ยิ่งกิเลสมนุษย์ซับซ้อนเพียงใด การปรุงอาหารของมนุษย์ก็พิสดารเพียงนั้น ก่อนเข่นฆ่า ก็จะกระตุ้นบำรุงด้วยเคมี ทำให้เกิดวงจรกรรมขึ้นในระบบห่วงโซ่อาหาร
โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง รุมรุกรานชีวิตผู้ป่วย เหมือนต้องการให้ตายผ่อนส่ง
เรื่องที่ 109
ความพินาศอันเนื่องมาจากการกิน
ท่านผู้อ่านคงได้ผ่านการยกเครื่องใจกันมาแล้ว พร้อมที่จะรับมือกับเรื่องน้อยใหญ่ในศักราชใหม่กันหรือยังคะ ? คงต้องมีบ้าง ที่ตอบว่า ยังไม่พร้อม แต่คงพอมีนักสู้บางส่วนที่พร้อมเสมอในทุกสถานการณ์
ในช่วงวันหยุด สัปดาห์สุดท้ายของหลายๆ ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนจะ เปิดกรุ ค้นหนังสือที่เคยชอบมาอ่านซ้ำ ถามว่าได้สาระอะไรเพิ่มต่างไปจากเดิมหรือไม่? แน่นอนค่ะ มีมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมองให้ได้ตรึกตรองหลังจากชีวิตได้ผ่านขั้นตอนของการถูก กลั่นกรองมาแล้วหลายชั้น ในแต่ละช่วง
ไม่ว่าใครจะเคยเก่งกล้าสามารถมาแล้วขนาดไหน สุดท้ายก็อาจตายได้ง่ายๆ เหมือนปลาเกยตื้นก็เป็นไปได้ หากปล่อยชีวิต ให้เป็นไปด้วยความประมาท ขาดวินัยในการดูแลใจ ดูแลกายของตนเอง
ในหน้าที่ 76 ของหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับพิเศษ
ธรรมธาตุ ธรรมชาติ แห่งสรรพสิ่ง โดย ไชย ณ พล ได้กล่าวถึงความพินาศ ของสัตว์มนุษย์ อันเนื่องมาจากการกินไว้ว่า...
*ตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์บริโภคง้วนดิน หรือไขน้ำที่กำลังรวมตัวกันเป็นดิน และต่อมาก็พัฒนามาบริโภคกะบิดิน หรือง้วนดินที่กลายมาเป็นดินน้อยๆ แล้วต่อยอดมาเป็นการบริโภคเครือดิน หรือกะบิดินที่รวมตัวกันเป็นดินก้อนใหญ่ แต่เนื้อยังละเอียดอยู่เป็นอาหาร จนกระทั่งได้บังเกิดข้าวสาลี ซึ่งเป็นพืชจากดินก้อนใหญ่ แล้วเมื่อพืชได้กระจายไปหลายพันธุ์ มนุษย์ก็นำเอาพืชชนิดต่างๆ มา บริโภคกับข้าวสาลีซึ่งเป็นอาหารหลักของมนุษย์
แต่ด้วยความโลภ และความอยากของมนุษย์ที่มี ยิ่งอยากมากเพียงใด การปรุงอาหารก็หลากหลายมากมายเพียงนั้น ยิ่งกิเลส มนุษย์ซับซ้อนเพียงใด การปรุงอาหารของมนุษย์ก็พิสดารเพียงนั้น ก่อนเข่นฆ่า ก็จะกระตุ้นบำรุงด้วยเคมี ทำให้เกิดวงจรกรรมขึ้น ในระบบห่วงโซ่อาหาร โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง รุมรุกรานชีวิตผู้ป่วย เหมือนต้องการให้ตายผ่อนส่ง*
กระโดดข้ามมาถึงหน้า 88 ของหนังสือเล่มนี้ มีข้อความที่น่าสนใจกล่าวเสริมว่า...
