ไม่มีผู้หญิงจิตใจปกติคนใดในโลกอยากแก่ แต่น่าประหลาดที่เธอแทบไม่เว้นสักคนเดียวพยายาม “ชะลอความแก่” หรือ “พยุงความสาว” เฉพาะเรือนกาย ของเธอเท่านั้น เธอลืมสนิทว่ามนุษย์คือองค์ประกอบของ “กาย” กับ “ใจ” ที่แยกกันไม่ออกจนถึงวันชีวิตดับ
แม้เธอจะทำศัลยกรรมตบแต่ง ดึงผิวหน้าแล้วทาครีมกะปุกละพันบาท แต่ถ้าเธอลืมชะลอความชราทางใจเสียแล้วก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง เพราะใจมีอำนาจเหนือกาย
พูดอย่างสั้นที่สุดก็ต้องว่า “ใจเป็นนายของกาย” คือ ใจเป็นผู้สั่งกาย ใจที่ร่วงโรยไม่สามารถสั่งกายให้สดชื่นได้ คนใจร่วงโรยกายจะร่วงโรยตามอย่างแน่นอน
ทำอย่างไรใจจึงจะแจ่มใสไม่ร่วงโรย?
ใจแจ่มใสคือ ใจที่สงบ พอใจตนเอง รักผู้อื่นและพร้อมที่จะให้อภัย เป็นผู้ “ให้” มากกว่าผู้รับ รู้สึกขอบคุณ และชื่นชมแม้สิ่งเล็กน้อยธรรมดาในชีวิตประจำวัน เช่น ร่มไม้เขียวชอุ่ม เสียงนกร้อง กลิ่นหอมของดอกไม้ รอยยิ้มของทารกไร้เดียงสา ฯลฯ
ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดี ทั้งหมดนี้มาจากประการเดียวเท่านั้นคือ เป็นคนรักตนเอง รักผู้อื่น และรักธรรมชาติ
ใครไม่อยากแก่จึงต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. เป็นคนมีความรัก
คุณต้องรักตัวเองเสียก่อน จึงจะสามารถรักคนอื่นได้ แต่โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า “ความรักตนเอง” ไม่ใช่ “ความหลงตนเอง” และไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว
ความรักตนเองคือ ความพอใจตน เคารพตน และรู้ค่าของตน
คนไม่รักตนเองหรือชังตนเอง จะไม่มีวันรักใครได้เลย และคนไม่รักใครย่อมไม่มีใครรัก
คนไม่มีใครรักย่อมรู้สึกว่าโลกนี้โหดร้าย ไร้ความยุติธรรม เขาจึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง และไม่เป็นมิตร ซึ่งจะยิ่งทำให้ใครๆ ไม่รักเขามากขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาเคียดแค้นชิงชัง “โลก” หรือ “ผู้อื่น” ยิ่งขึ้น เป็นวงจรไม่รู้จบ
ใครไม่อยากแก่จึงต้องฝึกใจให้รักผู้อื่น หรือรักเพื่อนมนุษย์ เมื่อเรารักใครเราย่อมอยากจะ “ให้” เขา พร้อมที่จะให้อภัยเขา ชื่นชมและยกย่องเขา ช่วยเหลือเขา ซึ่งล้วนเป็นความรู้สึกทางใจ “ฝ่ายเย็น” ทั้งสิ้น เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ มีแต่จะทำให้ใจของคุณชุ่มฉ่ำและผ่องใส ไม่รู้วันโรย
ตรงกันข้ามกับคนไม่รักเพื่อนมนุษย์ คนเช่นนั้นขาดน้ำหล่อเลี้ยงใจ จึงเหมือนพืชขาดน้ำ นับวันแต่จะร่วงโรยและเหี่ยวเฉาไปในที่สุด
คนไม่รักใครมักหน้าบึ้ง หน้างอ ไม่เคยยกย่องหรือชื่นชมใคร มีชีวิตคับแค้น คบคนผิวเผิน บางคนไม่ให้อะไรใครแม้แต่ “รอยยิ้ม” ซึ่งไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่เขาอาจมีสติปัญญาสูง มีความสามารถทำงานเก่ง แต่งานนั้นเป็นไปเพื่อลาภ ยศ และสรรเสริญ ของตัวเองทั้งสิ้น
