เป็นอีกหนึ่งคนของวงการบันเทิงที่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง กับคำกล่าวที่ว่า “ยิ่งรู้จักธรรมะเร็วเท่าใด ยิ่งดีกับชีวิตเร็วเท่านั้น” โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ นักแสดงหนุ่มผู้โด่งดังจากบท “นัท” เพื่อนรักของ “เรยา” ในละครเรื่อง “ดอกส้มสีทอง”
เข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการคัดตัวนักแสดงในบท “จะเด็ด” ของละครที่ถูกพับไปเรื่อง “ผู้ชนะสิบทิศ” กระทั่งมีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคู่กับนางเอกสาว ก้อย-รัชวิน วงศ์วิริยะ ใน “October Sonata รักที่รอคอย” ตามมาด้วยการรับบทเป็น “ขุนรามเดชะ” ในภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ฟอร์มยักษ์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3”
และยามนี้มีละครที่เขาแสดง กำลังออกอากาศ และกำลังถ่ายทำอยู่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ตะวันเดือด, วิ้งค์เจ้าเสน่ห์, เกมร้ายเกมรัก, บ่วง ฯลฯ
“ผมนอนกับแม่ อยู่กับแม่ ฟังธรรมะมาตลอด ตั้งแต่เด็ก มันทำให้ผมซึมซับ และเข้าใจธรรมะได้เร็วขึ้น ชีวิตคนเรามันสั้น แป๊บเดียวผมจะอายุ 30 แล้ว จะอยู่ไปได้อีกสักกี่ปีก็ไม่รู้ ถ้าไม่รีบรู้จักธรรมะ มันเหมือนจะช้าไป เหมือนบางคนแก่แล้ว เพิ่งจะมารู้จักธรรมะ มันทำให้บางเรื่องในชีวิตสายไปเหมือนกัน
แต่ถ้าเรารู้จักธรรมะตั้งแต่เด็ก ชีวิตของเราจะค่อยๆไป ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเหนื่อยกับเรื่องที่ไม่จำเป็นมาก เพราะธรรมะจะปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเรา ทำให้จิตใจดี รู้จักความพอเพียง มีสติ ผมจึงเชื่อว่า ยิ่งเจอธรรมะเร็ว ชีวิตก็ยิ่งได้ดีเร็วขึ้น”
• ธรรมะทำให้จิตใจดี ชีวิตไม่ตกต่ำ
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด นับแต่ได้รู้จักธรรมะ โป๊ปเล่าว่า คือเรื่องของจิตใจ เขาสามารถควบคุมสติได้มากขึ้น ส่งผลถึงอารมณ์และการกระทำที่แสดงออกมา และมักจะมีสิ่งที่ดีผ่านเข้ามาในชีวิต
“ชีวิตมันไม่ตกต่ำครับ(หัวเราะ) ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่ง ว่าการที่เรามีธรรมะอยู่ในใจ ชีวิตไม่มีทางตกต่ำลงแน่นอน อันนี้พิสูจน์ได้กับตัวเองแล้วครับ ชีวิตผมดีขึ้น ครอบครัวผมดีขึ้น แม้บางเรื่องมันอาจไม่ดีมาก แต่อย่างน้อยมันก็อยู่ตัว
เวลาคนอื่นมองผม จะมองว่าผมเป็นคนแบบสดใส ร่าเริง ดูสบายๆ ยิ้มง่าย ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่า น่าจะมีผลมาจากธรรมะด้วย สีหน้าที่เห็น มันออกมาจากข้างในใจเรานั่นเอง เพราะว่าเมื่อเราคิดดี ปล่อยวางเป็น เข้าใจธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่าง มันทำให้เราสบายใจขึ้น”
นอกจากนี้คนรอบตัว ก็พลอยได้รับผลดีตามไปด้วย
“เวลาที่ผมได้พูดถึงธรรมะ พูดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า มันก็ทำให้ผมมีความสุขด้วย มันเหมือนเป็นการแบ่งปัน บอกประสบการณ์ของผมไป ส่งผลให้คนที่เขาศรัทธาอยู่แล้ว อยากจะทำความดีอยู่แล้ว ยิ่งมีกำลังใจ อยากจะทำต่อไป”
• “แม่” สหายธรรมคนสำคัญของชีวิต
