xs
xsm
sm
md
lg

คิดดี ทำดี : สุภชัย วีระภุชงค์ นักธุรกิจพันล้าน เสนอ "ธรรมะ" เป็นวาระแห่งชาติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระธรรมวรนายก เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา ประธานโครงการส่งเสริมพระสงฆ์ไทยไปศึกษาและปฏิบัติธรรม ณ แดนพุทธภูมิ
สุภชัย วีระภุชงค์ ปัจจุบันเป็นรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ยาหลายชนิดที่คนไทยคุ้นชินกันดี ไม่ว่าจะเป็น ทิฟฟี่ ซาร่า ฯลฯ และยังเป็นประธานบริหารของโรงแรมเครือ “โภคีธารา” ทั้ง 3 แห่งคือ กระบี่ พนมเปญ และเสียมราฐ

นอกจากการเป็นผู้บริหารธุรกิจ ที่สามารถใช้คำว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง กล่าวได้เต็มปากว่า สุภชัยยังเป็นผู้สนับสนุน ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มกำลังอีกคนหนึ่ง

ในฐานะองค์กร เป็นผู้สนับสนุนหลักของรายการ “ธรรมะทีวี” ออกอากาศ 24 ชั่วโมง ทางดาวเทียมสีส้ม IPM หรือดาวเทียม NSS6

มีการก่อตั้ง “ชมรมโพธิคยา” จัดทำโครงการส่งเสริมพระสงฆ์ไทยไปศึกษาและปฏิบัติธรรม ณ ดินแดนพุทธภูมิ ตั้งแต่ปี 2551 2 ปีผ่านมา มีพระสงฆ์ไทยเดินทางไปศึกษา และปฏิบัติธรรมยัง “สถานที่จริง” รวม 2 รุ่น 63 รูป

โครงการนี้มีพระธรรมวรนายก เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธาน พระราชรัตนรังสี เจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี และประธานคณะสงฆ์ วัดไทยกุสินาราเฉลิมพระเกียรติ เป็นผู้อำนวยการหลักสูตร

ครอบครัวมีส่วนสำคัญ

สุภชัยเล่าให้ฟังว่า ซึมซับเรื่องพุทธศานา เรื่องสวดมนต์ไหว้พระมาตั้งแต่เด็ก

“คุณแม่ถือศีล บวชชีมาตั้งแต่อายุ 16-17 จนปัจจุบันท่านอายุ 73 สิ่งหนึ่งที่เราโชคดี คือ เห็นคุณแม่ทำบุญใส่บาตรทุกวัน นั่งสวดมนต์ นั่งกรรมฐานทุกวัน กลับมา 5 ทุ่มเที่ยงคืนคุณแม่ก็ยังนั่งกรรมฐาน เห็นตั้งแต่เด็ก นี่ก็คือ สิ่งที่อยากบอกว่า พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างให้กับลูกก่อน”

ดำเนินชีวิตไม่เหมือน แต่หลักเดียวกัน

สุภชัยยอมรับว่า แม้เขาไม่มีวัตรปฎิบัติต่อเนื่องเหมือนบุพการี แต่ก็มีหลักยึดเดียวกัน

“ชีวิตของผมมีส่วนอยู่ในโลกียะเยอะ เราเองยังมีรักโลภโกรธหลงเหมือนมนุษย์ธรรมดา เหมือนคนทั่วไป แต่ขณะเดียวกัน การศึกษาธรรมะทำให้จิตใจเราเย็นขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น ว่ามันเป็นกฎธรรมชาติ

ทุกอย่างผมมีเหมือนเดิม สิ่งที่ทำก็คือ พยายามบาลานซ์ชีวิตของเรา คือ เราอายุใกล้ 50 การศึกษาธรรมะ ทำให้รู้ว่า ชีวิตเราเกิดมาต้องทำตัวอย่างไรให้สมกับเป็นคนของพุทธศาสนา เหมือนกับเป็นสัตตบุรุษ กุลบุตรหรือกุลธิดาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

จุดสำคัญอยู่ที่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนตลอดเวลา คือ คำพูดสุดท้ายของพระองค์ คือ การต้องวางตนอยู่ในความไม่ประมาท เพราะสังขาร มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็คือเตือนให้เรามีสติ”

ทำไมต้องอินเดีย?