คนไม่รักใครเป็นคนขาดความรักมาแต่เด็ก จึงมองแต่แง่ลบของผู้อื่น และมีความชังบรรจุอยู่เต็มใจ ความเกลียดชัง ความเคียดแค้น ความอิจฉา ความหึงหวง รวมทั้งความไม่เป็นมิตร ที่แฝงอยู่ภายในล้วนเป็นความรู้สึกทางใจ “ฝ่ายร้อน” ที่เผาใจคนเราให้รุ่มร้อนแล้วร่วงโรย
ถ้าไม่สามารถขจัดความรู้สึกทางใจฝ่ายร้อนได้ ก็ป่วย การที่จะใช้ครีมกะปุกละพันบาท เพราะว่าคนที่มีความรู้สึกทางใจฝ่ายร้อนเป็นเจ้าครองเรือนใจนั้น ระบบประสาทออโตโนมิคสองฝ่าย จะทำงานไม่สมดุลกัน ทำให้ความดันโลหิตผิดปกติจากการขยายหรือหดตัวของหลอดเลือด การบีบรัดตัวของลำไส้ ฯลฯ เปลี่ยนแปลงผิด ไปจากปกติ ซึ่งจะให้ผลในทางสึกหรอหรือร่วงโรยทั้งสิ้น
2. อย่าใช้ชีวิตสะดวกสบายเกินไป
ใครที่มีคนขับรถให้ นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะในห้องปรับอากาศทั้งวัน กลับบ้านมีคนรับใช้ทำให้ทุกอย่าง แม้แต่ต้องการของในอีกห้องหนึ่งก็ต้องใช้คนอื่นเดินไปหยิบให้ ทั้งไม่เคยหัดกายบริหาร หรือเล่นกีฬาแต่อย่างใด กล้ามเนื้อจะหย่อนยาน ไม่ตึงแข็งเหมือนคนได้ทำงานออกกำลังกายเป็นประจำ จึงดูแก่เร็วกว่า
ฉะนั้น ถ้าไม่อยากแก่เร็วอย่าใช้ชีวิตด้วยการ “กดปุ่ม” และอาศัยแรงงานคนอื่นตลอดเวลา เช่น ถ้าไม่ใช่เวลารีบร้อน เดินขึ้นลงบันไดดีกว่าใช้ลิฟท์ ให้กล้ามเนื้อได้ทำหน้าที่ของมันตามสมควร
3. ให้อาหารแก่กายและใจ
คุณคงทราบดีแล้วว่า อาหารประเภทใดมีประโยชน์ต่อร่างกาย จะขอย้ำแต่เพียงว่าอาหารที่เป็นศัตรูต่อสตรี คือ อาหารหวานทุกชนิด อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว ขนมปัง หัวเผือก หัวมัน และอาหารมันๆ เพราะนอกจากจะทำให้พุงยื่น คางสองชั้น และคอเป็นหนอกแล้ว ยังช่วยส่งเสริมสิวและเพิ่มไขมันในหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูง และอาจทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตัน หัวใจวายตายกะทันหัน ไม่ทันได้ร่ำลาคนที่คุณรักก็ได้
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณตั้งหน้าทำงานหาเงินฝ่ายเดียว จนไม่มีเวลาเหลือไว้สำหรับอ่านหนังสือบำรุงสมอง และเสพย์อาหารใจจากสิ่งอันเป็นสุนทรีย์ทั้งปวง คือไม่เคยมีเวลาหนีเสียงยวดยาน หนีอากาศเสีย และน้ำเน่า ไปชื่นชมกับต้นไม้เขียวชอุ่ม สายลม และแสงแดดบริสุทธิ์นอกกรุงเสียบ้าง คุณจะแก่เร็ว เพราะความตึงเครียดทั้งกายและใจร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษทั้งหลาย ช่วยกันซ้ำเติมให้ร่างกายของคุณสึกหรอเร็วขึ้น
4. เลิกกังวล
คนขี้กังวลทั้งกายและใจจะตึงเครียด ทำให้ปวดศีรษะ (เพราะกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยเกร็งตัว) ปวดหลังและปวดข้อ (เพราะกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแขนขาเกร็งตัว) อ่อนเพลีย (เพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายทำงานมากเกินไป) ท้องอืดและท้องผูก (เพราะหูรูดของลำไส้บีบรัด) ฯลฯ ผลร้ายอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนขี้กังวลมักขมวดคิ้วหน้าเครียด กล้ามเนื้อของใบหน้าทำงานมากเกิน ไป จึงเกิดริ้วรอยและเหี่ยวย่นเร็ว
5. มีงานอดิเรก
