xs
xsm
sm
md
lg

พลิกชีวิต : "ไกรวิทย์ พุ่มสุโข" โอกาสคือสิ่งสำคัญ ความฝันคือแรงบันดาลใจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลายคนคงแปลกใจที่อยู่ๆ ดารานักร้องชื่อดังอย่าง ‘ไกรวิทย์ พุ่มสุโข’ ซึ่งหายหน้าหายตาไปจากวงการหลายปี ได้กลับมาในลุคใหม่กับการเป็น ‘แฮร์ดีไซเนอร์’ หรือนักออกแบบทรงผม ซึ่งเป็นอาชีพที่แตกต่างจากการเป็นนักแสดงโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญเขายังประสบความสำเร็จในอาชีพนี้อย่างรวดเร็ว ได้รับการยอมรับทั้งจากแวดวงแฟชั่น วงการบันเทิง ลูกค้าระดับไฮโซ และยังมีเจ้าของผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมแบรนด์ดัง ที่ว่าจ้างให้เขาเป็นอาร์ตติสติก ดีไซเนอร์อีกด้วย

• ก้าวแรกในวงการบันเทิง

ไกรวิทย์เท้าความถึงชีวิตในวัยเยาว์ก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาเป็นนักร้องนัก แสดงว่า ตอนเด็กๆเขาเป็นคนขี้อายแต่ด้วยความที่มีใจรักดนตรี จึงหัดเล่นกีตาร์ กับพี่ชาย กระทั่งได้เข้าประกวด

“คนที่จุดไฟให้ผมจริงๆคือพี่ตู่-นันทิดา (นันทิดา แก้วบัวสาย อัศวเหม) ดู พี่ตู่ประกวดร้องเพลงก็รู้สึกว่า โห....พี่เค้า ดูสง่าจังเลย ตอนนั้นประมาณมัธยมต้น เราก็ขวนขวายมาเรื่อย คือแต่ก่อนมันไม่ได้มีช่องทางให้เราทำเยอะแยะเหมือนสมัยนี้ ก็นั่งฟังวิทยุกับน้องชาย รายการชื่อหน้าต่างดนตรี ซึ่งจัดโดยพี่แป๋ว - วราวรรณ เขาก็ให้เด็กๆเขียนเพลงแล้วก็อัดเสียงร้องส่งเข้าไป ปรากฏว่าเราได้รับเลือกและให้ไปร้องในรายการวิทยุ

แล้วพี่แป๋วก็เอาเพลงนี้ส่งเข้าประกวดกับสยามกลการ แล้วให้เราไปร้อง ตอนนั้นอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2 แล้ว แต่ด้วยความตื่นเต้น เลยทำได้ไม่ดี แต่ไปเข้าตาพี่ปุ๊ก-จิตรนารถ วัชรเสถียร โปรดิวเซอร์ของพี่ปุ๊-อัญชลี จงคดีกิจ ที่มาเป็นกรรมการ เขาก็ชวนไปออกเทป แล้ววันนั้นมี 3 คนติดต่อเข้ามา 3 รายเลยนะ คือผมอาจจะเป็นเทรนด์ที่ขายได้ในช่วงนั้นไง คือ ขาว สูง หน้าตาจิ้มลิ้ม ก็ได้ทำอัลบัมชื่อ ‘มันอยู่ที่ใจ’ นี่คือก้าวแรกในวงการบันเทิง

โชคดีที่ผมได้เป็นตัวแทนประเทศไทย ไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในกลุ่มอาเซียน แล้วก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนคนไทยไปแข่งในงานอาเซี่ยน ซิงกิ้ง คอนเทส ได้ไปโชว์ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ในขณะที่เราเป็นนักร้องหน้าใหม่ ได้ทำงานดีๆ ได้รับการติดต่อจากโปรดิวเซอร์ต่างประเทศให้ไปออกอัลบั้ม

