xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมาภิวัตน์ : ธรรมะดับร้อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฤดูร้อนปีนี้ ผู้อ่านหลายท่านคงคิดเห็นและพูด(บ่น)ตรงกันนะครับว่า “ทำไมมันถึงได้ร้อนขนาดนี้” ขนาดลำปาง จังหวัดที่มีแสลงติดปากกันว่า “ลำปาง หนาวมาก” ยังต้องเปลี่ยนเป็น “ลำปางร้อนมาก” เพราะวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา จังหวัดลำปางได้ทำสถิติใหม่กลายเป็นจังหวัดที่ร้อนที่สุดในประเทศไทย อุณหภูมิพุ่ง 40.6 องศาเซลเซียสไปแล้ว

ที่ตามมาคือการดูแลสภาพร่างกาย ความเจ็บป่วยไข้ โรคภัยที่มากับฤดูร้อน กับข้าวกับปลาบูดไวมาก อาหารผลไม้ ที่ทานแล้วเพิ่มความร้อนในกาย เช่น ทุเรียน ลำไย ควรต้องลด ดื่มน้ำเปล่า (สะอาด)ให้มากกว่าวันละ 8 แก้ว

ที่สำคัญคือการดูแลสภาพจิตใจของตนเอง มิให้ร้อนรุ่มไปตามอากาศ เหมือนที่หลายคนชอบตะโกนว่า “ร้อนจนแทบจะ เป็นบ้า” นั่นแหละครับ ใจร้อนง่ายก็พาลขาดสติง่าย การยับยั้งชั่งใจในการกระทำสิ่งมิบังควรก็ลดน้อยลงตามไปด้วย นี่เป็นอันตรายทางใจของหน้าร้อนที่แฝงเข้ามาโดยที่เราไม่รู้ตัว

การจะดับร้อนทางกายก็ทำได้ โดยการไปอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ บ้างก็เลือกเปิดพัดลม เพราะกลัวเปลืองไฟ หลายคนอาบน้ำบ่อยๆ คลายร้อน บ้างก็อาศัยห้างสรรพสินค้าตากแอร์ทั้งวัน สรรหาสารพัน วิธีการดับร้อนให้กับตัวเอง

แต่ทางใจเล่า? ใจที่เร่าร้อนจะดับได้อย่างไร? การดับร้อนด้วยธรรมะ หันหน้าเข้าวัด ให้พระสงฆ์องค์เจ้าช่วยดับความร้อนรุ่มในใจ พิจารณาอย่างเท่าทันความร้อนในใจตน จึงเป็นสิ่งที่หลายคนเลือกกระทำ

พระมหาศรีพยัคฆ์ สิริวัญญู วัดวิมุตยาราม วัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชิงสะพานพระราม 7 กล่าวว่า

“คนที่ร้อนไม่จำเป็นต้องเข้าวัดเพื่อดับร้อน การดับร้อนจะเกิดขึ้นที่ใดก็ขึ้นอยู่กับหัวใจหรือความเข้าใจของคนที่จิตใจเร่าร้อน เพราะคนที่ร้อนรุ่มกลุ้มใจ แม้จะเข้าวัดมาฟังธรรม แต่หากขาดสติพิจารณาความร้อนรุ่มที่เกิดขึ้นในหัวใจ ความร้อนในใจก็ไม่สามารถดับได้”

ในยุคปัจจุบันที่ผู้คนในสังคมมีความรุ่มร้อน มีการแสดงออกกันอย่างชัดเจนทั้งทางกายทางใจ กลายเป็นความน่ากลัวในแง่การไม่รู้เท่าทันตน ดังคำกล่าวที่ว่า “ความร้อนของแสงยังไม่ร้อนแรงเท่าอารมณ์ของคน” อารมณ์ของปุถุชนนั้นมีความร้อนยิ่งกว่าแสงแดดแผดเผา หรือกองเพลิงกองไฟที่พร้อมจะเผาทุกอย่างให้ไหม้เป็นจุล

พระมหาศรีพยัคฆ์กล่าวว่า สาเหตุที่คนเราเกิดความร้อนจนเป็นไฟเผาใจ เป็นเพราะเรามีไฟในใจอยู่ 3 กอง ซึ่งร้อน ยิ่งกว่าไฟใดๆ ในโลกคือ

1. “ไฟราคะ” คือความยินดี ความต้องการ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเด่น อยากดัง

ราคะเกิดขึ้นได้ทั้งกับวัตถุสิ่งของ และตัวบุคคล ดังนั้นหากไม่ได้ในสิ่งหรือบุคคลที่ต้องการก็จะเกิดความร้อนในใจ ถ้าหากเราไม่รู้จักดับไฟราคะ ขาดสติที่จะยั้งคิดพิจารณาถึงความถูกต้อง ผิดชอบชั่วดี เราก็จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้บุคคลนั้นมาครอบครองเป็นของตน จนอาจนำไปสู่ความรุนแรงอย่างที่เราเห็นเป็นข่าวอาชญากรรมบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้

ซึ่งพระมหาศรีพยัคฆ์ ได้ให้หลักคิดง่ายๆ ในการดับไฟราคะไว้ว่า “ถ้าหยุดอยากได้ ก็หยุดน้ำตาได้” นั่นหมายถึงการมีสติยั้งคิดต่อความอยาก ความต้องการทั้งหลาย หรือแม้แต่การนำหลักปรัชญาพอเพียงมาใช้ เพื่อให้จิตใจเย็นสบาย ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็นจนเกินไป เพราะถ้าเรายืนเขย่งเท้าทั้งที่เราสูงได้ไม่เท่าคนอื่น แต่จะพยายามสูงให้เท่าให้ได้ ไม่นานนักสักวันก็ต้องกลับมายืนเต็มสองขาเหมือนเดิม หนักไปกว่านั้นก็อาจจะล้มทรุดลงไปกองกับพื้นก่อนก็ได้

ดังนั้น การมีความสุขอยู่กับสิ่งที่มีสิ่งที่เป็น ยืนบนสองขาให้มั่นคง น่าจะเป็นวิธีที่ดีสำหรับการหัดดับไฟราคะในใจนั่นเอง

2. “ไฟโทสะ” เป็นไฟแห่งความโกรธแค้น ไฟแห่งความอยากทำร้าย-ทำลายซึ่งกันและกัน

อันที่จริงพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ว่า “ในวัฏฏะสงสารเหล่านี้ เต็มไปด้วยกองเพลิงแห่งทุกข์

มนุษย์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏเหล่านี้ ต่างก็วิ่งวนอยู่ในกองเพลิงแห่งทุกข์ แล้วใครเล่าจะเป็นคนดับ หากเราไม่ดับความทุกข์แห่งตน”
เปรียบได้กับการถือดุ้นไฟไว้ในมือแล้ววิ่งไปบ่นไปว่า “ร้อนๆๆ”

หากเพียงแต่วางหรือทิ้งดุ้นไฟนั้นเสีย ดับไฟนั้นลง กายและใจก็จะเย็นลงได้โดยง่าย ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ (โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ) ฆ่าความโกรธได้แล้ว นอนเป็นสุข

3. “ไฟโมหะ” คือไฟแห่งความหลงงมงาย ไม่เข้าใจในสภาวะความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น

นับว่าเป็นไฟที่อันตราย เพราะมีใจที่ยึดติดกับบุคคล วัตถุ สิ่งของ ฯลฯ เมื่อต้องจากคนที่รัก ของที่รักก็ไม่อาจทำใจได้ เกิดความสูญเสียทั้งกายและใจ โดยมิได้ตั้งสติหวนกลับมาคิดว่า ทุกสรรพสิ่งใดๆ ในโลก ล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เพื่อเป็นการดับ “ไฟโมหะ” ในใจตนให้มอดลง

ไฟโมหะจะดับได้ต้องเกิดด้วยการเจริญปัญญา เพราะทิฐิหรือความถือเชื่อที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคลเป็นสิ่งที่ดับได้ยาก

ดังนั้นเมื่อเราได้สดับรับทราบสิ่งต่างๆ มาแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อในทันที ควรเจริญปัญญา เพื่อให้เกิดสติพิจารณาไตร่ตรองให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะนี่คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ทุกฝ่ายพร้อม ที่จะเผชิญหน้ากันอย่างขาดสติ เพียงเพราะปล่อยให้ไฟโมหะเผาไหม้ใจตนและพานเผาไหม้คนอื่นๆ ที่อยู่ร่วมในสังคมแต่มีความคิดเห็นต่างไปจากตน จนกลายเป็นไฟที่ทำให้สังคมเกิดความรุ่มร้อนแตกแยก

การเจริญสติปัญญาของคนไทยในปัจจุบัน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญและพึงหมั่นกระทำยิ่งนัก

จริงอยู่ครับว่า การจะดับไฟทั้ง 3 กองที่เกิดขึ้นในใจปุถุชนคนธรรมดานั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปนัก จุดสำคัญคือการฝึกหัดปฏิบัติจิตอยู่เสมอ รู้ทันรู้เท่าเข้าใจในสภาวการณ์จิตของตนเองอย่างมีสติ

การนำธรรมะเข้ามาประยุกต์ใช้กับทุกขณะชีวิต ก็น่าจะทำให้ร้อนนี้หรือร้อนไหนๆ ของคุณผู้อ่านได้ผ่อนคลายเย็นกายสบายใจกันลงไปได้บ้างนะครับ

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 137 พฤษภาคม 2555 โดย กานต์ จอมอินตา ผู้อำนวยการโครงการธรรมาภิวัตน์)
กำลังโหลดความคิดเห็น