xs
xsm
sm
md
lg

กฎแห่งกรรม : กรรมที่ทำให้ถูกสามีทุบตี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กฎแห่งกรรมเป็นสิ่งที่สลับซับซ้อน เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่แต่ละคนกระทำ เมื่อทำสิ่งใดไว้ กรรมนั้นก็ย่อมสนองแก่ตนเองไม่ช้าก็เร็ว การไม่รู้ไม่เข้าใจถึงการทำงานของกฎแห่งกรรม ทำให้หลายคนไม่ละอายต่อบาปและไม่เกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว จนกระทั่งได้ประสบกับผลของกรรมค่อยเกิดสำนึกรู้สึกถึงสิ่งที่ตนได้ตัดสินใจกระทำลงไป แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็รู้สึกว่า มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะแก้ไขได้

เรื่องต่อไปนี้เป็นอุทาหรณ์อีกอย่างหนึ่งสำหรับการดำเนินชีวิต ก่อนจะกระทำสิ่งใดไป ควรคิดพิจารณาให้ดีเสียก่อน อย่าทำตามอารมณ์ความรู้สึก มิเช่นนั้น ชีวิตอาจจะเป็นเช่นเรื่องดังต่อไปนี้

ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครอบครัวของนายสมนึก และนางวิไล ได้อยู่กินกันมานานและมีลูกด้วยกันสองคน คนโตเป็นผู้ชาย คนเล็กเป็นผู้หญิง ซึ่งดูเหมือนว่าครอบครัวนี้จะอบอุ่นและมีความสุขดี เพียงแต่ว่า ฐานะของครอบครัวค่อนข้างยากจน เงินทองก็พอมีบ้างแต่ไม่มากมายเท่าใดนัก

เมื่อลูกชายเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้ว พ่อแม่เห็นว่าคนที่ไปบวชหลายคนได้ดีมีการศึกษา และพ่อแม่ก็รู้สึกสบายใจเพราะว่าลูกชายจะได้ไม่เกเรเหมือนเด็กทั่วๆไป เหตุนี้เองพ่อแม่จึงถามลูกชายว่าอยากบวชหรือไม่ ลูกชายก็อยากบวช ในที่สุดก็พาไปบวชและฝากหลวงพ่อให้พาไปเรียนหนังสือ ส่วน “ละมัย” ลูกสาวคนเดียวนั้นพ่อแม่ก็พร้อมที่จะกัดฟันส่งลูกเรียน

ต่อมาหลายปี ละมัยก็เรียนจบปริญญาตรี และมีคนมาขอแต่งงาน เมื่อพ่อแม่เห็นว่าเธอโตเป็นสาวแล้ว ก็อนุญาตให้แต่งงานได้ ซึ่งก็เป็นปกติธรรมดาของคนทั่วไปทั้งหลายนั่นเอง แต่ดูเหมือนว่าชีวิตจะไม่ได้ราบรื่นเสมอไป มักมีอุปสรรคบ้างเป็นธรรมดา ในกรณีของละมัยก็เช่นเดียวกัน

สามีของนางละมัยนับว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เที่ยวเล่นการพนัน เป็นคนขยันขันแข็งเอาการเอางาน หลังแต่งงานไม่นานเธอก็ตั้งท้อง ซึ่งตรงนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำกรรมของเธอ

ที่บ้านของเธอเลี้ยงไก่ไว้เยอะพอสมควร ในระหว่างที่ตั้งท้อง เธอไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจ เพราะทุกครั้งที่เอาข้าวไปหว่านให้ไก่กิน เธอจะรู้สึกว่าอยากกินไก่ทุกที จึงจับไก่นั้นมาตีมาฆ่าแทบทุกครั้ง เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด 9 เดือนในระหว่างที่อุ้มท้อง!! ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่รู้สึกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เห็นไก่แล้ว อยากจะเอาไม้ไล่ตีมันทุกครั้งไป

หลังจากคลอดลูกคนแรกได้เกือบปี กรรมก็ค่อยๆ ไล่ตามสนองเธอโดยไม่รู้ตัว เธอเริ่มมีปากเสียงกับสามีบ่อยครั้งมาก จนกระทั่งในที่สุดทั้งสองคนต้องเลิกรากันไป เพราะละมัยรู้สึกว่าอยู่กับผู้ชายคนนี้แล้วไม่ค่อยมีความสุข

ละมัยคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีพอสมควร ก็คงจะหาสามีใหม่ได้ไม่ยากเท่าใดนัก และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คือ พอเลิกกับสามีเพียงไม่กี่เดือน ก็มีผู้ชายคนใหม่มาจีบ และในที่สุดก็ลงเอยกันด้วยดี

สามีคนที่สองเป็นคนเจ้าชู้ ชอบเที่ยวเตร่ อวดร่ำอวดรวย ใช้เงินเก่ง เล่นการพนัน ดื่มเหล้า ฯลฯ ซึ่งแทบจะตรงข้ามกับสามีคนแรกของเธอเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอจึงเลือกที่จะอยู่ร่วมกับผู้ชายคนนี้

