xs
xsm
sm
md
lg

หลงกรุง-ฉันรักเมืองไทย : เมื่อฝรั่งคลั่งวิถีไทย/ไก่ อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

ก่อนอื่นต้องขออภัยอย่างสูงจริงๆ ครับต่อข้อเขียนชิ้นที่ผ่านมา หลังผมได้ทำผิดอย่างแรงอีกครั้ง ด้วยการโพสต์รูปภาพที่ผิดฝา-ผิดคนที่ถูกเขียนถึงขึ้นไป

ก็ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งกับการทักท้วงที่มีเข้ามาถึงเรื่องนี้...เช่นเดียวกับความคิดเห็นในประเด็นอื่นๆ

ไม่ได้จะมาแก้ตัวหรือว่าอะไร เพียงแต่อยากจะเรียนว่าหลายความเห็นนั้นผมอ่านแล้วและขอตัดสินเอาเองนะครับว่า เข้าใจอะไรบางอย่างในความคิดของผมผิดไปไกลทีเดียว...ทว่าเรื่องนี้คงจะไปโทษใครไม่ได้อีกนั่นแหละ เพราะผมเองเป็นฝ่ายที่ "สื่อ" เนื้อ "สาร" ออกไป ดังนั้นก็ต้องเป็นผมเองที่ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนในส่วนนี้

แต่ทั้งนี้ที่อยากจะบอกก็คือ ผมเชื่อว่าผมพอที่จะแยกแยะออกครับระหว่างความรู้สึกในเวทนา-สงสาร กับสามัญสำนึกของความรู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี เหมาะสม-ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจจะไม่ถึงกับดีเลิศประเสริฐศรี แต่ผมมั่นใจว่าอย่างน้อยๆ ก็คงจะดีกว่านักการเมืองชั่วๆ หรือข้าราชการเลวๆ ที่ส่วนใหญ่เข้ามาทำอาชีพนี้ก็เพราะมุ่งแต่จะใช้อำนาจจากตำแหน่งหน้าที่ของตนเองแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวตน-ครอบครัวและพวกพ้องแต่กลับทะลึ่งลอยหน้าด้านๆ บอกกับสังคมอย่างไม่อายปากว่างานของตนคืองานที่ต้องเสียสละและทำเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ-ประชาชนนั่นแหละครับ

จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแท้แล้วแต่
...
ช่วงรอบปีที่ผ่านมามีรายการโทรทัศน์อยู่หลายรายที่ผมรู้สึกชื่นชอบและชื่นชม แต่มีอยู่ 2 รายการที่ผมว่าเหมาะเหลือเกินที่จะเขียนถึงในตอนนี้


หนึ่งก็คือรายการที่ชื่อ "หลงกรุง" ทางช่อง ไทยพีบีเอส ส่วนอีกรายการก็คือ "ฉันรักเมืองไทย" ทางช่องโมเดิร์นไนน์ ทีวี
รายการหลงกรุง
ทั้งสองรายการมีความต่างและความเหมือนกันอยู่ครับ

ที่ต่างก์คือรายการหนึ่งมีพิธีกรเป็นคนต่างชาติที่พาไปดูเรื่องราวของคนไทย ขณะที่อีกรายการหนึ่งมีพิธีเป็นคนไทยที่พาไปดูเรื่องคนต่างชาติ ส่วนที่เหมือนกันก็คือทั้งสองรายการนั้นมีเนื้อหาการนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องผูกพันกับวิถีชีวิตแบบไทยๆ ของเรานั่นเอง

เริ่มกันที่รายการแรก "หลงกรุง"

รายการนี้มีพิธีกรชื่อ "แดเนียล เฟรเซอร์" หนุ่มแคนาดาที่เดินทางท่องเที่ยวไปมาแล้วในหลายๆ ประเทศ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะถูกอกถูกใจเมืองไทยเป็นพิเศษ

ตอนที่ดูรายการนี้ใหม่ๆ พิธีกรหนุ่มคนนี้บอกว่า เขาสนใจมาเที่ยวเมืองไทยเพราะประเทศไทยของเราได้ชื่อว่าเป็น แลนด์ ออฟ สไมล์ แต่ภาพที่เขาเห็น(ในย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ)ก็คือความสับสนวุ่นวายของรถนานาชนิด ผู้คนที่หน้าดำเคร่งเครียด และเต็มไปด้วยความเร่งรีบของการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ซึ่งถึงแม้จะไม่รู้ว่า แลนด์ ออฟ สไมล์ มันอยู่ตรงไหน ทว่าตลอดเวลากว่าสิบปีที่เขาอยู่ที่เมืองไทย ไปเกือบทุกตรอกของกรุงเทพฯ เกือบทุกซอกของเมืองไทย ได้พบ ได้เห็น ได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ มากมาย นั่นที่ทำให้เขาต้องการที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่ว่าจนกลายเป็นที่มาของรายการ

