มีดีกรีเป็นพระเอกช่อง 7 ที่มีงานต่อเนื่อง ได้รับความนิยมมีแฟนคลับเหนียวแน่น ไม่แพ้พระเอกร่วมวงการคนอื่น เรียกว่าใช้ชีวิตท่ามกลางแสงสีของวงการ “มายา” ที่ว่ากันว่า แวดล้อมไปด้วยสิ่ง “เร้า” ที่พร้อมจะฉุดรั้งให้เสียผู้เสียคนได้อย่างง่ายดาย
แต่ “อ๊อฟ” ชนะพล สัตยา หนุ่มเขี้ยวมหาเสน่ห์ขวัญใจจอแก้ว ขอยกมือแย้งว่า เรื่องแบบนี้จะโทษคนอื่น หรือสิ่งแวดล้อมคงไม่ได้ เพราะจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวทำ
นอกจากจะมีมุมมองชีวิตที่อยู่บนเหตุและผล และไม่โยนบาปให้คนอื่นแล้ว เขาคนนี้ยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องราวของ “ธรรมะ” ที่ซึมลึกอยู่ในจิตใจและการกระทำของหนุ่มที่อยู่ในวัยใกล้แตะเบญจเพสคนนี้
• ใช้บุญบำบัดความเครียด
มากกว่าไปเที่ยวผับ
“ผมเป็นคนสงขลา ตั้งแต่เด็กเป็นคนชอบทำบุญอยู่แล้ว เพราะคุณแม่เป็นคนปลูกฝัง ตั้งแต่เด็กผมจะเป็นคนพาแม่ไปใส่บาตรทุกเสาร์อาทิตย์ คุณแม่จะให้ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งและให้ผมตักบาตรด้วยเลย วันไหนที่เป็นวันพระ คุณแม่ก็จะให้ไปถวายเพลพระ ไปนั่งฟังเทศน์
ผมก็ซึมซับตั้งแต่นั้นมา จนมาเข้าวงการผมก็ยังทำอยู่ โตขึ้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังทำอยู่ สิ่งที่ได้คือความสบายใจ รู้สึกดีขึ้น เวลาที่เข้าวัดรู้สึกว่าทุกอย่างมันโล่งไปหมด เหมือนเราได้ความเย็นใจจากที่เราได้ทำบุญ แล้วการที่ผมไปทำบุญ ผมไม่ได้ต้องการอะไร แต่ทำเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมากกว่า
ผมใช้ธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไปไหนมาไหนขอพรก่อน ก่อนจะเดินทางเป็นเรื่องสำคัญมาก ขอให้เรามีสติมากขึ้น เราไม่รู้หรอกว่าพระองค์ไหนจะศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าถ้าใจเราศรัทธาเราก็อุ่นใจ และใช้เตือนสติเราได้เรื่องขับรถขับราให้ระวัง แล้วการที่เรามีธรรมะมันทำให้เราได้ใช้สติมากขึ้น ค่อยๆ แก้ปัญหาได้มากขึ้น
ส่วนใหญ่คนที่ผมรู้จักจะชอบทำบุญ ชวนกันไปไหว้พระขอพร ก็เลยทำให้เราชักชวนกันไปแนวทางนี้มากกว่า วันไหนว่างตรงกันเราก็จะชวนกัน เผื่อเราจะช่วยให้เขาได้ทำบุญตรงนี้ด้วย โชคดีที่เรารู้จักคนที่ชอบทำบุญเหมือนกันครับ
ปกติผมเป็นคนไม่เที่ยว ผับนี่แทบจะไม่เที่ยวเลย ผมชอบไปหาร้านนั่งทานข้าวมากกว่า ถ้ามีดื่มก็นิดหน่อยตามร้านอาหาร เรียกว่าแทบจะไม่ออกไปไหน เดินห้างสรรพสินค้าก็น้อย คือใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งเลยครับ”