*มนุษย์ผู้บริโภคข้าวกล้าที่สุกเสมอกัน ย่อมมีอายุยืน มีผิวพรรณดี มีกำลัง และมีโรคน้อย
อนึ่ง ความเป็นไปทั้งหลายทั้งปวงในธรรมชาติ ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตสำนึกรวมของมวลมนุษย์นั่นเอง
ด้วยรังสีจิตของมนุษย์นั้นมีอานุภาพยิ่งนัก สมัยเมื่อมนุษย์ ยังไม่เสื่อม รังสีจิตย่อมแผ่ซ่านเป็นแสงสว่างส่องไสวไปทั่ว ต่อเมื่อ มนุษย์เสื่อมลง รังสีจิตก็เศร้าหมอง อนุภาคประณีต เช่น โฟตอน Photon ซึ่งเป็นอนุภาคแสงก็สูญหายไป แม้กระนั้น ตราบใดก็ตามที่จิตของมนุษย์ยังทำงานอยู่ ย่อมมีอนุภาคบางอย่างแผ่ออกมาจากจิตใจเสมอ เช่น อัลฟา Alpha เบตา Beta เทตตา Teta เดลตา Delta เป็นต้น สภาวจิตต่างๆ กัน จะแผ่รังสีอนุภาคต่างๆ กันออกมา ซึ่งอนุภาคเหล่านี้จะเห็นได้ด้วยกล้องจับแสงพิเศษ เช่น กล้องเคอร์เลียน เป็นต้น
อนุภาคต่างๆ เหล่านั้น ย่อมมีอิทธิพลกระทำต่อสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติโดยรอบ เมื่อเกิดรังสีจิตในสังคม ก็จะเกิดจิตสำนึก รวมของประชาชาติ Collective conciousness ซึ่งมีอานุภาพมากกว่าของบุคคล หากเป็นรังสีจิตประเภทเดียวกันก็จะผสานกลมกลืนกัน หากต่างประเภทกันก็จะหักล้างบั่นทอน หักเหทิศทาง ของกันและกัน จิตสำนึกรวมของประชาชาติที่เลวทราม ย่อมหักล้าง บั่นทอนแรงเหวี่ยงการหมุนของโลกมิให้สม่ำเสมอ เมื่อแรงเหวี่ยง ของการหมุนไม่สม่ำเสมอ แกนการหมุนก็เบี่ยงเบนไป เมื่อแกนหมุน เบี่ยงเบนไป จึงทำให้วิถีโคจรเบี้ยวไป กลายเป็นวงรี วิถีวงโคจรถูกบีบตัวหนักเข้าๆ ก็ถึงที่สุดแห่งดวงดาว
นับตั้งแต่การระเบิดครั้งแรกของจักรวาล อนุภาคแตกสลาย กระจายออกจากกัน ครั้นอนุภาคนิวตรอนรวมตัวกันแล้ว ต่อมาก็เกิดอิเล็กตรอนและโปรตรอนเกาะกันเกิดเป็นธาตุ เป็นกลุ่มก้อน ของธาตุ คือมวลก๊าซ น้ำ และของแข็งขึ้น เกิดเป็นดาวเคราะห์ คือ โลกขึ้น หมุนเหวี่ยงอยู่ เมื่อดวงอาทิตย์เกิดขึ้นจึงดึงดูดดาวเคราะห์ ทั้งหมดนั้นให้หมุนตามแรงเหวี่ยงของตน
อำนาจของการระเบิดนั้น ทำให้ดาวเคราะห์ทั้งหลายเหวี่ยงไป ตามแรงเหวี่ยงออกจากศูนย์กลาง มีแรงอยู่สองแรงเสมอที่กระทำต่อวัตถุที่มีศูนย์กลาง หรือนิวเคลียส คือแรงเหวี่ยงออกจาก ศูนย์กลางหนึ่ง และแรงเหวี่ยงเข้าหาศูนย์กลางหรือแรงดึงดูดของมวลอีกหนึ่ง