ใครที่มีโอกาสได้ชมรายการหลงกรุง ผมว่าเพียงครั้งแรกคุณก็คงจะรู้สึกนึกรักพิธีกรต่างชาติคนนี้เป็นแน่แท้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดไทยที่ค่อนข้างจะชัดปร๋อ ภาพการนำเสนอของรายการที่ดูเป็นธรรมชาติเป็นกันเอง ร้อนก็บอกร้อน เผ็ดก็บอกเผ็ด ฯ รวมไปถึงเนื้อหาที่มาจากความสนใจตลอดจนความขี้สงสัยในเรื่องราวต่างๆ ของเขาที่แม้แต่คนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ เองก็อาจจะหลงลืมไปถึงคุณค่าที่ซุกซ่อน

เนื้อหาของตัวรายการหลงกรุงอาจจะไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดอะไรมากมาย แต่ต้องบอกว่าดูแล้วสนุกและน่าประทับใจ โดยเฉพาะเมื่อมาคิดว่าสิ่งต่างๆ มันคือวิถีและเอกลักษณ์ของเราเอง

ยกตัวอย่างเทปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา ที่เจ้าตัวพาไปชมการละเล่นแบบเด็กไทย ที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย ใช้วัสดุจากธรรมชาติรอบๆ ตัว เริ่มต้นกันตั้งแต่การชักว่าวที่ท้องสนามหลวง ไปจนถึง จ.สุพรรณ ทั้ง เรือบก, ลูกข่าง, หมา(ม้า)ก้านกล้วย+ศึกบางปลาม้า ฯ

หรือเลยไปเทปก่อนหน้านั้นที่เกี่ยวกับเรื่องราวข้าวแกงที่เทียบได้กับอาหารฟาสต์ฟูดของฝรั่ง แต่เทียบกันไม่ได้เลยในเรื่องของวิธีการทำและที่สำคัญก็คือเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการ

รวมถึงเทปตอน "พอเพียงหรือเพียงพอ" ที่หนุ่มแดเนี่ยลพาเพื่อนชื่อ "เกรก" ไปใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องจากเมื่อหลายปีที่ผ่านมาพิธีกรหนุ่มเคยไปฝึกงานกับมูลนิธิชัยพัฒนา ที่สวนจิตรลดา ก็เลยอยากจะรู้ว่าหลักการที่ว่านี้ภาพที่เป็นจริงนั้นเป็นเช่นไร? ด้วยการไปสัมผัสกับชีวิตของลุงสำรอง, ไปดูโครงการหลวงที่แหลมผักเบี้ย ที่มีคุณประโยชน์มากมายเหลือเกินกับชาวบ้านในละแวกนั้น ฯ
รายการฉันรักเมืองไทย
ไม่ขอเล่ารายละเอียดแล้วกันนะครับ แต่อยากจะบอกว่าดูแล้วสนุก ประทับใจ ที่สำคัญคือตื้นตันใจเป็นที่สุด

ไปที่รายการ "ฉันรักเมืองไทย" รายการนี้มีหนุ่ม "แอนดี้ เขมพิมุก" รับหน้าที่เป็นพิธีกรซึ่งเหมาะมากๆ กับการเป็นคนบ้าพลังของเขา (555 ) รวมถึงต้องขอชื่นชมว่าเจ้าตัวนั้นทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

ทุกๆ วันอาทิตย์หนุ่มแอนดี้กับฉันรักเมืองไทยจะพาเราไปรู้จักกับบรรดาคนต่างชาติที่มีเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยจนก่อเกิดเป็นความรัก หลายคนมาอยู่ประเทศไทยเป็น10 -20 ปี หลายคนบอกว่าประเทศไทยคือบ้านหลังที่ 2 ของเขา ขณะที่อีกหลายคนก็ยืนยันว่าจะขอตายบนผืนแผ่นดินไทยแผ่นนี้ซึ่งไม่ใช่แผ่นดินบ้านเกิดของตนเองเสียด้วยซ้ำไป

