใดก็ตาม จึงรู้แค่ร่างกาย วัตถุที่มองเห็นเท่านั้น แต่ตัวที่ควบคุมนั้นมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าควบคุมด้วยอะไร เมื่อไม่รู้ความเป็นไป ย่อมรักษาโรคไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น เวลาอากาศร้อนมากๆ หนาวมากๆ เราจะรู้สึกไม่สบาย จิตวิญญาณเมื่อถูกความร้อนมากๆ หนาวมากๆ ก็จะสังขารสังเคราะห์ความรู้สึกทุกข์ทรมานให้เรา จิตวิญญาณเป็นตัวสร้างความรู้สึกนั้น
พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในพระไตรปิฎกอายตนสูตรว่า หลักการที่ทำให้แข็งแรงอายุยืนนั้น ถ้าเกิดสภาพสุขสบาย เบากาย มีความเป็นอยู่ผาสุก คนจะแข็งแรงอายุยืน
ถ้าร้อนเย็นไม่สมดุลก็จะสังเคราะห์ความรู้สึกไม่สบาย ไม่เบากาย ไม่มีกำลัง ทำให้เจ็บป่วยมาก และมีอายุสั้น
ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า จงเชื่อความจริงในความรู้สึกของเราในชีวิตของเราว่า เราทำสิ่งนั้นแล้ว เราสบาย เบากาย มีกำลัง เป็นอยู่ผาสุก แสดงว่าเราจะอายุยืนแข็งแรง
โรคภัยไข้เจ็บจะลดลง แต่ถ้าไม่สบาย ไม่เบากาย ไม่มีกำลัง ไม่เป็นอยู่ผาสุก แสดงว่าเราจะอายุสั้นและก็มีโรคมาก
ดังนั้น การรักษาแบบใดก็ตามหรือพฤติกรรมแบบใดก็ตาม ตำราแบบใดก็ตามที่มีอยู่เกลื่อนโลกตอนนี้ ถ้าทำแล้วรู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง เป็นอยู่ผาสุก แปลว่าวิธีการนั้นถูกกับเรา ณ เวลานั้น
ส่วนถ้าตอนอื่นมันไม่สบาย ไม่เบากาย ไม่มีกำลัง ไม่มีความเป็นอยู่ผาสุก แสดงว่าวิธีการนั้นก็ไม่ถูกกับเราตอนที่เราไม่สบายนั่นแหละ
หรือ ณ ปัจจุบัน วิธีการใดที่ตำราจะบอกว่าดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราทำไปแล้วไม่สบาย ไม่เบากาย ไม่มีกำลัง ไม่เป็นอยู่ผาสุก แสดงว่าสิ่งนั้นไม่ถูกกับเรา สิ่งนั้นทำให้เรามีโรคมากและอายุสั้น
ยกตัวอย่างเช่น บางคนรู้สึกสบายถ้าน้ำหนักขนาดนี้ ถ้ามากหรือน้อยกว่านั้นอาจเป็นไปได้ที่จะป่วย บางคนผอมๆ จะสบาย บางคนออกไปทางอ้วนๆ หน่อยจะสบาย ดังนั้น จะเอาน้ำหนักมาวัดความแข็งแรงไม่ได้ หรือผลเลือดก็ตาม สมมติว่าคนที่อยู่เมืองหนาวกินน้ำน้อยจึงจะรู้สึกสบาย และเลือดจะเข้มข้น ส่วนคนที่อยู่เมืองร้อน ต้องกินน้ำมากจึงจะรู้สึกสบาย ฉะนั้น เวลาไปตรวจเลือด เลือดก็จะเจือจาง
การตรวจผลเลือดหรือธาตุต่างๆ ในร่างกายของคน 2 กลุ่มนี้ คนเมืองหนาวกับคนเมืองร้อน ซึ่งปฏิบัติให้ตัวเองรู้สึกสบายเหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติต่างกัน ดังนั้น เมื่อส่วนประกอบในร่างกายไม่เท่ากัน จะไปเอามาตรฐานของเมืองหนึ่งมาเทียบกับอีกเมืองหนึ่งไม่ได้
หรือแม้แต่เรื่องอาหาร คนอยู่เมืองหนาวต้องกินอาหารที่มีธาตุร้อนบ้างจึงจะรู้สึกสบาย ส่วนคนเมืองร้อนก็ต้องกินอาหารที่มีธาตุเย็นมากหน่อย จึงจะรู้สึกสบาย
ดังนั้น ความปกติที่แท้จริง ตัวเราเองจะเป็นผู้รู้ เพราะจิตวิญญาณรู้ว่าจะเอาธาตุอะไรเข้ามาสังเคราะห์แล้วเราจะรู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง เป็นอยู่ผาสุกที่สุด
• รู้จักหมอเขียว “ใจเพชร กล้าจน”
การศึกษา
: วิทยาศาสตร์สุขภาพ สาขาสาธารณสุข มสธ.
: วิทยาศาสตรสุขภาพ สาขาบริหารสาธารณสุข มสธ.
: สำเร็จการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนไทย,
แนวคิดและทฤษฎี การแพทย์แผนไทย เภสัชพฤกษศาสตร์ เวชกรรมแผนไทย, ธรรมานามัย และสังคมวิทยาการแพทย์ มสธ.
: ศึกษาและอบรมด้านการแพทย์ทางเลือกจากประเทศมาเลเซีย และจีน ไต้หวัน
: ปริญญาเอกวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสาธารณสุขชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ
ประสบการณ์การปฏิบัติงาน
: โรงพยาบาลหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร (พ.ศ.2535-2540)
: สถานีอนามัยบ้านนิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึก จังหวัดมุกดาหาร (พ.ศ.2540-2545)
: สำนักงานที่ปรึกษาด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2546-2548)
: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร (พ.ศ.2548)
: โรงพยาบาลอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ (พ.ศ.2548- ปัจจุบัน)
ตำแหน่งหน้าที่และการงานปัจจุบัน
: นักวิชาการสาธารณสุข กลุุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลอำนาจเจริญ
: นักบำบัดสุขภาพทางเลือก และครูฝึกแพทย์แผนไทย สถาบันบุญนิยม
: หัวหน้าฐานงานสุขภาพบุญนิยม สวนป่านาบุญดอนตาล (ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง) สวนป่านาบุญ จังหวัดมุกดาหาร
: ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือกวิถีธรรม กระทรวงสาธารณสุข
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 141 กันยายน 2555 โดย กองบรรณาธิการ)