คุณทราบหรือไม่ว่า คนสุขภาพจิตดีทุกคนมีงานอดิเรก ถ้าใครมีพฤติกรรมหลักอยู่เพียง 3 อย่างคือ กิน นอน และทำงาน เมื่อใกล้วัยร่วงโรยทำงานวิชาชีพไม่ได้แล้ว จะรู้สึกสูญเสีย ขาดสิ่งช่วยค้ำจุนความนับถือและภูมิใจตนเอง คนที่ขาดสิ่งค้ำจุนใจจะเศร้าง่ายในวัยชรา และความเศร้าย่อมทำให้ใจและกายร่วงโรยเร็วกว่าที่ควร
6. “ให้” ผู้อื่นทุกวัน
การให้เป็นความสุขมากกว่าการรับ เพราะการให้ทำให้ใจอิ่มเอิบ ซึ่งทำให้เกิดผลพลอยได้คือ ป้องกันความร่วงโรยของกายอีกด้วย ใจที่อิ่มเอิบย่อมทำให้ระบบประสาทออโตโนมิคทำหน้าที่ได้ดี จึงทำให้สีหน้า แววตา และผิวพรรณสดใส แถมยังมีส่วนช่วยรักษาอาการเศร้าได้ด้วย
การให้มิได้หมายความเฉพาะการให้ “วัตถุ” อย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ เรามีสมบัติอย่างอื่นที่จะให้ได้มากมาย ให้เท่าไรไม่รู้จักหมด สมบัตินั้น ได้แก่ น้ำใจ ไมตรีจิต ความเกื้อกูล ความยกย่อง และชื่นชม ฯลฯ เราทุกคนไม่ว่ายากไร้เพียงใดสามารถให้สิ่งเหล่านี้แก่ใครๆ ได้ทุกวันและตลอดชีวิต
ผู้เขียนขอเน้นเป็นพิเศษว่า คุณ “ยกย่อง” ได้ แต่อย่า “เยินยอ” เพราะ “ยกย่อง” เป็นความสุจริต แต่ “เยินยอ” เป็นความทุจริต
ควรถามตัวเองก่อนนอนว่า “วันนี้ฉันได้ให้อะไรแก่ ใครหรือยัง?” ถ้ายัง..พรุ่งนี้คุณจะให้อะไรแก่ใครบ้าง ขอย้ำว่า คุณมีอะไรจะให้ผู้อื่นได้เสมอทุกวันและตลอดชีวิต อย่างน้อยที่สุดก็ “คำพูด” ที่ให้ความรู้สึกดีงามทางใจแก่ เขา และ “รอยยิ้ม” อันเมตตาอบอุ่นและปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ
แต่อย่าลืมว่า รอยยิ้มนั้นจะต้องไม่ขัดกับแววตาและวาจาของคุณ เพราะเพียงแต่แววตาอย่างเดียวก็ฟ้องความรู้สึกจากใจได้ คุณคงไม่เป็นอย่างผู้หญิงบางคนที่ผู้เขียนเคยพบ และคุณเองก็อาจเคยผ่านมาบ้าง เธอผู้นั้นยิ้มสวยเหลือเกิน จนหลับตานึกถึงเธอทีไรมักเห็นรอยยิ้มแสนหวานกับฟันซี่เล็กขาวสวยของเธอ แต่ยามเจรจาเธอช่างหาถ้อยคำประชดเสียดสีที่แสนสุภาพมาเชือดเฉือนหัวใจคนฟังได้เจ็บแสบดีนัก
7. อย่าเป็นทาสของอดีต
คนจำนวนมากไม่มีความสุขและใจร่วงโรย เพราะชอบคร่ำครวญหรือหวนหาอดีตไม่รู้จักจับสิ้น แล้วก็สงสารตัวเองไม่รู้หาย คนเช่นนี้จึงมีแต่ความท้อแท้จะถดถอย
คนสุขภาพจิตดีจะไม่ตกเป็นทาสของอดีต เพราะอดีตเป็นเพียงสิ่งที่เราเดินผ่านไปบนถนนแห่งชีวิต ซึ่งเป็นถนนต้องห้ามคือ คุณเดินผ่านได้เพียงครั้งเดียว
เหตุการณ์ในอดีตไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใด ถ้าเรารู้จักเป็นนายมัน มันจะมีประโยชน์ต่อเราเสมอไม่มีข้อยกเว้น จงให้มันรับใช้คุณคือ ใช้อดีตให้เป็นทาสของอนาคต
ในโลกแห่งความจริง อดีตไม่เคยกลับมา เพราะอดีตคือความเป็นปัจจุบันที่ตายไปแล้ว มันย่อมหมดฤทธิ์เดช มัน “ไม่มีตัวตน” แล้ว ไฉนคุณจะยังปล่อยใจให้เป็นทาสของมันอยู่อีกเล่า
คนมีใจเป็นทาสของอดีตย่อมมืดมนและหม่นไหม้ เป็นใจที่ยังไม่หลุดพ้น เพราะหลงผูกพันอยู่กับ “ความไม่มีตัวตน” เสพติดรสขมขื่นของอดีต คนเช่นนั้นจึงร่วงโรยเร็ว
........