ด้วยทุกขณะที่มวลควบแน่นอยู่ เพิ่มแรงดันเข้าหาศูนย์กลาง ขึ้นเป็นทวี ณ จุดศูนย์กลางจะปล่อยคลื่นหยาบเป็นคลื่นวิทยุบ้าง รังสีประณีต เช่น รังสีเอ็กซ์บ้าง ออกมาตามแรงปฏิกิริยาอันคือแรง เหวี่ยงออกจากศูนย์กลาง เมื่อมวลควบแน่นมากเข้า คลื่นและรังสีต่างๆ แผ่ออกมามากขึ้น สีจะเปลี่ยนไปกลายเป็นสีเหลือง-น้ำเงิน-ขาว และหากมวลยังมากพอแก่การควบแน่นลงไปอีก ก็จะกลายเป็นสีดำ มีปริมาตรเล็กยิ่ง แต่มวลมหาศาล แผ่อานุภาพออกมามากมาย
จนกระทั่งในที่สุด เมื่อมวลอัดตัวกันแน่นอย่างยิ่งยวด สุดแรง เหวี่ยงเข้าหาศูนย์กลาง จนแรงเหวี่ยงออกจากศูนย์กลางซึ่งแผ่รังสีออกมาทุกขณะ มีพลังปฏิกิริยาเหนือกว่า ก็จะเกิดการระเบิดขึ้น มวลทั้งหลายจะแตกตัวกลายเป็นอนุภาคกระจายไป ส่วนที่เป็นธาตุหนักไม่อาจแตกตัวเป็นอนุภาคได้หมด ก็จะกลายเป็นก๊าซ เป็นหมอก คล้ายกลุ่มควันในจักรวาล เรียกว่า เนบิวลา เมื่อกาล ผ่านไปพอสมควร กลุ่มหมอกควันและอนุภาคที่แตกตัวกระจัดกระจายนั้นกระทบกันเกิดการรวมตัวกันเป็นโลก เป็น ดาวเคราะห์ เป็นดวงอาทิตย์ เป็นระบบสุริยจักรวาลขึ้นอีก สัตว์ทั้งปวง ก็จักมาอาศัยอยู่อีก ดังนี้
ชีวิตก็ดี โลกก็ดี ดวงอาทิตย์ก็ดี จักรวาลก็ดี หมุนวน เกิด ดับ อยู่ดังนี้ สืบเนื่องไปตลอดอนันตกาล...*
อ่านบทความที่คัดย่อมาให้ แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง ? ตอบในใจก็ได้ค่ะ ไม่ต้องตอบดัง เพราะนานาจิตตัง ประเด็นที่ตั้งใจจะสื่อในวันนี้ คือ สัญญาณเตือนให้ฝึกใจระงับความอยาก โดยเฉพาะด้านการบริโภคดื่มกิน เพราะมันเป็นปัญหา ต้นตอ ลองค่อยๆ ทบทวนตรวจดูตัวเองแล้วจะรู้ว่า ที่เราป่วยกาย ป่วยจิตกันอยู่ทุกวันนี้ เริ่มด้วยการเสพสิ่งสั่งสมอย่างขาดความสมดุลมานานวัน ค่ะ จะให้แก้ไขได้ในฉับพลัน มันคงยาก ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ทว่าความสำคัญอยู่ที่ก้าวแรกนะคะ ของพื้นๆ จืดๆ จากภูมิปัญญาเก่าแก่แต่โบราณที่มักจะถูกมองข้าม เดี๋ยวนี้แม้ฝรั่งตาน้ำข้าวยังหันมาตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อนำมาทุเลาภาวะความเจ็บป่วยให้เราได้
ข้าวไทย Hydrolysis ผสมธัญพืช ในรูปผงชงดื่ม อุดมด้วย กรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย และคุณค่าอาหารพลังงานชีวิต ระดับเซลล์ ที่ นายแพทย์มานพ วัฒนวงศ์วิบูลย์ มอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ 2553 ซองละ 100 กรัม ยังพอมีแจก