• แม่ส่งบุญให้ทางโทรศัพท์
ด้วยความที่คุณแม่ก็เป็นคนอยู่ในศีลในธรรม และทำบุญเป็นกิจวัตรประจำวัน ทุกเช้าหลังจากแม่ตักบาตรเสร็จก็จะต้องโทร.มาปลุกให้เขารับส่วนบุญทุกครั้ง ซึ่งนอกจะทำให้ได้อานิสงส์นี้ไปด้วยแล้ว เขายังได้รับรู้ถึงความรักที่แม่มีให้อย่างล้นเหลือ
“ผมกับแม่อยู่คนละบ้านกัน ก่อนไปทำงานคุณแม่ก็จะตื่นเช้าและไปตักบาตร พอตักบาตรเสร็จคุณแม่ก็จะโทร.มาหาผมแล้วก็บอกว่า น้องอ๊อฟรับส่วนบุญนะลูก แม่ทำบุญให้หนู ให้หนูสาธุเอา ผมก็จะสาธุครับแม่ คือตั้งจิตดีๆ แล้วก็รับบุญตรงนี้ไป แม่ทำแบบนี้ทุกวันครับ”
• สะสมบุญไว้ ถึงกุศลจะเห็นชาติหน้า
ก็ขอให้ทำไว้ก่อนดีที่สุด
เมื่อหลายปีก่อนมีหมอดูทัก ดวงจะเหมือนอดีตพระเอกหนุ่ม “จอห์น ดีแลน” ที่ชะตาถึงฆาตด้วยอุบัติเหตุ แต่เขาเชื่อเหลือเกินว่า บุญกุศลที่ตนเองเคยทำ รวมถึงที่แม่ทำให้ ได้ช่วยหนุนนำให้เขารอดจากความตาย รวมไปถึงอุปสรรคทั้งปวง
“เมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อน เป็นช่วงที่เพิ่งเข้าวงการ ตอนที่ผมต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เพราะอาการปอดรั่ว ตอนนั้นมีหมอดูคนหนึ่งทักผมว่า ระวังจะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งหลังที่ผมออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นาน ต้องเดินทางไปถ่ายรายการที่ระยอง รถที่ผมนั่งไปก็ประสบอุบัติเหตุจนรถพังยับเยิน โชคดีที่วันนั้นผมไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็เคยมีคนเตือนผมมาก่อนหน้านี้เหมือนกันว่า ดวงมาแรง ระวังจะเหมือน จอห์น ดีแลน
คุณแม่ผมก็ทำบุญให้ทุกวันๆ ผมรู้สึกว่าสบายใจขึ้น ใจเย็นขึ้น ทำอะไรรอบคอบขึ้น ชีวิตมันก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่ากุศลตรงนี้ที่แม่ทำ สามารถช่วยผมได้เยอะมากเลย เพราะแม่เป็นคนทำให้ คือบุญที่คนอื่นทำให้มันไม่เท่ากับที่แม่เป็นคนทำให้ครับ ผมว่าเป็นบุญที่ประเสริฐมาก
พอเราได้ประสบกับตัวเองก็ยิ่งทำให้ผมอยากทำบุญและทำดีมากขึ้นเรื่อยๆจากที่เราเคยทำ เพราะการทำบุญมันสำคัญ คุณแม่สอนผมมาตลอดว่าบุญกับบาปมันแยกกันอยู่แล้ว ให้เราชั่งน้ำหนักดูแล้วกัน แล้วให้เราทำบุญมากกว่าบาป
