xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับสุขภาพ : ประพฤติพรหมจรรย์ หนึ่งในธรรมะที่ช่วยให้คนอายุยืน คนอายุยืน (ตอนที่ 16)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ท่านผู้อ่านครับ ปัจจัยที่ทำให้คนเรามีอายุยืนอีกประการหนึ่ง ที่เป็นวิถีชีวิตของพระภิกษุ ก็คือ การประพฤติพรหมจรรย์ งดเว้นเมถุนธรรม ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของนักบวชทั้งหลาย

สมัยก่อนพุทธกาลก็มีนักบวชอินเดียบวชเป็นฤาษี อยู่ตามป่าเขา บำเพ็ญสมาธิภาวนา พระพุทธเจ้าของเราเมื่อครั้งบำเพ็ญบารมีอยู่ ก็บวชเป็นฤาษีอยู่ในป่ามาก่อน ดังเช่นในทศชาติ ตั้งแต่พระเตมีย์ พระมหาชนก พระสุวรรณสาม ท่านเนมิราช เป็นต้น ท่านมักจะประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในป่าหิมพานต ในบั้นปลายของชีวิต บำเพ็ญสมาธิ จนทำฌานสมาบัติได้ ตายแล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก

อันนี้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตในอินเดียแต่โบราณ ครั้งในสมัยพุทธกาลก็เหมือนกัน พระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลายก็ออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ เป็นเหตุให้ท่านมีอายุยืน พระพุทธองค์มีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระอานนท์ พระมหากัสสปะ อายุ ๑๒๐ ปี พระอนุรุทธ อายุ ๑๕๐ ปี พระพากุลเถระ อายุ ๑๖๐ ปี ในสมัยปัจจุบันพระวัดป่าในภาคอีสานของไทยเราก็อายุยืนกันมาก เช่น หลวงปู่แหวนอายุ ๙๘ ปี หลวงตามหาบัว อายุ ๙๘ ปี ท่านเหล่านี้บวชตั้งแต่เด็กเป็นเณร แล้วบวชพระเมื่ออายุครบ ๒๐ ประพฤติพรหมจรรย์มาอย่างยาวนาน

พระพุทธเจ้าทรงสอนข้อธรรมที่ทำให้อายุยืนที่เรียกว่า อายุสสธรรม ๕ มีดังนี้

๑) รู้จักทำความสบายแก่ตนเอง
๒) รู้จักประมาณในสี่งที่สบาย
๓) บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย
๔) ประพฤติเหมาะในเรื่องเวลา
๕) ถือพรหมจรรย์


จะเห็นว่าการถือพรหมจรรย์ก็เป็นเหตุให้อายุยืน นักบวชลัทธิเต๋าของจีนก็อยู่ในป่า ประพฤติพรหมจรรย์ มีอายุยืนมากเหมือนกัน แต่คนในโลกปัจจุบันก็ไม่ได้ดำเนินชีวิตแบบนี้แล้ว คนอยู่ในเมือง ใช้ชีวิตแบบผู้ครองเรือน ไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ ยกเว้นผู้ที่บวชเป็นพระซึ่งในปัจจุบันมีจำนวนน้อยมากแล้ว คนก็อายุสั้นลง

แต่งานวิจัยทางการแพทย์แผนตะวันตก พบว่า การมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอมีผลดีต่อสุขภาพ ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ และโรคมะเร็งบางชนิด การศึกษาในชายที่มีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละ ๒-๓ ครั้งอย่างสม่ำเสมอ จะมีอาการทางโรคหัวใจน้อยกว่า รวมทั้งจะเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่มีเพศสัมพันธ์น้อย เขาพบว่าในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ จะมีฮอร์โมนเพศชายออกมามากกว่าในเวลาปกติ ซึ่งตัวนี้จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การมีเพศสัมพันธ์ก็เหมือนการออกกำลังกาย ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอก็ช่วยให้แข็งแรง และลดความเครียดลงได้

การศึกษาหนึ่งพบว่า คนที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายสูงจะอายุยืนกว่าชายที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ โดยศึกษาในระยะเวลา ๑๐ ปี แพทย์ทางด้านชะลอความชรา จึงพิจารณาให้ฮอร์โมนเพศชายในรายที่เจาะเลือดแล้วพบ ว่า มีฮอร์โมนเพศชายต่ำ ฮอร์โมนเพศชายช่วยให้กล้ามเนื้อ แข็งแรง ไขมันสะสมลดลง การทำงานของอวัยวะระบบ ต่างๆ ดีขึ้น และชะลอความชราได้ ช่วยให้อายุยืนขึ้น

