ยังคงเป็นพระเอกที่ได้รับความนิยม แม้ “ซี” ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ จะเข้าสู่วงการบันเทิงมาแล้วหลายปี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาไม่มีโอกาสได้กลับบ้านที่สงขลาบ่อยครั้งนัก และเป็นเวลา 3-4 ปีมาแล้วที่นักแสดงหนุ่มซึ่งมาจากครอบครัวเชื้อสายจีน ไม่ได้อยู่ร่วมฉลองเทศกาลตรุษจีนกับสมาชิกในครอบครัว
แต่เขายังคงจดจำบรรยากาศแห่งความสุขของเมื่อหลายปีก่อนได้ดี เพราะนอกจากเทศกาลตรุษจีนจะเป็นเทศกาลที่ญาติทุกคนมารวมกัน เพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ และมอบคำอวยพรให้แต่ละคนมีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรงในปีใหม่ ตลอดจนมีงานเลี้ยงฉลองร่วมกัน เขายังได้รับทั้งอั่งเปาและของขวัญอีกมากมาย เนื่อง จากเป็นช่วงเวลาที่ใกล้กับวันคล้ายวันเกิดของเขาเองด้วย คือวันที่ 27 มกราคม
“เมื่อก่อนสมัยเด็กๆ ผมจะดีใจมากถ้าถึงช่วงตรุษจีน เพราะว่าผมจะได้ตังค์เยอะมาก จะมีงานเลี้ยง ผมจะได้กิน ผมจะได้เล่นประทัด และวันเกิดผม ช่วงตรุษจีนผมก็จะได้ทั้งอั่งเปา และได้ของขวัญวันเกิด ดังนั้น ผมก็จะรอว่าเมื่อไหร่จะถึงตรุษจีนซะที”
ซีเข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรก ด้วยเป็นนักแสดงในละครเรื่อง “สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย” จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ได้รับบทพระเอกที่เล่นประกบนางเอกดาวรุ่งของช่อง 7 ไม่น้อยกว่า 15 เรื่อง โดยมี “ตั้ว” ศรัณยู วงษ์กระจ่าง เป็นนักแสดงในดวงใจ
ละครที่สร้างชื่อให้กับเขาคือละครเรื่อง “เบญจา คีตา ความรัก” ส่วนละครส่งเสริมสถาบันครอบครัวเรื่อง “อุ่นไอรัก” ทำให้เขาได้รับรางวัลจากสองเวทีคือ TOP AWARDS และสตาร์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ในฐานะนักแสดงดาวรุ่ง เขารับบทเป็นหนุ่มเพลย์บอยชื่อ “คิมหันต์” ที่ทางบ้านมีฐานะดี แต่ใช้ชีวิตแบบไม่มีแก่นสาร ใช้เงินเป็นเครื่องหาความสุขใส่ตัว และตอนหลังก็ได้เข้าใจว่า คนเราไม่จำเป็นต้องหาความสุขด้วยเงินเสมอไป
ในชีวิตจริงของซีก็คล้ายกับในละคร ตรงที่เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะ เพราะพ่อและแม่มีธุรกิจรีสอร์ตและสวนปาล์ม อยู่ที่กระบี่ แต่แตกต่างตรงที่เขาไม่เคยสร้างปัญหาจนทำให้ครอบครัวต้องหนักใจ และเป็นคนที่รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้ เพราะตลอดมาชีวิตของเขาไม่เคยขาดแคลนอุ่นไอรักจากครอบครัว
แม้ช่วงเวลาหนึ่งเขาจะเคยมีชีวิตที่เกเรไปบ้าง ตามประสาวัยรุ่นที่อยากรู้อยากเห็น และอยากลอง แต่นั่นก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ และในเวลาเพียงไม่นาน เขาก็สามารถดึงตัวเองออกจากกลุ่มเพื่อนประเภทที่ชอบขี่มอเตอร์ไซด์ซิ่ง ชอบยกพวกตีกัน และเป็นเด็กหลังห้องที่ไม่สนใจการเรียน มาเป็นเด็กหน้าห้องที่มีผลการเรียนดีเยี่ยมคนหนึ่ง
“พ่อเคยพูดกับผมว่า คนเราเกิดมาครั้งเดียว ตายครั้งเดียว อย่าใช้ชีวิตให้มันไร้สาระมากนัก หน้าที่รับผิดชอบที่เรามีอย่างเดียวก็คือเรียนหนังสือ คนอื่นหลายๆคน เขาไม่มีอะไรกิน แต่เรามีทุกอย่างพร้อม ไม่เดือดร้อน ยังจะต้องการอะไรอีก มันก็เลยมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นมาว่า ณ เวลานี้ สิ่งที่เราทำอยู่มันคืออะไร มันเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงหรือ ในอนาคตข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร เพราะพ่อแม่ไม่ได้มีชีวิตอยู่กับเราไปตลอด และพวกที่อยู่ข้างๆเราเนี่ย สักวันหนึ่งเราลำบาก เขาจะช่วยเราได้ไหม ความคิดเหล่านี้อยู่ๆมันก็มาเอง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
อาจเพราะผมอยู่ในสถาบันครอบครัวที่มีพร้อมทุกอย่าง เห็นตัวอย่างที่ดี มีพ่อแม่ และมีพี่น้องที่ดี เลยมีความรู้สึกว่า ทำไมเราต้องเป็นแกะดำด้วยวะ ผมนั่งถามตัวเอง แม้เกรดเฉลี่ยจะไม่ดี แต่มีบางอย่างที่มันค้านในจิตใจว่า ผมไม่ได้เป็นคนโง่ แต่ผมไม่เรียนหนังสือเอง ผมจึงบอกตัวเองว่าเราควรจะหยุดได้แล้ว เปลี่ยนตัวเองได้แล้ว ถึงวันหนึ่งผมเปลี่ยนตัวเองเลย จนกลุ่มเพื่อนที่ผมคบ มา มันก็ยังงงๆ อะไรของแกวะ จากที่เคยเป็นเด็กหลังห้อง นั่งรอเวลาให้มันหมดไปวันๆ ผมเริ่มใหม่ อยากจะลองตั้งใจเรียนดูสักครั้ง มันเหมือนกับว่า เราให้โอกาสตัวเอง”
ณ เวลานี้เขาอาจเติบโตมีชื่อเสียง มีอาชีพและมีรายได้ จนสามารถรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว แต่เขาไม่เคยลืมที่จะให้เวลากับครอบครัว เพราะความสุขส่วนหนึ่งของเขา คือการได้เห็นรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนที่มีความรักและความห่วงใยให้กับเขา อย่างที่ไม่มีเงื่อนไขมาโดยตลอด
“ตั้งแต่จำความได้ เรารับรู้มาโดยตลอดในสิ่งดีๆที่เขามอบให้เรา ถ้ามีโอกาสจะไปกินข้าวกับแม่ พาเขาไปกินของอร่อยๆ ให้เขาได้ทำอะไรที่เขาอยากทำ เพราะการได้เห็นเขามีความสุข เห็นเขากินของอร่อย เห็นเขาอิ่ม มันก็เป็นความสุขแล้ว และตอนนี้เรายังมีชีวิตอยู่ เขายังมีชีวิตอยู่ ก็ต้องทำในสิ่งที่ดีๆ ให้เขาสบายใจ อะไรที่ทำแล้วเขาทุกข์ใจก็อย่าไปทำ”
เหล่านี้คือสิ่งที่ซีอยากจะทำเพื่อคุณแม่ (สุวรรณี โชติชัยชรินทร์) รวมถึงพี่ชายและพี่สาว(เอและบี) ผู้คอยเป็นกำลังใจให้กับเขาเสมอมา หลังจากที่เมื่อหลายปีก่อนเขาได้สูญเสียคุณพ่อ (เกียน โชติชัยชรินทร์)ไปด้วยโรคหัวใจ และทุกวันนี้ยังรู้สึกเสียใจที่พ่อไม่มีโอกาสรับรู้ถึงความสำเร็จของเขา และไม่อยู่ให้เขาได้เป็นฝ่ายตอบแทนพระคุณ
“พ่อผมเสียไปตอนนั้นผมอายุ 18 ปี ผมยังหาเงินเองไม่ได้ ยังไม่มีโอกาสได้เข้าวงการบันเทิง ยังแบมือขอเงินพ่อแม่ จึงยังไม่มีโอกาสพาพ่อไปกินข้าวสักมื้อ และตอบแทนบุญคุณของพ่อ ณ วันนี้ผมทำบุญไปให้เขา ผมก็ไม่รู้ว่าเขาได้กินหรือเปล่า ผมจึงอยากให้พ่อมาเห็นว่า ผมประสบความสำเร็จมากแค่ไหน ผมเป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่งแล้ว และผมก็ไม่ต้องขอเงินที่บ้านแล้ว ผมยังจำในสิ่งที่พ่อพูดเสมอว่า คนเราเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย ก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้คนจดจำ การประสบความสำเร็จในก้าวหนึ่งของผม จึงเป็นสิ่งที่ผมอยากให้พ่อได้เห็น”