เพราะบางครั้งการทำบาปของเรา เราไม่รู้ตัว บางทีการทำบาปของเรา เกิดจากคิดไม่ทันอะไรแบบนี้ก็มี หรือทำเพราะตั้งใจก็ดีไม่ตั้งใจก็ดี ท่านก็บอกว่าให้ทำบุญมากๆ บาปจะได้น้อยลง จากทำบาปเราเปลี่ยนมาทำบุญดีกว่า สะสมบุญไว้ ถึงกุศลมันยังไม่เห็นตอนนี้ แต่อาจจะเห็นชาติหน้าก็ได้ คือขอให้ทำไว้ก่อนดีที่สุด”
• วงการบันเทิงเหมือนดาบสองคม
ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง
แม้ความเป็นพระเอก จะถูกยกให้ชีวิตดูมีระดับสูงกว่าคนทั่วไป แต่เขากลับบอกว่า หลักในการใช้ชีวิตในวงการบันเทิงคือ ชอบให้คนอื่นติมากกว่าชม เพื่อให้ตนเองโตขึ้น ที่สำคัญไม่หลงระเริงกับภาพมายาเหล่านั้น
“ผมต้องการคำติมากกว่า เพราะมันเป็นอะไรที่ทำให้เราโตขึ้น อย่างเรื่องการเล่นละคร ถ้ามีคนด่าเรา แสดงว่าเราต้องพัฒนาตัวเองแล้ว แสดงว่าเราก็ต้องรู้ตัวแล้วว่า ต้องทำให้ดีกว่าเดิม ผมจะไม่โกรธคำพูดเหล่านี้ เพราะคิดว่ามันเป็นการบ้านของเรา ที่จะทำให้เราทำดีขึ้นกว่าเก่า
ส่วนเรื่องที่วงการนี้จะทำให้เสียผู้เสียคน ผมว่าอยู่ที่ตัวเราเองครับ สิ่งเร้าก็อยู่ที่ตัวเราเองเหมือนกัน ว่าเราจะคุมตัวเองอยู่มั้ย
การใช้ชีวิตในวงการบันเทิงของผมนั้น ผมตรงเวลา ผมมีสัมมาคารวะ ผมให้เวลากับงานเต็มที่ ทุกอย่างมีการช่วยเหลือกันตลอด ทำให้อยู่ได้จนถึงวันนี้ครับ
อีกอย่างหนึ่ง ผมว่าเป็นเรื่องของสติ จะทำอะไรก็ให้มีสติ ค่อยๆ ทำให้รอบคอบจริงๆ หรือถ้าเราไม่ชัวร์ก็ปรึกษาคนที่เราไว้ใจ ที่รักเรา หรือคนที่จะแก้ปัญหาให้เราได้ น่าจะดีกว่าเราทำอะไรโดยที่ไม่มีสติ แล้วทำไปแล้วไม่ดีทั้งกับเราและคนอื่น”
• อยากขอบคุณกำลังใจแฟนคลับ
และหากจะต้องขอบคุณใครสักคน ที่มีส่วนผลักดันให้มีวันนี้ เขาบอกอย่างไม่ลังเลว่า นอกจากครอบครัว และผู้ใหญ่ในวงการบันเทิงแล้ว ผู้มีพระคุณที่จะไม่มีวันลืมเลย ก็คือแฟนคลับที่รักและสนับสนุนเขาอย่างจริงใจ
“ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมีวันนี้เพราะแฟนคลับ ผมก็อยากขอบคุณพวกเขา ครั้งแรกที่ผมรู้ว่าผมมีแฟนคลับ ผมดีใจมาก แล้วทุกคนรักผมมาก ผมก็ตกใจนะ ตอนที่มาเล่นละครแรกๆ คือเราไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นกับเรา แล้วการเล่นละครของผมตั้งแต่เริ่มต้นแรกๆ ผมเล่นไม่ดีเลย แต่ยังมีคนชอบ ยังมีคนกลุ่มใหญ่ๆ ที่ชอบและปลื้มในตัวผม
ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนแรกๆ บอกกับตัวเองเลยว่า คงไม่มีใครมาชอบเราหรอก เพราะเล่นไม่ดีเลย แต่ถ้ามีก็โอเค..ขอบคุณ แต่ปรากฏมีกลุ่มแฟนคลับที่ใหญ่มาก เข้ามาสร้างเว็บบ้านรักอ๊อฟ เป็นคลับอ๊อฟ ผมรู้สึกดีใจมาก