แต่ด้วยความเป็นเด็กแล้วทุกอย่างมันมาเร็วมาก เราตั้งรับไม่ทัน ก็เลยเอาเฉพาะงานในประเทศก่อนดีกว่า จากนั้นงานหนังงานละครก็ตามมา ได้เป็นพิธีกร ได้เล่นละครเวที แต่ว่างานเพลงกลับซาลงไปเรื่อยๆ เพราะเพลงของเราออกแนวผู้ใหญ่ ขณะที่ตลาดเพลงบ้านเราเป็นเพลงวัยรุ่น ส่วนมากผมจะได้รับเชิญร้องเพลงในงานใหญ่ๆ ที่เน้นคุณภาพเสียงมากกว่า”

• มรสุมชีวิต

แม้จะได้โลดแล่นอยู่ในวงการแสดง มีงานภาพยนตร์หลากหลายแนวมาให้พิสูจน์ความสามารถมากมาย กระทั่งได้เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากบทแมงดา ในละคร เรื่อง ‘ชั่วโมงที่ 25’ แต่วันหนึ่ง ไกรวิทย์ก็เริ่มรู้สึกอิ่มกับงานนี้ เพราะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ตัวตนของเขา จึงผันตัวไปผลิตรายการเกี่ยวกับสุขภาพและความสวยความงาม ชื่อรายการ ‘ฟ้าใสกับไกรวิทย์’ ด้วยความที่รายการออกอากาศในช่วงเช้าซึ่งสมัยนั้นขายโฆษณายาก แต่ไกรวิทย์ ก็อดทนสู้จนกระทั่งรายการติดตลาด มีโฆษณาเข้าถึงขนาดที่ทำสัญญาซื้อโฆษณาข้ามปี

แต่แล้วก็เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง เมื่ออยู่ๆทางผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท.ก็ประกาศยกเลิกผังรายการ กระทันหัน เพื่อเซ็ตรูปแบบรายการใหม่ ทำให้รายการ ‘ฟ้าใสกับไกรวิทย์’ ต้องยุติการออกอากาศโดยไม่ได้รับค่าชดเชยใดๆ ทั้งที่ได้เซ็นสัญญาขายโฆษณาไปแล้ว ซึ่งมรสุมชีวิตครั้งนี้ ทำให้ไกรวิทย์ตัดสินใจทิ้งเมืองไทยและเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ

การใช้ชีวิตที่เมืองนอกไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งเรื่องค่าครองชีพที่แพงลิบลิ่ว และการแข่งขันค่อนข้างสูง ประกอบกับการเป็นคนเอเชียทำให้ไกรวิทย์ต้องต่อสู้และอดทนอย่างมาก เขาเริ่มงานแรกที่ประเทศแคนาดาด้วยการเป็นเซลขายเสื้อผ้า

“ตอนนั่งอยู่บนเครื่องบิน เครื่องกำลังเหินขึ้นไป มองลงมานี่ ผมนั่งน้ำตาไหลเลย.. เอาจริงเหรอ ที่นี่เราเกิด เติบโต มีชื่อเสียงมาขนาดนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย นั่งร้องไห้ไม่อายคนเลย การไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกก็ไม่ง่ายนะ แต่ก็ยอมรับว่าชีวิตในวงการบันเทิงมันสอนให้เราอดทน แต่จุดหนึ่งก็ทำให้เรามั่นใจในตัวเอง ไปสมัครงานที่ไหนก็ได้หมด

ผมไปเป็นเซลขายเสื้อผ้าได้ไม่เท่าไร ยอดขายของผมขึ้นมาเป็นท็อปเซลเลย แต่รู้สึกแย่ว่าความที่เราเป็นเอเชีย บางทีเราถูกมองเป็นประชาชนชั้นสอง ดูถูกเราทั้งที่เราเป็นตัวท็อปนะ พูดใส่หน้าเราว่า... ไม่ต้องคิดนะว่ายูเก่ง ตอนนั้นโมโหมาก ถามกลับไปว่า... ยูรู้ไหมฉันเป็นใคร อยู่เมืองไทยนี่ฉันป็นสตาร์นะ ก็ไม่รู้พูดไปทำไมเหมือนกัน (หัวเราะ) ฉันทำยอดขาย ขนาดนี้พวกยูยังมาดูถูกฉัน