อย่าลืมตัดบทความในกรอบนี้ ไปขอรับได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. ค่ะ ขอรับได้ที่ตึกเขียว เลขที่ 302 ด้านซ้าย ของโรงแรมทาวน์อินทาวน์ ถนนศรีวรา-ทาวน์อินทาวน์ จะเข้าทาง ลาดพร้าวซอย 94 หรือใช้เส้นทางด่วนพระราม 9 เอกมัย-รามอินทรา แล้วตัดลัดเข้าซอยบ้านต้นซุง ถึงสามแยกแล้วจึงเลี้ยวซ้าย อยู่ เยื้องๆ กับสวอนค่ะ หากหาไม่เจอให้โทร.ไปที่ 0-2934-5800
โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง รุมรุกรานชีวิตผู้ป่วย เหมือนต้องการให้ตายผ่อนส่ง
เรื่องที่ 109
ความพินาศอันเนื่องมาจากการกิน
ท่านผู้อ่านคงได้ผ่านการยกเครื่องใจกันมาแล้ว พร้อมที่จะรับมือกับเรื่องน้อยใหญ่ในศักราชใหม่กันหรือยังคะ ? คงต้องมีบ้าง ที่ตอบว่า ยังไม่พร้อม แต่คงพอมีนักสู้บางส่วนที่พร้อมเสมอในทุกสถานการณ์
ในช่วงวันหยุด สัปดาห์สุดท้ายของหลายๆ ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนจะ เปิดกรุ ค้นหนังสือที่เคยชอบมาอ่านซ้ำ ถามว่าได้สาระอะไรเพิ่มต่างไปจากเดิมหรือไม่? แน่นอนค่ะ มีมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมองให้ได้ตรึกตรองหลังจากชีวิตได้ผ่านขั้นตอนของการถูก กลั่นกรองมาแล้วหลายชั้น ในแต่ละช่วง
ไม่ว่าใครจะเคยเก่งกล้าสามารถมาแล้วขนาดไหน สุดท้ายก็อาจตายได้ง่ายๆ เหมือนปลาเกยตื้นก็เป็นไปได้ หากปล่อยชีวิต ให้เป็นไปด้วยความประมาท ขาดวินัยในการดูแลใจ ดูแลกายของตนเอง
ในหน้าที่ 76 ของหนังสือ พระไตรปิฎกฉบับพิเศษ
ธรรมธาตุ ธรรมชาติ แห่งสรรพสิ่ง โดย ไชย ณ พล ได้กล่าวถึงความพินาศ ของสัตว์มนุษย์ อันเนื่องมาจากการกินไว้ว่า...
*ตั้งแต่เริ่มต้น มนุษย์บริโภคง้วนดิน หรือไขน้ำที่กำลังรวมตัวกันเป็นดิน และต่อมาก็พัฒนามาบริโภคกะบิดิน หรือง้วนดินที่กลายมาเป็นดินน้อยๆ แล้วต่อยอดมาเป็นการบริโภคเครือดิน หรือกะบิดินที่รวมตัวกันเป็นดินก้อนใหญ่ แต่เนื้อยังละเอียดอยู่เป็นอาหาร จนกระทั่งได้บังเกิดข้าวสาลี ซึ่งเป็นพืชจากดินก้อนใหญ่ แล้วเมื่อพืชได้กระจายไปหลายพันธุ์ มนุษย์ก็นำเอาพืชชนิดต่างๆ มา บริโภคกับข้าวสาลีซึ่งเป็นอาหารหลักของมนุษย์
แต่ด้วยความโลภ และความอยากของมนุษย์ที่มี ยิ่งอยากมากเพียงใด การปรุงอาหารก็หลากหลายมากมายเพียงนั้น ยิ่งกิเลส มนุษย์ซับซ้อนเพียงใด การปรุงอาหารของมนุษย์ก็พิสดารเพียงนั้น ก่อนเข่นฆ่า ก็จะกระตุ้นบำรุงด้วยเคมี ทำให้เกิดวงจรกรรมขึ้น ในระบบห่วงโซ่อาหาร โรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง รุมรุกรานชีวิตผู้ป่วย เหมือนต้องการให้ตายผ่อนส่ง*
กระโดดข้ามมาถึงหน้า 88 ของหนังสือเล่มนี้ มีข้อความที่น่าสนใจกล่าวเสริมว่า...