นอกจากตัวสุภชัยแล้ว ชมรมโพธิคยายังมีสมาชิกผู้เป็นกำลังสำคัญอีกหลายท่าน เช่น ชัช ชลวร อดีตประธาน ศาลรัฐธรรมนูญ มงคล สิมะโรจน์ อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลโท สราวุธ ชลออยู่ เกษม มูลจันทร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโทโกสิต พุ่มเกตุแก้ว ฯลฯ

สุภชัยบอกว่า ประโยชน์ของการเดินทางไปอินเดีย คือทำให้พระสงฆ์ไทยได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาจากสถานที่จริง เช่น การเดินทางไปยังสังเวชนียสถานทั้ง 4

“ได้ไปพบไปเห็นว่า สิ่งที่ศึกษามาตลอดนั้น ไม่ใช่แค่ตำนาน หรือเป็นนิทาน รวมถึงยังจะได้เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงความสำคัญของงานพระธรรมทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการเผยแผ่ ขณะเดียวกันก็ยังทำกิจประจำวันของสงฆ์ คือ ทำวัตรเช้าเย็น จิตรภาวนา เป็นประจำไม่ต่างจากครั้งอยู่ในประเทศไทย”

โครงการส่งเสริมพระสงฆ์ไทยไปศึกษาและปฏิบัติธรรม ณ ดินแดนพุทธภูมิ ปีละประมาณ 31-32 รูป โดย “ชมรมโพธิคยา” เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดปีละประมาณ 3 ล้านบาท

แก้คอร์รัปชั่นด้วยธรรมะ

ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนสังคมไทยมี “สิ่งกระทบ” ความคิดความรู้สึกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ผลการสำรวจความคิดคนรุ่นใหม่ เรื่องการติดแบรนด์เนม ติดเกม ติดโทรศัพท์ และเทคโนโลยี

มี 60% ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า คอร์รัปชั่นเป็นเรื่อง “ยอมรับได้” ถ้าทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น และตัวผู้ตอบแบบสอบถามได้ผลประโยชน์ด้วย

โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น สุภชัยให้ความเห็นในฐานะชาวพุทธว่า ผลงานวิจัยเรื่องการคอร์รัปชั่น ถือเป็นเรื่องน่าตกใจ

“เพราะถ้าเรายอมรับ ก็เท่ากับว่า เรากำลังถลำไปยอมรับสิ่งผิด ผิดซ้ำซากจนกลายเป็นถูก เหมือนเห็นคนผิดมากๆเข้ากลายเป็นถูกไปเลย ซึ่งมันไม่ใช่ และถ้าเรายอมรับอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อนาคตจะมีอย่างอื่นตามมาอีกเยอะ”

นอกจากไม่เห็นด้วย อีกด้านหนึ่ง สุภชัยก็คิดด้วยว่าทำอย่างไรจะให้เด็กรุ่นหลังมีศีลธรรม มีจริยธรรม

แนวทางที่น่าจะเป็น คือ ต้องยกระดับปรับปรุงเรื่องของคุณภาพการศึกษา ยกระดับปรับปรุงเรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยต้องปรับให้ทันกับโลกาภิวัตน์

“เราอยากเห็นมหาเถรสมาคม หรือจากผู้ใหญ่ในวงการสงฆ์พิจารณา ในการปรับปรุงแผนในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

แต่การควบคุม ออกกฎหมาย หรือแนวทางต่างๆ ผมว่ามันเหมือนแมวกับหนู หนูต้องหาทางหนีการจับของแมว แมวก็ต้องพัฒนาการว่าจะจับเหยื่ออย่างไร มันไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ถ้าเอาธรรมมาจับ เอาอริยสัจจ์ 4 มาจับ เราต้องเอาทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มาจับ ก็จะได้คำตอบอีกแบบ

ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญคือ สำนึกของคน คือ ไม่มีหิริโอตตัปปะ ขาดธรรมะ เราต้องแก้ไปที่เหตุถึงจะจบ ถ้าถามว่าต้องใช้เวลานานไหม ต้องใช้เวลา 5-10 ปี มันไม่ใช่แค่ 1-3 ปี เพราะต้องแก้วิธีคิดของคนในชาติ”

เรื่องคอร์รัปชั่น เราต้องรู้ว่า คอร์รัปชั่นเป็นบาป ต้องแก้ด้วยการมีหิริโอตตัปปะก่อน

ผู้นำของเราทุกยุคทุกสมัย เน้นการเติบโตของ GDP เน้นเรื่องการกระจายรายได้ ถามคำหนึ่งว่า ความเติบโตของเศรษฐกิจที่มีมา ถ้าสังคมเสื่อม จะอยู่ได้ไหม? สิ่งที่เราต้องคิดทุกวันนี้ คือ การแก้แบบถาวรระยะยาว ต้องแก้ด้วยการใช้ธรรมะ”

ส่วนเรื่องติดแบรนด์ ติดเกม ติดเทคโนโลยี สุภชัยยกตัวอย่างว่า ปัจจุบันเด็กๆมีคอมพิวเตอร์ คำถามคือเขา เข้าไปดูอะไรกัน เล่นอะไรกันอยู่

“ก็คือ เด็กๆเข้าถึงสิ่งที่เป็นอบายมุขได้ง่าย การพนันก็เข้าถึง กามารมณ์ก็เข้าถึงง่าย เด็กรุ่นหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องชี้นำ”

เน้นธรรมะ ต้องเป็น “วาระแห่งชาติ”

สุภชัยกล่าวว่า ประเด็นที่กล่าวถึงนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องคิดต้องลงมาทำ เป็นผู้นำการขับเคลื่อน “หรือถ้าจะให้พูดแบบดุเดือด ก็ขอใช้คำว่า ต้องเป็น “วาระแห่งชาติ” ไม่ใช่วาระแห่งชาติด้านเศรษฐกิจ แต่เป็นวาระแห่งชาติด้านยกระดับจิตใจ ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมของคนในชาติ แล้วให้มีความคิดแบบชาวพุทธจริงๆสักที”

เรื่องนี้ เขามองแบบภาพรวม และเพื่อประโยชน์ ที่ประเทศชาติจะได้รับ

“ถ้าเราทำสำเร็จ ก็จะเป็นการพลิกโฉมประเทศไทย เพื่อให้กลับไปเป็นเหมือนสุวรรณภูมิ ดังที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้เคยพูดเอาไว้เมื่อ 2,300 ปีมาแล้วว่า แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินทอง แผ่นดินนี้ไม่ได้หมายความถึงแค่ประเทศไทย แต่หมายความถึงอินโดจีน ก็คืออาเซียนทั้งหมด”

สุภชัย ขยายความว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ซึ่งต้องคิดมุมกว้างว่า ประเทศไทยไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ดังนั้น หากใช้ศาสนาเป็นหลักยึด ก็จะมีสะพานหรือประตูในการเชื่อมความสัมพันธ์ ยกระดับจิตใจคนในชาติ ยกระดับจิตใจประเทศเพื่อนบ้าน

“ถ้าประเทศไทยมีนโยบายอย่างนี้ผมจะอนุโมทนาสาธุ เพราะจะทำให้บ้านเมืองเราสงบสุขและเป็นสุวรรณภูมิจริงๆ สิ่งที่จะทำนี้เป็นเรื่องต้องใช้เวลา ต้องปรับโครงสร้าง ใช้ธรรมะเข้าแก้เพื่อยกระดับจิตใจคนให้มีความเกรงกลัวบาป สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมอยากเห็นการขับเคลื่อนเป็นขบวนการ โดยมีแผนเป็นวาระแห่งชาติมาจากรัฐบาล เพราะงานอย่างนี้ ทำโดยคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ไม่มีทาง