ผมร้องไห้แล้วก็เดินออกมาจากร้าน เลยจำได้ว่าเดินร้องไห้บนถนนร็อบสันซึ่งเป็นช้อปปิ้งสตรีท เดินร้องไห้แบบไม่อายใครเลย ตอนนั้นไม่สบายด้วย มันล้า ปวดตัวไปหมด แล้วยังมาโดนดูถูกอย่างนี้อีก พอดีเพื่อนที่เป็นไต้หวันเดินมาเจอ เขาก็น่ารักมาก เข้ามาปลอบใจ พาไปกินข้าว หลังจากนั้นผมก็ป่วยเลย กินไม่ได้ น้ำหนักลดไป 3 กิโล ไปหาหมอ หมอก็บอกไม่ได้เป็นอะไร เราคงเครียดน่ะ เพราะมันเหมือนเป็นตะคริวในท้องอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นก็อยากกลับเมืองไทยมาก แต่พอหายก็ไม่ได้กลับ แต่ได้ลุกขึ้นมาสู้ใหม่” ไกรวิทย์ เล่าถึงช่วงที่ทุกข์ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต

• ค้นพบงานที่รัก

ในที่สุดเขาก็ได้พบกับงานที่เขารักจริงๆ โดยหลังจากที่ไปเรียนทำผมเป็นงานอดิเรก ไกรวิทย์ก็ค้นพบว่า ช่างผมเป็นงานที่ทำให้เขามีความสุข ได้ใช้ไอเดียสร้างสรรค์ในการออกแบบ สามารถเรียนรู้ได้ไม่รู้จบ เป็นงานที่มีอิสระและเป็นเจ้านายตัวเอง ซึ่งนับว่าไกรวิทย์เดินมาถูกทาง และอาจเป็นการค้นพบพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัว อย่างที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะไกรวิทย์สามารถพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วชนิดที่ฝรั่งยังตามไม่ทัน เมื่อเขาเรียนจบ อาจารย์ฝรั่งถึงกับเอ่ยปากชวนให้เขาไปช่วยสอนที่โรงเรียน

ไกรวิทย์โชคดีที่ได้เรียนตัดผมขั้นพื้นฐานกับอาจารย์ที่เป็นชาวจีน ทำให้มีความคุ้นเคยกับลักษณะเส้นผมของคนเอเชีย และได้เรียนรู้เทคนิคการตัดแบบเดิมๆ ซึ่งน่าสนใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ได้เรียนกับอาจารย์ฝรั่ง

“หลังจากเรียนการตัดผมขั้นพื้นฐานกับเรย์ ซึ่งเป็นอาจารย์ชาวจีนจบ ผมก็ไปเรียนต่อที่โจจี้ แฮร์บิวตี้ สคูล แล้วก็โชคดีที่ผมได้ไปทำงานที่แวนคูเวอร์ แฮร์โชว์ ไปดูแลงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะ จากนั้นก็มาเปิดร้านของตัวเองอยู่ที่แคนาดา ลูกค้าดี รายได้ดี

แต่ด้วยความที่คิดถึงบ้าน แล้วบังเอิญ คุณแม่โทร.มาถามว่า จะกลับเมืองไทยเมื่อไร ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับพี่ที่มาพักอยู่ด้วย บอกว่าคุณแม่เขาเสีย แล้วเขากลับไปดูใจไม่ทัน เราก็เลยเริ่มนึกถึงตัวเอง เลยตัดสินใจขายทุกอย่างหมด แล้วก็กลับมาอยู่เมืองไทย หลังจากไปอยู่ที่แคนาดาถึง 7 ปี” ไกรวิทย์พูดถึงเส้นทางการเป็นช่างผมในช่วงเริ่มแรก