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณปฏิบัติได้ทุกข้อข้างต้น ในที่ สุดวันหนึ่งคุณก็หนีไม่พ้น ต้องกลายเป็นหญิงแก่ผิวเหี่ยว ย่นเข้าจนได้
ทำอย่างไรดีเล่าใจจึงจะไม่เหี่ยวแห้งตามผิวไปด้วย ทำได้อย่างเดียวคือ ยอมรับสภาพความจริง เพราะการยอมรับสภาพความจริงของภาวะทุกอย่างที่ชีวิตเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นยารักษาความกังวลหวาดหวั่นได้ชงัดนัก จึงเป็นวิธีที่ดีสุดที่ทำให้ใจสงบ และใจที่สงบย่อมแจ่มใสไม่ร่วงโรย
ให้กำลังใจแก่ตัวเองเถิดว่า อายุแต่ละปีที่เพิ่มขึ้นย่อมเป็นสัดส่วนกับคุณค่าของตัวคุณคือ ยิ่งอายุมากขึ้น คุณก็ยิ่งฉลาดรอบรู้และสามารถมากขึ้น อย่างที่ฝรั่งพูดว่า “Age grows with wisdom” นอกจากนั้น ทุกปีที่ผ่านไป คุณยิ่งมีเพื่อนมากขึ้น ได้รับความสำเร็จในชีวิตมากขึ้น ได้ให้ทั้งคุณและประโยชน์แก่ผู้อื่นมากขึ้น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คนมีปัญญาย่อมเห็นว่าล้วนมีค่าทั้งต่อตนเองและสังคมส่วนรวม มากกว่าความเต่งตึงของผิวกายอย่างเทียบกันไม่ได้
อนึ่ง ขอแนะนำว่า คุณผู้หญิงควรอ้อนวอนหรือบังคับ ให้คู่รักหรือสามีของคุณอ่านบทความนี้ด้วย เพราะผู้ชายก็อยากชะลอความแก่เหมือนกัน อีกทั้งคุณเองก็คงไม่อยากให้เขาแก่เร็ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ถ้าคุณยังสาว เมื่ออ่านแล้วเขาของคุณอาจจะยอมรับความแก่ในอนาคต ของคุณได้ดีขึ้น หรือถ้าคุณเกินวัยสาวแล้ว เขาอาจมองเห็นค่าของคุณมากขึ้นก็ได้
หรือถ้าคุณเผอิญเป็นสาวแก่ เวลามีใครมาว่าคุณเป็นสาวแก่ ก็จงคัดข้อความตอนท้ายนี้ (ยิ่งอายุมากขึ้น คุณก็ยิ่งฉลาดรอบรู้และสามารถมากขึ้น) ด้วยตัวบรรจง ส่งให้เขาในวันเกิดของเขาแทนบัตรอวยพรวันเกิดเสียเลย
(จากหนังสือบทความเพื่อสุขภาพจิต สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข)
สามเอช เผด็จศึกแก่
นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้กล่าวถึงเกร็ดความรู้ดูแลสุขภาพ คงความ หนุ่มสาวด้วยหลัก “สามเอช (3 Hs) เผด็จศึกแก่” ไว้ว่า
1. Healthy Weight เลี่ยงแป้ง และน้ำตาล โดยการจำกัดแคลอรี่ คุมน้ำหนักตัว
2. Healthy diet and Lifestyle ทานผักใบเขียว 5 กำมือ ผลไม้ 3 กำมือ ปลาทู 2 ตัว ออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ คาเฟอีน
3. Healthy Mind มีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน
นอกจากนี้ข้อควรปฏิบัติที่จะคงความหนุ่มสาวได้อีกก็คือ..นอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้าทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ หากใครติดอาการตาค้างนอนไม่หลับ..กล้วยและขี้เหล็กช่วยได้ดี ไม่ควรทานอาหารให้อิ่มเกินไป ฯลฯ
อยากป้องกันแก่และโรคแก่ได้ต้องเน้นที่ผักที่มีวิตามินเอ ซี อี และมีแคลเซียมด้วย ควรเลือกทานผักให้หลากหลาย เนื่องจากผักแต่ละอย่างจะมีสารอาหารที่ไม่เท่ากัน “ห้ามทานอาหารที่จำเจ”
ผักที่มีวิตามินซีมาก เช่น ดอกขี้เหล็ก พริก ยอดสะเดา มะระขี้นก ผักหวาน ผักเชียงดา ผักขี้หูด ผักแพว ดอกและยอดผักฮ้วน
ผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เช่น ใบย่านาง ผักแพว ตำลึง ยอดแค ใบกะเพรา ใบแมงลัก ผักแว่น ชะอม ฟักทอง
ผักที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น ผักกูด ขมิ้นขาว ผักแว่น ใบแมงลัก ยอดมะกอก กระถิน ชะพลู ขี้เหล็ก ผักแขยง
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 125 เมษายน 2554 โดย พญ. สุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา)