xs
xsm
sm
md
lg

ใครเห็นว่าประเทศนี้...(จุด.จุด.จุด) ยกมือขึ้น

เผยแพร่:   โดย: บรรจง นะแส

เป็นเรื่องที่ทำให้ตกใจพอสมควรกับคำตอบ ที่วิทยากรกลุ่มนำคำถามมาขอความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 150 คน ซึ่งมาจากหลายภาคส่วนหลากหลายอาชีพทั่วภูมิภาคของประเทศ เป็นเวทีระดมความคิดเห็นเป้าหมายและทิศทางของประเทศที่ควรจะเป็น ก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลักก่อนการประชุมสัมมนา วิทยากรนำประจำวันได้บอกกับพวกเราว่า ขอให้ทุกคนตั้งสติและใช้ความคิดให้รอบคอบในการตอบคำถามแต่ละคำถาม และขอให้ตอบออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ของแต่ละคนในแต่ละคำถาม คิดก่อนตอบ คิดก่อนยกมือ.....

“ใครคิดว่า...ถึงวันนี้ประเทศไทยของเราเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้วบ้างยกมือขึ้น” ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องประชุมอย่างช้าๆ เพราะวิทยากรบอกว่าคิดให้รอบคอบและไม่ต้องรีบ สุดท้ายมีผู้ยกมือเพียง 5 คนจากผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งแน่นอนผมคนหนึ่งที่ไม่ได้ยกมือ

“ใครคิดว่าระบบการเมืองการปกครองที่ประเทศของเราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ดีที่สุดแล้ว”

“ใครคิดว่าตัวเองมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินบ้าง” ทั้งห้องประชุมไม่มีใครยกมือแม้แต่คนเดียว

“ใครคิดว่าชีวิตความเป็นอยู่ของท่านและครอบครัว ไม่มีความหวัง ไม่มีความมั่นใจในอนาคต ภายใต้กลไกของรัฐที่เป็นอยู่” กว่า 90% ของผู้ร่วมประชุมยกมือขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งมือของผมก็ยกขึ้นรวมอยู่ในจำนวนนั้นด้วยเช่นกัน

“ใครคิดว่าท่านสามารถพึ่งพากระบวนการยุติธรรมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้หรือไม่” มีผู้ยกมือประมาณครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุม และมือของผมก็ร่วมอยู่ในจำนวนนั้น

ที่พูดว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ตกใจก็เพราะว่า ในการใช้ชีวิตปกติเราแต่ละคนต่างก็ดิ้นรนกันไปในแต่ละสาขาอาชีพ ในการประกอบอาชีพ ในการดูแลตัวเองหรือครอบครัว ก็พบเห็นอยู่ว่าแต่ละคนแต่ละอาชีพก็มีปัญหาของตัวเองแตกต่างกันไป เกษตรกรก็มีปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ปัญหาจากราคาพืชผลตกต่ำฤดูกาลไม่แน่นอน ผลผลิตและอาชีพไม่มั่นคงขาดหลักประกันในการประกอบอาชีพ ซึ่งก็แก้ไขกันไป ส่วนหนึ่งก็อาศัยการทำหน้าที่ของรัฐและกลไกของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ปัญหาร่วมของสาขาอาชีพที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศคือเกษตรกร คือปัญหาความยากจนที่รายได้จากผลผลิตไม่พอต่อการดำรงชีพและอนาคตมืดมนไม่ว่าปัจจัยสี่ สุขภาพอนามัยที่ดีหรืออนาคตของลูกหลานที่จะมีโอกาสทางการศึกษาที่ดี ที่สอดคล้องกับความถนัดความต้องการ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นทุกสังคมหมู่บ้านบอกว่าพวกเขามีปัญหาเรื่องยาเสพติด ปัญหาหลักขโมยและอาชญากรรม ที่เป็นผู้ใช้แรงงานก็บอกว่ารายได้ไม่พอต่อการดำรงชีพ ที่อยู่กันได้ก็เพราะตัวเองเป็นแรงงานสองขา คือ ทำการเกษตรตามฤดูกาล และใช้แรงงานยามหมดฤดูกาล

ปัญหาของคนชั้นกลางหรือมนุษย์เงินเดือนคนทำงานธุรกิจ ต่างสะท้อนปัญหาของตัวเองว่า คือ ปัญหาความไม่มั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินไม่รู้สึกปลอดภัยในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน(หลายคนยกตัวอย่างกรณีหมอมุก ที่โดนคนในเครื่องแบบขับรถเฉี่ยวชน ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าใครเป็นคนขับ ใครเป็นคนชน ถ้าคนธรรมดาอย่างเราๆ เจอเข้าเช่นนั้นบ้างคงพอเดาออกว่าคดีจะจบลงอย่างไร) บางอาชีพก็ต้องติดสินบาทคาดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลนอกกฎหมาย ต้องเสียเบี้ยบ้ายรายทางเพื่อให้การทำมาหากินการประกอบอาชีพสะดวกขึ้น ป้องกันการกลั่นแกล้งต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่เป็นอาชีพที่สุจริตและไม่มีกลไกใดๆ ที่จะคุ้มครองได้

