วันแม่ปีนี้ ไม่รู้ว่าใครจะนึกถึงเพลง “ถ้าไม่มีเธอ” ที่ “เกียรติกมล ล่าทา” หรือ ตุ้ย AF3 เคยร้องเนื่องในโอกาสวันแม่ เมื่อปีก่อนๆ บ้างหรือเปล่า
แต่เชื่อแน่ว่า “แม่น้อย” คุณแม่อันเป็นที่รักของตุ้ย น่าจะได้ฟังลูกชายร้องให้ฟังเป็นการส่วนตัวอีกแน่ๆ
หากว่าไม่... คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องน้อยอกน้อยใจอะไร เพราะที่ผ่านมาตุ้ยได้พิสูจน์ให้คนในครอบครัว รวมทั้งคนรอบข้างได้เห็นมานักต่อนักแล้วว่า ตุ้ยรักและใส่ใจบุพการีมากแค่ไหน
ไม่ใช่เพียงช่วงเวลาที่กลายเป็นนักร้องชนะเลิศเวทีประกวด Academy Fantasia ปีที่ 3 (AF3) เมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยตุ้ยได้ให้พ่อซึ่งเคยมีอาชีพขายผลไม้และเป็นช่างซ่อมรองเท้า และแม่ซึ่งมีอาชีพเป็นพนักงานความสะอาดโชว์รูมรถยนต์แห่งหนึ่ง หยุดทำงาน โดยตุ้ยขอทำหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่เอง
@ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต มีแม่คอยให้กำลังใจ
ทว่าช่วงเวลาที่ยังไม่โด่งดังเป็น ตุ้ย AF 3 และมีงานละครชุกชุมเหมือนตอนนี้ ชายหนุ่มก็พยายามทุกวิถีทางที่จะแบ่งเบาภาระครอบครัว เขาเคยทำงานมาแล้วหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเด็กส่งน้ำแข็ง พนักงานขายซาลาเปาวราภรณ์ พนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พาวเวอร์บาย พนักงาน 7-11 เด็กเก็บตั๋วหนังที่โรงหนัง SF และทำงานที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รณรงค์ลดอุบัติเหตุ หรือแม้แต่ตระเวนร้องเพลงตามผับถึง 3 แห่งต่อคืน และใฝ่ฝันเสมอว่า ชีวิตจะต้องดีขึ้น เพื่อครอบครัวจะไม่ต้องลำบากต่อไป
ตุ้ยเล่าว่าวัยเด็กเขาถูกเลี้ยงแบบตามใจ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นลูกชายที่กลัวแม่เป็นที่สุด
“ผมจะกลัวแม่มากกว่ากลัวพ่อ แม้จะถูกเลี้ยงแบบตามใจ แต่ก็ไม่ได้ตามใจไปซะทุกอย่าง แม่จะสอนให้อยู่ในกรอบ เลยไม่ค่อยกล้าดื้อมากเท่าไหร่
โดยพื้นฐานแล้วผมค่อนข้างจะเอาแต่ใจตัวเอง แต่จะโดนแม่เบรคอยู่เสมอ เรื่องไหนที่แม่บอกว่าไม่ได้ ก็คือไม่ได้ ท่ามกลางการเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเอง จึงทำให้ผมเป็นลูกที่ต้องเชื่อฟังพ่อแม่”
ก่อนหน้านี้ตุ้ยอาจจะหวังมาโดยตลอดว่า อยากมีเงิน มาเลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น แต่การตัดสินใจเข้าประกวดร้องเพลงของเขา หาใช่ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างที่ใครหลายคนคิด
“ผมเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะไม่รวยแต่ก็ไม่จน พอดำเนินชีวิตได้อย่างสบายๆ แต่ก็ไม่ได้หรูหราอะไร จริงๆแล้ว การที่เข้าประกวดก็เหมือนกับเป็นการที่ได้ทำอะไรที่ตัวเองชอบแค่นั้นเอง ไม่ได้หวังถึงขนาดจะต้องได้แชมป์ได้อะไร ขอแค่ให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างเต็มที่ ลองทำดู ได้ไม่ได้ ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่มันฟลุ๊คได้ ก็ถือเป็นโชคดีไป”
ไม่ต่างกับแม่ผู้เพียงอยากส่งเสริมให้ลูกชายได้ลองทำในสิ่งที่ชอบ ก็นึกไม่ถึงว่าลูกชายจะมาได้ไกลถึงขนาดนี้ แถมก่อนหน้าที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ สัปดาห์ที่ตรงกับวันแม่ ตุ้ยยังได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากผู้ชม และได้รับรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบิน พาแม่ไปเที่ยวฮ่องกง หลายคนที่เคยเป็นกองเชียร์ให้เขา คงได้เห็นภาพจากข่าวตามสื่อต่างๆมาแล้ว
“ตอนแรกที่ประกวด แม่เองก็คิดว่า ผมคงไปไม่ถึงไหน พอเริ่มผ่านเข้ารอบลึกๆ แม่ก็เริ่มเพลินและสนุกไปด้วย เริ่มตามมาเชียร์ เป็นธรรมดา ที่พอผมชนะ แม่ก็ดีใจ เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าผมจะมาไกลถึงขนาดนี้ เขาค่อนข้างจะงง อารมณ์เดียวกับผม แต่จริงๆแล้ว ก่อนจะ เข้าบ้าน AF หรือในงานทุกงาน และทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผม แม่จะเป็นคนที่คอยให้กำลังใจผมอยู่แล้ว”
@ แม่สอน “ลำบากก่อน แล้วจะสบายทีหลัง”
ตุ้ยยังจำได้ว่า สิ่งที่แม่ย้ำเตือนเสมอ เพื่อไม่ให้เขาหลงระเริงไปกับโอกาสต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแบบไม่ ทันตั้งตัว นั่นคือ
“เรื่องของอนาคตที่มันไม่แน่นอนครับ และการใช้ชีวิตในแต่ละงาน แต่ละวัน อย่างระมัดระวัง ใช้ชีวิตให้ปลอดภัยมากที่สุด เพื่อจะไม่ให้มีเรื่องผิดพลาด เกิดขึ้นได้ในอนาคต”
ไม่มีเรื่องไหนที่แม่สอน แล้วตุ้ยจะไม่นำมาปฏิบัติตาม เพราะมีหลายเรื่อง เวลาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นจริงอย่างที่แม่สอน
“แม่จะพูดอยู่เสมอว่า ลำบากก่อนแล้วจะสบายทีหลัง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่แม่บอก สมัยก่อนผมทำงานมาเยอะพอสมควร พอได้มาทำงานในวงการบันเทิง งานก็หนักเช่นกัน แต่เปรียบเทียบกันแล้วก็ค่อนข้างจะสบายกว่างานในอดีต ถือเป็นโชคดีที่แม่ได้สั่งสอนเรื่องนี้ไว้”
ตุ้ยเป็นลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น หลายสิ่งที่มีอยู่ในตัวแม่ ถ่ายทอดสู่ตัวเขาแทบทุกอย่าง
“น่าจะเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นในการทำงานที่ผมรับเอาเชื้อของแม่มาเต็มๆเลยครับ เวลาจะทำงานสักชิ้น ผมค่อนข้างจะจริงจังและเอาจริงกับมันทุกๆครั้ง ถึงเวลาเล่นก็เล่น เฮฮา สนุกสนาน แต่ถ้าเป็นเรื่องงานผมเอาเลือดแม่มาเต็มๆเลย”
@ ภูมิใจได้เลี้ยงดูพ่อแม่
ทุกวันนี้สิ่งทำให้ตุ้ยภาคภูมิใจในฐานะลูกคนหนึ่ง ไม่มีอะไรมากไปกว่า การได้เลี้ยงดูพ่อแม่ให้มีชีวิตที่สุขสบายและสรรหาสิ่งที่ท่านเคยอยากได้มาให้
“ซื้อบ้านให้ท่านอยู่ ซื้อรถที่เคยพูดถึง แม่เคยเอ่ยปากว่าอยากได้อะไร พอวันหนึ่งผมมีแรง มีปัญญาที่จะทำให้แม่ได้ ผมก็ทำสิ่งนั้น
สิ่งที่เคยอยากทำให้ ก็ทำครบหมดแล้ว ที่เหลืออยากจะมีเวลาให้กัน และทำผลงานดีๆออกมาให้แฟนเพลงแฟนละครได้ชม เพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งที่เขาให้เรามา ตลอดระยะเวลา 5 ปี”
คือความตั้งใจของ นักร้อง นักแสดงหนุ่ม ที่กำลังจะมีละครอีกหลายเรื่องให้เราชมอีกเร็วๆนี้ ผู้ที่เมื่อครั้งเป็นเด็กชาย เคยฝันอยากเป็นทหารหรือตำรวจมากๆ ถึงกับลงทุนไปสมัครเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้าโรงเรียนนายร้อย แต่ด้วยความที่เรียนมาทางสายพาณิชย์(ปวช.สาขาการตลาด และปวส. และปริญญาตรี สาขาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร) เลยสอบสู้สายสามัญไม่ได้ จนเลิกล้มความตั้งใจไป
“แม่ก็ช่วยเสียค่าเรียนพิเศษให้เป็นเรื่องเป็นราว ทั้งเนื้อหาวิชาการและฟิตร่างกาย ผลปรากฏสอบไม่ได้”
แต่เมื่อเข้าสู่วงการบันเทิง บทบาทการแสดงที่ตุ้ยได้รับนั้น กว่า 90% เป็นคนในเครื่องแบบ ได้แก่ ข้าราชการ ปลัดอำเภอ พนักงานไปรษณีย์ ทหารบก ทหารเรือ ตำรวจ ฯลฯ
ตลอดมาตุ้ยเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนรอบข้างเห็นในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องตั้งใจทำงานออกมาให้มีคุณภาพ จนทำให้เขาได้รับรางวัลและได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลจากหลายเวที ทั้งในฐานะนักร้องและนักแสดง