บุคคลใกล้ตัวที่นักแสดงหนุ่มบอกว่า ต้องขอบคุณมากเป็นพิเศษคือ “คุณแม่” ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ทำให้ชีวิตของเขารู้จักธรรมะเร็วขึ้น
“คุณแม่ของผมเป็นคนที่ทำบุญและปฏิบัติธรรมมานาน เขาเป็นคนที่คอยบอกผมว่า อย่าทิ้งการปฏิบัติธรรมอย่างที่เคยทำมา อย่าลืมนึกถึงการมีสติ ซึ่งถ้าไม่มีแม่คนนี้ ก็คงไม่มีผม คนที่คิดได้แบบนี้เหมือนกัน
หากถามว่า จะตอบแทนคุณแม่อย่างไรดี ก็คงจะคิดและทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ และพยายามหาเวลาไปทำบุญกับเขา ทำให้เขาสบายใจ เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วครับ”
แม้ทุกวันนี้จะมีงานแสดงตลอดทั้งสัปดาห์ แต่เขาก็พยายามจัดสรรเวลา เพื่อให้ชีวิตได้อยู่ใกล้ชิดธรรมะและพิธีกรรมสำคัญทางศาสนา
“วันสำคัญทางศาสนา และวันพระใหญ่ ผมจะไปทำบุญกับคุณแม่ และพี่สาว หรือถ้าช่วงไหนมีวันหยุดยาวๆ ไม่มีถ่ายละคร ก็จะไปนั่งสมาธิ
ของยุวพุทธก็เคยไป และสำนักวิปัสสนากรรมฐานพุทธพจน์ธรรมะ ของอาจารย์แม่สุจิตรา อ่อนค้อม ก็เคยไปอยู่หลายปี เขาจะนิมนต์พระมาสอบอารมณ์อะไรอย่างนี้ครับ”
• แบ่งปันให้สังคมสไตล์โป๊ป
ก่อนหน้านี้เขาเคยแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไป “สอนฟุตบอล” ให้กับเด็กๆในละแวกบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ที่บ้านจะยากจน ด้อยโอกาส เพราะกีฬาฟุตบอลเป็นกีฬาที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างมาก และยังมีฝีมือในการเล่นไม่แพ้ใคร ซึ่งก่อนหน้านี้ถ้าคิดเอาจริงเอาจังกับการเล่นฟุตบอล เขาอาจได้เป็นทีมชาติไปแล้ว
รวมทั้งการไปสอนวาดรูปให้กับน้องๆโครงการ TO BE NUMBER ONE ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี โดยใช้ทักษะที่เรียนจบมาจากรั้ววิทยาลัยช่างศิลป์และสาขานิเทศศิลป์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
“ตอนนี้ไม่ได้สอนฟุตบอลแล้วครับ แต่ยังแบ่งเวลาไปสอนวาดรูปอยู่ ถ้าไม่มีถ่ายละคร หรือว่าช่วงเย็นว่าง ก็จะไปสอนเด็กๆ วาดรูปเหมือนเดิม”
การที่ได้เป็นผู้ให้ในส่วนนี้ เขาบอกว่า สิ่งที่ได้รับกลับมา คือ ความสุขใจ และที่ผ่านมาเขามุ่งเน้นให้กิจกรรมเล็กๆที่ร่วมทำกับเด็กๆ ส่งเสริมให้เด็กๆมีความสุขและเป็นคนดีมากกว่า
“ผมได้รับความสุขใจ และความภูมิใจมากกว่า กับการที่เราได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง แม้มันจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆของคนที่เขาทำอะไรให้แผ่นดิน ให้สังคมมากกว่านี้ แต่ผมถือว่า แค่ผมได้ทำน้อยๆ หรือได้ทำบ้างก็ยังดี
ที่ผ่านมาผมมักจะสอนเด็กๆให้เป็นคนดีมากกว่า อย่างสอนเล่นฟุตบอล ก็จะสอนเขาว่า ทุกคนมาซ้อมด้วยกัน ห้ามเกเร ห้ามเอาเปรียบ ห้ามรังแกเพื่อน เล่นเก่งไม่เก่งไม่เป็นไร แต่ต้องมีน้ำใจนักกีฬา และผมมักจะมีความสุขกับการที่ได้เห็นหรือได้รู้จักเด็กที่เขาคิดดี
คิดอย่างที่ “ในหลวง” ทรงสอน คือเรื่องของความพอเพียง ที่ไม่ได้หมายความถึงเรื่องเงินอย่างเดียว แต่คือเรื่องใจของเราด้วย ให้ใจเราพอ กับสิ่งที่เราทำและเป็น คือสิ่งที่ผมอยากให้เด็กๆทุกคนได้เรียนรู้ แล้วเขาจะเป็นคนดีของสังคม ส่งผลให้สังคมเป็นสังคมที่ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสบาย ไม่มีการแก่งแย่ง และทำร้ายกัน”