ในเร็ววันนี้ นักแสดงหนุ่มผู้มีมุมมองต่อความรักว่า ความรักเปรียบเหมือนพลังงาน ที่คอยผลักดันให้คนคนหนึ่งทำอะไรที่ดีๆได้ อาจจะยังไม่มีข่าวลั่นระฆังวิวาห์กับนักแสดงสาว(เอมี่ กลิ่นประทุม) คนข้างกายที่คบกันมาหลายปี แต่เมื่อวันนั้นมาถึงแบบอย่างที่ดีในฐานะผู้นำครอบครัวที่เขาอยากปฏิบัติตาม ก็คือคุณพ่อของเขาเอง
“สถาบันครอบครัวสำคัญมาก ถ้าวันหนึ่งผมจะมีครอบครัว ผมจะทำให้ได้ครึ่งหนึ่ง อย่างที่พ่อกับแม่ผมเป็น เพราะว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นคนดีได้ทุกวันนี้ ไม่คิดไปทำชั่ว ไม่คิดไปทำอะไรที่มันแย่ ก็เพราะที่บ้านของผม ที่ผมมาจากครอบครัวที่ดีพร้อมถึงแม้ว่าวันนี้พ่อผมจะไม่อยู่แล้ว แต่แม่ผมก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่า ผมขาดใครเลย
พ่อผมเป็นแบบอย่างของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า ดูแลครอบครัว เป็นเสาหลักให้กับครอบครัว แล้วก็เป็นพ่อที่มีคำสอนดีๆให้กับลูก มีความเป็นลูกผู้ชาย สอนอย่างลูกผู้ชายคุยกัน นั่นก็คือสิ่งที่ผมประทับใจ และใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด”
ส่วนในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนรอบข้าง และการปฏิบัติต่อคนเหล่านั้น เขายึดหลักของการให้ความจริงใจเป็นสำคัญ
“ณ วันนี้ผมอยู่กับเพื่อน ไม่ว่าจะวงการบันเทิงหรือวงการไหนก็ตาม ผมจะใช้ความจริงใจของผมเท่านั้น เพราะผมไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนมารักผมได้ และผมก็คงไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนให้คนที่เกลียดผมมาชอบผมได้ ผมเชื่อว่าถ้าผมให้ความจริงใจกับพวกเขา มันก็อยู่ที่พวกเขาแล้ว ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรกับตัวผม ทุกอย่างที่ออกจากตัวผม คือความจริงทั้งหมด แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับกาลเทศะว่า ณ ตอนนั้นผมอยู่ในจุดไหน
ผมเป็นคนตรง คิดอะไรก็พูดแบบนั้น ผมไม่ชอบใคร จะไม่ไปพูดลับหลังเขา เพราะผมถือว่ามันจะไม่แฟร์ และขณะเดียวกันผมอยากให้เขารับรู้ด้วยว่า การที่คุณทำแบบนั้นแบบนี้มันไม่ดีนะ มันเป็นดาบสองคมเช่นกัน ซึ่งบางครั้งคำพูดของผมอาจจะทำให้ใครบางคนอึดอัด ผมอาจจะต้องปรับด้วยการนำเอาเรื่องของการมีสติก่อนพูดมาใช้กับตัวเอง”
ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวออกมาว่า ซีต้องการจะพักจากงานแสดงเพื่อไปบวช แต่แล้วงานบวชก็ต้องเลื่อนไป เพราะเขายังติดถ่ายละคร นับตั้งแต่ละครเรื่อง “รุกฆาต” ต่อเนื่องมาจนถึง “เพลงรักทะเลใต้” และ “คุณหมอ ม.3” ที่แฟนละครของเขากำลังจะได้ชมในอีกไม่นาน
“คิดว่าน่าจะได้บวชในปลายนี้ (ปี 2553) เคยตั้งใจว่าจะบวชต้นปี มันบวชไม่ได้ เพราะว่าละครยังไม่ปิดกล้อง แล้วมันก็ต้องถ่ายให้จนเสร็จ ผมถ่ายรุกฆาตตั้งแต่ปีที่แล้ว และมันก็ล่วงเลยเวลามาจนถึงละครเรื่องอื่นๆอีก”
