ชาวพุทธแท้จะต้องไม่ยึดติดอิทธิปาฏิหาริย์ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ควบคู่กับผู้คนมานาน ก็คือความเชื่อเรื่อง อิทธิปาฏิหาริย์ทั้งที่เกิดจากการกระทำของ มนุษย์ และเกิดจากปรากฏการณ์ที่บอกไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร และใครเป็นคนทำ
อิทธิปาฏิหาริย์คืออะไร และทำไมคนจึงเชื่อ?
คำว่า “อิทธิปาฏิหาริย์” ประกอบด้วย คำสองคำ คือ “อิทธิ” ซึ่งแปลว่า ฤทธิ์ หรือ ความสำเร็จ ตามนัยแห่งเทศนาของพระสารีบุตรเถระ มีอยู่ 10 ประการคือ
1) ฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐาน
2) ฤทธิ์อันเกิดจากการบันดาล
3) ฤทธิ์อันเกิดจากใจ
4) ฤทธิ์อันเกิดจากการแผ่ญาณ
5) ฤทธิ์อันเกิดจากการแผ่สมาธิ
6) ฤทธิ์อันเป็นอริยะ (ในการพิจารณาธรรม)
7) ฤทธิ์อันเกิดจากผลของกรรม
8) ฤทธิ์ของผู้มีบุญ
9) ฤทธิ์เกิดจากวิชา
10) ฤทธิ์มีการประกอบถูกส่วนเป็นปัจจัย
นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์อันเกิดจากฌาณ สี่ประการ คือ ฌาณ 4 เป็นต้น
ส่วนคำว่า “ปาฏิหาริย์” หมายถึง การกระทำหรือพฤติกรรมเป็นที่น่าอัศจรรย์เหลือเชื่อ ซึ่งปกติชนทั่วๆ ไปกระทำมิได้ ดังนั้น ถ้าผู้กระทำได้ก็จะได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นคนพิเศษ หรือมหัศจรรย์เหนือคนทั่วๆ ไป
ดังนั้น เมื่อนำคำสองคำนี้มาเชื่อมต่อกัน จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากฤทธิ์
ในเกวัฏฏสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปาฏิหาริย์ที่ทรงทำให้รู้แจ้งด้วยพระองค์เอง และประกาศแล้ว มี 3 อย่าง
1) อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์
2) อาเทศนาปาฏิหาริย์ ทักทายใจได้เป็นอัศจรรย์
3) อนุศาสนีปาฏิหาริย์ สั่งสอน มีเหตุผลที่เป็นอัศจรรย์
จากนัยแห่งคำสอนทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับฤทธิ์และปาฏิหาริย์ยืนยันได้ว่า คำสอนในพระพุทธศาสนาได้ยอมรับว่า การแสดงฤทธิ์และปาฏิหาริย์ มีอยู่และเกิดขึ้นได้จริง แต่จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีการฝึกจิตด้วยการปฏิบัติตามแนวแห่งคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า สมถะและวิปัสสนา จะได้บรรลุธรรม คือฌาณ 4 และวิชา 8
แต่ผู้ที่จะบรรลุคุณธรรมในระดับนี้ได้ จะต้องเริ่มด้วยการบำเพ็ญตนให้อยู่ในศีล ครบถ้วนสมบูรณ์ตามสมควรแก่เพศและภาวะแห่งตน คือถ้าเป็นฆราวาสก็ต้อง รักษาศีลอย่างน้อยก็ศีล 5 และสูงสุดคืออุโบสถ หรือศีล 8 ข้อ แล้วเข้าสู่การปฏิบัติธรรม ฝึกจิตด้วยสมถะหรือวิปัสสนา จนได้บรรลุธรรม 2 ประการดังกล่าวแล้วจิตจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น มีหูพิเศษ และตาทิพย์ เป็นต้นได้
แต่ถ้าไม่มีการรักษาศีล ไม่มีการฝึกจิต จะบรรลุธรรมขั้นนี้ไม่ได้ และเมื่อไม่ได้บรรลุธรรม ก็จะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ไม่ได้ ถ้าอ้างว่าทำได้ก็เข้าข่ายหลอกลวง ถ้าเป็นพระภิกษุก็ต้องอาบัติปราชิกข้ออวด อุตริมนุษยธรรม ขาดจากความเป็นพระ
ถึงแม้ว่าจะบรรลุธรรม สามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามมิให้แสดงเพื่อให้เกิดลาภ เพราะจะทำให้ยึดติด และไม่สามารถล่วงและบรรลุธรรม ขั้นหลุดพ้นจากกิเลสได้
ดังนั้น ถ้าเป็นพุทธแท้จะต้องไม่ยึดติดอิทธิปาฏิหาริย์ และใครก็ตามที่ยึดติด จะต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยอำนาจแห่งกิเลสต่อไป
ดังนั้น ชาวพุทธจึงไม่ควรยกย่องสรรเสริญ ผู้ซึ่งยึดติดเช่นนี้ว่า เป็นปูชนียบุคคล ตามนัยแห่งบทสวดสรรเสริญสังฆคุณที่เรียกว่า สุปฏิปันโน และจบลงด้วยโลกสฺสาติ เพราะผู้ที่ปฏิบัติตนเยี่ยงนี้ เป็นได้ก็แต่สมมติสงฆ์ที่มีคุณวิเศษแสดงฤทธิ์ได้เท่านั้น
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 139 กรกฎาคม 2555 โดย สามารถ มังสัง)