การอยู่ร่วมกับสามีคนที่สองนี้ แรกๆก็ดูเหมือนว่าจะดีมาก แต่พอเวลาผ่านไปเพียงสองสามเดือน สามีคนนี้ก็เริ่มออกลายให้เห็น คือ ชอบกินเหล้า เล่นการพนันและกลับบ้านดึก เมื่อกลับมาก็ทะเลาะเบาะแว้งกันเสียงดังเป็นประจำ บางครั้งก็ด่าทอเธอว่าเป็นคนไม่ดี สามีจึงได้ทิ้งเป็นต้น

นอกจากคำด่าที่ทำให้เธอเจ็บใจอยู่เป็นประจำแล้ว บางครั้งก็มีการลงไม้ลงมือทุบตีด้วย ซึ่งแรกๆ เธอคิดว่าคงเป็นเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่า การทุบตีจะเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามเนื้อตัวของเธอจึงเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว

พ่อแม่พี่น้องของละมัยเห็นเช่นนั้น ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ได้แต่พยายามตักเตือนให้เธอระมัดระวังตัว แต่เธอก็ยังถูกทุบตีอยู่เหมือนเดิม ครอบครัวของละมัยเห็นว่าลูกสาวของตัวไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ จึงขอให้ละมัยหย่ากับสามีคนนี้ แต่ละมัยไม่ยอม

พ่อแม่พี่น้องจึงขอให้น้องชายของละมัย ซึ่งบวชเป็นพระช่วยอบรมสั่งสอน แต่พระน้องชายพูดอย่างไร ละมัยก็ไม่เชื่อฟังและไม่ยอมเลิกกับผู้ชายคนนี้

ละมัยยอมให้เขาทุบตีและด่าว่าอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่า เจ็บแล้วเจ็บอีก ไม่ยอมหนีไปไหน และไม่ยอมเลิกราเสียที หลายครั้งที่หญิงสาวต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาล แต่เธอก็ยอมที่จะอยู่กับสามีคนนี้ต่อไป

ละมัยทนเจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเกือบปี เธอจึงค่อยเห็นทางสว่าง เมื่อเธอถูกทุบตีขนาดหนักจนบาดเจ็บสาหัสมาก ถูกหามส่งโรงพยาบาล ในระหว่างที่รักษาอาการป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ก็มีเวลาได้ครุ่นคิดพิจารณาถึงการกระทำต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีต

เธอจึงรู้สึกได้ว่า การที่เธอถูกทุบตีครั้งแล้วครั้งเล่า ก็คงเป็นเพราะกรรมที่เธอเคยกระทำไว้ คือ ได้ทุบตีไก่และฆ่ากินเป็นประจำนี่เอง ระยะเวลาที่เธอมาอยู่ ร่วมกับสามีคนที่สองนี้ก็นานพอๆ กับระยะเวลาที่เธอตั้งท้องพอดี

พอคิดพิจารณาได้เช่นนี้แล้ว เธอก็ตั้งจิตปรารถนาว่า หากเป็นเพราะกรรมนี้จริง ก็ขออโหสิกรรม และเมื่อหายป่วยแล้วจะไปปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร 7 วัน และขอให้เห็นทางสว่างของชีวิตด้วย

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา อาการของเธอก็ดีวันดีคืน เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ได้ไปปฏิบัติธรรมอย่างที่ตั้งใจไว้ จุดนี้จึงเป็นเหมือนกับจุดเปลี่ยนชีวิตของเธออีกครั้งหนึ่ง เพราะเธอได้ขอหย่ากับสามีคนที่สอง และมุ่งมั่นที่จะประพฤติตนอยู่กับความดีงามตลอดไป เพราะได้ประสบกับตนเองแล้วว่า กฎแห่งกรรมนั้นมีอยู่จริง

เชื่อแน่ว่าทุกคนก็คงเคยทำความชั่วมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่หากเราไม่พยายาม ลดละความชั่วเหล่านั้นออกไปจากจิตใจให้หมดสิ้นไป สักวันสิ่งเหล่านั้นก็จะสะท้อนย้อนกลับมาหาตัวเราเอง

การทำความดีไม่มีสูญเปล่า ทำเมื่อใดก็เป็นสุขเมื่อนั้นทั้งผู้กระทำและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ในทางตรงกันข้าม หากเรากระทำความชั่วเมื่อใด ความทุกข์ก็ย่อมคืบคลาน เข้าไปสู่จิตใจเรามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งชั่วมากเท่าใด ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้น

ความชั่วไม่เคยทำให้ใครประสบกับความสุขอันแท้จริง ความดีต่างหากที่เป็นต้นตอของความสุข หากอยากประสบความสุข ก็จงเลือกที่จะกระทำความดีตั้งแต่วันนี้และนาทีนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป

ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เขียนเล่ามาเป็นธรรมทานในการเตือนสติแก่เพื่อนร่วมโลกให้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และตั้งอยู่ในความดีงามตลอดไป


(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 138 มิถุนายน 2555 โดย มาลาวชิโร)
กำลังโหลดความคิดเห็น