• ‘แฮร์ ดีไซเนอร์’
อนาคตไกล


หลังจากกลับมาอยู่เมืองไทย ไกรวิทย์ก็เข้าไปช่วยร้านทำผมของพี่สาวที่สีลมอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะได้พบกับ ‘สมศักดิ์ ชลาชล’ ช่างผมแถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งได้ชักชวนให้ไกรวิทย์ไปช่วยงาน

“ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งของชีวิต เมื่อ 2 ปีที่แล้วได้มาเจอพี่สมศักดิ์ซึ่งเป็นท็อปของวงการ ถือว่าโชคดีนะ พี่สมศักดิ์ เป็นคนที่ให้โอกาสกับผมอย่างมาก ซึ่งผมนึกถึงบุญคุณตรงนี้เสมอ ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรเยอะ ได้สร้างคอนเนกชั่น

พี่สมศักดิ์ก็ให้ไปช่วยดูแลร้านซารอน เดอ กูรู ที่คริสตัล พาร์ค ดูแลได้ปีหนึ่ง พี่สมศักดิ์ก็บอกว่า..ถึงเวลาแล้วนะ เธอน่าจะมีกิจการของตัวเอง ซารอน เดอแบงคอก ที่ดิเอ็มโพเรียม เนี่ยะ ฉันว่าน่าจะเหมาะ เธอสนใจไหม ผมก็เลยซื้อกิจการต่อจากพี่สมศักดิ์ ถึงปัจจุบันร้านนี้ก็ทำมาปีหนึ่งได้แล้ว” ไกรวิทย์เล่าถึงเส้นทางในวงการช่างผมไทยที่เขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน ไกรวิทย์ได้รับการยอมรับว่าเป็นแฮร์ ดีไซเนอร์ อันดับต้นๆของเมืองไทย กลายเป็นไอดอลคนรุ่นใหม่ที่ฝันจะเติบโตในเส้นทางแฟชั่น นอกจากเขาจะเป็นเจ้าของร้านตัดผมสุดหรู ซึ่งมีเซเลบ ไฮโซ และศิลปินดารามาใช้บริการกันอย่างคับคั่งแล้ว ไกรวิทย์ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นอาร์ตติสติก ดีไซเนอร์ของ ‘แมทริกซ์’ ผลิตภัณฑ์ทำสีผมในเครือบริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) และเป็นแฮร์ดีไซเนอร์ ให้กับกองถ่ายละครหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งงานเหล่านี้ล้วน แต่เป็นงานที่ต้องใช้ทั้งฝีมือ ความคิดสร้างสรรค์ บวกกับพรสวรรค์ ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้

• หยิบยื่นโอกาสให้ผู้อื่น

ไกรวิทย์บอกว่า แม้ชีวิตของเขาจะพลิกผันหลายครั้งหลายครา พบเจอทั้งสุขและทุกข์ จนได้มายืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาชีพช่างผม แต่สิ่งหนึ่งที่เขายึดมั่นอยู่เสมอคือ การไม่ละทิ้งโอกาสที่ผ่านเข้ามา และไม่เคยลืมบุญคุณของผู้ที่หยิบยื่น โอกาสเหล่านี้ให้เขา
และตอนนี้เขากำลังเป็นผู้ที่หยิบยื่นโอกาสให้กับผู้อื่นบ้าง

โดยไกรวิทย์ได้ร่วมกับแมทริกซ์และกระทรวงศึกษาธิการ จัดอบรมการทำผมให้แก่สตรีที่ไม่มีอาชีพ และประสบปัญหาชีวิตที่ศูนย์สงเคราะห์และฝึกอาชีพสตรีภาคกลาง จ.นนทบุรี ซึ่งถือเป็นงานที่ทำให้เขามีความสุขและอิ่มเอมใจอย่างชนิดที่เงินก็ซื้อไม่ได้