หลายต่อหลายตอนที่ออกอากาศดูแล้วทั้งสนุกและรู้สึกที่จะอดปลื้มใจในความเป็นคนไทยไม่ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของหนุ่มอเมริกันวัย 27 "ไบรอัน บะโรต้า" ซึ่งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกเมื่อครั้งอายุ 19 ด้วยการเป็นอาสมัครสอนภาษาก่อนจะติดอกติดใจในท้องถิ่นแดนอีสานจนต้องย้อนกลับมาอีกครั้งทั้งๆ ที่ครอบครัวนั้นก็รู้สึกเป็นห่วง ซึ่งถึงตอนนี้เจ้าตัวอยู่เมืองไทยได้ 5-6 ปีแล้ว พูดไทยสำเนียงอีสานได้ชัดแจ๋ว ภาพที่เขาเกี่ยวข้าว จับปู ตักบาตร เข้าวัด กลายเป็นที่ชินตาของคนใน จ.หนองคาย จนหลายคนยกให้เขาเป็นฝรั่งขวัญใจชาวอีสานไปแล้ว

เรื่องของ "จูเลียน กริป" นี่ก็น่าทึ่งครับ หนุ่มชาวเบลเยี่ยมคนนี้บอกว่าเขาติดยาเสพติดมาตั้งแต่วัยรุ่นเป็นเวลานานกว่า 8 ปี ใช้ชีวิตอยู่ตามท้องถนน ขโมยของ ก่อนจะได้รับการแนะนำให้มาบำบัดที่วัดถ้ำกระบอก ซึ่งที่นี่นั่นเองที่เขาได้ค้นพบชีวิตใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอะเจอมาก่อน เขาได้บวชพระเป็นเวลานานกว่า 8 ปี ก่อนจะสึกออกมาใช้ชีวิตอย่างสมถะ เลี้ยงหมู ปลูกผัก ทำนา นั่งสมาธิวันละ 2 ครั้งเช้าเย็นวันละ 30 นาที รวมถึงการเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิชีวิตใหม่
ส่วนที่สุดๆ เลยเห็นจะเป็นเรื่องของ "ดีแลน โจนส์" หนุ่มออสซี่ที่คลั่งอาหารไทยมากๆ ถึงขนาดหาซื้อตำราอาหารไทยโบราณซึ่งเป็นหนังสือภาษาไทยและแต่ละเล่มนั้นมีความเก่ามากๆ มาศึกษา จนกระทั่งกล้าหาญชาญชัยที่จะเปิดอาหารไทยขึ้นในบ้านเราอย่างไม่เกรงใจประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าตำรับแต่อย่างใด

แนวคิดหนึ่งที่ผมชอบมากๆ ของหนุ่มชาวต่างชาติคนนี้ก็คือ เขาบอกว่าเวลาคนไทยไปเปิดร้านอาหารที่เมืองนอกนั้นมักจะมีการเปลี่ยนแปลงรสชาติแบบอาหารไทยแท้ๆ เพื่อให้ชาวต่างชาติทานได้ พอชาวต่างชาติเข้ามาเมืองไทยก็เลยคุ้นเคยรสชาติที่ว่า พลอยทำให้คนไทยในประเทศไทยต้องทำอาหารรสชาติให้เข้ากับชาวต่างชาติทานอีก ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นชาวต่างชาติเองที่สมควรจะต้องปิดลิ้นตนเองเพื่อซึมซับรสชาติของอาหารแบบไทยแท้ๆ ซึ่งเขายืนยันว่ารสชาติอาหารไทยนั้นเป็นอะไรที่วิเศษมากๆ เพราะทั้งจัดจ้าน แถมยังผสานความเผ็ด เปรี้ยว หวาน มัน เค็มให้อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมชอบก็คือการเลือกใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหารซึ่งแกช่างเลือกมากครับ อย่างน้ำตาลปี๊บนี่แกเล่นลุยเข้าไปซื้อจากชาวบ้านถึงในสวนซึ่งจะเป็นแบบแฮนด์เมด ชาวบ้านๆ ทำกันเองแบบบ้านๆ สดๆ

ที่น่ารักก็คือ ถึงขนาดที่ว่านี้ แต่เขาก็ยังถ่อมตนว่าอย่างไรเสียเขาคิดว่าคนที่จะเข้าถึงอาหารรสชาติแบบไทยๆ ได้ดีที่สุดก็คือคนไทยนั่นเอง

ที่สุดๆ อีกเรื่องก็คือเรื่องราวของครอบครัว "วิลเลี่ยม" ครอบครัวใหญ่จากอเมริกาที่มีจำนวนสมาชิกถึง 15 คน คือพ่อ-แม่ ลูกสาว 8 คน และลูกชาย 5 คน ซึ่งจุดเริ่มต้นของการเข้ามาเมืองไทยนั้นทางด้านของคุณ "ไข่มุก วิลเลี่ยม" เผยว่าตนเองมาเที่ยวเมืองไทยกับเพื่อนเมื่อ 20 ปีที่แล้วและเกิดความรักและประทับใจมากๆ จึงตัดสินใจซื้อบ้านที่เมืองไทยและพาสามีและบรรดาลูกๆ มาอยู่ด้วย

สำหรับครองครัวของวิลเลียมนั้นแม้ทั้งหมดจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นฝรั่งแท้ๆ แต่หัวใจนั้นต้องบอกว่าไทย 100% ถึงขนาดที่ต่างก็พากันบอกว่าตัวเองเกิดผิดประเทศ โดยสิ่งที่ครอบครัวนี้เทิดทูนและให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่งก็คือองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของเรานั่นเอง

ทั้งนี้กิจวัตรทั่วๆ ไปของเด็กๆ ในครอบครัวนี้ก็คือการเรียนรู้เกี่ยวกับนาฏศิลป์ไทยต่างๆ ทั้งการรำ การฟ้อน ฯ การทำอาหารไทย ฯ รวมไปถึงการทำหน้าที่เป็นจิตรอาสาเข้าไปสร้างความสุขให้กับคนป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นประจำทุกๆ เดือน โดยผู้เป็นมารดาของครอบครัวนี้บอกว่าเธออยากให้ลูกๆ ของตนเองมีนิสัยที่น่ารักแบบคนไทย เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมการให้ และมีความสุภาพอ่อนน้อม มีความกตัญญู ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากๆ

นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของ "เดวิส ฟาวด์" ช่างภาพชาวอังกฤษผู้หลงใหลชีวิตแบบพอเพียงและอยู่เมืองไทยมา 25 ปีแล้วโดยไม่เคยกลับบ้านเกิดเลย, "โยฮันเนส ไฮน์ริช แลนแซ่น" ชาวเยอรมันที่อุทิศตนในการทำงานให้กับโครงการหลวงที่ศูนย์ทดลองกาแฟช่างเขี่ยน ดอยสุเทพ, "โคอิชิ มิซุทานิ" หนุ่มจากแดนซากุระที่ผูกพันวิถีชีวิตแบบไทยๆ, "มะลิ ซากาโมโต้" สาวญี่ปุ่นที่หลงรักเมืองไทย, "เจฟ รูเธอร์ฟอร์ด" เกษตรกรแห่งแม่ริม, "แพทริก เคิร์ก กิลล็อค" ฝรั่งที่รับรางวัลคนดี 76 คนของไทย และอีกมากมายหลายต่อหลายคน

ต้องบอกว่าไม่น่าแปลกแต่อย่างใดครับกับการที่จะมีชาวต่างชาติหลายต่อหลายคนจะมาหลงใหลในวิถีที่เรียบง่าย การดำเนินใช้ชีวิตที่ไม่จำเป็นต้องหรูหราฟุ่มเฟือยของบ้านเรา เนื่องเพราะพวกเขาหรือว่าพวกเธอได้พิสูจน์แล้วว่าแนวทางรูปแบบการใชีชีวิตชีวิตอย่างรู้จักพอเพียงที่ว่านี้เป็นสิ่งที่สามารถสร้างความสุขให้กับชีวิตของพวกเขาและเธอตลอดจนสังคมโดยรวมได้จริงๆ

ที่สำคัญเป็นความสุขที่ตั้งอยู่บนความจีรัง-ยั่งยืนที่เคียงข้างควบคู่ไปกับธรรมชาติและทรัพยากรที่บ้านเรามีอยู่ได้อย่างลงตัว

เรื่องน่าเศร้าก็คือ ขณะที่พวกเขาและเธอเหล่านี้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นชาวต่างชาติได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงแนวทางที่ว่านี้ว่าดีจริง แต่ปัจจุบันกลับมีคนไทยเราเองทั้งหัวหงอก หัวดำ จำนวนไม่น้อยที่ดูแคลนแนวคิดเหล่านี้ แถมยังไปชื่นชมนิยมกับใครก็ไม่รู้ที่มีเพียงวาทะกรรมสวยๆ หรูๆ ซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเอาไว้เผยแพร่ความคิดเห็นของตนเองด้วยความรู้สึกถึงความเป็นคนเก่ง มีหัวสมัยใหม่ เท่ห์ โก้ เก๋ ไก๋

ใครจะรู้สึกอะไรก็รู้สึกไปครับ แต่ผมเห็นคนพวกนี้แล้วสมเพช!








กำลังโหลดความคิดเห็น