ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
ขึ้นต้นด้วยความน่าพอใจและน่าเชื่อถือคือ “การประกาศปราบน้ำมันเถื่อน” ของ “พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพราะหลังการประกาศก็ได้มีการส่งกำลังพลเข้าปฏิบัติการตามอำเภอชายแดนทั้งที่ จ.นราธิวาส และ จ.สงขลา เมื่อช่วงระหว่างวันที่ 1-20 เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ในพื้นที่ จ.นราธิวาสถูกจับกุมหลายราย เจ้าหน้าที่ยึดได้ทั้งน้ำมันและรถบรรทุกจำนวนมาก
เช่นเดียวกับในพื้นที่ จ.สงขลา ด้าน อ.สะเดา แม้เจ้าหน้าที่จะตรวจยึดน้ำมันเถื่อนและจับกุมผู้ต้องหาไม่ได้ แต่ได้ทำให้ขบวนการ “ค้า” และ “ขน” น้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านหยุดกิจการทำลายชาติไปได้กว่า 20 วัน สามารถลดการทำลายชาติทางด้านภาษี และลดจำนวนเงินที่ส่งให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพื่อก่อการร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ในระดับหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่คำสั่งและปฏิบัติการของ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งส่งผลดีให้แก่ประเทศชาติ และส่งผลในการตัดท่อน้ำเลี้ยงของ “บีอาร์เอ็น” ได้ผลเพียง 20 กว่าวัน เป็นอันต้องหยุดไปโดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน เพราะไม่มีการประกาศให้ทราบว่าปฏิบัติการปราบน้ำมันเถื่อนที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ทุน” ที่ใช้ในการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไป”สะดุด” อะไร จึงหยุดไปโดยปริยาย ซึ่งสร้างความ “กังขา” ให้แก่ผู้คนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง
ผลจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่ จ.นราธิวาส จ.สงขลา และ จ.สตูล สามารถดำเนินการได้อย่างคึกคักอีกครั้ง จำนวนน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านถูกนำเข้ามาทั้งทางบกและทางทะเลวันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านลิตร ทำให้รัฐขาดรายได้จากภาษีน้ำมันวันละกว่า 50 ล้านบาท และทำให้ขบวนการบีอาร์เอ็น มีเงินเพื่อใช้ในการก่อการร้ายในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างอย่างไม่ต้องกังวลใจได้อีกครั้งหนึ่ง
เช่นเดียวกับการปราบปราม “กลุ่มผู้ค้ายาเสพติด” ที่เป็นรายได้หลักของขบวนการบีอาร์เอ็น ที่การปราบปรามจับกุมล้มเหลว เช่นเดียวกับการปราบปรามและจับกุมกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อน เนื่องจากนโยบายของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างจริงๆ จังๆ
“ตำรวจ” ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ถือกฎหมาย ป.วิอาญา ที่จับกุมการทำผิดได้ทุกชนิด แต่กลับมองไม่เห็นกลุ่มผู้ค้ายา ทั้งนายทุนและผู้เดินยา มองไม่เห็นการขนน้ำมันเถื่อน ทั้งที่ขนทางรถกระบะดัดแปลง รถเก๋งดัดแปลงติดถังน้ำมันตั้งแต่ 1,000-1,500 ลิตร และรถบรรทุกน้ำมันทั้งขนาด 15,000 ลิตรและ 30,000 ลิตร ทั้งที่วิ่งอยู่บนถนนหลวง และสายตรวจ สายปราบปรามของแต่ละโรงพักก็มองไม่เห็นปั๊มเถื่อน ปั๊มหลอด และน้ำมันบรรจุขวดที่วางขายกันเต็มบ้านเต็มเมือง
“สรรพสามิตเขต” “สรรพสามิตจังหวัด” “สรรพสามิตอำเภอ” และ “สายตรวจสรรพสามิต” ต่างใส่แว่นตาดำและเป็นโรคหูอื้อ จึงมองไม่เห็นการกระทำผิด และไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องจากประชาชน ที่เรียกร้องให้กวดขันจับกุมขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่เต็มไปหมดใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง
“ศุลกากร” ซึ่งทำหน้าที่นายทวารในด่านตรวจทุกด่านชายแดน เช่น สุไหงโก-ลก, ตากใบ, แว้ง, นาทวี, สะเดา, ปาดังเบซาร์, วังประจัน และสตูล ทั้งที่ปากประตูด่านทุกด่านอนุญาตให้รถยนต์ผ่านเข้า-ออกทีละคันเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจและเจ้าหน้าที่สายตรวจศุลกากรมองไม่เห็น และไม่เคยมีการจับกุมรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนที่หน้าด่าน หรือหน้าจุดตรวจแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งที่ใน อ.สะเดา จ.สงขลา มีรถยนต์ทั้งกระบะและเก๋ง ซึ่งดัดแปลงติดถังบรรทุกน้ำมันจำนวนกว่า 300 คัน วิ่งเข้า-ออกระหว่างด่านสะเดากับประเทศเพื่อนบ้านวันละ 2 เที่ยว หรือรวมแล้วตก 600 เที่ยวต่อวัน แต่ไม่เคยถูกจับกุม จนศุลกากรทุกพื้นที่กลายเป็น “ตัวตลก” ของคนในพื้นที่ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเอ็นจอยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ถ้ามองให้ลึกลงไปอีกจะพบว่า กลุ่มผู้เข้ามาอยู่ในขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในขณะนี้ ไม่ได้มีคนในสังกัดของนักการเมือง ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติเท่านั้น แต่ยังมีคนในเครื่องแบบทั้ง “สีกากี” “สีน้ำเงิน” “สีเทา” “สีเขียว” และ “คอสิงห์” อีกมากมาย ที่อยู่ในพื้นที่เป็นผู้ทำธุรกิจค้าน้ำมันเถื่อนเอง โดยส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้ก็มีเครื่องหมายของ “กอ.รมน.” อยู่ด้วย
จึงมีคำถามว่า ในเมื่อ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โดย ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า “พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” เป็นผู้ประกาศผ่านสื่อชัดเจนว่า น้ำมันเถื่อนและยาเสพติดคือ ปัญหา “ทับซ้อน” ของปัญหาการก่อการร้ายที่ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเป็นกระเป๋าเงินของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่ต้องปราบปรามจับกุมเพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงของขบวนการนี้
แต่ในทางปฏิบัติ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็น “ยักษ์” ที่มี “กระบอง” กลับไม่สามารถใช้อำนาจที่มีอยู่ ดำเนินการใดๆ กับกลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อนอย่างได้ผล ซึ่งความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจะเกิดจาก “อำนาจเหนืออำนาจ” หรือ “อำนาจเงิน” ก็แล้วแต่
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นอย่างเด่นชัดคือ ความน่าเชื่อถือของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ณ วันนี้หมดลงอย่างรวดเร็ว เพราะแค่การปราบน้ำมันเถื่อน ซึ่งเป็นเรื่องง่ายๆ เป็นการค้าของเถื่อนที่แสนจะธรรมดาๆ “กองทัพ” ยังทำอะไรไม่ได้
ดังนี้แล้ว กับปัญหาที่ใหญ่กว่าหลายเท่าอย่างการเอาชนะ “แนวร่วม” ขบวนการบีอาร์เอ็น ที่เป็น “สงครามประชาชน” กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า จะทำได้อย่างไร และประชาชนจะไว้วางใจได้อีกหรือ ในเมื่อแค่ นโยบายปราบปรามน้ำมันเถื่อนยังทำไม่สำเร็จ
นี่คือ “วิกฤตศรัทธา” ของประชาชนในพื้นที่ที่มีต่อ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ซึ่งเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ “กอ.รมน.” จะต้องเร่งทำดำเนินการแก้ไข ก่อนที่ความเชื่อถือ ความมั่นใจและความไว้วางใจจะลดเหลือเป็นศูนย์