*มนุษย์ผู้บริโภคข้าวกล้าที่สุกเสมอกัน ย่อมมีอายุยืน มีผิวพรรณดี มีกำลัง และมีโรคน้อย
อนึ่ง ความเป็นไปทั้งหลายทั้งปวงในธรรมชาติ ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตสำนึกรวมของมวลมนุษย์นั่นเอง
ด้วยรังสีจิตของมนุษย์นั้นมีอานุภาพยิ่งนัก สมัยเมื่อมนุษย์ ยังไม่เสื่อม รังสีจิตย่อมแผ่ซ่านเป็นแสงสว่างส่องไสวไปทั่ว ต่อเมื่อ มนุษย์เสื่อมลง รังสีจิตก็เศร้าหมอง อนุภาคประณีต เช่น โฟตอน Photon ซึ่งเป็นอนุภาคแสงก็สูญหายไป แม้กระนั้น ตราบใดก็ตามที่จิตของมนุษย์ยังทำงานอยู่ ย่อมมีอนุภาคบางอย่างแผ่ออกมาจากจิตใจเสมอ เช่น อัลฟา Alpha เบตา Beta เทตตา Teta เดลตา Delta เป็นต้น สภาวจิตต่างๆ กัน จะแผ่รังสีอนุภาคต่างๆ กันออกมา ซึ่งอนุภาคเหล่านี้จะเห็นได้ด้วยกล้องจับแสงพิเศษ เช่น กล้องเคอร์เลียน เป็นต้น
อนุภาคต่างๆ เหล่านั้น ย่อมมีอิทธิพลกระทำต่อสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติโดยรอบ เมื่อเกิดรังสีจิตในสังคม ก็จะเกิดจิตสำนึก รวมของประชาชาติ Collective conciousness ซึ่งมีอานุภาพมากกว่าของบุคคล หากเป็นรังสีจิตประเภทเดียวกันก็จะผสานกลมกลืนกัน หากต่างประเภทกันก็จะหักล้างบั่นทอน หักเหทิศทาง ของกันและกัน จิตสำนึกรวมของประชาชาติที่เลวทราม ย่อมหักล้าง บั่นทอนแรงเหวี่ยงการหมุนของโลกมิให้สม่ำเสมอ เมื่อแรงเหวี่ยง ของการหมุนไม่สม่ำเสมอ แกนการหมุนก็เบี่ยงเบนไป เมื่อแกนหมุน เบี่ยงเบนไป จึงทำให้วิถีโคจรเบี้ยวไป กลายเป็นวงรี วิถีวงโคจรถูกบีบตัวหนักเข้าๆ ก็ถึงที่สุดแห่งดวงดาว
นับตั้งแต่การระเบิดครั้งแรกของจักรวาล อนุภาคแตกสลาย กระจายออกจากกัน ครั้นอนุภาคนิวตรอนรวมตัวกันแล้ว ต่อมาก็เกิดอิเล็กตรอนและโปรตรอนเกาะกันเกิดเป็นธาตุ เป็นกลุ่มก้อน ของธาตุ คือมวลก๊าซ น้ำ และของแข็งขึ้น เกิดเป็นดาวเคราะห์ คือ โลกขึ้น หมุนเหวี่ยงอยู่ เมื่อดวงอาทิตย์เกิดขึ้นจึงดึงดูดดาวเคราะห์ ทั้งหมดนั้นให้หมุนตามแรงเหวี่ยงของตน
อำนาจของการระเบิดนั้น ทำให้ดาวเคราะห์ทั้งหลายเหวี่ยงไป ตามแรงเหวี่ยงออกจากศูนย์กลาง มีแรงอยู่สองแรงเสมอที่กระทำต่อวัตถุที่มีศูนย์กลาง หรือนิวเคลียส คือแรงเหวี่ยงออกจาก ศูนย์กลางหนึ่ง และแรงเหวี่ยงเข้าหาศูนย์กลางหรือแรงดึงดูดของมวลอีกหนึ่ง
ด้วยทุกขณะที่มวลควบแน่นอยู่ เพิ่มแรงดันเข้าหาศูนย์กลาง ขึ้นเป็นทวี ณ จุดศูนย์กลางจะปล่อยคลื่นหยาบเป็นคลื่นวิทยุบ้าง รังสีประณีต เช่น รังสีเอ็กซ์บ้าง ออกมาตามแรงปฏิกิริยาอันคือแรง เหวี่ยงออกจากศูนย์กลาง เมื่อมวลควบแน่นมากเข้า คลื่นและรังสีต่างๆ แผ่ออกมามากขึ้น สีจะเปลี่ยนไปกลายเป็นสีเหลือง-น้ำเงิน-ขาว และหากมวลยังมากพอแก่การควบแน่นลงไปอีก ก็จะกลายเป็นสีดำ มีปริมาตรเล็กยิ่ง แต่มวลมหาศาล แผ่อานุภาพออกมามากมาย