งานวิจัยของแพทย์ยังไม่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งสอนเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์ช่วยให้อายุยืน ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นที่จะต้องศึกษาและติดตามงานวิจัยกันต่อไป

ในครั้งพุทธกาลมีพระภิกษุที่บวชตอนหนุ่มจำนวนมาก พระภิกษุเหล่านี้ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งดูจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากร่างกายกำลังเจริญเติบโต ระดับฮอร์โมนทางเพศก็จะมีระดับสูง แล้วค่อยๆลดลงเวลาที่อายุมากขึ้นจนถึงอายุ ๕๐ ปี แต่ท่านก็มีวิธีการปฏิบัติธรรมที่จะแก้ไขได้ ซึ่งเราชาวพุทธควรจะมีความรู้ว่าท่านสอนอย่างไร

เนื่องจากในยุคปัจจุบัน มีสิ่งกระตุ้นเร้าให้ผู้คนหลงใหลในกามคุณอารมณ์มากมายตามสื่อต่างๆ เป็นเหตุให้เราต้องผิดศีลข้อ ๓ ได้โดยง่าย ถ้าเรามีความรู้และนำมาปฏิบัติเสมอๆ ก็จะทำให้เราพ้นจากการรบกวนของกามคุณอารมณ์ได้ มีพระสูตรที่ท่านได้กล่าวถึงเรื่องนี้คือ ภารทวาชสูตร สังยุตตนิกาย สฬายตนสังยุตต์ มีข้อความ ดังนี้คือ

ครั้งหนึ่งพระเจ้าอุเทนเสด็จไปหาพระปิณโฑลภารทวาชะ ที่วัดโฆสิตาราม กรุงโกสัมพี ได้มีการสนทนาธรรมดังนี้

พระเจ้าอุเทนถามว่า “อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ยังไม่หมดความร่าเริงในกาม พากันประพฤติพรหมจรรย์ได้อย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ ตลอดชีวิตอันยาวนาน”

พระปิณโฑละตอบว่า “ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ว่า ขอให้คิดกับหญิงวัยแม่ว่าเป็นแม่ กับหญิงวัยพี่สาวน้องสาว ว่าเป็นพี่สาวน้องสาว หญิงวัยลูกว่าเป็นลูกสาว (ของตน)”

พระเจ้าอุเทนถามต่อว่า “จิตเป็นธรรมชาติโลเล บางคราวโลกธรรมก็เกิดขึ้นได้ (คิดในทางอกุศล) กับผู้หญิง ไม่ว่าวัยไหน มีไหมเหตุปัจจัยอย่างอื่น”

พระปิณโฑละ ตอบว่า “ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนว่า ภิกษุพิจารณากายนี้แหละ ตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงเส้นผมลงมา อันห่อหุ้มด้วยหนังเต็มไปด้วยของสกปรกซึ่งมีอยู่ในกาย คือ ผม ขน เล็บ น้ำมูก ไขข้อ ปัสสาวะ(รวมเรียกว่าอาการ ๓๒)”

พระเจ้าอุเทนถามต่อว่า “สำหรับภิกษุที่ได้ฝึกฝนกาย ใจ มีปัญญา ท่านก็ทำอย่างนั้นได้ แต่คงยากสำหรับผู้ที่ไม่มีความพร้อมอย่างนั้น บางครั้งตั้งใจจะเห็นว่าไม่งาม มันก็เห็นว่างามได้ มีอีกไหมเหตุปัจจัยอย่างอื่น”

พระปิณโฑละตอบว่า “ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนให้ภิกษุคุ้มครองอินทรีย์ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เมื่อเห็นรูป (เป็นต้น) ก็อย่าถือนิมิต (ลักษณะทั่วไป) อย่าถืออนุพยัญชนะ (ลักษณะปลีกย่อย) ให้สำรวม อินทรีย์ ไม่ให้ความรักความชังครอบงำจิตได้”

พระเจ้าอุเทนได้ฟังคำตอบตามลำดับอย่างนี้แล้วก็เลื่อมใส พอพระทัยอย่างยิ่ง และทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า เมื่อไม่ได้รักษากาย วาจา ใจ ไม่ได้ตั้งสติ ไม่สำรวมอินทรีย์ ไปหาพวกนางสนม ก็ถูกโลกธรรมครอบงำจิตเอา ต่อเมื่อได้รักษากาย วาจา ใจ ตั้งสติ สำรวมอินทรีย์ โลกธรรมก็ครอบงำไม่ได้ ทรงขอเป็นอุบาสก ถึงพระรัตนตรัย เป็นสรณะตั้งแต่วันนั้น

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 126 พฤษภาคม 2554 โดย นพ.แพทย์พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ)
กำลังโหลดความคิดเห็น