ปัญหาของโรคตาที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะตาบอดหรือความบกพร่องในการมองเห็นนั้น เป็นความพิการที่น่าสลดใจ ปัญหาตาบอดหรือสายตาเสีย มักจะเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งความพิการทางตานี้สามารถป้องกัน และรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีความเกี่ยวพันกับภาวะขาดสารอาหาร
สารอาหารที่มีข้อมูลสนับสนุนว่ามีความสัมพันธ์กับโรคตา คือ วิตามินเอ ธาตุสังกะสี วิตามินอี และวิตามินซี
วิตามินเอ
วิตามินเอเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน แหล่งอาหาร ที่ให้วิตามินเอสูง ได้แก่ ตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา นม ผักใบเขียวเข้ม มะละกอ ฟักทอง มะม่วงสุก ฯลฯ วิตามิน เอมีความสำคัญต่อ ร่างกายในด้านการมองเห็นในแสงสลัว การบำรุงรักษาเซลล์บุผิว การเจริญเติบโต การทำงานเป็นปกติของระบบสืบพันธุ์ และระบบภูมิคุ้มกัน
อาการทางตาของการขาดวิตามินเอ เริ่มจากอาการตาบอดกลางคืนในระยะแรก คือ อาการเยื่อบุตาขาวแห้ง เนื่องจากการสร้างเมือกตามเยื่อบุต่างๆ ลดลง การสร้างน้ำตาเพื่อหล่อเลี้ยงตาลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่ออาการขาดรุนแรงขึ้น จะพบลักษณะที่เรียกว่า “เกล็ดกระดี่” เป็นคล้ายรอยแผลที่เยื่อตาขาว มีลักษณะย่น เมื่อมีภาวะขาดมากขึ้น เยื่อกระจกตาจะแห้งทำให้ตาบอดได้
สังกะสี
ธาตุสังกะสีมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ การคงสภาพของผนังเซลล์ การมองเห็นในที่มืด การรับรส และระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
อาหารที่ให้ธาตุสังกะสีในปริมาณสูงและมีการดูดซึมได้ดี คือ เนื้อสัตว์ อาหารทะเลจำพวกหอย ไข่ และผลิตภัณฑ์นม
ในคนและสัตว์ถ้าขาดสังกะสีแล้วจะเจริญเติบโตช้า ผมร่วง ผิวหนังอักเสบและมีรอย โรคอุจจาระร่วง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตาบอดกลางคืน การรับรสผิดปกติ แผลหายช้า มีนิสัยและพฤติกรรมผิดแปลก
ธาตุสังกะสีเป็นองค์ประกอบของเอ็นไซม์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนวิตามินเอให้อยู่ในรูปที่ร่างกายนำไปใช้ได้ และมีบทบาทในการขนถ่ายวิตามินเอจากตับไปสู่กระแสเลือด จึงได้ข้อเสนอแนะว่า การเสริมธาตุสังกะสีโดยเฉพาะในกรณีที่ร่างกายมีธาตุสังกะสีไม่เพียงพอ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อภาวะการขาดวิตามินเอและการมองเห็นในที่มืด เป็นอย่างยิ่ง
วิตามินอี
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน ทำหน้าที่เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ วิตามินอีมีอยู่ในแหล่งอาหารทั่วไป เช่น น้ำมันพืช ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี วิตามินอีมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคตาในทารกคลอดก่อนกำหนด
วิตามินซี
วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ มีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิแดนต์ เช่นเดียวกับวิตามินอี หากขาดวิตามินซี ผิวหนังจะผิดปกติ แผลหายช้า การสร้างฟันผิดปกติ หลอดเลือดฝอยแตกง่าย โรคเลือดออกตามไรฟัน
วิตามินซีมีอยู่มากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว มะเขือเทศ ผักต่าง ๆ เช่น กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ บรอคโคลี่ และผักใบเขียวหลายชนิด
บทบาทของวิตามินซี และวิตามินอีกับต้อกระจก
ต้อกระจกเป็นสาเหตุประการหนึ่ง ที่ส่งผลให้เกิดความบกพร่องในการมองเห็น และปัญหาตาบอดในผู้สูงอายุ เนื่องจากวิตามินอีและวิตามินซีเป็นสารแอนติออกซิแดนต์
จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่า วิตามินอีและวิตามินซีมีผลในการป้องกันการเกิดต้อกระจก และผู้วิจัยได้แนะนำว่า การได้รับวิตามินอีและวิตามินซีเสริมนี้ สามารถลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกลงได้ครึ่งหนึ่ง
ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า วิตามินเอเป็นสารอาหารที่สำคัญในการรักษาลักษณะทางกายภาพ และการทำงานของตาให้เป็นปกติ การขาดวิตามินเอจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่างๆ เริ่มจากอาการตาบอดกลางคืน เยื่อบุตาขาวแห้ง ย่น เป็นแผล ตามมาด้วยกระจกตาแห้ง ขรุขระ อ่อนเหลว และท้ายสุด หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงทีตาอาจบอดได้ ส่วนธาตุสังกะสีจะทำงานร่วมกับวิตามินเอในกระบวนการทางเคมี ให้เกิดการมองเห็นในที่มืด
นอกจากนี้ยังช่วยให้มีการสร้างโปรตีนตัวพาของวิตามินเอในตับ เพื่อจะได้ลำเลียงวิตามินเอไปยังเนื้อเยื่อที่ต้องการได้อีกด้วย
มีการศึกษาที่แสดงว่าการให้สังกะสีเสริมในผู้ป่วยโรคตับจากพิษสุราเรื้อรัง และในเด็กวัยเรียนช่วยให้การมองเห็นภาพในที่มืดดีขึ้น สำหรับวิตามินอีซึ่งมีคุณสมบัติ เป็นสารแอนติออกซิแดนต์นั้น มีรายงานว่า ช่วยลดอุบัติการณ์ และความรุนแรงของโรคตาในทารกคลอดก่อนกำหนดได้
และท้ายสุดนี้ คือการเสนอแนะว่า วิตามินอีและวิตามินซีซึ่งมีฤทธิ์เป็นแอนติออกซิแดนต์ สามารถลดอัตราเสี่ยงของการเกิดต้อกระจกในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งข้อเสนอแนะนี้ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 130 กันยายน 2554 โดย ดร.สุจินต์ โตวิวิชญ์)
5 วิธีบริหารสายตา
1. นั่งในท่าขัดสมาธิ หรือท่าอะไรก็ได้ที่นั่งสบาย หันหน้าหาพระอาทิตย์ ใช้ฝ่ามือทั้ง 2 ข้างถูกันไปมาให้เกิดความร้อนแล้วประคบลูกตา ขณะประคบให้หลับตาแล้วค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออก 5 ครั้ง ปล่อยให้ความร้อนที่ฝ่ามือผ่านเข้าตา ทำซ้ำ 4-5 รอบ
2. นั่งยืดขาไปข้างหน้าให้ขาชิดกัน กางแขนออกข้างลำตัวให้นิ้วหัวแม่มือชี้ขึ้น หน้าตรง ศีรษะตรง สูดหายใจเข้า ผ่อนหายใจออก ค่อยๆ เหลือบตาไปมองหัวแม่มือขวา จากนั้นสูดหายใจเข้าเหลือบตามองตรง ผ่อนลมหายใจออกเหลือบตาไปมองหัวแม่มื้อซ้าย สูดลมหายใจเข้าเหลือบตามองตรงกลาง ทำสลับ 15-20 รอบ จากนั้นหลับตาและพักสายตาสักครู่
3. นั่งยืดขาลักษณะเดียวกับท่าที่ 2 มือซ้ายวางบนเข่าซ้ายโดยชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น มือขวากางไปข้างลำตัว ชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น หน้าตรง ขณะหายใจเข้าเหลือบตามองไปที่หัวแม่มือซ้าย หายใจออก เหลือบตามองไปที่หัวแม่มือขวา ทำสลับ 15-20 ครั้ง จากนั้นสลับมือขวาไว้บนเข่า มือซ้ายกางออกข้างลำตัว มองสลับซ้ายขวา 15-20 ครั้ง หลับตาและพักสักครู่
4. นั่งท่าเดิม วางมือขวาไว้เหนือเข่าขวา ชูหัวแม่มือขึ้นให้จ้องที่หัวแม่มือตลอด จากนั้นหายใจเข้า เมื่อหายใจออกให้เคลื่อนมือขวาขึ้นไปทางซ้ายบน แล้วหมุนมือขวาโดยวาดเป็นวงใหญ่ๆ ตามเข็มนาฬิกา จากนั้นวางไว้ที่เหนือเข่าที่เดิม หน้าตรงเช่นเดิม ขณะหมุน ให้ตาจ้องที่หัวแม่มือขวาตลอด วาดตามเข็มนาฬิกาประมาณ 5 รอบ และทวนเข็มนาฬิกา 5 รอบ พักสายตา
5. นั่งในท่าสบาย หายใจเข้าและจ้องมองที่ปลายจมูกของตัวเอง จากนั้นหายใจออกแล้วมองไกลออกไป ทำสลับกัน 5 รอบ แล้วหลับตาพักผ่อน
(จากหนังสือถนอมตาคู่สวยด้วยวิธีง่ายๆ
โดย พ.ญ.โสมสราญ วัฒนะโชติ จักษุแพทย์
โรงพยาบาลกรุงเทพ)