ตัวอย่างเช่น รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ภาพยนตร์เรื่อง “กอด”) จากเวที คมชัดลึกอวอร์ด ครั้งที่ 6 และตอนที่เล่นละครเวที มิวสิเคิล เรื่อง “เงิน เงิน เงิน” ก็เคยได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ว่า “เป็นบุญหูที่ได้ฟังเพลงหยาดเพชร จากตุ้ย”
หรือแม้แต่ตอนที่ นิตยสาร Starpics เสนอชื่อตุ้ยเข้าชิงรางวัล นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เวที Starpics Award จากภาพยนตร์เรื่อง “กอด” ทางนิตยสารได้ให้เหตุผลเอาไว้ว่า
“เกียรติกมล ล่าทา ไม่เพียงแต่ไปกันได้ดีกับบทหนุ่มชาวบ้านธรรมดา แต่ยังแสดงอารมณ์ได้หลากหลายและสมจริง โดยเฉพาะความระทมทุกข์ที่ค่อยๆเผยออกมาทีละน้อย โดยไม่ติดภาพของนักร้องมากแฟนคลับ”
@ เงินที่หามาได้ ยกให้แม่ดูแล
นอกจากนี้ ในเรื่องของการใช้จ่าย คนจำนวนไม่น้อยก็ควรจะเอาอย่างตุ้ยด้วย โดยทุกครั้งที่มีรายได้จากการทำงาน เขาจะยกเงินทั้งหมดที่หามาได้ให้แม่ดูแล ถ้าเกิดอยากได้อะไรพิเศษ จึงไปขอจากแม่
ครั้งหนึ่งตุ้ยเคยให้สัมภาษณ์ นิตยสาร POSITIONING ว่า..
“แต่ละเดือนจะมีลิมิตในการใช้จ่าย และพยายามท่องตลอด มีเงินเยอะจะไม่ใช้เยอะ แต่ใช้ตามสถานการณ์ที่จำเป็นต้องใช้ เปรียบเทียบกับเมื่อก่อน รายได้ต่างกันราวหน้ามือกับหลังมือเลย สมัยก่อนคิดทำอะไรสักอย่าง ลำบากยากเข็ญ เพราะเงินน้อย แต่ก็ไม่ถึงอับจน ไม่มีกิน แต่ด้วยการดำเนินชีวิตช่วงนั้นมันต้องใช้เงินมากกว่านี้ รายได้ร้องเพลง 3 แห่งเฉลี่ยประมาณ 2 หมื่นบาท ต่อเดือน ตอนแรกก็โอเค แต่ระยะหลังเงินน้อยลงก็ไม่โอเค มาถึงรายได้ปัจจุบันแตกต่างเป็นสิบเท่าเลย”
ไม่แปลกอะไรที่ตุ้ยจะมีเงินและงานเข้ามาตลอด เพราะเขามีหลักในการทำงานอยู่ว่า
“ผมเป็นคนไม่ค่อยเลือกงานมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่ผ่านมาไม่มีอะไรหนักไปกว่าที่เจอมาแล้ว ฉะนั้นทุกวันนี้ หากพี่ๆ หยิบยื่นงานอะไรมาให้ แบบไม่มีข้อแม้อะไรก็ตาม เพราะคิดว่าเขาต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เรา และเมื่อเขากล้าเลือกเรามา ก็ต้องดูแลให้ดีอยู่แล้ว ทำให้ผมไว้ใจ พี่ๆทีมงานทุกคนเหมือนพี่น้องกัน ไม่ใช่เจ้านายกับลูกค้า”
@ บวชให้แม่เมื่อเรียนจบ
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตตุ้ย ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกแค่ในช่วงที่เขากลายเป็น ตุ้ย AF3 แต่ยังมีก่อนหน้านั้นอีกด้วย คือ ตอนอายุ 22 ปี (ปัจจุบัน เขาอายุ 28 ปี)
“เคยบอกกับคุณแม่และให้สัญญาไว้ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ชั้น ม.3 ว่า เรียนจบได้ปริญญาแล้วจะบวชให้ ตั้งใจไว้มากเลยว่าจะทำให้ เพราะไม่อยากทิ้งไว้นาน เดี๋ยวจะกลายเป็นขี้ปาก อีกอย่างเป็น ลูกชายคนเดียวของครอบครัว ในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากวงดนตรีไปบวช ไปใช้ชีวิตแบบพระสงฆ์ ซึ่งก็ขัดกับชีวิตกลางคืนคนละเรื่องเลย เปลี่ยนแปลงมาก แต่ใช้ความอดทนของตัวเอง ยอมรับว่าทำให้ใจเย็นลง และอยู่กับตัวเองมากขึ้น บางครั้งกลัวผีจะเปิดไฟตลอดคืนเลย พอสึกก็ต้องเอาเงินค่าไฟถวายวัด
หลังจากสึกออกมาชีวิตดีขึ้น นี่คือเรื่องจริงเลย จากชีวิตต้องทำงาน 2-3 แห่ง นอนดึกตื่นสาย เปลี่ยนไปทำงานออฟฟิศทันที แต่ก็ขัดกับตัวเองสุดๆ เหมือนกัน เพราะไม่เคยทำมาก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำงานมาหลายแห่ง และจากคนที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มาทำงานรณรงค์ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ของ สสส.”