ที่น่าตกใจก็ตรงที่ว่าคนเกินครึ่งหนึ่งไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมขั้นต้น คือ ตำรวจหรือฝ่ายปกครอง ที่ระบบอุปถัมภ์ ระบบเส้นสายยังยึดกุมชี้นำจนไม่สามารถสร้างความเป็นธรรม สร้างความยุติธรรมให้เกิดความมั่นใจได้เลย ความยุติธรรมขั้นต่อๆ ไปไม่ว่าขั้นของอัยการหรือศาลก็จะระเนนระนาดไปด้วยกันเพราะขบวนการยุติธรรมขั้นต้นผิดพลาดและไม่ตรงไปตรงมา

มีการยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของปัญหาในระดับพื้นที่ จากชุมชนเล็กๆ ที่คนในชุมชนต่างรู้กันว่าในหมู่บ้านใครขายยาเสพติดให้กับลูกหลานของเขา ตำรวจคนไหนเปิดบ่อน คุมบ่อนไก่ บ่อนวัวชนหรือใช้บ้านให้ภรรยาประกอบอาชีพรับแทงพนันบอล นักพนันสามารถไปเล่นการพนันกันได้ทุกวันที่บ้านของ ส.จ.คนนั้นหรือหัวคะแนนของ ส.ส.คนนี้ เป็นต้น ในระดับตัวเมืองผู้ประกอบอาชีพร้านอาหาร ผู้รับเหมารายย่อยจะต้องจ่ายเบี้ยบ้ายรายทางให้กับตำรวจพื้นที่ สรรพากรพื้นที่ ฝ่ายปกครองเดือนละเท่าไหร่ ถ้าใครจะวิ่งเพื่อให้หลุดคดีจะต้องเข้าหาอัยการท่านไหน จะต้องจ่ายเท่าไหร่ ฯลฯ

กลุ่มย่อยที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีปัญหาของตัวเองแตกต่างกันไป ฝ่ายที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติก็สะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษา ที่ไม่สามารถอบรมสั่งสอนให้ลูกหลานของชาวบ้านเป็นคนดีและมีความรู้ที่สอดคล้องกับอาชีพและความถนัดของเด็กๆ ได้ เพราะนโยบายไม่เอื้อและผู้เป็นครูส่วนใหญ่ก็มุ่งพัฒนาอาชีพของตัวเองให้มีค่าตอบแทนที่สูงขึ้นโดยระบบการสร้างเอกสารมากกว่าการสร้างเด็กๆ ให้เป็นคนดีมีวิชาความรู้ ฝ่ายที่อาการสาหัสที่สุดคือฝ่ายปกครองและผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่พูดถึงการก้าวหน้าในอาชีพที่ต้องผูกติดกับระบบอุปถัมภ์และเงินเป็นตัวกำหนด การโยกย้าย การขยับตำแหน่งซึ่งจะต้องจ่ายให้กับผู้บังคับบัญชาหรือผู้ที่สามารถจัดการให้ได้

นายตำรวจระดับรอง ผกก.ต้องจ่าย 2-3 ล้านบาท ระดับ ผกก.ในพื้นที่ทำเลทอง ที่เต็มไปด้วยธุรกิจและอุตสาหกรรม บางพื้นที่จะต้องจ่ายกันคนละ 10-15 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องผ่านนายหน้าที่เป็นพวกราชการด้วยกันหรือไม่ก็ต้องผ่านพ่อค้า นักธุรกิจ รัฐมนตรี หัวคะแนนนักการเมือง ตัวนักการเมือง ถึงจะได้มีโอกาสขึ้นสู่ตำแหน่งได้ นี่คือความจริง คือข้อเท็จจริงที่สามารถหาข้อมูลได้ในทั่วทุกพื้นที่ของประเทศนี้

คำถามจึงมีว่าประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาเช่นนี้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างไร หรือดำรงอยู่แบบประคับประคองกันมาจนถึงจุดที่จะต้องล่มจมล่มสลายกันในเวลาอันใกล้นี้ คำถามที่ถูกตั้งและเป็นโจทย์ต่างๆ หากถูกหยิบยกขึ้นมา ไม่ว่า ณ เวทีไหนเราก็จะได้พบกับข้อเท็จจริง ความเห็นและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร่วมของผู้คน

ในช่วงของการรอคอยการเปลี่ยนผ่านของกลุ่มการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศกลุ่มใหม่ ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยคะแนนกว่า 15 ล้านเสียง และสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนในการจะจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุน 300 เสียงในรัฐสภา นับว่ารัฐบาลจะมีความมั่นคงมาก นโยบายทุกอย่างที่ได้ประกาศและสัญญาไว้กับประชาชนก่อนการเลือกตั้งจะสามารถนำมาปฏิบัติและลงมือทำได้ในไม่ช้า ขอให้ทุกท่านลองตั้งสติและตรึกตรองอย่างรอบคอบ ใครเห็นว่านโยบายทุกอย่างที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ และปัญหาต่างๆ จะได้รับการแก้ไขภายใต้รัฐบาลชุดนี้.... “ช่วยยกมือขึ้นหน่อยครับ”.
กำลังโหลดความคิดเห็น