• เผยแผ่ธรรมด้วยการทำให้เห็นเป็นให้ดี
นอกจากการทำเพื่อสังคม เขาเชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ยังถือเป็นการทำเพื่อศาสนาด้วยเช่นกัน
“ทุกวันนี้ผมก็ทำเพื่อศาสนาอยู่นะ(หัวเราะ) ผมทำบุญ ผมปฏิบัติธรรมและพยายามบอกประสบการณ์ของผม ให้ทุกคนรู้ว่า การปฏิบัติธรรมมันเป็นสิ่งที่ดี เพราะผมได้เจอกับตัวเอง ซึ่งอันนี้ถือเป็นการเผยแผ่ศาสนาทางหนึ่งเหมือนกัน”
แต่จะให้หาหนทางเปลี่ยนความคิดของผู้คนที่ยังคิดว่า การเข้าวัด การปฏิบัติธรรม หรือการสนใจศาสนา เป็นเรื่องของคนแก่หรือคนที่มีปัญหาชีวิตเท่านั้น เขาบอกว่าคงไม่พยายามไปเปลี่ยนตรงนั้น การทำให้เห็น เป็นตัวอย่างให้ดู น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในตอนนี้
“ตัวของผมไม่สามารถเปลี่ยนใครได้หรอก เพราะผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่มีส่วนทำให้คนคนหนึ่งสนใจและศรัทธาในธรรมะ อย่างแรกคือครอบครัว และอย่างที่สองคือ บุญกรรมของแต่ละคน
คงได้เห็นตัวอย่างกันมาบ้างนะครับ ที่บางคนพ่อแม่ไม่ดี แต่ลูกดีใช่ไหมครับ หรือบางคนที่พ่อแม่สอนแทบตายแต่ลูกไม่ยอมทำตาม ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องของเวรกรรมด้วย แต่อย่างไรผมก็ยังมีความเชื่ออยู่มากว่า ถ้าครอบครัวดี สอนลูกให้ใฝ่ธรรม ปลูกฝังความเป็นคนดี ปลูกฝังอุดมคติที่ดีๆให้กับเขาตั้งแต่เด็กๆ ผมคิดว่าเขาจะ ได้รับสิ่งดีๆจากพ่อแม่ เห็นว่าธรรมะเป็นเรื่องง่าย เหมือนกับที่ผมได้รับจากครอบครัวของผมนั่นแหละครับ
ผมสนใจธรรมะ และปฏิบัติธรรมมาหลายปีมาก มันทำให้ชีวิตผมดีขึ้นจริงๆ เหมือนหน้ามือกลายเป็นหลังมือ อยากให้ทุกคนได้ลองปฏิบัติดูด้วยตัวเอง พระพุทธเจ้าก็บอกเราแล้วว่า “จงอย่าเชื่อ แต่จงทำ แล้วท่านจะได้เห็นเรา” ซึ่งผมอยากบอกทุกคนว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าบอก เป็นสิ่งที่จริงที่สุด”
นอกจากนี้ เขายังศรัทธาในพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก : สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
“ผมเชื่อว่าคนเราทำกรรม คือ กระทำอะไรไว้ ก็ได้แบบนั้น ดังนั้น มันทำให้เราต้องรู้จักคิดก่อนทำ และจะทำอะไรต้องมีสติเสมอ”
• บทบาทในละครและชีวิต เป็นสิ่งสมมติ
บ่อยครั้งที่การแสดง ทำให้เขาคิดเชื่อมโยงไปถึงหลักธรรมทางศาสนาและทำให้เห็นในสิ่งที่ว่า ชีวิตเป็นสิ่งสมมติ
“ทุกเรื่องที่ผมแสดง มักจะทำให้ผมนึกถึงธรรมะ ไม่ได้นึกไปทีละฉาก แต่นึกเป็นภาพกว้างๆว่า จริงๆแล้ว เราเล่นละคร มันเหมือนกับชีวิตของคนหนึ่งคน เหมือนวันนี้เราตายแล้วเราก็เกิดมาเป็นคนนี้ต่อ เช่น วันนี้เราเป็น “นัท” ในละครเรื่อง “ดอกส้มสีทอง” จากนั้นเราก็ตาย แล้วเราก็เกิดมาเป็น “โจ๊ก” ในละครเรื่อง “วิ้งค์เจ้าเสน่ห์” อีกวันต่อมา เราก็ตาย แล้วเกิดมาเป็นตัวละครอีกตัว ในละครเรื่อง “บ่วง”
ละครมันเหมือนธรรมะ ทุกอย่างคือธรรมะ ผมคิดอย่างนี้ ไม่ได้คิดว่า เวลาเราเล่นละคร เราใช้ธรรมะเรื่องไหนมาเล่น แค่คิดเป็นภาพกว้างว่า เออ..นี่แหละคือชีวิต และละครสอนเราว่า เราอย่ายึดติด วันนี้เราเป็นตัวละครตัวนี้ รับบทเป็นคนที่แสนดี พรุ่งนี้เราอาจจะกลายเป็นตัวที่ร้าย หรือเป็นผู้ชาย เจ้าชู้เลยก็ได้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปตามบทบาท ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องจริงเลยสักอย่าง”
ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถเจาะจงได้ว่า บทบาทไหนในละครหรือภาพยนตร์เรื่องใดที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงของเขามากที่สุด เพราะในชีวิตจริงของเขา มันก็คล้ายกับตัวละครทุกตัว ในละครและภาพยนตร์ทุกเรื่องมารวมกัน
“ทุกบทที่ผมเคยได้รับมันใกล้เคียงกับตัวจริงของผมทั้งหมด ผมเป็นเหมือนตัวละครทุกตัวในละครแต่ละเรื่อง มีทุกมุมในตัวผมเอง ผมจึงไม่รู้ว่า จริงๆแล้วผมเป็นคนแบบไหน บางมุมผมก็เป็นคนแบบนี้ และบางมุมผมก็เป็นคนแบบนั้น เหมือนบางทีเพื่อนก็มองเห็นผมในมุมนี้ หรือบางทีคนที่ทำงานด้วย เขาก็เห็นผมในอีกมุมหนึ่ง
แต่อย่าไปพยายามคิดเลยครับว่า เราเป็นคนแบบไหน แต่ขอให้เรารู้ว่าทุกวันนี้ เราคิดดี ทำดี เท่านั้นก็พอแล้วครับ ดังนั้นผมจึงพยายาม บอกตัวเองให้คิดดี ไม่ทำร้ายคนอื่น เป็นผู้ให้ ให้มากที่สุด” ถ้าให้ถามหาข้อดีที่ตัวเองมี เขาเห็นว่ามันไม่สำคัญเท่าการมองหาข้อเสียเพื่อแก้ไข
“ผมเป็นคนธรรมดา มีทั้งดีและไม่ดีในตัวเอง จะให้ผมบอกข้อดีของตัวเอง ข้อเสียผมก็มีอยู่เยอะแยะ มันจึงไม่แฟร์ที่คนจะรู้แต่เรื่องดีของเรา
ผมยังมีนิสัยบางอย่างที่ต้องแก้ไข อย่างเรื่องของอารมณ์ที่ขี้หงุดหงิด ที่บางครั้งยังตัดทิ้งไม่ได้ อยากจะเป็นคนที่คิดดี อารมณ์ดีตลอดเวลา และปล่อยวางได้ทุกเรื่อง แต่บางทีปล่อยวางไม่ได้ เพราะเรื่องบางเรื่องมันจี้ใจดำเรา เป็นปมของเรา จนเราต้องจี๊ดกับมัน”
• อยากดีให้ได้สักครึ่งหนึ่งของ “ในหลวง”
ความฝันในระยะใกล้ เขาอยากจะมีธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเอง ด้วยการร่วมกับพี่สาวเปิดร้านขายขนมน่ารักๆ เพราะคนในครอบครัวมีฝีมือในการทำขนม แต่ติดที่ยังไม่เวลามากพอจะสามารถปลีกตัวไปทุ่มเทให้อย่างเต็มที่
ส่วนในเรื่องของการแสดงเขาก็ไม่ต่างจากนักแสดงคนอื่นๆ ที่อยากจะเป็นที่ชื่นชม โดยเฉพาะการเป็นที่ชื่นชมในเรื่องของความสามารถอย่างแท้จริง
“ผมหวังแค่ให้คนที่เขาดูละครที่เราเล่น มีความสุขและได้ผ่อนคลาย กับสิ่งที่เราแสดงออกไป ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหนก็ตาม และอยากให้เขารู้สึกว่า ตัวตนจริงๆของเราเป็นแบบอย่างให้กับเขาได้ เป็นสิ่งที่น่าจะทำให้ผมมีความสุขที่สุดในระยะอันใกล้นี้
แต่ถ้าเป็นเรื่องของระยะยาว ผมอยากจะอยู่เป็นนักแสดงไปนานๆ และอยากอยู่แบบมีคุณภาพ ให้เขาเลือกเราที่ความสามารถของเรา ด้วยนิสัยของเรา ผมอยากเป็นเหมือนกับ อาเอก (สรพงษ์ ชาตรี) และพี่แหม่ม (จินตหรา สุขพัฒน์) อยากจะเป็นแบบนั้นครับ”
แต่ถ้าหากถามถึงคนดีที่เป็นต้นแบบ ที่ทำให้เขาอยากจะเป็นให้ได้สักครึ่งหนึ่งในชีวิตนี้
“อยากเป็นคนดี อยากคิด อยากเก่ง ให้ได้สักครึ่งของในหลวง พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีที่ทำให้เรารู้สึกว่า ประเทศเราโชคดีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นคนดี”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 130 กันยายน 2554 โดย พรพิมล)