“คือเราช่วยผู้หญิงที่ไม่มีอาชีพ ประสบปัญหาชีวิต ไม่มีงานทำ ผมก็ไปเปิดโปรแกรมสอน แล้วก็มีกลุ่มคณาจารย์ของแมทริกซ์เข้าไปเทรนให้ คือให้ทุนพวกเขามาเรียน เป็นโปรแกรมระยะสั้น 2 เดือน ซึ่งกลุ่มที่เทรนขึ้นมานี้ยังไม่ได้เป็นช่างเทรนขึ้นมาเป็นผู้ช่วย ซึ่งเขาสามารถรับสระไดร์ที่บ้านได้ ถ้าเขาไม่อยากจะก้าวต่อ

แล้วผมก็จะเลือกเด็กที่มีความสามารถ และมีความตั้งใจ มีหน่วยก้านดี โดยร่วมกับแมทริกซ์ให้ทุนเพื่อเรียนต่อ โดยอาจจะมาเทรนที่ร้านของผม ถ้าฝีมือดีก็ให้ทำงานที่ร้านเลย คือพอเรามองว่าคนนี้น่าจะไปได้ไกล เราต้องช่วยต่อยอด ถือเป็นงานที่มีความสุขและได้สร้างคน ตอนนี้ผมก็กำลังจะเปิดอีกแห่งหนึ่งชื่อ ‘สุโข ซารอน แอนด์ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์’ ซึ่งเป็นทั้งสถาบันสอนทำผมและร้านทำผม เพื่อรองรับเด็กเหล่านี้ เพราะเราสร้างเขาขึ้นมาแล้ว ก็ต้องช่วยพัฒนาและหาอาชีพให้ด้วย”

• ดูแลตัวเองและครอบครัวมากขึ้น

ไกรวิทย์บอกว่า ถึงจะประสบความสำเร็จอย่างมากในหน้าที่การงาน แต่เขาก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างหลงระเริง ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาระมัดระวัง และให้ความสำคัญกับสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือสุขภาพของตัวเอง

“ตอนนี้สิ่งที่เป็นห่วงอยู่ 2 เรื่อง คือ เรื่องสุขภาพของตัวเอง กับห่วงคุณแม่ และห่วงคนในครอบครัว เรื่องของสุขภาพเนี่ยะ พอเริ่มอายุมาก ผลจากการที่เรากินไม่ดีมาก่อนหน้านี้ กินอาหารไม่ตรงเวลา นอนไม่ตรงเวลา มันก็เริ่มแสดงผล ตอนนี้เลยต้องดูแลตัวเองมากขึ้น นอนให้พอ กินแต่ของที่มีประโยชน์ แล้วก็ออกกำลังกาย คือแต่ก่อนจะชอบวิ่งออกกำลังบนลู่วิ่ง แต่เนื่องจากประสบอุบัติเหตุตกลู่วิ่ง ทำให้หัวเข่ามีปัญหา ประกอบกับอายุมากขึ้น จึงเปลี่ยนมาว่ายน้ำแทน

ในส่วนของการดูแลครอบครัว ผมก็จะพยายามให้เวลาคุณแม่และคนในครอบครัวมากขึ้น แม้ตอนนี้เราจะได้ทำอะไรหลายอย่างที่เราอยากทำ โดยเฉพาะกับอาชีพนี้ มันมาเร็วมาก แต่เอาเข้าจริงๆสัจธรรมของชีวิต สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือครอบครัว ถ้าจำเป็นต้องเลือก ผมก็ต้องเลือกครอบครัว เพราะคนที่อยู่กับเราตอนแก่เฒ่า ก็มีแฟนเราและคนในครอบครัวเท่านั้น”

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 139 กรกฎาคม 2555 โดย กฤตสอร)



กำลังโหลดความคิดเห็น