ที่ต้องนำโดยรัฐบาล เพราะรัฐบาลก็เหมือนพ่อ พ่อทุกคนคงอยากเห็นลูกทุกคนเป็นคนดีมีศีลธรรม ทำมาค้าขายโดยสุจริตอาชีพชน เป็นสัตตบุรุษ เป็นพลเมืองที่ดีของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ รัฐบาลต้องคิด รัฐบาลชี้นำได้ ปฏิบัติได้ ต้องเริ่มให้เห็น

สิ่งสำคัญที่สุด คือ นักการเมืองต้องเริ่มก่อน ถ้านักการเมืองไม่เริ่มก่อน อย่าหวังว่าประชาชนจะปฎิบัติตาม

ผมคิดว่า ถ้าแก้ตรงนี้ได้ ก็คือ การแก้ที่ต้นเหตุ ทุกข์อยู่ตรงไหนต้องแก้ตรงนั้น ไม่ใช่แก้เฉพาะปัจจุบัน แต่อนาคตยังมีปัญหาตามมาอีกบานเลย ถ้าแก้ไม่ตรงจุด เขาเรียกว่า ลิงติดแห ยิ่งแก้ยิ่งพัน ไม่จบ”

พุทธศาสนา เป็นศาสนาของการกระทำ

สุภชัยให้ความเห็นว่า เป็นที่ทราบกันดีว่า กว่า 90% ของคนไทยนับถือศาสนาพุทธ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ คนเหล่านี้เข้าใจหรือไม่ว่าพุทธศาสนาคืออะไร?

“พุทธศาสนาไม่ใช่การไปดูหมอ ไม่ใช่การทรงเจ้าเข้าผี ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของการกระทำ และให้ความสำคัญกับเหตุและผลของการกระทำ เพราะฉะนั้นอนาคตของคุณจะเป็นอย่างไร มันขึ้นกับสิ่งที่คุณทำ นี่เป็นวิทยาศาสตร์ ล้วนๆนะ

ถามว่า ถ้าคุณไม่ทำสิ่งที่มีคุณค่า คุณจะเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียงได้ไหม ประสบความสำเร็จได้ไหม คุณจะเป็นนักการเมืองที่ประสบความสำเร็จได้ไหม จะเป็นนายกฯได้ไหม มันไม่ใช่กรรมเก่า อย่าเข้าใจผิดนะ

คุณเกิดมาชาตินี้ คุณลิขิตชะตาชีวิตคุณเอง ไม่ใช่พระพรหมลิขิต นี่คือ พระพุทธศาสนา

แต่ถามว่ากรรมเก่ามีมาไหม มีมาทั้งบุญและบาป แต่เป็นโอกาสของคุณที่จะเติมบุญให้เต็ม เพื่อจะเป็นไปตามที่คุณหวังอย่างถูกครรลองคลองธรรมในชาตินี้ นี่คือหลักพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาของการกระทำ ไม่ใช่ศาสนาของการขอพรอธิษฐาน

แต่ความเบี่ยงเบนในสังคมปัจจุบันมีสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นแง่ศาสนา วัฒนธรรม วิธีคิด บรรทัดฐานมันเปลี่ยนหมด ถ้าเปลี่ยนไปในทางที่ดี เราก็คงอนุโมทนาสาธุ

ผมเชื่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยากเห็นผู้คนในบ้านเมืองคิดอย่างนี้เหมือนกัน”

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 130 กันยายน 2554 โดย พรรษพล)
พระราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี และประธานคณะสงฆ์วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ผู้อำนวยการหลักสูตร
คณะสงฆ์ซึ่งเข้าร่วมโครงการครั้งแรก
สุภชัยถ่ายภาพร่วมกับพระชั้นผู้ใหญ่ และผู้ร่วมงานฝ่ายฆราวาส
สุภชัย  วีระภุชงค์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยนครพัฒนา จำกัด
กำลังโหลดความคิดเห็น