นอกจากการบวชของเขาจะเป็นการบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่เช่นกับใครหลายๆคน ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน เขายังอยากจะให้ช่วงเวลาของการบวชได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวหลายๆอย่างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายอย่างเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ผมยังไม่รู้ และผมคิดว่าหลายคนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า วันอาสาฬหบูชา วันวิสาขบูชา มันคือวันอะไร ผมไม่รู้ว่าถ้าไปถามเด็กรุ่นใหม่ เขาจะรู้หรือเปล่าว่ามันคือวันอะไร วันเข้าพรรษา วันออกพรรษามันคืออะไร มันมีอะไรอีกเยอะแยะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ผมเคยรู้มา แต่ผมลืมไปแล้ว
ถ้าวันหนึ่งผมได้ห่มผ้าเหลือง นอกจากการทำหน้าที่ลูกผู้ชาย เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ เราก็ควรจะได้ใช้เวลาของการบวช ศึกษาพระธรรมให้มันรู้ชัดเจนจริงๆ เพราะเมื่อเรากลับเข้าสู่เพศฆราวาสอีกครั้งหนึ่ง เราจะได้นำบางสิ่งบางอย่างที่เราเรียนรู้มา ในขณะที่เราเป็นพระสงฆ์ มาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ทั้งในเรื่องของการตัดสินใจ การเดินสายกลาง และการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ฯลฯ เพราะชีวิตของคนเรามันมีขึ้นมีลงอยู่แล้ว หากวันหนึ่งที่เราต้องเจอกับอุปสรรค ต้องเจอกับสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น โดยที่เราไม่คาดฝัน เราจะได้เตรียมพร้อม และมีเกราะป้องกันให้กับตัวเอง
ผมโชคดีตรงที่เคยได้พูดคุยกับหลายๆคนที่เคยบวช และเขาได้มีโอกาสสอนผมในเรื่องของธรรมะ และไม่ว่าเรื่องใดๆก็ตาม เขาไม่ได้สอนว่าผมต้องสวดโน่นสวดนี่ แต่สอนผมให้เข้าใจในชีวิต รวมถึงคุณพ่อที่สอนผมมาตลอดในเรื่องการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ และการมีความจริงใจให้กับคนรอบข้าง ผมไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันอิงกับหลักคำสอนใดทางพระพุทธศาสนา แต่ผมรู้ว่า ผมเป็นคนไม่พูดปด ผมไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และผมไม่ดื่มเหล้า”
ในบทบาทของพระเอกละคร เขามี “ผู้กำกับ” คอยกำกับให้เล่นไปตามบทที่แสดง แต่ในชีวิตจริง นักแสดงหนุ่มผู้ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนตรงไปตรงมาและเป็นคนใจร้อน ด้วยเหตุนี้ ในทุกย่างก้าวของชีวิตเขาเลือก “สติ” เป็นผู้กำกับ
“ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามให้คิดก่อน ทำอะไรให้มันช้าลง เพราะมนุษย์เราปัจจุบัน นี้ทำอะไรเร็วเหลือเกิน ทุกวันนี้ต้องตื่นเช้า ต้องรีบกินข้าว บางทีเราลองทำอะไรให้ช้าลงสิครับ ถ้าเราลองหายใจให้มันช้าลง คิดก่อนพูด เคี้ยวข้าวก็เคี้ยวให้มันนานหน่อย ไม่ต้องรีบกิน บางทีมันอาจจะทำให้เราฉลาดขึ้น อาจจะได้มองเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยมองก็ได้ และเป็นหลักที่ผมเอามาใช้กับชีวิตโดยตลอด
บางทีถึงแม้ผมเป็นคนตรง เป็นคนใจร้อนมาก แต่บางทีหลายๆอย่าง ถ้าเราลองชั่งใจไว้ก่อน คิดให้มันช้าลง ทำอะไรให้มันช้าลง แล้วเราจะเห็นอะไรมากขึ้น ผมคิดว่าอันนี้ก็น่าจะเป็นหลักคำสอนอย่างหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอยู่ในบทไหน เพราะผมก็ฟังเขามา อีกที แต่ว่าเมื่อเราลองนำมาใช้ มันก็ใช้ได้จริงๆ”
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 111 กุมภาพันธ์ 2553 โดยพรพิมล)