xs
xsm
sm
md
lg

อสีติมหาสาวก : กลุ่มพระชาวแคว้นอวันตี (ต่อ ) (ตอนที่ ๘๕)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กลุ่มพระชาวแคว้นอวันตี คือ กลุ่มพระที่เป็นชาวแคว้นอวันตีโดยกำเนิด มี ๒ รูป คือ พระมหากัจจายนะ และพระโสณกุฏิกัณณะ แต่ละรูปมีประวัติที่น่าศึกษา ดังนี้

งานสำคัญ (ต่อ)

พระโสณกุฏิกัณณะ ครั้นบรรลุอรหัตผลแล้ว มีความประสงค์จะเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ซึ่งประทับอยู่ที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล จึงบอกพระมหากัจจายนะผู้เป็นอุปัชฌาย์ให้ทราบ

พระอุปัชฌาย์ได้มอบหมายให้ท่านทูลขอพระพุทธเจ้าให้ทรงผ่อนผันพระวินัย ๕ ข้อ ท่านทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ดียิ่ง กล่าวคือ พระพุทธเจ้าทรงผ่อนผันให้พระที่จำพรรษาอยู่ในปัจจันตชนบทปฏิบัติได้ตามที่พระมหากัจจายนะทูลขอดังกล่าวมาแล้ว นับว่าเป็นประโยชน์ยิ่งสำหรับพระที่จำพรรษาอยู่ในปัจจันตชนบท

คราวที่เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าทรงต้อนรับท่านด้วยดี ทรงอนุญาตให้ท่านพักค้างคืนในพระคันธกุฏีของพระองค์ ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าทรงขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง ท่านได้แสดงสูตร ๑๖ สูตร ในอัฏฐกวรรค ได้อย่างไพเราะ ไม่ผิดทั้งสระและพยัญชนะ เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าตรัสชมท่าน ท่านอยู่กับพระพุทธเจ้า เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ทูลลากลับแคว้นอวันตี

ต่อมาโยมมารดาของท่านทราบว่า ท่านแสดงธรรมถวายพระพุทธเจ้า จึงขอให้ท่านแสดงธรรมให้ตนฟังบ้าง ขณะโยมมารดากำลังฟังธรรมอยู่นั้น โจรก๊กหนึ่งจำนวน ๙๐๐ คน ได้เข้าปล้นบ้าน ขนข้าวของมีค่าจำนวนมากไป ขณะที่โจรขนของไปเป็นระยะๆนั้น มีคนใช้มารายงานให้โยมมารดาของท่านทราบอยู่ตลอดเวลา นางหาได้หวาดวิตกแต่อย่างใดไม่ ยังคงตั้งใจฟังธรรม พร้อมบอกอนุญาตให้โจรขนของออกไป ขอเพียงอย่ามารบกวนการฟังธรรมเท่านั้น

หัวหน้าโจรทราบเรื่องราวทั้งหมดของนางจากคนใช้แล้วรู้สึกประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็นึกได้ว่า ตนเองทำไม่ถูกที่มาประทุษร้ายคนที่ไม่ประทุษร้าย และรู้สึกเกรงกลัวผลของความชั่วขึ้นมาทันที เขาบอกบริวารให้ขนของกลับ

และเมื่อการฟังธรรมสิ้นสุดลง หัวหน้าโจรก็เข้าไปหาโยมมารดาของท่าน ขอโทษแล้วก็ขอล้างบาปด้วยการขอบวชเป็นสัทธิวิหาริกของพระโสณกุฏิกัณณะ ท่านได้บวชให้โจรเหล่านั้นตามความประสงค์ สัทธิวิหาริกของท่านทุกรูปได้บรรลุอรหัตผลเสมอเหมือนกัน เพราะได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา

บั้นปลายชีวิต

พระมหากัจจายนะ วนเวียนจำพรรษาอยู่ในแคว้นอวันตีและแคว้นสุรเสนะ ซึ่งอยู่ใกล้กับแคว้นอวันตี คราวหนึ่งมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาหาท่านขณะจำพรรษาอยู่ที่ป่าคุนธาวัน เมืองมธุรา แคว้นสุรเสนะ พราหมณ์กัณฑรายณะเข้าไปสนทนาด้วย แล้วกล่าว หาว่าท่านไม่มีสามีจิกรรม คือไม่ยอมไหว้ ไม่ลุกรับพราหมณ์ผู้แก่เฒ่า ท่านได้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องคนแก่หนุ่มไว้ว่า

คนอายุ ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี ถ้ายังเสพกามอยู่ ก็ยังนับว่าเป็นคนหนุ่มสาวอยู่ แต่คนหนุ่มแม้จะอยู่ในวัยแรกรุ่น ถ้าไม่เสพกาม ก็นับว่าเป็นคนแก่ได้ พราหมณ์กัณฑรายณะ ฟังแล้วเกิดความซาบซึ้ง จึงก้มกราบท่านแล้วประกาศตนนับถือพระรัตนตรัย

อีกคราวหนึ่ง ที่เมืองมธุราเช่นกัน พระเจ้ามธุรราชได้เข้าไปสนทนากับท่าน เรื่องการถือตัวของคนวรรณะพราหมณ์ ที่ถือตัวว่าประเสริฐบริสุทธิ์เกิดจากพรหม

พระมหากัจจายนะได้กล่าวถึงความไม่มีอะไรที่แตกต่างกันของคนทุกวรรณะ(ทุกชั้น) ดังนี้

๑. คนวรรณะใดเป็นผู้มั่งคั่ง คนวรรณะเดียวกันและวรรณะอื่น ย่อมเข้าเป็นพวกของคนวรรณะนั้น

๒. คนวรรณะใดประพฤติอกุศลกรรมบถ เมื่อตายแล้วคนวรรณะนั้นย่อมไปเกิดในอบายเหมือนกันหมด ไม่มียกเว้น

๓. คนวรรณะใดทำการปล้นสดมภ์ เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น คนวรรณะนั้นต้องไดัรับโทษราชอาญาเหมือนกันหมด ไม่มียกเว้น

๔. คนวรรณะใดออกบวช ตั้งอยู่ในศีลธรรม คนวรรณะนั้นย่อมได้รับการนับถือ การบำรุง และการคุ้มครองเหมือนกันหมด ไม่มียกเว้น

พระเจ้ามธุรราชทรงฟังแล้ว เกิดศรัทธาเลื่อมใส ถึงขั้นประกาศนับถือพระมหากัจจายนะเป็นสรณะ แต่ท่านไม่ยอมรับ และทูลพระเจ้ามธุรราชให้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ

พระเจ้ามธุรราชทรงทำตามที่ท่านแนะนำ แต่ในขณะเดียวกันก็ทรงรู้สึกเสียดายที่มาพบพระพุทธศาสนา หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว

พระโสณกุฏิกัณณะ ไม่มีกล่าวถึงบั้นปลายชีวิตของท่านไว้ แต่ก็สันนิษฐานว่า ท่านคงอยู่ที่แคว้นอวันตีนั้นเอง และส่วนใหญ่คงจำพรรษาอยู่ที่ภูเขาปวัตตะ เมืองกุรรฆระ อันเป็นชาติภูมิของท่านเอง จนกระทั่งนิพพาน

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 132 พฤศจิกายน - ธันวาคม 2554 โดย ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ)
กำลังโหลดความคิดเห็น