แล้ววันที่เจอพวกเขาก็คือวันที่ผมอยู่โรงพยาบาล เพราะอาการปอดรั่ว ทุกคนเป็นห่วงผมมาก ถึงขั้นต้องแยกห้องให้แฟนคลับที่มาเยี่ยม แล้วของเยี่ยมเยอะมาก ต้องขอขอบคุณพวกเขาที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ ให้ผมมีกำลังใจ ไปไหนมาไหนก็ยังคอยถามคอยตามคอยไปด้วยกันแทบทุกที่ นอกจากครอบครัวแล้ว ก็จะมีพวกเขานี่แหละที่เป็นกำลังใจให้ผม”
• ความสุขที่แท้จริงคือ
ทำให้คนที่รัก “มีความสุข”
“เป้าหมายในวงการบันเทิง คงเป็นการรักษาชื่อเสียงให้ได้นานที่สุด ผมอยากจะเล่นละครให้ได้นานที่สุด อยู่ตรงนี้ให้ได้นานที่สุด ชื่อเสียงผมแทบจะไม่ได้มองเลยครับตอนนี้ เพราะผมเลือกที่จะอยู่ในวงการ เพราะผมรักการแสดง เมื่อก่อนผมอาจจะตอบไม่ได้เต็มปากว่าผมรักการแสดง แต่ทุกวันนี้ผมตอบได้เต็มปากเลยว่า เราอยากอยู่ตรงนี้เพราะเรารักการแสดง
แค่มีผู้ใหญ่เอ็นดูให้เราเล่นบทละครเรื่องไหนก็ตาม เราก็ดีใจแล้ว เวลาผมได้รับมอบหมายให้เล่นละครเรื่องใหม่มา ผมจะรู้สึกตื่นเต้นตลอด รู้สึกดีใจ ผมอยากจะเล่นจนกว่าเขาไม่อยากให้ผมเล่น อยากอยู่ตรงนี้ให้นานๆ
และนอกจากงานในวงการแล้ว ผมก็อยากมีธุรกิจส่วนตัวนิดๆ หน่อยๆ
ชีวิตผม ถ้าถามว่าความสุขที่แท้จริงของผมคืออะไร ผมบอกได้เลยว่า คือการได้ทำให้คนที่เรารักมีความสุข มีรอยยิ้มไปด้วย จริงๆตอนนี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรให้ที่บ้านห่วง แต่ก็มีบ้าง เรื่องที่ที่บ้านห่วงคือเรื่องสุขภาพผม ผมทำงานหนักก็ทำให้แม่ก็ห่วงพ่อก็ห่วง กลัวเราล้มป่วย แต่เราก็แสดงให้เขาเห็นว่า เราไม่ได้เป็นอะไร เวลาทำงานเราก็ดูแลเรื่องอาหารการกิน ซื้อวิตามินมาบำรุงตัวเอง”
ท้ายที่สุดแล้ว เขาเองยอมรับว่า แม้ตนเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากประสบความสำเร็จในสิ่งที่หวัง แต่ก็ไม่อยากคาดหวังจนไม่ยอมรับความจริง เพราะทุกอย่างมีสองด้านเสมอ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็มีความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ประกอบอาชีพอะไร นอกจากการหมั่นทำบุญสะสมกุศลแล้ว ถ้ารู้จักใช้ธรรมะนำทางชีวิต ต่อให้เจอเรื่องเลวร้ายขนาดไหน เราก็จะรู้สึกอุ่นใจ และมีพลังให้สามารถยืนหยัดสู้ต่อไปได้
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 141 กันยายน 2555 โดย ปีย์ญภัทธุ์)