@ ได้รับรางวัลลูกกตัญญูจาก 2 สถาบัน
ในทุกปีตุ้ยจะมีกิจกรรมไปทำบุญร่วมกันกับบรรดาแฟนคลับ และทุกครั้งเขาจะชวนแม่น้อยและป๋าวิเชียร (คุณพ่อ)ไปด้วย เพราะอยากให้ทั้งพ่อและแม่ได้ทำบุญและมีกิจกรรมทำร่วมกับเขา โดยไม่มีสถานที่ที่เจาะจงไปประจำ แต่จะหมุนเวียนไปตามสถานที่ต่างๆมากกว่า
“ไม่ว่าจะเป็นบ้านเด็กอ่อน บ้านเด็กพิการซ้ำซ้อน โรงพยาบาลสงฆ์ หรือแม้แต่การสร้างวัดสร้างวา ทอดผ้าป่าก็เยอะมาก มีหลากหลายสถานที่ครับ”
ในฐานะลูกที่ดูแลพ่อแม่ได้ดีคนหนึ่ง สิ่งที่ตุ้ยอยากฝากถึงคนที่อาจหลงลืมหน้าที่ลูกของตัวเองไป ก็คือ
“โดยพื้นฐานของคำว่าลูก ของคำว่าบุตรแล้ว มันง่ายมาก ไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำว่าควรจะทำอะไรให้พ่อแม่บ้าง เพราะการดูแลพ่อแม่ ดูแลความรู้สึกของพ่อแม่ เลี้ยงดูท่าน ทำให้ท่านมีความสุขมากที่สุด เป็นหน้าที่อยู่แล้ว ควรที่จะรีบๆทำซะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสทำให้ท่าน”
ที่ผ่านมา ตุ้ยได้รับรางวัลการันตีในฐานะลูกกตัญญูมาแล้ว 2 รางวัล คือ รางวัลลูกผู้มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี 51 และ รางวัลลูกกตัญญูดีเด่น จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อปี 52
เนื้อเพลงถ้าไม่มีเธอ
ไม่มีคำว่ารักคำไหนของใครในโลก
ที่อยากได้ยินยิ่งกว่ารักจากปากของเธอ
แค่เธอส่งยิ้มมาฟ้าก็สวยเหลือเกิน
แค่เห็นน้ำตาของเธอก็เหมือนฉันมันจะขาดใจ...ขาดใจ
ถ้าไม่มีเธอชีวิตฉันคงลำบาก
ถ้าไม่มีเธอแล้วฉันจะรักใคร
จะมีใครให้รักเพราะเธอคือรักครั้งแรกของชีวิต
เพราะเธอคือคนสุดท้ายของหัวใจ
อยากเก็บดาวบนฟ้าทุกดวงเอามาฝาก
เก็บดอกไม้ทุกดอกในโลกมาให้เธอ
อยากให้เธอซึ้งใจอยากเห็นเธอน้ำตาเอ่อ
เก็บเธอไว้ในอ้อมกอดของฉันจนวันสุดท้าย...สุดท้าย
รักเธอคนเดียว รักเธอเสมอ รักเธอเท่าฟ้า
รักเธอคนเดียว รักเธอเสมอ รักยิ่งกว่ารัก
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 129 สิงหาคม 2554 โดย พรพิมล)