จนกระทั่งในที่สุด เมื่อมวลอัดตัวกันแน่นอย่างยิ่งยวด สุดแรง เหวี่ยงเข้าหาศูนย์กลาง จนแรงเหวี่ยงออกจากศูนย์กลางซึ่งแผ่รังสีออกมาทุกขณะ มีพลังปฏิกิริยาเหนือกว่า ก็จะเกิดการระเบิดขึ้น มวลทั้งหลายจะแตกตัวกลายเป็นอนุภาคกระจายไป ส่วนที่เป็นธาตุหนักไม่อาจแตกตัวเป็นอนุภาคได้หมด ก็จะกลายเป็นก๊าซ เป็นหมอก คล้ายกลุ่มควันในจักรวาล เรียกว่า เนบิวลา เมื่อกาล ผ่านไปพอสมควร กลุ่มหมอกควันและอนุภาคที่แตกตัวกระจัดกระจายนั้นกระทบกันเกิดการรวมตัวกันเป็นโลก เป็น ดาวเคราะห์ เป็นดวงอาทิตย์ เป็นระบบสุริยจักรวาลขึ้นอีก สัตว์ทั้งปวง ก็จักมาอาศัยอยู่อีก ดังนี้
ชีวิตก็ดี โลกก็ดี ดวงอาทิตย์ก็ดี จักรวาลก็ดี หมุนวน เกิด ดับ อยู่ดังนี้ สืบเนื่องไปตลอดอนันตกาล...*
อ่านบทความที่คัดย่อมาให้ แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง ? ตอบในใจก็ได้ค่ะ ไม่ต้องตอบดัง เพราะนานาจิตตัง ประเด็นที่ตั้งใจจะสื่อในวันนี้ คือ สัญญาณเตือนให้ฝึกใจระงับความอยาก โดยเฉพาะด้านการบริโภคดื่มกิน เพราะมันเป็นปัญหา ต้นตอ ลองค่อยๆ ทบทวนตรวจดูตัวเองแล้วจะรู้ว่า ที่เราป่วยกาย ป่วยจิตกันอยู่ทุกวันนี้ เริ่มด้วยการเสพสิ่งสั่งสมอย่างขาดความสมดุลมานานวัน ค่ะ จะให้แก้ไขได้ในฉับพลัน มันคงยาก ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ทว่าความสำคัญอยู่ที่ก้าวแรกนะคะ ของพื้นๆ จืดๆ จากภูมิปัญญาเก่าแก่แต่โบราณที่มักจะถูกมองข้าม เดี๋ยวนี้แม้ฝรั่งตาน้ำข้าวยังหันมาตั้งหน้าตั้งตาพัฒนาด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อนำมาทุเลาภาวะความเจ็บป่วยให้เราได้
ข้าวไทย Hydrolysis ผสมธัญพืช ในรูปผงชงดื่ม อุดมด้วย กรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกาย และคุณค่าอาหารพลังงานชีวิต ระดับเซลล์ ที่ นายแพทย์มานพ วัฒนวงศ์วิบูลย์ มอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ 2553 ซองละ 100 กรัม ยังพอมีแจก
อย่าลืมตัดบทความในกรอบนี้ ไปขอรับได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. ค่ะ ขอรับได้ที่ตึกเขียว เลขที่ 302 ด้านซ้าย ของโรงแรมทาวน์อินทาวน์ ถนนศรีวรา-ทาวน์อินทาวน์ จะเข้าทาง ลาดพร้าวซอย 94 หรือใช้เส้นทางด่วนพระราม 9 เอกมัย-รามอินทรา แล้วตัดลัดเข้าซอยบ้านต้นซุง ถึงสามแยกแล้วจึงเลี้ยวซ้าย อยู่ เยื้องๆ กับสวอนค่ะ หากหาไม่เจอให้โทร.ไปที่ 0-2934-5800