xs
xsm
sm
md
lg

ของดีจากพระไตรปิฎก : คนป่วย 3 ประเภท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ทุกชีวิต เริ่มด้วยการเกิด และตามมาด้วยความแก่ เจ็บป่วย และตาย เสมอเหมือนด้วยกันทุกคน ไม่มีใครสักคนที่ได้รับการยกเว้นจากกฎเกณฑ์ธรรมชาติ 4 ประการนี้ พูดง่ายๆ ก็คือมีความเหมือนกัน 100% จะแตกต่างกันก็เพียงระยะเวลา หรือในช่วงแห่งชีวิตระหว่างเกิด กับตาย หรือที่เรียกว่า อายุสั้นหรืออายุยาวกว่ากัน

ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีอายุยาวสั้นไม่เท่ากัน แต่ทุกคนมีสถานภาพเท่ากันที่จุดเริ่มต้น และจุดสุดท้ายแห่งชีวิต นั่นก็คือ เกิดมาโดยที่มิได้นำทรัพย์สินอันใดติดตัวมา และจากไปโดยที่นำทรัพย์สินที่แต่ละคนหาได้ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ไปไม่ได้ คงทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ให้ผู้ที่เกิดมาในภายหลังได้ครอบครองกันต่อไป

ถึงแม้ว่าจะมีความเหมือนในจุดเริ่มต้น ถ้ามองในแง่ของการที่ทุกคนมิได้มีทรัพย์สินติดตัวมา แต่ทุกคนก็มีความต่าง ถ้ามองแง่ของสมบัติภายใน เช่น สติปัญญา รูปร่าง รวมไปถึงอุปนิสัยใจคอ ซึ่งแต่ละคนมีไม่เท่ากัน แม้กระทั่งลูกที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน ทั้งนี้ขึ้นกับผลของกรรมเก่าในชาติก่อน และความต่างประการนี้เอง มีผลทำให้แต่ละคนมีสภาพทางสังคม แตกต่างกันในระหว่างเกิดกับตาย

เส้นทางของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจะเดินไปข้างหน้านั้น ตั้งแต่ที่เกิดมาในลักษณะเหมือนกัน การเดินขึ้นสะพานได้จากเด็กไปถึงวัยกลางคน เปรียบได้กับการเดินจากคอสะพานด้านหนึ่ง และไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงกลางสะพาน และต่อจากนั้นก็เดินลง และเดินมาถึงคอสะพานอีกด้านหนึ่ง ก็เท่ากัน

ดังนั้นจึงพูดได้ว่า เกิดกับตายจะอยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งในแง่ของจำนวน คือเกิดมาเท่าไหร่ก็ตายเท่านั้น แต่ที่จำนวนคนเพิ่มขึ้นก็ด้วยระหว่างคนคนหนึ่งเกิดจนถึงตาย ได้มีเวลาอยู่ในโลกนี้นาน และระหว่างนี้มีคนเกิดเพิ่มขึ้น

อีกประการหนึ่ง ก่อนที่แต่ละคนจะตาย จะต้องมีการเจ็บและตายด้วยโรคนานาชนิดมากน้อยไม่เท่ากัน แต่โดยรวมแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีคนป่วยอยู่ 3 ประเภท เท่านั้น คือ

1. ได้อาหาร ยา พยาบาล ซึ่งเป็นที่สบาย หรือไม่สบายก็ตาม ก็ไม่หายจากอาพาธนั้น

2. ได้อาหาร ยา พยาบาล ซึ่งเป็นที่สบาย หรือไม่สบายก็ตาม ก็หายจากอาพาธนั้น

3. ต่อเมื่อได้อาหาร ยา พยาบาล ซึ่งเป็นที่สบาย จึงหายจากอาพาธนั้น


จึงทรงอนุญาตอาหาร ยา คนพยาบาลสำหรับผู้ป่วย และอาศัยคนป่วยประเภทที่ 3 จึงพยาบาลคนป่วย 2 ประเภทแรกด้วย

และพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเปรียบเทียบคนป่วย 3 ประเภท โดยแบ่งประเภทบุคคลที่พระองค์ทรงแสดงธรรม ออกเป็นประเภทในทำนองเดียวกันคือ

1. ได้เห็นพระตถาคต หรือไม่ก็ตาม ได้ฟังพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ก้าวลงสู่ทำนองอันชอบในกุศลธรรม

2. ได้เห็นพระตถาคตหรือไม่ก็ตาม ได้ฟังพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วหรือไม่ก็ตาม ก็ก้าวลงสู่ทำนองอันชอบในกุศลธรรมได้

3. ต่อเมื่อได้เห็นตถาคต ได้ฟังพระธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้ว จึงก้าวลงสู่ทำนองอันชอบในกุศลธรรมได้


เพราะอาศัยบุคคลประเภทที่ 3 นี้ จึงทรงอนุญาตการแสดงธรรม และเพราะอาศัยบุคคลประเภทที่ 3 นี้ จึงควรแสดงธรรมแก่คนอื่นอีก 2 ประเภทด้วย

(จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 20 วรรคที่ 3 ว่าด้วยบุคคล)

จากนัยแห่งคำสอนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า บุคคลในโลกนี้แบ่งออกได้ เป็น 3 ประเภท ทั้งในแง่ของการป่วยและการรักษา และในแง่ของการสอนจากพระพุทธเจ้า กับผลที่บุคคลนั้นได้รับ

ในทันทีที่ท่านอ่านบทความนี้จบลง ขอให้ลองถามตัวเองว่า ท่านจักอยู่ในประเภทไหน และเชื่อว่าหาคำตอบได้ไม่ยาก เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งในส่วนที่เป็นธรรมและเป็นวินัย ก็ปรากฏอยู่แล้วในพระไตรปิฎกอย่างสมบูรณ์ จะขาดก็เพียงการเข้าไปศึกษา ค้นคว้า ทำความเข้าใจ และนำมาปฏิบัติเท่านั้น

ถ้าท่านทำได้ ก็มีในแง่กาย เช่น บุคคลประเภทที่ 3 ได้ แต่ถ้าไม่ทำก็คิดดูเองว่าจะเป็นประเภทที่ 2 หรือ 1

แต่โดยความเป็นจริง โอกาสที่จะเป็นประเภท 2 น้อยมาก แต่โอกาสที่จะเป็นประเภทที่ 1 มีสูง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 138 มิถุนายน 2555 โดย สามารถ มังสัง)
กำลังโหลดความคิดเห็น